ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ - จุดเริ่มต้นของเหตุผล
อดีตกาลนานมาแล้ว หลังจากที่พระเจ้าเพิ่งสร้างโลกได้ไม่นานโลกได้ถูกแบ่งออกเป็น 8 ส่วน เหล่าสรรพชีวิตต่างๆ ได้กำเนิดและดำรงชีพอยู่อย่างมีความสุข
แต่ทว่าในขณะนั้น เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดสองเผ่าได้ทำการรบกัน เพื่อแย่งชิงที่จะเป็นผู้ปกครองโลกและเหล่าสรรพสัตว์นี้ ฝ่ายหนึ่งได้แก่เผ่าพันธุ์เทพและกองทัพแห่งแสงสว่าง อีกฝ่ายหนึ่งได้แก่เผ่าปิศาจและกองทัพแห่งความมืด
การรบของทั้งสองเผ่าพันธุ์ดำเนินมาเนิ่นนานกว่าร้อยกว่าพันปี จนในที่สุดการรบครั้งนี้เผ่าเทพก็ได้รับชัยชนะและได้ทำการขับไล่เผ่าปิศาจให้ลงไปอยู่ใต้โลกมิอาจปรากฏตัวได้ในเวลากลางวัน
จากนั้นเผ่าพันธุ์เทพจึงสถาปนาตนขึ้นเป็นผู้ปกครองโลกเบื้องบนอันแสนงดงาม แต่ทว่าปัญหา ใหม่ก็ตามมา โดยที่เทพแต่ละองค์ต่างก็ต้องการจะปกครองทวีปแต่ละทวีปให้มากที่สุด บางองค์ก็คิดที่จะเป็นผู้ปกครองทั้งโลกจนเกิดเป็นความแตกแยกภายในหมู่เทพขึ้น ความแตกแยกนั้นเริ่มต้นจากความทะเยอทะยานของเหล่าผู้มีพลังและต้องการจะเป็นใหญ่ แตกยอดจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองของเหล่าเทพด้วยกันเอง
การรบครั้งนั้นทำให้มีเหล่าเทพล้มตายเป็นจำนวนมาก จนในที่สุดเมื่อทนการสูญเสียที่ต้องเข่นฆ่ากันเองไม่ไหวจึงหาทางออกโดยการจัดประลองขึ้น โดย ผู้ที่มีอันดับตั้งแต่ 1 - 8 จะได้เป็นเทพผู้ปกครองทวีป ซึ่งที่1จะได้ครองทวีปที่ใหญ่ที่สุดและเล็กลงมาตามลำดับ การประลองระหว่างเทพและเทพเป็นไปอย่างดุเดือดบ้างก็ล้มตายในการต่อสู้ บ้างก็พิการ แต่ถึงกระนั้นการที่จะได้เป็นจ้าวผู้ปกครองทวีปที่ใหญ่และอุดมสมบูรณ์ที่สุดก็ล่อตาล่อใจให้ผู้ต่อสู้สู้ได้อย่างไม่คิดชีวิต และแล้วการประลองก็ได้ดำเนินลุล่วงมาถึงรอบชิงชนะเลิศ
" รอบชิงชนะเลิศการประลองระหว่างเทพ"สูงขึ้นไป ณ ยอดเขาสูงสุดที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวบริสุทธิ์ อัลคัลลา(Alculla)หุบเขาอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ซึ่งถูกขนานนามว่า หลังคาโลกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่ถูกใช้เป็นสถานที่ตัดสินความเป็นไปของโลก ณ กลางยอดสูงเสียดฟ้าทะลุหมู่มวลเมฆ แสงแดดสีเหลืองนวลที่ทอประกายสะท้อนหมู่มวลเมฆมองลงไปดุจทะเลทองที่สุกสกาวนั้นถูกสร้างขึ้นเป็นสนามประลองฝีมือชิงชัยของเหล่าเทพ เวทีประลองทรงกลมขนาดใหญ่ที่ประดับประดาตกแต่งอย่างปราณีตด้วยโลหะวัตถุสีทองอร่ามทั้งหลัง ด้านในนั้นรายล้อมด้วยเหล่าทวยเทพ นับพัน นับหมื่นส่งเสียงโห่ร้องเชียร์และแสดงความยินดีแก่ผู้ชนะ ซึ่งต่างรอคอยเวลาการตัดสินมาถึงอย่างใจจดใจจ่อ
"ไม่คาดคิดเลยจริงๆว่าลูกครึ่งเทพมนุษย์แบบนั้นจะสามารถฟันฝ่ามาถึงนี่ได้" เทพองค์หนึ่งผู้ซึ่งยืนรอดูการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศกล่าวขึ้น เขาผู้นั้นสวมเกราะสีขาวตัวสูงเพรียวบาง ใบหน้าสำอาง คิ้วคมเข้มดุจภาพวาด
ในขณะที่เทพอีกองค์หนึ่งเดินเข้ามาทางด้านหลังของเขาพร้อมกับกล่าวว่า
"ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก ฝีมือของนางเป็นของจริงแน่นอน" เขาผู้นี้รูปร่างใหญ่สูงสง่า ผิวสีเข้ม ใบหน้าเคร่งขรึมดูมีสง่าราศี สวมเกราะสีเขียวมรกตในมือข้างซ้ายถือดาบยักษ์หน้าตัดกว้าง 3คืบ ส่วนมือขวาถือโล่ยักษ์ขนาดใหญ่
"ตอนแรกข้าก็คิดเหมือนพวกท่านนี่แหละที่ประมาทว่าแค่ลูกครึ่งเทพ หึ...สุดท้ายก็เจอดี" ชายผู้นั้นกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย มุมปากแสยะยิ้มเล็กน้อย
"ฮะๆ อย่าว่าแต่ท่านเซรอส (Zeros) เลย ข้าว่าเทพทุกองค์ก็คงคิดเหมือนท่านนั่นแหละ ใครจะคิดล่ะว่าใบหน้าที่ยิ้มแย้มและอ่อนโยนแบบนั้น...แค่จับดาบเป็นก็น่าแปลกใจแล้ว" ชายคนแรกกล่าว
"หืม...ท่านแอลดีฟ (Aldef) ท่านก็เจอนางในรอบแรกนี่ เป็นเช่นใดบ้างล่ะ?" เซรอสเอ่ย ถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อที่เพื่อนสนิทไถ่ถามกัน
"ฮะๆ ก็แพ้ไม่เป็นท่าเลยล่ะ, ท่านเซรอส" แอลดีฟพูดตอบพลางหัวเราะพลาง
"ข้าอดใจรอแทบไม่ไหวแล้วนะนี่ อยากเห็นการต่อสู้รอบชิงเร็วๆ เหลือเกิน" เซรอสกล่าวด้วยอาการกระสับกระส่าย
"ใช่, ข้าก็อยากเห็นเร็วๆ เหมือนกัน แต่ข้าว่า ยังไงๆนางก็ไม่มีทางเอาชนะ ซาดิสโซ่ (Zadisso) ได้หรอก...ไม่มีใครเอาชนะเขาได้แน่นอน" แอลดีฟกล่าวด้วยความเชื่อมั่น
"นั้นสินะ การที่ลูกครึ่งเทพมนุษย์สามารถเอาชนะเหล่าเทพที่แท้จริง ฝ่าฟันมาจนถึงจุดนี้ได้นั้นก็นับว่าแปลกมากแล้ว นี่ถึงกับ ต้องสู้กับ ซาดิสโซ่ มหาเทพผู้แข็งแกร่งเหนือเทพทั้งปวง เทพผู้ไร้พ่ายผู้นั้น" เซรอสไตร่ตรองถึงความสามารถของแต่ละคนออกมาเป็นถ้อยคำ
"แต่ทว่า ข้าว่าก็ไม่แน่นะ ว่านางจะพ่ายให้แก่ซาดิสโซ่"
"อะไรนะ! ท่านว่า ซาดิสโซ่ผู้นั้นจะพ่ายแพ้แก่นาง แก่ลูกครึ่งเทพนั่นน่ะรึ" แอลดีฟเอ่ยด้วยความตกใจที่เซรอสมีความคิดเช่นนั้น
"เปล่า ข้ามิได้หมายความว่าซาดิสโซ่จะแพ้ เพียงแต่ท่านลองไตร่ตรองดูนะ ท่านแอลดีฟ" เซรอสเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันเคร่งขรึมแสดงถึงความหนักแน่นในคำพูดของตน
"ไตร่ตรองเรื่องใดหรือ ท่านเซรอส" แอลดีฟเอ่ยถามด้วยความฉงนใจ
"ท่านและข้าต่างก็ทราบดีว่า ฝีมือของนางนั้นเป็นของจริง ทั้งด้านเทคนิคการต่อสู้ พลังใจที่เป็นเหตุผลทางการต่อสู้ แม้นว่าพลังเทพของนางจะน้อยกว่าพวกเรามาก เพราะนางเป็นแค่ครึ่งคนครึ่งเทพ แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้นางอ่อนแอกว่าเทพองค์ใดเลย" เซรอสค่อยๆอธิบายให้แอลดีฟเข้าใจทีละถ้อยคำ
"อื้ม...มันก็จริงดังท่านว่า แต่ว่าสิ่งนี้เท่านั้นหรือ ที่ทำให้ท่านคิดว่าซาดิสโซ่จะพ่ายแก่นาง" แอลดีฟถามต่อด้วยความสงสัย
"เปล่า ข้ามิได้หมายความว่าซาดิสโซ่ต้องแพ้ เพียงแต่ข้าหมายถึงด้วยฝีมือของนาง ด้วยพลังใจของนาง การที่นางจะเอาชนะซาดิสโซ่ได้นั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นไปไม่ได้เลย" เซรอสอธิบายเหตุผลแก่แอลดีฟเพื่อยืนยันคำพูดของตน
"ก็จริงดังท่านกล่าวล่ะนะ แต่ทั้งนี้ก็ต้องรอดูตอนประลอง คงจะเป็นสิ่งเดียวที่จะยืนยันได้" แอลดีฟยอมรับในคำพูดของเซรอส
เมื่อแอลดีฟพูดจบ เสียงโห่ร้องทั่วสนามประลองก็ดังก้องกังวานมากขึ้น เมื่อทั้งสองออกมาสู่สนามประลอง
ด้านหนึ่งคือมหาเทพสูงสุดผู้ซึ่งถูกขนานนามและได้รับการยอมรับจากเหล่าเทพทั้งมวลว่าไร้เทียมทาน ซาดิสโซ่(Zadisso)เทพบุรุษผู้สง่างาม ตัวสูงเพรียวใบหน้าคมเรียวคิ้วดกดำ ริมฝีปากหนาสีแดงระเรื่อ ผมสีดำเข้ม แววตานิ่งเฉยราวกับไม่มีสิ่งใดสำคัญในสายตา ดุจว่าตนเป็นจ้าวชีวิตแห่งทุกสิ่ง อีกทั้งรัศมีเทพอันเจิดจรัสมหาศาลเหนือเทพองค์อื่นๆ ที่แม้ในยามปรกติที่มิได้สู้รบก็แผ่พุ่งไพศาลออกมาจนผู้อื่นสัมผัสได้ ซึ่งว่ากันว่า ด้วยพลังทั้งหมดนั้นเขาสามารถเผาพื้นพิภพได้โดยลำพัง เขาสวมชุดเกราะสีขาวบริสุทธิ์ดุจสีของหิมะที่ส่องประกายเจิดจ้าออกมาตัดกับแสงสีทองที่เป็นลวดลายของเกราะอย่างสง่างาม เหน็บดาบสีทองไว้ที่ข้างลำตัวด้ามดาบประดับด้วยอัญมณีสีต่างๆ ทั้ง 7 สีทอประกายดุจรุ้งกินน้ำ ยามชักออกจากฝักบังเกิดประกายแสงสีทองเจิดจรัสไปทั้งสนาม ผ้าคลุมยาวสีทองปลิวสะบัดคู่กับปีกสีขาวบริสุทธิ์ ดุจพญาวิหคที่กระพือปีก
อีกด้านหนึ่งคือลูกครึ่งเทพมนุษย์ เอเรส เรซาเรีย (Areist Resaria)เทพธิดาสาวผู้สง่างามและเลอโฉม ใบหน้าเรียวงามราวสาวแรกรุ่น ผิวพรรณขาวนวลราวปุยฝ้าย แก้มสีชมพูระเรื่อ เรือนผมสีเทายาวถึงกลางหลัง แววตาสดใสอ่อนโยน นัยน์ตาสีทองเป็นประกาย คิ้วโก่งคมเรียว ริมฝีปากสีแดงอ่อนสดใส ปีกสีเทาสยายสะบัดตามลมดุจพญาหงส์ที่งดงาม แต่กลับไร้รัศมีแห่งเทพที่เจิดจรัสดังเทพองค์อื่นไม่ต่างจากมนุษย์ที่มีปีก หากก็ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นและสบายใจยามมอง นางคาดมงกุฎสีเทา ที่ประดับประดาด้วยอัญมณีหลากสี และสวมชุดเกราะสีเทาเข้ากันกับสีผมและปีกของนาง ซึ่งตกแต่งด้วยลดลายสีทองตัดกันในแนวราบ มือซ้ายนางถือโล่สีดำสนิทดุจความมืดมิดของรัตติกาลอันไร้ขอบเขต ตรงกลางฝังอัญมณีสีแดงดังดวงตาที่จ้องมองออกมาในความมืด และเหน็บดาบตรงยาว ด้ามจับสีแดงเพลิงประดับอัญมณีสีทองและฟ้าตัดกัน ตัวดาบยาวคมดาบสีทองเจิดจรัส
ทั้งสองต่างค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากันยังกลางสนามก่อนการต่อสู้สุดท้ายจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อทั้ง2 ประจันหน้ากันกลางเวที ทั้งสนามประลองต่างเงียบสงัด
"ก่อนจะเปิดศึกประลองนี้ ข้าขอทราบถึงเหตุผลที่ทำให้เทพธิดาเช่นท่านต้องจับดาบขึ้นสู้ได้หรือไม่" ซาดิสโซ่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลและมีไมตรีจิต
"ท่านอย่าได้ล้อข้าเล่นเลย ข้าก็แค่ลูกครึ่งเทพที่บังเอิญโชคช่วย จึงสามารถมาถึงขั้นนี้ได้ก็เท่านั้น" เรซาเรียกล่าวตอบ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอันไร้เดียงสา
"ข้าไม่เชื่อหรอกเรื่องโชคชะตา มีเพียงแค่พลังเท่านั้นที่กำหนดทุกสิ่ง ผู้อ่อนแอย่อมพ่ายแพ้แก่ผู้แข็งแกร่งเสมอ การที่ท่านชนะมาถึงจุดนี้ ไม่ใช่โชคแต่อย่างใด แต่เพราะท่านแข็งแกร่งกว่าทุกคนยังไงล่ะ" ซาดิสโซ่เอ่ยแย้งด้วยความเชื่อมั่นต่อพลังมากกว่าโชค
"ดังเช่นข้า หากอ่อนแอย่อมไม่อาจเป็นเทพสูงสุดได้ การประลองนี้ก็เหมือนกัน และโลกนี้ก็เช่นเดียวกัน ที่ต้องถูกปกครองด้วยผู้แข็งแกร่งที่สุด ผู้ที่ด้อยกว่าก็ต้องเป็นข้ารับใช้ของผู้แข็งแกร่ง นี่ล่ะ...สัจธรรมที่แท้จริง" ซาดิสโซ่กล่าวย้ำต่อถึงสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่นว่าเป็นสัจธรรม
"ท่านผิดแล้ว" เรซาเรียเอ่ยแย้ง น้ำเสียงที่อ่อนนุ่มไร้เดียงสาของนางกลับหนักแน่นขึ้นมา
"ผู้ที่เข้มแข็งนั้นต้องปกป้องผู้ที่อ่อนแอต่างหาก ทุกสิ่งนั้นสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขเพียงแต่อยู่ร่วมกันโดยเกื้อหนุนค้ำจุน และต่างฝ่ายต่างพึ่งพิงซึ่งกันและกัน" เรซาเรียกล่าวแย้งต่อด้วยเหตุผลของตนเอง
"นี่คงเป็นเหตุผลที่ท่านร่วมต่อสู้ในครั้งนี้สินะ เพื่อขึ้นเป็นผู้นำของเทพสูงสุด และทำให้ทุกสรรพสิ่งเท่าเทียม...หึๆ" ซาดิสโซ่เอ่ยพลางหัวเราะเบาๆพลางเย้ยหยันความคิดของเรซาเรีย
"แล้วข้าจะพิสูจน์ให้ท่านได้เห็นว่าพลังน่ะคือทุกสิ่ง"
เมื่อพูดจบ แววตาที่สงบนิ่งของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแววตาเคร่งขรึมที่จับจ้องพร้อมที่จะรบเมื่อนั้นทั้งสองต่างบินอย่างช้าๆ ไปยังมุมสนามเพื่อรอเวลาอันเหมาะสมแก่การประลองที่กำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ และเมื่อพระอาทิตย์เคลื่อนมายังกลางศีรษะ อันเป็นสัญญาณว่าการประลองได้เริ่มขึ้น
เรซาเรียพุ่งทะยานจากมุมของตัวเอง นางพุ่งเข้าหาซาดิสโซ่พร้อมทั้งชักดาบออกจากฟักอย่างรวดเร็วจนแทบมองตามไม่ทันและโจมตีไปที่ด้านขวาของลำตัวของซาดิสโซ่ในขณะเดียวกัน แต่ซาดิสโซ่มิได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด เขาใช้เพียงแค่นิ้วมือรับดาบของเรซาเรียไว้ได้อย่างสบายๆ ชั่วพริบตาที่นิ้วของซาดิสโซ่สัมผัสกับคมดาบก็รู้สึกได้ถึงสิ่งแปลกประหลาดบางอย่าง
"คมดาบไร้แรง" ซาดิสโซ่คิดในใจ
เพียงชั่วพริบตาต่อจากนั้น เรซาเรียพลิกตัวกลับอย่างรวดเร็ว หันมาโจมตีทางด้านซ้ายของลำตัวซาดิสโซ่อย่างฉับพลัน แต่ก็มิได้ทำให้ซาดิสโซ่สะทกสะท้านอีกเช่นกัน เขากลับใช้เพียงนิ้วชี้ของมือซ้ายต้านรับไว้ ในท่วงท่าที่เท้าลอยจากพื้นประจันหน้ากับซาดิสโซ่ เรซาเรียยังคงโจมตีต่อเนื่อง นางชักดาบกลับ มืออยู่ในระนาบอก จากนั้นจับดาบสองมือและม้วนตีลังกาไปข้างหน้าหน้าฟาดคมดาบใส่ซาดิสโซ่ติดๆกัน แต่นั่นก็ทำได้เพียงแค่ทำให้ซาดิสโซ่ใช้สองนิ้วคีบดาบของเรซาเรียไว้ แล้วสะบัดมือให้เรซาเรียกระเด็นห่างออกไปหลายสิบเมตร เรซาเรียม้วนตัวกลางอากาศ นางกระพือปีกต้านแรงลมไว้จนทรงตัวได้ในที่สุด
"ใจดีจังนะคะ ที่ไม่ชักดาบ สยบราชันย์ (conquer king's sword) ออกมาโจมตี"
" หรือว่าท่านจะใจดียกตำแหน่งชนะเลิศให้ข้าเอ่ย? " เรซาเรียเอ่ยหยอกล้อซาดิสโซ่ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนหวาน สีหน้ายิ้มแย้มไร้เดียงสา
"หึ...ข้าคงมิอาจเสียมารยาทใช้ดาบต่อสู้กับผู้ที่ไม่ได้สู้อย่างเต็มที่ได้หรอก"
"แม้ว่าข้าจะไม่ชอบให้ใครมาดูถูกเช่นนี้ก็ตาม" ซาดิสโซ่ตอบ
"อ๋า...ข้าต้องขออภัยด้วยที่ทำให้ท่านไม่พอใจ"
"เช่นนั้นข้าขอชดเชยที่เสียมารยาทต่อท่าน โดยการทุ่มเททุกสิ่งที่ข้ามี...เพื่อโค่นล้มท่าน" เมื่อกล่าวจบสีหน้าของเรซาเรียก็เปลี่ยนไป จากยิ้มแย้มสดใสเป็นเคร่งขรึม พร้อมกับร่ายบริกรรมคาถาว่า
"ด้วยดวงจิตอันศักดิ์สิทธิ์และจิตวิญญาณอันสูงส่ง จงมาตามคำเรียกของข้า กฎบัญญัติที่ห้ามขัดขืน สิบบัญญัติแดนสวรรค์(Ten's paradise law)" เมื่อร่ายคาถาจบ อณูแสงรอบด้านต่างโคจรมารวมกันเป็นรูปดาบสีขาวรายรอบตัวเรซาเรียอยู่ 9เล่ม
"ไป!!"
ดาบแสงทั้ง9เล่มพุ่งตรงไปยังซาดิสโซ่อย่างรวดเร็ว เสียงคมดาบแหวกอากาศดังกึกก้องไปทั่วสนาม ซาดิสโซ่ไม่กล้าประมาทเช่นครั้งแรก จึงกระโดดขึ้นทางด้านบนเพื่อหลบคมดาบทั้ง 9 ที่พุ่งมาอย่างรวดเร็ว แต่ที่ ณ จุดสูงสุดของแรงกระโดด เขาก็พบว่าเรซาเรียได้พุ่งทะยานตามเขามาติดๆ และลอยตัวรอเขาอยู่ ณ จุดนั้น
"อ่านทางของเราออกรึ" ซาดิสโซ่แปลกใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
ชั่วพริบตาเมื่อซาดิสโซ่เข้าสู่ระยะโจมตีของเรซาเรีย เรซาเรียได้พลิกตีลังกาฟาดคมดาบใส่ซาดิสโซ่ แต่ก็ไม่ต่างจากครั้งที่ผ่านมาซาดิสโซ่ใช้เพียงแค่อุ้งมือก็รับคมดาบของเรซาเรียได้
"นี่เอาจริงแล้วงั้นเหรอ น่าผิดหวังเสียจริง สงสัยข้าจะประเมินเจ้าสูงเกินไป" ซาดิสโซ่เอ่ยด้วยความผิดหวัง
"หากนี่เป็นพลังทั้งหมดของเจ้าแล้วละก็...ข้าก็ขอจบการต่อสู้ที่ไร้ค่านี้ก็ซะก็แล้วกัน"
เมื่อกล่าวจบซาดิสโซ่ก็ง้างหมัดขวาพุ่งเข้าชกไปยังเรซาเรียอย่าางรวดเร็ว แต่ทว่าเรซาเรียก็ยกโล่สีดำสนิทในมือซ้ายขึ้นมารับหมัดของซาดิสโซ่ได้ทันอย่างเฉียดฉิว
"ท่านติดกับข้าแล้ว!"
"ความมืดที่เงียบสงัด รัตติกาลที่ลึกสุดหยั่งถึง ด้วยเสียงเรียกแห่งข้า ขอนำพันธนาการที่ไร้อิสรภาพมาเพื่อผูกมัดศัตรูที่อยู่ตรงหน้าข้า"
รอบตัวของเรซาเรียปรากฏเงาดำทะมึนที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้แผ่ซ่านออกมารัดซาดิสโซ่ไว้อย่างหนาแน่น
"บ้าน่า!! เทพใช้มนต์แห่งความมืด" ซาดิสโซ่สบถออกมาด้วยความตกใจในขณะที่ดาบแสงทั้ง 9 เล่มก็วกขึ้นมาจู่โจมเขาอย่างกระชั้นชิด
"อย่าคิดว่าเพียงเท่านี้จะชนะข้าได้นะ!!" ซาดิสโซ่ระเบิดพลังออกมาอย่างรุนแรงเพื่อทำลายเครื่องพันธนาการของเรซาเรีย แรงระเบิดกระจายเป็นวงกว้างพัดเรซาเรียกระเด็นออกไปไกล
แต่ทว่าดาบทั้ง 9 ยังคงพุ่งตรงมายังที่ซาดิสโซ่อย่างรวดเร็ว เมื่อจวนตัวซาดิสโซ่จึงชักดาบออกมาด้วยความร้อนรนจากนั้นจึงรวบรวมพลังไว้ที่ปลายดาบ แล้วจึงซัดคลื่นพลังไปยังดาบทั้ง 9 เล่มที่กำลังพุ่งมาทำร้ายตนพลังจากคลื่นดาบของซาดิสโซ่กลืนกินดาบแสงทั้ง 9 เล่มไปจนหมด
"หึหึ ที่แท้ก็ลูกสาวของเทพ เลร์ฮาร์ฟ (leiharp) อดีตเทพสูงสุดผู้หลงผิดไปรักมนุษย์จนต้องตายนี่เอง"
"เก่งมากที่ปิดบังฐานะไม่ยอมใช้เวทย์มืด และฝ่าฝันมาจนถึงรอบนี้ได้"
"ขออภัย...ที่ข้าดูถูกท่านเกินไป เรซาเรีย"
"ดูเหมือนว่าฝีมือที่แท้จริงของท่านจะไม่ใช่พลังที่สูงล้นดังเทพองค์อื่นสินะ หากแต่เป็นเทคนิคการต่อสู้อันแพรวพราวที่ถูกซ่อนเร้นไว้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มไร้เดียงสานั่น" ซาดิสโซ่เอ่ยชม และยอมรับในตัวของเรซาเรีย
"อีกทั้งท่านเป็นถึงลูกสาวของ เลร์ฮาร์ฟ เทพผู้มีพลังของแสงสว่างและความมืด ก็ไม่มีข้อกังขาใดที่ข้าจะออมพลังไว้ในการต่อสู้นี้แล้ว"
"เตรียมรับให้ดี นี่คือไม้ตายสูงสุดของข้า" เมื่อกล่าวจบซาดิสโซ่ก็ชูดาบในมือขึ้น และรวบรวมพลังพร้อมกับร่ายคาถาถ่ายทอดพลังสู่ดาบว่า
"ด้วยพลังแห่งข้า ผู้ซึ่งสยบฟ้าครองพสุธา ราชันย์แห่งทวยเทพทั้งปวง จงสถิต ณ ปลายดาบ เพื่อบดขยี้ศัตรูผู้โง่เขลาตรงหน้าให้สิ้น"
เมื่อเขาร่ายจบ รอบกายเขานั้นถูกห้อมล้อมไปด้วยแสงสีขาวเปล่งรัศมีทอประกายเจิดจ้าไปทั้งสนาม แสงสาดส่องทะลุฟ้าบรรยากาศโดยรอบก็เกิดสภาวะแปรปรวน ฟ้าปิดให้กลางวันมืดมิดดุจกลางคืน ทั้งๆ ที่สถานที่นี้ตั้งอยู่เหนือเมฆ แต่ด้วยพลังของเขาที่ทอรัศมีบดบังแสงอาทิตย์จนสิ้น ราวกับแม้แสงสุริยะก็มิอาจทอประกายได้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
ทางด้านเรซาเรีย เมื่อเห็นซาดิสโซ่ตั้งใจจะทุ่มเทพลังทั้งหมดใส่ไม้ตายจู่โจมในครั้งเดียวจึงไม่กล้าประมาท นางยืนขึ้นสะพายดาบไว้ข้างลำตัวพร้อมกับร่ายคาถาว่า
"แสงสว่างอันเจิดจ้าสรรพสิ่งแห่งผู้สร้างเอ๋ย...ความมืดมิดแห่งรัตติกาลอันไร้ขอบเขตเอ๋ย...บัดนี้ในนามแห่งข้า เอเรส เรซาเรีย เทพผู้เกิดมาเพื่อผสานสองสิ่งสุดขัดแย้งเข้าด้วยกัน ขอบัญชาเหล่าความมืดและแสงสว่าง จงแปรเปลี่ยนเป็นพลังสถิต ณ คมดาบของข้า เพื่อให้ข้าฟาดฟันศัตรูที่อยู่ตรงหน้าให้สิ้น"
บัดนั้นบังเกิดแสงสีเทาเจิดจรัสม้วนโอบรอบตัวของเรซาเรีย ก่อนที่จะพันไปรวมกันที่ดาบของเธอ การรวมตัวของพลังที่ขัดแย้งกันสุดขั้วทั้ง2 ทำการต่อต้านกันจนรอบด้านเกิดลมกรรโชกแรงดุจพายุใต้ฝุ่น และเมื่อเรซาเรียรวมพลังทั้งสองเป็นหนึ่งเดียว แสงสีเทานั้นก็ยิ่งเจิดจรัสขึ้นครอบคลุมไปทั้งเวทีไม่น้อยไปกว่าซาดิสโซ่เลย
"ดี!! ฮ่า ฮ่า ไม่เสียทีที่เป็นลูกสาวของเจ้านั่น แม้จะไม่มีพลังเทียบเท่าพ่อ แต่ท่าไม้ตายเดียวกันก็ใช้ได้ไม่ต่างกันเลย" ซาดิสโซ่ดีใจที่เห็นคู่ต่อสู้เก่งกาจดังที่ตนหวังไว้ จึงพูดออกมาอย่างลืมตัว
"มาตัดสินกันเถอะค่ะ ข้าว่าการโจมตีของเราทั้งสอง หากใครเป็นฝ่ายโดนก็คงถึงขั้นดับสูญ" เรซาเรียเอ่ยเชิญชวน
"หึ...ไม่ต้องให้เจ้าบอกหรอก รับมือ!!!" ซาดิสโซ่เอ่ย พร้อมกระโจนทะยานไปด้วยความเร็วสูงมุ่งไปตรงไปยังเรซาเรีย
ทางด้านเรซาเรียก็พุ่งทะยานมายังทางด้านของซาดิสโซ่
เมื่อทั้งสองประจันกันอยู่ตรงหน้า ด้วยอนุภาพพลังที่เท่าเทียมกัน จึงบังเกิดการต่อต้านกันขึ้น ทำให้เกิดแสงระเบิดไปรอบด้านเป็นรัศมีกว้างไกลหลายกิโล ภายใต้แสงนั้นมีเทพทั้งสองที่กำลังง้างดาบฟาดฟันกันเพื่อตัดสินชะตาความเป็นไปของโลก และเมื่อแสงสว่างวาบนั้นสิ้นลง จะมีเพียงผู้เดียวที่ได้เป็นผู้ชนะ...
จบ บทนำ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น