ตอนที่ 7 : [17] - NERD.SPECIAL - #COUPSWON [#ฟิคยัยเนิร์ด]
N e r d
S p e c i a l
(ฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นภาคพิเศษของ Nerd)
#ฟิคยัยเนิร์ด
“อย่าลืมไปเชียร์ฉันแข่งบาสวันพรุ่งนี้นะ”
นั่นคือคำพูดกำชับของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนรักของชอนวอนอูอย่างเต็มตัว...ชเวซึงชอล ซึ่งเมื่อลองคิดทบทวนคำขอของอีกคนแล้วก็ได้แต่ถอนใจ ธรรมดาซึงชอลก็ไม่ได้งอแงว่าเขาต้องไปเชียร์หรอก เพียงแต่นัดนี้เป็นนัดสำคัญเพราะเจอคู่แข่งที่หินและเป็นรอบรองชนะเลิศแล้วคงอยากได้กำลังใจมากๆ
“เป็นอะไรน่ะลูก แม่เห็นนั่งถอนหายใจเฮือกๆเป็นครึ่งชั่วโมงแล้วนะ” คนเป็นแม่วางมือจากการเช็ดจานแล้วเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อหมดความอดทนกับการเฝ้ามองลูกชายเพียงคนเดียวของเธอนั่งถอนหายใจ
“พรุ่งนี้ซึงชอลแข่งบาสครับแม่”
แม่ของเขาเลิกคิ้วเป็นเชิงกระตุ้นให้เขาพูดต่อ วอนอูไม่เคยมีอะไรปิดบังแม่อยู่แล้วรวมถึงเรื่องของซึงชอลเองก็ด้วย อีกอย่างแม่เขารู้ก่อนที่จะมาบอกด้วยซ้ำล่ะมั้งแถมยังเข้ากับซึงชอลได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย เจอกันทีไรซึงชอลกลับบ้านดึกตลอด ดังนั้นสำหรับเรื่องแข่งบาส แม่ของเขาจึงไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาอะไรในเมื่อซึงชอลแข่งมาตลอดอยู่แล้ว
“คือเขาขอให้ผมไปเชียร์” ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนกดลงแล้วระบายยิ้มเข้าใจออกมาเล็กน้อยว่าปัญหาที่เกิดไม่ได้เกิดกับตัวของซึงชอลแต่เป็นปัญหาที่ตัวลูกชายของเธอเองต่างหาก
“ลูกก็เลยลำบากใจ? แค่ไปนั่งให้กำลังใจเขาคงไม่หนักหนาอะไรมั้งจ๊ะ แม่จำได้นะว่าซึงชอลเองก็ยังไปนั่งอ่านหนังสือเป็นเพื่อนลูกในห้องสมุดทุกวันเสาร์ตั้งหลายอาทิตย์ก่อนสอบทั้งที่เขาก็ไม่ได้ชอบอ่านหนังสือ” ได้ยินแม่เตือนขึ้นมาดังนั้นก็ทำให้วอนอูเกิดความละอายใจขึ้นมา...เขาเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่านะ? ที่ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบแถมยังลากอีกคนมาทำด้วย แม้ซึงชอลจะไม่ได้ฝืนใจแต่ก็คงไม่ชอบนักหรอก
“เข้าใจแล้วครับ”
“แม่จะสอนนะลูก คนรักกันคบกันเราจะมองแต่ตัวเราไม่ได้หรอก เราต้องมองในมุมมองของเขาด้วย ทุกคนมีเหตุผลเป็นของตัวเองเราต้องหาตรงกลางที่ทำให้เราทั้งสองคนยอมรับได้ ไม่เอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่ ถ้าทะเลาะกันจะร้อนใส่กันไม่ได้ ถ้าเขาร้อนมาเราต้องเย็น รักถึงจะยั่งยืน” วอนอูเอนหน้าซบอกของแม่แล้วปล่อยให้เธอกอดเอาไว้เหมือนตอนที่เขายังเด็ก
“ผมคงต้องเรียนรู้อีกเยอะ”
“ก็ทั้งคู่นั่นแหละจ้ะ ซึงชอลเองก็ตามใจลูกซะจนเคยตัว”
“โธ่แม่ครับ” โอดครวญเล็กน้อยก่อนกอดซบแม่แน่นกว่าเดิมและปล่อยให้แม่ลูบผมอยู่แบบนั้นอีกพักใหญ่จึงถูกดันตัวออก
“พอแล้วลูกคนนี้ โตจนจะมีครอบครัวได้แล้วยังมานั่งอ้อนแม่เหมือนเด็กๆ เก็บไปอ้อนซึงชอลโน่นไปแม่ไปเช็ดจานต่อแล้ว” วอนอูยู่ปากขึ้นมาเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับคำแล้วเดินขึ้นห้องนอนบ้าง
หลังๆมานี้ตั้งแต่คบกับซึงชอลเขาต้องเช็คแชทก่อนนอนทุกคืนเพราะว่าซึงชอลมักจะส่งข้อความมาคุยด้วยนิดๆหน่อยๆ...ทั้งที่อยู่โรงเรียนก็เจอกันตลอดแท้ๆ
อย่าลืมมานะ
“รู้แล้วน่า” วอนอูบ่นออกมาเบาๆพลางขมวดคิ้วใส่หน้าจอมือถือไปด้วย สงสัยคนทางนั้นจะกลัวเขาไม่ไปเชียร์จริงๆถึงได้ย้ำนักย้ำหนาแบบนี้ นิ้วเรียวที่เคยแต่เปิดหน้าหนังสือค่อยๆกดตอบคนรักไปทีละตัวเหมือนเด็กที่เพิ่งหัดพิมพ์
ต้องไปอยู่แล้ว สู้ๆนะ
เขาแทบจะจินตนาการใบหน้าที่ยิ้มด้วยความสุขของอีกคนได้เลยด้วยซ้ำ และเมื่อคิดถึงขึ้นมาก็พลอยยิ้มให้มวลอากาศไปด้วยอีกคน คิดอยู่เหมือนกันว่าตัวเองเริ่มเปลี่ยนไปแต่มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรเพราะฉะนั้นเขาจึงเริ่มชอบตัวเองในโหมดนี้ขึ้นมานิดหน่อย
วอนอูส่งสติ้กเกอร์ที่อีกคนซื้อให้บอกกลับไปว่าเขาจะนอนแล้วเป็นการตัดการสนทนาและไม่ได้สนใจโปรแกรมแชทนั้นอีก ร่างสูงโปร่งค่อนไปทางผอมของวอนอูทิ้งตัวลงบนเตียง ปิดไฟหัวเตียงก่อนหลับตาลง แต่แล้วก็ต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเขายังไม่รู้เลยว่าจะใส่เสื้อตัวไหนไปเชียร์ซึงชอลแข่งบาสเกตบอลในวันพรุ่งนี้ดี
หลังจากนอนคิดอยู่เกือบสิบนาทีเขาก็เลิกคิด เนื่องจากคิดมากไปก็คงไม่มีประโยชน์เท่าไหร่นัก...เสื้อเขาก็เหมือนๆกันแทบทุกตัว ดังนั้นเขาจึงข่มตาหลับอย่างจริงจังและหลับไปในเวลาไม่นาน
n e r d s p e c i a l
ณ สนามแข่งบาสเกตบอล
ชเวซึงชอลมองประตูโรงยิมอย่างกังวล ใกล้ถึงเวลาลงแข่งแล้วแต่ยังไม่เห็นวอนอูเลย เขาถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่เขาเองก็ไม่ได้นับ รู้เพียงแค่ว่าเขาไม่มีสมาธิเท่าที่ควร...พักนี้ตำแหน่งกัปตันทีมของเขากำลังถูกสั่นคลอน แม้ว่าเขาจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อทีมแต่การที่เขาไม่มีพรรคพวกกำลังเล่นงานเขาทีละนิด งานนี้หากว่าทีมพวกเขาแพ้...ตำแหน่งกัปตันทีมของเขาจะตกไปอยู่กับเพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งทันที...นั่นคือการเดิมพันของเขา แน่นอนว่าเรื่องนี้เขาไม่ได้เล่าให้วอนอูฟัง ไม่อยากให้อีกคนต้องมากังวลเรื่องไร้สาระของเขา อยากให้วอนอูตั้งใจเรียนมากกว่ามากังวลเรื่องนี้
“นายดูกังวลนะกัปตัน กลัวตำแหน่งหลุดหรือไง?”
ยังไม่ทันไรก็ถูกก่อกวนเสียแล้ว...จะใครซะอีกก็คนที่จะมาชิงตำแหน่งของเขานั่นไง
“ไม่สำคัญหรอก ใครจะเป็นก็เหมือนกัน”
“หึ กล้าพูดนะ ฉันเป็นสิต้องดีกว่าที่นายเป็นอย่างแน่นอน” ซึงชอลหลับตานับหนึ่งถึงสิบในอย่างข่มอารมณ์ พลางเตือนตัวเองว่าอีกฝ่ายตั้งใจยั่วยุให้เขาโมโหและก่อเรื่อง แต่เขาจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ เขาไม่อยากทำตัวอันธพาลให้คนอื่นไม่สบายใจทั้งคนที่บ้านทั้งวอนอู เขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเองขาดสติโดยเด็ดขาด
“แล้วแต่นายเถอะ” ว่าจบเขาก็เดินเลี่ยงออกมาจากตรงนั้นและเงยหน้ามองสแตนด์เชียร์ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าวอนอูนั่งอยู่ท่ามกลางกองเชียร์ทีมเขาและกำลังยิ้มมาให้เช่นกัน เพียงแค่เห็นวอนอูเขาก็มีกำลังใจและพร้อมที่จะสู้แล้ว
ผิดกับวอนอูที่รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับใบหน้าเครียดขึ้งของอีกคนก่อนจะเงยหน้ามาเจอเขาไม่น้อยแต่เพราะว่าเกมกำลังจะเริ่มเขาจึงไม่มีโอกาสพูดให้กำลังใจอีกคนเลย พาลนึกโทษรถประจำทางที่มาช้าและรถที่ค่อนข้างติดซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขามาช้าแบบนี้
ปลายนิ้วเรียวขยับดันแว่นครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งเป็นสิ่งที่เขามักจะทำเสมอเวลาที่ไม่สบายใจ แผ่นหลังบางตั้งตรงและสายตาจดจ่อเกมกีฬาตรงหน้าตาแทบไม่กะพริบ แน่นอนว่าคนที่เขาจ้องมองจะเป็นใครไม่ได้นอกจากชเวซึงชอลคนนั้น ร่างกายของอีกฝ่ายขยับไม่ลื่นไหลอย่างที่ควรจะเป็น นอกจากนั้นยังชู้ตสามแต้มพลาดบ่อยครั้งจนจบควอเตอร์ที่สองทีมของพวกเขาคะแนนตามอีกทีมอยู่เกือบ20คะแนน
เหล่ากองเชียร์เริ่มส่งเสียงพูดคุยและเริ่มโทษตัวทำคะแนนอย่างซึงชอล เสียงรอบข้างที่ได้ยินทำให้วอนอูเผลอกำมือแน่น เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้ซึงชอลดูไม่มีสมาธิแบบนั้น อยากลงไปข้างล่างและพูดให้กำลังใจแต่ควอเตอร์ที่สามก็เริ่มแล้ว วอนอูจึงทำได้เพียงแค่นั่งมองอย่างกังวล
เขาไม่เคยเห็นซึงชอลเป็นแบบนี้มาก่อน...มันต้องมีอะไรแน่เพียงแต่เป็นสิ่งที่เขาไม่รู้
ปลายเล็บจิกเข้ากลางฝ่ามือเมื่อซึงชอลพลาดอีกครั้งและได้รับเสียงโห่ผสมผสานจากทั้งฝั่งตรงข้ามและฝั่งเดียวกัน ซึ่งวอนอูเองก็อดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาผุดลุกขึ้นและพยายามเดินแทรกลงไปจนอยู่ใกล้ที่นั่งพักนักกีฬามากพอ เขาจะรอซึงชอลกลับมาตรงนี้
“วอนอู”
“เป็นอะไร? ทำไมไม่มีสมาธิเลย”
ซึงชอลหลบสายตาของเขา หันไปหยิบน้ำหันมาดื่มแทน ใบหน้าหล่อซุกเข้าไปในผ้าขนหนูก่อนผละออกมายิ้มให้วอนอูนิดๆแทนคำตอบว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร ซึ่งมันไม่จริง
“เอาเถอะ จบงานแล้วค่อยคุยกันก็ได้ แต่ว่าสู้ๆนะอย่ายอมแพ้” ซึงชอลเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อวอนอูถึงกับคว้ามือเขาไปจับไว้และบีบแน่นอย่างคนที่ต้องการให้กำลังใจ ไม่ได้สนใจสายตาหลายสิบคู่ที่กำลังมองมาแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าคนรักเป็นห่วงเขามากขนาดไหน ซึงชอลก็เกิดแรงฮึดขึ้น ฝ่ามือหนาบีบตอบกลับไปแล้วยิ้มให้อย่างสดใสก่อนกลับลงไปแข่งด้วยท่าทางที่แตกต่างจากสามควอเตอร์แรกอย่างสิ้นเชิง และเมื่อซึงชอลคืนฟอร์ม แม้จะช้าไปสักนิดแต่ก็ยังพอทัน ซึ่งสิ่งนั้นทำให้ทีมคู่แข่งพร้อมใจกันพยายามสะกัดซึงชอลให้ไม่สามารถทำแต้มได้ แต่ซึงชอลก็สู้ยิบตา
คะแนนทางฝั่งพวกเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วอนอูบีบมืออย่างกังวลเหลือเวลาไม่ถึงสองนาทีกับหกคะแนนที่ตามหลังอยู่ นั่นหมายความว่าจะต้องชู้ตสามแต้มอย่างน้อยสองลูกเพื่อเสมอหรือชู้ตสองแต้มอย่างน้อยสามลูก ซึ่งเป็นไปได้ยาก แต่ทุกคนในทีมก็สู้ยิบตา
ปรี๊ด ปรี๊ด ปรี๊ดดดด
แม้ว่าในลูกสุดท้ายพวกเขาจะทำได้ไม่ทันก็ตาม ซึ่งทำให้พวกเขาแพ้ไปอย่างหวุดหวิด วอนอูกำลังขยับมุมปากเตรียมส่งรอยยิ้มให้กำลังใจซึงชอลก็พอดีกับที่ไหล่หนาถูกผลักอย่างแรง...จากเพื่อนร่วมทีม ร่างของซึงชอลเสียหลักเซไปเล็กน้อยก่อนจะกลับมายืนได้เช่นเดิม
“เพราะมึง ทีมถึงได้แพ้”
“ก็สมใจแล้วนี่ อยากได้นักก็เอาไปสิตำแหน่งกัปตันน่ะ” ซึงชอลผลักอกอีกฝ่ายกลับไปบ้าง ความอดทนของเขามาถึงขีดจำกัดแล้ว..เขาไม่ได้อยากให้ทีมแพ้เลยสักนิดแต่มันเป็นเพราะเขากดดันตัวเองมากเกินไป...ผลจึงเป็นอย่างที่เห็น
“มึง!” อีกฝ่ายเงื้อหมัดขึ้นเตรียมชกเข้าที่ใบหน้าของซึงชอล
“หยุดนะ!!!” วอนอูผุดลุกขึ้นและตะกายลงมาคั่นระหว่างทั้งคู่ไว้ด้วยความเร็วที่แม้แต่ซึงชอลก็ยังแปลกใจ
“นายจะมาโทษซึงชอลคนเดียวไม่ได้ ในเมื่อพวกนายคือทีม ฉันดูอยู่ตลอดยังไม่เห็นว่าพวกนายคนไหนลงแรงพยายามทำคะแนนเท่ากับซึงชอลเลยสักคน ถ้าอยากจะแพ้นักมาลงแข่งทำไม” ว่าจบก็ได้แต่หอบหายใจแรง ฝ่ามือบางกำแน่น เขาเริ่มเข้าใจสถานการณ์เรื่องตำแหน่งกัปตันทีมขึ้นมาหลังจากได้ยินที่ซึงชอลพูดและเขามั่นใจว่าตัวเองคิดไม่ผิด
“ถ้าการแย่งตำแหน่งมาจากซึงชอลมันสำคัญนัก นายก็ควรจะทำให้มันฉลาดมากกว่านี้ไม่ใช่เอาทีมมาขายขี้หน้า” แทบทุกคนในชั้นปีต่างรู้ดีว่าวอนอูเป็นคนเก็บตัวและไม่ค่อยสุงสิงกับใคร การที่วอนอูระเบิดอารมณ์ออกมาเช่นนี้จึงทำให้ทุกคนตกใจกันไปหมด รวมถึงซึงชอลที่กำลังถูกร่างโปร่งลากออกมาจากสนามด้วย
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยิ้มออกมา มือหนาดึงรั้งมือบางเข้าหาตัวก่อนขยับไปกอดอีกคนไว้จากทางด้านหลังใบหน้าหล่อชื้นไปด้วยเหงื่อซบลงที่ซอกคอหอมแล้วหอมอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้สนใจสายตาของใครต่อใครที่มองมา จนกระทั่งวอนอูดันตัวเองออกแล้วเปลี่ยนมาจ้องตาของซึงชอลเขม็ง
“ทีหลังมีปัญหาอะไรแล้วไม่บอกก็เลิกกันเลยไหม ไม่ชอบเลยที่เก็บอะไรไว้คนเดียวแบบนั้น” ท่าทางว่าวอนอูคงจะฟิวส์ขาดสุดๆแล้วถึงได้ทำในสิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้ซึงชอลครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้
“ขอโทษนะอย่าเพิ่งโกรธได้ไหม? แค่ไม่อยากให้มาใส่ใจเรื่องไร้สาระ”
“....”
วอนอูเงียบไปนานจนซึงชอลใจเสีย เขาจูงมือวอนอูเข้าไปในห้องเปลี่ยนชุดและล็อกประตูไว้อย่างแน่นหนา ซึงชอลฉุดให้วอนอูลงมานั่งข้างกันโดยไม่ยอมปล่อยมือบางออก
“เรื่องที่ทำให้คนที่เราคบอยู่เครียดถือว่าเป็นเรื่องไร้สาระหรอ?”
“วอนอู...” ร่างหนาครางออกมาเบาๆเมื่อได้ยินดังนั้น มือหนาบีบมืออีกคนแน่นแต่วอนอูก็ยังคงหันหน้าไปทางอื่น
“ฉันอยากให้นายตั้งใจเรียนมากกว่า ขอโทษที่ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังให้ดีๆ”
ใบหน้าเรียวกดลงเบาๆก่อนหันกลับมากอดซึงชอลเอาไว้ ....เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มกอดอีกคนก่อน
“อย่ามีแบบนี้อีกนะ” อ้อมแขนของซึงชอลกอดรัดวอนอูแน่นขึ้นก่อนดันอีกฝ่ายออกเล็กน้อย ใบหน้าหล่อขยับเข้าไปใกล้และประกบริมฝีปากทาบทับกันเบาๆก่อนแนบสนิทในที่สุด กลีบปากบางถูกขบเม้มจนรู้สึกได้ว่าเริ่มช้ำ มือบางจึงดันอีกคนออกซึ่งซึงชอลก็ยอมผละออกแต่โดยดี
หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับบ้านด้วยกันโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันมากเท่าที่ควร มีเพียงฝ่ามือหนาเท่านั้นที่จับมือของวอนอูไปกุมไว้บนเกียร์รถ
“ลงมาก่อนสิ”
ซึงชอลไม่ปฏิเสธคำเชิญนั้น เขาปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วก้าวลงจากรถตามวอนอูเข้าไปในบ้านก็พบว่าแม่ของวอนอูกำลังจะออกไปข้างนอกพอดี
“อ้าว ซึงชอลสวัสดีจ้ะ แม่กำลังจะไปพอดี”
“คุณแม่จะไปไหนครับ ผมไปส่งไหม?”
“ไม่เป็นไรจ้าเดี๋ยวเพื่อนแม่มารับ เอ้อ ถ้าไม่รบกวนเกินไปแม่ฝากมานอนเป็นเพื่อนวอนอูหน่อยได้รึเปล่าจ๊ะ?” ซึงชอลหันไปมองเสี้ยวหน้าของวอนอูที่ดูจะสนใจแปลงดอกไม้หน้าบ้านเสียเหลือเกินแล้วหันกลับมายิ้มให้แม่ของอีกคน
“ได้ครับ”
“แล้วแข่งเป็นยังไงจ๊ะ?” ซึงชอลส่งยิ้มแหยกลับไป
“แพ้ครับ โดนปลดจากตำแหน่งแล้วด้วย” ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนกลับระบายยิ้ม เธอเอื้อมมือลูบไหล่คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเหมือนลูกเขยของเธอแล้วบีบเบาๆ
“ก็ดีนะจ๊ะจะได้พักบ้าง คิดในแง่ดีก็จะได้มาขลุกอยู่กับลูกแม่บ่อยๆ”
“แม่ครับ..” ริ้วสีแดงพาดผ่านแก้มใสเป็นรอยแดงจางๆแต่ก็มากพอที่จะทำให้ทั้งแม่ทั้งซึงชอลมองเห็นได้เช่นกัน
“เขินก็เป็น เอาเถอะจ้ะอยู่กันดีๆนะกว่าแม่จะกลับก็คงอีกสองสามวัน” ซึงชอลโค้งตัวแล้วยิ้มให้ก่อนดันวอนอูเข้าบ้านด้วยรอยยิ้มผิดจากเมื่อพักใหญ่ๆที่สนามลิบลับ
“แบบนี้เรียกว่าแม่เปิดโอกาสรึเปล่า?”
“อ..อะไร? กลับไปก็ได้นะฉันอยู่ได้” แต่ซึงชอลส่ายหัวปฏิเสธท่าเดียวแถมยังโทรไปรายงานที่บ้านเรียบร้อยว่าจะมาค้างที่บ้านวอนอู หลังวางโทรศัพท์ได้เจ้าของร่างหนาก็หันมาระบายยิ้มไม่หยุดจนวอนอูต้องหันหน้าหนีแล้วยู่ปากขัดใจเล็กๆ
แม้ว่าซึงชอลจะเคยมาค้างที่บ้านของวอนอูบ้างบางครั้ง แต่ทุกครั้งแม่ของวอนอูจะอยู่ด้วยเสมอและซึงชอลก็จะต้องนอนบนพื้นเหตุเพราะเตียงของวอนอูเป็นเตียงเดี่ยว พวกเขาจึงยังไม่ได้ไปถึงขั้นที่คนรักส่วนใหญ่ไปกัน
ส่วนมากพวกเขามักแสดงความรักด้วยการจูบหรือกอดเสียมากกว่า...
เมื่อได้มาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันแถมยังไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยแบบนี้ก็ทำให้ซึงชอลและวอนอูลืมเรื่องเคร่งเครียดไปเสียหมด เหลือเพียงความตื่นเต้นเล็กๆเท่านั้น
“เดี๋ยวค่อยไปเอาเสื้อผ้าวันพรุ่งนี้ วันนี้ขอยืมของนายไปก่อนนะ”
วอนอูพยักหน้าพลางเดินวนไปทั่วบ้านหาอะไรทำ ไม่ยอมนั่งอยู่กับที่เป็นเป้านิ่งให้กับสายตาคมนั้นที่ดูจะพราวระยับขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายซึงชอลเองก็ขบขันไม่น้อยเมื่อเห็นท่าทางราวกับหนูติดจั่นของคนรัก เขาจึงคว้าข้อมือบางดึงเข้ามาหาตัวแล้วขโมยหอมแก้มเสียฟอดใหญ่
“ทำไมน่ารัก?”
“พูดอะไรไม่รู้เรื่องหรอก ปล่อยได้แล้วจะไปทำกับข้าวให้กิน”
ดังนั้นซึงชอลจึงยอมรามือและเลี่ยงไปอาบน้ำล้างตัวแทน ปล่อยให้วอนอูขยับแว่นมองสูตรอาหารที่แม่จดไว้เป็นตำราแล้วเข้าครัวทำอาหารไป..เรื่องนี้เขาเสียสละไม่ยุ่งก็แล้วกัน ไม่งั้นครัวของบ้านนี้คงเละแน่นอน
พวกเขานอนดูหนังด้วยกันตลอดบ่าย ตกเย็นก็นำอาหารที่กินไม่หมดเมื่อกลางวันมากินอีกและก็มาถึงช่วงเวลาที่วอนอูรู้สึกกังวลเล็กน้อย...ซึงชอลเป็นคนดูง่ายเพราะโผงผาง ดังนั้นอีกฝ่ายจึงค่อนข้างชัดเจนว่าคืนนี้...ไม่อยากที่จะนอนบนพื้นแล้ว
“ชุดนอนอยู่ในตู้เปิดเอาเลย” วอนอูพยายามตั้งสมาธิอ่านหนังสือในมืออย่างเต็มกำลังแต่คนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จก็ไม่ยอมแต่งตัวเสียทีแม้ว่าร่างโปร่งจะพูดย้ำเรื่องชุดนอนเป็นครั้งที่สองแล้วก็ตาม สุดท้ายวอนอูจึงยอมแพ้ เขาปิดหนังสือเสียงดังฉับแล้วเงยหน้าสบตากับคนยืนอย่างเอาเรื่อง
“ไม่ต้องใส่ก็ได้นี่”
“งอแง” เจ้าของร่างโปร่งแทบจะค้อนอยู่แล้วแต่ก็ยั้งตัวเองเอาไว้ทัน ตัวเขานั้นอาบน้ำแต่งชุดนอนเรียบร้อยแล้วเสียด้วย เขาจึงกอดผ้าห่มไว้แน่นเป็นการป้องกันตัวเองด่านแรก
“คืนนี้อยากนอนบนเตียง มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคู่นะ” อีกฝ่ายทำหน้าตาจริงจังเสียจนวอนอูรู้สึกหมั่นไส้นิดๆ พูดราวกับว่าพวกเขาอายุมากและมีรากฐานมั่นคงแล้วอย่างนั้นแหละ
“ก็..ไม่เถียงหรอก” เขารู้แหละว่าสักวันมันต้องมีวันที่พวกเขาไปถึงขั้นนั้นแต่... “...แต่ทำไมต้องวันนี้ด้วยล่ะ...?” วอนอูถามเสียงอ่อยพลางยู่ปากไปด้วย
“แล้วต้องวันไหนหรอ?” อีกฝ่ายก็ดันยกใบหน้าซื่อขึ้นมาต่อกรกับเขาอีก...
“ไม่รู้...ยังไม่ได้ศึกษาเลย...” เขาไม่รู้อะไรเลยเสียด้วยซ้ำเกี่ยวกับเรื่องนั้น จะให้ทำอะไรโดยที่ไม่มีความรู้น่ะ ไม่มั่นใจเอาซะเลย มือบางหยิบหมอนใบใหญ่มากอดเอาไว้แน่นราวกับเป็นเกราะป้องกันซึ่งเรียกรอยยิ้มจากคนยืนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ร่างหนาทิ้งตัวลงนั่งที่ข้างเตียงแล้วจับมือบางของวอนอูมาคลึงเบาๆที่หน้าตัก
“การศึกษามันก็เป็นแค่ทางทฤษฎีนะ ฉันเองก็ใช่ว่ามีประสบการณ์ แต่ที่ฉันรู้ก็คือสำหรับคนรักของฉัน..ฉันก็อยากใกล้ชิดเขาให้มากที่สุดไม่ใช่ว่าอยากได้ร่างกายของเขา แต่ก็ยอมรับว่าฉันโลภมากอยู่เหมือนกันล่ะ ได้ใจมาแล้วก็อยากได้ทั้งหมด” เมื่อได้ยินแบบนั้นวอนอูก็นึกถอนใจ แอบฝากค้อนส่งไปในใจให้แม่ของตัวเองที่คล้ายว่าจะเป็นใจก่อนพลิกฝ่ามือสอดเข้าไปประสานนิ้วทั้งห้ากับมือของอีกคน
“ปิดไฟได้ไหม?”
(เนื้อหาต่อไปนี้ไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน กรุณาคลิก เม้นท์ที่ไหนก็ได้นะคะตามแต่สะดวกค่ะ)
The End.
#ฟิคยัยเนิร์ด
โอ๊ยคุณคะ มันยาวมาก ในเวิร์ดนี่ล่อไป18หน้า...
ขอบพระคุณที่ให้ความสนใจเช่นเคยค่ะ
พูดคุยสกรีมได้ที่แท็กและในทวิตเตอร์นะคะ
พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการค่ะ ศรีเหนื่อยเหลือเกิน
ปล.ขอบคุณสำหรับธีมสวยๆนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พี่ช่อนเราต้องไม่พลาดนะคะ
แพ้ก็ไม่เป็นไรเนอะ
ยอมแล้วยอมมมมม เขินอะ ฮือ
ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตาม
ขนาดนูที่นิ่งๆเงียบๆยังทนที่จะอยู่เฉยๆไม่ได้เลย ตอนที่ซึงชอลโดนรังแก
เรารักตัวละครสองตัวนี้มากจริงๆ
มันมีความพิเศษในตัวเองที่เราไม่สามารถหยุดอ่านแล้วมาคอนเมนต์ทะลัขยักเหมือนเรื่องอื่นๆได้เลย
แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เป็นครั้งแรกที่เราอ่านเอ็นซีแล้วยิ้ม คือเราอ่านแล้วเรารู้สึกได้ครั้งความรัก
รู้สึกได้ถึงการถนุถนอม ซึงชอลหวงแหนวอนอูมากจนเรา ไม่สามารถอ่านไปทำหน้านิ่งไปได้เลย
ขอบคุณที่สร้างสรรค์เรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมา
เรายังคอยย้ำคุณนักเขียนอยู่เสมอว่า กรุณาแต่งเรื่องยาวได้มั้ย เพราะเราทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้เรื่องนี้หายไป
I need more ขออีกได้มั้ย อย่าให้เราต้องวนกลับไปอ่านเรื่องนี้เรื่อยๆเลย
ขอร้องจริงๆ
แมวมากกก ลูกแมวน้อยของพี่ชอล
ฮืออออออออ