คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่1 - วันธรรมดาที่เริ่มจะไม่ธรรมดา
เอาล่ะครับไม่ต้องจินตนาการกันไปต่างๆนาๆ เพราะผมกำลังจะเล่าให้ทุกท่านเดี๋ยวนี้แล้ว ผมมีความสนใจในศิลปะอย่างมากซึ่งแม่ก็บอกว่าผมเหมือนพ่อมากตรงจุดนี้ ผมจึงตั้งใจว่าจะเอาดีทางนี้ให้ได้ พอจบ ม.3 ผมก็สอบเข้าเรียนต่อในระดับ ปวช. ที่วิทยาลัยเทคโนG ซึ่งมีชื่อเรื่องศิลปกรรมมาก (จริงๆคืออยากลบปมด้อยที่เหมือนผู้หญิงของตัวเองนั่นล่ะ -_-“)
ชีวิตวัยเรียนที่นี่แรกเริ่มก็ลำบากไม่น้อยเพราะคนส่วนมากมักคิดว่าผมเป็นสาวประเภทสอง (จริงๆถูกเข้าใจแบบนั้นตั้งแต่ ป.6 แล้วล่ะ) จึงถูกกลั่นแกล้งมากในช่วงแรก แต่ยังดีที่ผมมีเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็กๆชื่อ วิชัยเข้ามาเรียนด้วยกัน
วิชัยนั้นสนิทกับผมมากเพราะบ้านเราอยู่ใกล้กันรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่นายวิชัยนั้นเข้าใจว่าผมเป็นเด็กผู้หญิงมาตลอดก่อนหน้านั้น จนขึ้น ป.4 เราเรียนห้องเดียวกันตานั่นถึงได้รู้ว่าจริงๆผมเป็นผู้ชาย ผมไม่รู้หรอกนะว่าก่อนหน้านี้จะเป็นยังไงรึตานี่จะแอบแค้นอะไรผมไหม แต่อย่างน้อยผมก็มีพยานบุคคลยืนยันได้ว่าผมเป็นผู้ชาย = =
แต่ผมก็ไม่ได้หวังแต่จะให้เพื่อนมาช่วยอยู่ตลอดเวลา ผมก็คิดที่จะแสดงออกทางบุคลิกภายนอกให้ดูแมนขึ้น โดยเริ่มจากใส่แว่นเพื่อจะได้ปิดบังหน้าที่มันใสจนเกินจะไปนี้ให้ดูเข้มขึ้นบ้าง ผมที่ไว้ยาวตามสไตล์เด็กศิลป์ก็รวบไว้ซะ ส่วนหน้าอกเจ้ากรรมก็ใส่เสื้อตัวใหญ่ๆคลุมไว้ก็พอจะช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่เรื่องกริยาท่าทางที่ติดมาจากทางบ้านเช่นการพูดการจา รึการเดินนั้นก็ยากอยู่ในการระมัดระวัง แต่ที่ลำบากที่สุดคือเสียงที่ไม่ว่าจะดัดยังไงก็ไม่แมนขึ้นมาสักนิด
“คุณแม่ครับ ผมไปเรียนก่อนนะครับ” นี่ก็เป็นหนึ่งในเช้าธรรมดาที่ที่ผมต้องไปเรียนตามปกติ
“ขับรถดีๆนะจ๊ะลูก”และทุกเช้าก่อนไปโรงเรียนแม่ก็มักจะเดินออกมาส่งแล้วก็กอดหอมแก้มผมทุกครั้งไป
วิทยาลัยของผมนั้นเข้าเรียนปกติ 8.00 น แต่ผมมักจะมาก่อนเวลานิดหน่อยเพราะต้องไปรับนายวิชัยมาด้วย อ่อ...อย่าเข้าใจผิดนะ นั่นก็เพราะว่าบ้านของตาวิชัยอยู่ทางเดียวกับวิทยาลัยนั่นเองจึงไปด้วยกันทุกวันเป็นปกติ (ผมเข้าใจว่ามิตรภาพของลูกผู้ชายมันถูกมองเป็นอื่นได้ง่าย -_-)
ระหว่างการเดินทางจากบ้านวิชัยไปถึงวิทยาลัยก็ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีได้ เป็นปกติที่จะพูดคุยสัพเพเหระกันไประหว่างการเดินทาง และในวันนี้เรื่องที่หยิบยกมาพูดกันก็คือเรื่องของงานโรงเรียนที่จะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้
“เห้ย สุ แกรู้รึยังว่าห้องของพวกเราตกลงกันแล้วนะ ว่าจะแสดงละครเวทีเรื่องสโนไวท์น่ะ” วิชัยเปิดประเด็นชวนคุยขึ้นก่อน
“เหรอ เราก็พึ่งจะรู้จากเธอนี่แหละ แต่ฟังดูก็น่าสนุกดีนะละครเวทีเนี่ย” ผมตอบกลับอย่างปกติอย่างรู้สึกสนใจอยู่มาก แต่กลับทำให้วิชัยนั้นรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแทน
“เรา...เรา...เธอ..เธอ บ้าอะไรกันล่ะ เห้ย ตูกับเมิงน่ะ รู้จักกันมาจะ 20 ปีแล้วนะเว้ยเห้ย ผู้ชายที่ไหนเขาพูดกับเพื่อนกันแบบนี้บ้างฟะ” วิชัยมักจะหงุดหงิดกับท่าทางผมเสมอ และบ่อยครั้งที่เขาจะตวาดใส่กับเรื่องพวกนี้
“แหม ขอโทษทีนะ แต่เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าที่บ้านของเราเขาสอนมาให้พูดจาแบบนี้ตั้งแต่เกิดน่ะ เราก็พยายามอยู่แต่พอกลับบ้านไปก็ต้องพูดแบบนี้อยู่ดี เห็นใจเราหน่อยนะ” แต่ผมก็ชินซะแล้วล่ะ (ก็ตั้งแต่ตานี่รู้ว่าผมเป็นผู้ชายก็ตวาดผมมาตลอดนี่นะ) ก็เลยมักจะใช้น้ำเย็นเข้าลูบไม่พยายามไปโต้เถียงด้วย
“เออ เออ เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว” และมันก็ได้ผลทุกครั้งไป ไม่ว่าจะกี่ครั้งวิชัยก็จะหยุดทันที ^^v
เอาล่ะ พอมาถึงที่หมายเราก็ต้องรีบตรงดิ่งขึ้นไปที่ห้องเรียนอย่างรวดเร็ว (อย่างที่ผมบอกมิตรภาพของลูกผู้ชายมักถูกมองเป็นอื่นได้ง่าย = =) ซึ่งวันนี้ช่วงโฮมรูมก่อนเข้าเรียนทางห้องก็มีการประชุมใหญ่เรื่องละครเวทีที่พูดกันไปก่อนหน้านี้แล้วนั่นเอง
“ทุกคน วันนี้พวกเราจะมาเลือกตัวแสดงกันก่อน และเริ่มซ้อมกันในตอนเย็นนะ มาช่วยเสนอชื่อคนที่ทุกคนคิดว่าเหมาะสมกัน” เกศินี หัวหน้าห้องคนเก่งของพวกเราประกาศหน้าชั้นท่ามกลางความตื่นเต้นของพวกเราทุกคน (ผมแอบหวังลึกๆว่าอยากเล่นบทเจ้าชายนะนี่ หุหุ)
“เริ่มจากตัวละครเอกก่อนนะพวกเรา “บทเจ้าชาย” คิดว่าใครเหมาะสมบ้าง” จากนั้นคุณเกศินีก็เริ่มถามความเห็นของทุกคนจากบทเจ้าชายก่อน
“วิชัยยย!” เสียงประสานร่วมกันจากเพื่อนๆทุกคนในห้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน แม้จะเสียดายนิดๆแต่ก็เป็นไปตามที่คาดไว้
“ดีใจด้วยน้า เจ้าชาย” ผมหันไปตบมือยิ้มดีใจกับเพื่อนสนิทที่ได้บทดีๆไป (แอบอิจฉานิดๆ)
“เคยบอกแล้วใช่ไหม เวลายิ้มอย่าหันหน้ามาทางนี้ (- -*)” รู้สึกผมจะสะกิดต่อมโมโหวิชัยอีกแล้ว เลยถูกฝ่ามือจับหัวหันไปทางอื่นทันใด (T_T~ใจร้าย)
“มติเป็นเอกฉันท์อย่างท่วมท้น งั้นต่อไปบทเจ้าหญิงสโนไวท์เพื่อนๆคิดว่าจะให้ใครเป็นดี” เอาล่ะถึงคราวบทของสโนไวท์แล้วผมเหลียวมองไปรอบๆห้องพร้อมกับคาดเดาไปว่าใครกันน้า จะได้แสดงคู่กับวิชัยเพื่อนรักของผม
“สุชาดา~!!” เสียงทั้งห้องดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
“เอ คนไหนน้าชื่อสุชาดา” ผมเที่ยวกวาดสายตามองหาไปทั้งห้องเพราะคิดไม่ออกว่าใคร
“นี่ๆ วิชัยห้องเรามีผู้หญิงชื่อสุชาดาด้วยเหรอ” จนผมต้องหันไปให้วิชัยช่วยคิด
“ไม่มี!” วิชัยตอบกลับอย่างเสียงแข็ง
“เอ...งั้นสุชาดาที่ว่านี่เขาอยู่ห้องอื่นอย่างนั้นเหรอ” ผมยังไม่แล้วใจจึงเอ่ยถามต่อ
“งั้นบัดนี้ ขอเชิญตัวเอกทั้งสองออกมาโชว์ตัวหน่อยจ้า” พอเกศินีประกาศดังนั้นผมก็เริ่มรู้ตัวขึ้นมา
เพราะทันใดนั้นเหล่ายมทูต (สตาฟในห้อง) ก็ได้เดินมารายล้อมโต๊ะของผมและวิชัย พร้อมกับลากเราออกไปท่ามกลางความต๊กใจของผมอย่างมาก
“อะไรกันอ่ะ คุณเกศินีผมเป็นผู้ชายน้า จะให้รับบทสโนไวท์ได้ยังไงกัน” ผมเริ่มอ้อนวอนทันใด
“แต่มันเป็นมติของห้องนะคะ แสดงว่าเพื่อนๆทุกคนคิดมาอย่างดีแล้วว่าคุณเหมาะสม” แง้...อ้อนวอนคุณเกศินีไม่ได้ผลเลย T^T
“ตะ...แต่ว่า จับผู้ชายมาแต่งยังไงก็ไม่มีทางสวยสู้ผู้หญิงหรอกครับคุณเกศินี มันจะกลายเป็นตลกซะมากกว่า” เมื่ออ้อนวอนไม่ได้ผล ผมจึงเริ่มที่จะงัดเหตุผลมาสู้!!!
“หึ” เกศินีหัวเราะออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ นั่นก็หมายความว่า...ตายละ ผมคงพูดผิดพลาดถึงสิ่งที่จะนำภัยมาถึงตนแล้วสิ
และแล้วที่ที่ผมภาวนาอย่างสูงสุดให้อย่าได้เกิดขึ้นรึเจอะเจอมันเลยก็ต้องพังพินาศย่อยยับด้วยเสียง “เปาะ” ที่เป็นสัญญาณจากท่านหัวหน้าห้องถึงเหล่าสตาฟที่ต่างกรูกันเข้ามาลากผมไปยังห้องเก็บอุปกรณ์ข้างๆจากนั้นจึงลงมือปู้ยี้ปู้ยำจับผมใส่ชุดผู้หญิงทันใด (T^Tโฮ~~)
และเมื่อไม่อาจจะต่อต้านกับเหล่าสมุนของพญามัจจุราชได้ ผมก็ต้องจำยอมถูกจับแต่งหญิงในที่สุด T^T ถูกจับแต่งชุดแซ็คสีฟ้าอ่อน (แอบชอบนะนี่) ผมที่มัดไปอย่างเป็นระเบียบก็ถูกปล่อยให้สยายลงมาและคาดไว้ด้วยที่คาดผมสีเดียวกัน และใส่เครื่องประดับนิดๆหน่อยๆแต่ไม่แต่งหน้า เพราะเขาบอกต้องการจะดูหน้าที่เป็นธรรมชาติ
จากนั้นเหล่าสตาฟจึงปล่อยให้ผมกลับเข้าไปในห้องได้...ผมไม่รู้หรอกว่าภาพที่ออกมามันทุเรศขนาดไหน เพราะมันถึงกับทำเอาเพื่อนๆทุกคนมองผมจนตาค้าง แม้แต่วิชัยที่เจอผมทุกวัน ทุกสายตาทุกคู่จับจ้องมองมายังผม จนผมรู้สึกเขินอายจนต้องหลบสายตาไป
และไม่ว่าภาพที่ออกมาจะเป็นเช่นไร หนทางที่จะเป็นผู้ชายเต็มตัวของผม มันช่างห่างไกลออกไปทุกที...ทุกที = =
ความคิดเห็น