ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [OS/SF] Lovelyz is all around

    ลำดับตอนที่ #5 : Stories Behind the Fences (Sujeong & Kei)

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.ย. 59


    Stories Behind the Fences

    Pairing: Sujeong & Kei


    ----



    ตั้งแต่เด็กมาแล้ว เคย์ไม่เคยชอบตุ๊กตาอันปังแมนของซูจองเลยซักนิด

    ไม่เคยชอบสีชมพูที่ซูจองชอบ

    ไม่เคยชอบเสื้อยืดตัวโคร่งที่ซูจองชอบใส่

    ไม่เคยชอบเพื่อนใหม่ของซูจองที่โรงเรียน

    ไม่เคยชอบรุ่นพี่ที่ซูจองแอบปลื้ม

    ไม่เคยชอบคนนั้นที่ทำให้ซูจองเสียใจจนต้องแอบไปดื่ม โดนพ่อแม่ลงโทษกักบริเวณอยู่ตั้งหลายวัน



    เธอไม่เคยชอบ และไม่มีวันชอบ



    เธอไม่เคยชอบอะไรซักอย่างเกี่ยวกับซูจอง เธอเองก็ไม่รู้หรอกว่าซูจองคิดยังไง แต่ก็คงไม่ต่างจากเธอมากนัก เพราะเมื่อต่างตนต่างโตขึ้น ความสัมพันธ์ก็ค่อย ๆ ห่างหาย พวกเธอไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ไม่ว่าจะทางโทรศัพท์หรือทางอื่น ๆ ตั้งแต่วันที่ซูจองย้ายบ้านไปตอนเธออยู่มัธยมปลายปีสุดท้าย



    เธอไม่เคยชอบอะไรซักอย่างเกี่ยวกับซูจอง…



    แต่เธอก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงทำอะไรไม่ถูก เมื่อได้เห็นเบอร์โทรศัพท์ที่เธอจำได้ขึ้นใจ โชว์ขึ้นมาบนหน้าจอ หลังจากที่ไม่ได้เห็นมานานเกือบ 3 ปี และทำไมเธอถึงมือสั่นตอนที่พยายามจะกดปุ่มสีเขียวเพื่อรับสายนั้น



    “ฮัลโหล… นั่นใช่พี่เคย์ รึเปล่าคะ”

    “...”


    “ฮัลโหล...”

    “ซูจองเหรอ...”


    “พี่เคย์จริงๆ ด้วย… นี่ซูจองเองนะ”



    เสียงคนปลายสายถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะพูดประโยคสั้นๆ ที่ทำให้เคย์ใจสั่นเหมือนดื่มกาแฟไปซักสามกระป๋องตอนช่วงสอบไฟนอล… โดยที่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นเหมือนกัน



    “คิดถึงจัง…”



    อาจเป็นเพราะ จริง ๆ แล้ว เคย์เองก็ไม่เคยชอบวันที่ซูจองหายไปจากชีวิตเธอเหมือนกัน… ละมั้ง



    ---


    “พี่เค~ อันปังของตูตองน่ายักไหม หม่าม๊าซื้อมาให้แหละ”


    เด็กน้อยแก้มกลมถือตุ๊กตาแก้มกลมพอกันกับเจ้าของไว้ในมือ โชว์ให้พี่สาวบ้านตรงข้ามที่ชอบมาเล่นด้วยกันประจำดูตามประสาเด็กเห่อของเล่นใหม่ “ตูตองยักอันปังมากๆเยย”


    “แล้วอันปังกับพี่เค ตูตองชอบอะไรมากกว่ากันคะ”


    พี่สาวผู้ถือตุ๊กตาเจ้าหญิงไว้ในมือเช่นกัน นั่งลงหอมแก้มกลมของน้องตัวเล็กอย่างเอ็นดู


    ซูจองวัย 3 ปี นิ่งนึกคำตอบ หน้านิ่วคิ้วขมวดกับคำถามที่ดูจะตัดสินใจได้ยาก ก่อนจะตอบออกมา


    “งืม… ตูตองชอบอันปังนะ...”


    สีหน้าคนพี่เปลี่ยนจากหน้ายิ้มเป็นหน้าบูดภายในเสี้ยววินาทีหลังจากได้ยินคำตอบที่ไม่ถูกใจ


    “แต่พี่เคไม่ชอบอันปังค่ะ”


    เคย์ลุกขึ้นยืน สะบัดหน้างอนใส่น้องตัวเล็กที่กำลังทำหน้างง แล้วเดินกลับเข้าบ้านของเธอไป ทั้งๆที่เพิ่งจะออกจากมาเมื่อกี๊นี้ ตอนได้ยินเสียงซูจองออกมาเล่นหน้าบ้าน


    “หึ น้องบ้า!”


    .

    .

    .


    “ซูจอง~ พี่เคย์ไปญี่ปุ่นมา ซื้อของมาฝากด้วยแหละ”


    เคย์วัย 10 ขวบพูดเสียงสดใส ทันทีที่ถึงบ้านก็พุ่งไปที่บ้านของซูจอง ทั้ง ๆ ที่กระเป๋าเดินทางของตัวเองยังไม่ทันจะได้ลากเข้าบ้านด้วยซ้ำ


    คนพี่ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายใบเล็ก หยิบลูกบอลพลาสติกสีสวยที่เธอไปหมุนจากตู้กาชาปองออกมาสองอันให้เด็กน้อยเลือก


    “พี่ไปหมุนได้อันสีฟ้ามา ส่วนอันสีชมพู พี่จีอุงหมุนมาเผื่อให้แหละ ซูจองชอบอันไหนคะ”


    เด็กแก้มกลมยื่นมือเข้าไปคว้าสีชมพูมาทันทีแบบไม่ต้องคิด


    “ซูจองชอบสีชมพูค่ะ ขอบคุณนะค้าา”


    ซูจองยิ้มแก้มปริ ผิดกับอีกคนที่หน้าบูดบอกบุญไม่รับที่น้องไม่ยอมเลือกของตัวเอง


    “ฉันเกลียดสีชมพูที่สุดเลย!”



    .

    .

    .


    “เมื่อไหร่จะเลิกใส่ไอ้เสื้อตัวใหญ่ ๆ แขนย้วยๆ นี่ซักที ฮึ”


    เคย์ลงมานั่งที่พื้นข้างซูจอง พร้อมกับดึงแขนยาวของเสื้อสีชมพูตัวย้วย ๆ ของอีกคนที่กำลังนั่งวาดรูปอยู่ในห้องนั่งเล่นบ้านเธอ


    “ทำไมอะ มันไม่ดูติสท์ ๆ เหรอ เหมือนพวกพี่สายอาร์ตม.ปลายไง”

    “ติสท์มาก ติสท์พอ ๆ กับแก๊งเด็กขอทานเลย”


    ซูจองถอนหายใจเฮือก พร้อมกับยักไหล่ไม่สนใจพลางก้มลงวาดรูปต่อ  


    เคย์นั่งเท้าคางกับโต๊ะกระจกเล็ก ดึงมือข้างขวาของคนน้องที่ไม่ได้ใช้ทำอะไรมาจับเล่น เธอชอบเล่นนิ้วมือยาว ๆ กับเล็บที่มักจะตัดจนสั้นอยู่เสมอของซูจอง แต่สิ่งที่ยังขัดใจอยู่ก็คือแขนเสื้อยืดย้วยที่เธออดไม่ได้ที่จะดึงให้มันยืดเข้าไปอีก เผื่อมันจะขาด จนเจ้าตัวเลิกใส่ซะบ้าง


    “ไม่คิดจะใส่ตัวที่พี่ซื้อให้ตอนวันเกิดบ้างเหรอ”

    “ไม่เอาอะ เดี๋ยวมันเก่า…”


    “เอ๊า ก็พอมันเก่า ซูจองก็จะได้ใส่บ่อย ๆ เหมือนที่ใส่ตัวนี้ไง”

    “ก็ฉันไม่อยากให้เสื้อพี่มันเก่านี่ ใส่ตัวนี้แหละ สบายดี”


    “เออ ทีหลังไม่ซื้อให้ละ เปลืองตัง ไปเก็บผ้าขี้ริ้วมาให้เป็นของขวัญวันเกิดดีกว่า ประหยัดดี”

    “เป็นงั้นไปอีก”


    “เชอะ ดื้อที่สุด ฉันไม่เคยอยากมีน้องดื้อ ๆ แบบนี้เล้ย เด็กบ้าเอ๊ย”

    “อ้าว”


    เคย์ลุกขึ้นกระแทกส้นเท้าเดินปึงปังงอนขึ้นห้องนอนชั้นสองไป ทิ้งให้ซูจองมองตามไปงง ๆ ตามอารมณ์เจ้าของบ้านไม่ทัน เหมือนเช่นทุก ๆ ครั้ง



    .

    .

    .


    “ซูจองอา...”


    เคย์ส่งเสียงเรียกเจ้าของบ้านเมื่อเธอเดินเข้ามาถึงห้องนั่งเล่นของบ้านซูจอง ที่เธอเข้าออกอยู่ได้เป็นปกติ แต่วันนี้กลับไม่เป็นปกติเพราะแทนที่เธอจะได้ยินเสียงซูจองขานรับ เธอกลับได้ยินเสียงกลุ่มเด็กผู้หญิงหัวเราะกันเสียงดังมาจากชั้นสองของบ้าน ที่เป็นห้องนอนของซูจองนั่นเอง

    แล้วเป็นแม่ของซูจองที่โผล่ออกมาจากห้องครัวเพื่อมาทักทายแขกประจำแทน


    “อ้าว หนูเคย์…”

    “สวัสดีค่ะคุณน้า… ซูจองละคะ”


    “อยู่บนห้องน่ะจ้ะ วันนี้มีเพื่อนมาหาก็เลยพากันขึ้นไปที่ห้อง หลายคนเลย น้าไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ สงสัยเป็นพวกเพื่อนใหม่ตอนม.ปลายปี 1นี่แหละ”


    เคย์แอบรู้สึกไม่สบอารมณ์นิด ๆ เมื่อรู้ว่าเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่เดือน ก็ได้เข้าไปอยู่ถึงในห้องนอนของซูจองแล้ว แต่กับเธอ ซูจองไม่เคยให้เข้าไปเลยซักครั้ง เอาแต่บอกว่ารกตลอด  ทั้ง ๆ ที่เธออาสาจะไปช่วยเก็บห้องด้วยซ้ำ



    “จะขึ้นไปหาเจ้าซูจองไหมละหนูเคย์”

    “ไม่เป็นไรค่ะคุณน้า ตอนแรกว่าจะชวนเค้าไปซื้อของด้วยซะหน่อย แต่ดูท่าแล้วน่าจะไม่ว่าง เดี๋ยวหนูไปเองก็ได้ค่ะ”


    “งั้นเดี๋ยวน้าไปบอกซูจองให้นะ…”

    “ไม่เป็นไรค่ะไม่เป็นไร หนูไปได้ค่ะ ให้เค้าอยู่กับเพื่อนดีกว่า”

    “แน่ใจนะ”


    “ค่ะ งั้นหนูไปก่อนนะคะ เอ้อ ว่าแต่ คุณน้าจะฝากซื้ออะไรไหมคะ”

    “เอ้อ พอดีเลย น้าฝากซื้อน้ำยาล้างจานหน่อยนะจ๊ะ”


    แม่ของซูจองเดินออกมาจากครัว หยิบเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกงจำนวนหนึ่งส่งให้เคย์


    “ใช้เจ้าซูจองไปตั้งนานแล้วก็ไม่ได้เรื่อง บอกให้ไปซื้อตั้งแต่วันที่ยังเหลือครึ่งขวด จนตอนนี้หมดขวดแล้วมันก็ยังไม่ซื้อมาให้น้าเลย ยังไงก็ขอบใจหนูเคย์มากนะจ๊ะ”


    “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูแวะเอามาให้นะคะ”

    “ขอบใจจ้ะ”



    เคย์บอกลา แล้วเดินออกมาจากบ้านของซูจอง ซุเปอร์มาเกตอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก เคย์ปั่นจักรยานไม่เกินสิบนาทีก็มาถึง  เธอเลือกซื้อของตามรายการที่แม่ของเธอสั่งมา และไม่ลืมที่จะหยิบน้ำยาล้างจานของคุณนายรยูใส่รถเข็นมาด้วย ต่อไปก็เป็นช่องขนมขบเคี้ยว ของของเธอบ้างแล้ว…



    “พี่เคย์!”


    เสียงแหบนิด ๆ ที่คุ้นเคยทำให้เคย์ละสายตาจากกล่องช็อกโกแลตไปมอง เด็กตัวสูงกระหืดกระหอบ เดินเข้ามาถึงชั้นวางช็อกโกแลตที่เธอยืนอยู่


    “ม๊าบอกว่าพี่จะมาซื้อของ”

    “พี่บอกคุณน้าไปแล้วนะว่าไม่ต้องบอกซูจองก็ได้…”

    “ม๊าไม่ได้ไปบอกหรอก ฉันได้ยินเหมือนเสียงพี่อยู่ข้างล่าง ก็เลยลงมาถามอะ”


    “แล้วนี่วิ่งมาเหรอเนี่ย”

    “อื้อ”


    "ทำไมไม่เอาจักรยานตัวเองมา"

    "ถ้าฉันเอามา แล้วใครจะขี่จักรยานให้พี่ละ"



    ซูจองเข้ามาเข็นรถเข็นที่มีของของเธอใส่อยู่จนเต็มเดินตามมาข้างๆ “ได้ของครบรึยัง”

    “เหลืออีกนิดหน่อย…”


    หน้าที่ของซูจองเวลาเคย์มาเลือกซื้อของเข้าบ้าน ก็มีแค่เข็นรถเข็นเดินตาม กับเป็นคนขี่จักรยานให้เท่านั้น ถึงทั้งหมดนี้ เคย์ก็ทำได้เองทุกอย่าง แต่เธอก็สบายใจกว่าที่มีน้องมาอยู่ข้าง ๆ แบบนี้...



    .

    .

    .


    “เพื่อนกลับไปแล้วเหรอ”


    คนซ้อนท้ายชะโงกหน้ามาถามเด็กตัวสูงที่กำลังขี่จักรยานพาเธอกลับบ้าน 


             “ยังอยู่ที่ห้องนั่นแหละ”


    “ทำไมถึงให้ขึ้นไปที่ห้องละ”

    “ก็มาทำงานกลุ่มกัน อยู่ข้างล่างแล้วเดี๋ยวเสียงดังกวนป๊ากับม๊า”


    “พี่ขึ้นไปด้วยได้ปะ”

    “อย่าเลย คนเยอะแยะ มันรกด้วย”


    ซูจองรีบปฏิเสธทันควันโดยไม่ลังเล คำตอบเดิม ๆ จากซูจองทำให้เคย์ชักสีหน้า ถึงคนที่ขี่จักรยานอยู่ไม่ได้เห็น แต่เธอก็เดาได้จากน้ำเสียงห้วน ๆ ในประโยคต่อมา


    “รกแล้วทำไมเพื่อนขึ้นไปได้ละ”

    “นี่พี่ยังโกรธฉันเรื่องนี้อยู่เหรอเนี่ย”


    “ก็ซูจองทำตัวมีความลับนี่”

    “ไม่ได้มีความลับอะไร ก็มันรกจริง ๆ นี่นา พี่รักความสะอาดจะตาย ถ้าขึ้นไปเห็นห้องฉันต้องบ่นไม่หยุดแน่”


    “อ๋อ ในสายตาซูจองนี่ พี่เป็นคนขี้บ่นมากงั้นสินะ”

    “โธ่ พี่ ไม่ใช่อย่างงั้น…”



    จักรยานมาจอดระหว่างหน้าบ้านของเคย์กับซูจองได้ทันเวลาพอดีที่เคย์กำลังจะอยากเดินหนีเหมือนเช่นทุก ๆ ครั้งที่เธอไม่พอใจ เคย์ลงจากเบาะหลัง แล้วรีบยัดถุงขวดน้ำยาล้างจานกับเงินทอนใส่มือเด็กตัวสูง


    “รู้อะไรไหม พี่อยากให้ซูจองกลับไปน่ารักเหมือนตอนเด็ก ๆ จัง เพราะว่าถึงซูจองจะชอบอันปังแมนมากกว่าพี่ แต่ซูจองก็ยอมพูดความจริงกับพี่มากกว่านี้…”

    “พี่เคย์…”


    “เฮ้ย! พวกแก ซูจองมันกลับมาแล้ว”


    เสียงเด็กผู้หญิงที่เคย์ไม่คุ้นดังออกมาจากทางหน้าบ้านของซูจอง เด็กผู้หญิงตัวสูงรุ่นราวคราวเดียวกับเด็กแก้มกลมวิ่งออกมาจากบ้าน แล้วมายืนขนาบข้าง สำรวจถุงในมือของซูจองท่ามกลางบรรยากาศมาคุโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย


    “ไหนบอกให้ซื้อขนมมาฝากมั่งไง มีแต่น้ำยาล้างจานนี่นา ใจคอจะผสมกับน้ำเปล่าให้พวกฉันกินรึไง… อ้าว พี่เคย์ ห้องหนึ่ง นี่นา สวัสดีค่ะ ฉันชื่อจองเยอินนะคะ อยู่ห้องเดียวกับซูจอง ซูจองมันพูดถึงพี่บ่อยเลยค่...อุ้บ อะไออ๋องแออะอูออง เอาอือออกไอออ”


    ซูจองล็อคคอพร้อมกับปิดปากเพื่อนตัวดี แล้วผลักให้เข้าไปรอในบ้าน ทำหน้าโหดคาดโทษจนเพื่อนบ่นเสียงงุบงิบยอมกลับเข้าไป


    เคย์ยังคงมีสีหน้าไม่สบอารมณ์อยู่ แต่ซูจองทำอะไรให้ดีขึ้นได้ไม่มากนัก



    “ทำไมฉันต้องมามีน้องแบบนี้ด้วยนะ”



    คนพี่จูงจักรยานเข้าบ้านของตัวเองไปโดยไม่เปิดโอกาสให้ซูจองได้พูดอะไรเพิ่มเติมซักคำ


    ถึงแม้จะยังสงสัยอยู่ว่าทำไมเพื่อนของซูจองถึงพูดแบบนั้น แต่เธออารมณ์ไม่ดีพอที่จะถามจริงๆ



    .

    .

    .




    “วาดอะไรอะ”

    “วาดรูปสวนนี้แหละ  อยากวาดสระน้ำนี้เก็บไว้”


    คนตัวเล็กที่ชะโงกหน้าเข้ามาดูแผ่นกระดานวาดรูปของซูจองพยักหน้าเข้าใจ



    วันนี้อากาศดี ซูจองเลยเสนอว่าจะออกไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะของหมู่บ้านซึ่งเป็นสวนที่มีสระน้ำอยู่ตรงกลาง เคย์เองก็จะได้เปลี่ยนบรรยากาศในการอ่านหนังสือด้วย พอคุณนายคิมรู้เรื่องเข้า ก็จัดขนมเอาใจลูกสาวคนเล็กใส่ตะกร้าปิคนิคมาใบใหญ่ บอกว่าให้เผื่อซูจองกินด้วยกันซักครึ่งหนึ่ง


    แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ที่เคย์กำลังวุ่นอยู่กับการหยิบขนมชิ้นแล้วชิ้นเล่าขึ้นมากิน โดยที่ยังไม่ได้เปิดหนังสือเลยซักหน้าแล้วละก็

    ขนมคงจะมีตกถึงท้องซูจองก็แค่ซักสองสามชิ้นและคงไม่มากไปกว่านั้นละมั้ง


    มือนึงของเคย์ก็เพลิดเพลินกับการหยิบขนมจากตะกร้าปิคนิคขึ้นมากิน ส่วนอีกมือนึง…


    “ขอมือข้างนึงดิ”

    “ฉันไม่ใช่หมานะ”

    “กวนละ”


    ซูจองหัวเราะร่าที่กวนอารมณ์คนพี่จนหน้าหงิกได้สำเร็จ “เร็ว ๆ มัวแต่หัวเราะอยู่ได้ พี่จะอ่านหนังสือ”


    “ก็มานั่งใกล้ ๆ ดิ ไปนั่งตรงนั้นจะกอดตะกร้าขนมหรือจะอ่านหนังสือกันแน่”

    “เบื่อพวกรู้ทันจริง ๆ เลย”


    เคย์บ่นอุบอิบแต่ก็ยอมขยับมาใกล้คนน้องแต่โดยดี เธอสอดแขนเข้าไปคล้องกับซูจองไว้  มือซ้ายของเคย์สอดทาบเข้าประกบช่องว่างระหว่างนิ้วมือขวาของซูจอง ส่วนมืออีกข้างที่ยังว่าง เคย์ก็เอื้อมไปหยิบหนังสือมาเปิดกางไว้ที่ตัก เปิดปลอกปากกาไฮไลท์รอไว้เผื่อว่าเจออะไรน่าสนใจจะได้ขีดทันที


    ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกดีกับการที่ซูจองถนัดซ้ายมากขนาดนี้...


    เสียงดินสอสีสลับกับเสียงปากกาไฮไลท์ขีดบนกระดาษ เสียงเพลงสบาย ๆ รับหน้าร้อนจากคลื่นวิทยุ ที่ดังอยู่ในหูฟังที่แบ่งกันฟังทั้งสองข้าง เสียงแหบเล็ก ๆ ที่ฮัมเพลงตามอย่างอารมณ์ดี

    ลมหน้าร้อนที่พัดเบา ๆ พอให้ผมปลิวได้

    กลิ่นแชมพูหอมอ่อน ๆ ของคนข้าง ๆ ที่พัดมากับลมเบา ๆ นั้น และสัมผัสนุ่มนวลจากปลายนิ้วโป้งเรียวลูบวนอย่างแผ่วเบาอยู่บนข้อนิ้วของเคย์


    ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว…



    .

    .

    .



    “jhope: ‘เคย์ครับ สุขสันต์วันเกิดนะครับ ขอบคุณจริงๆนะที่วันนั้นเคย์ตอบรับเป็นแฟนกับผม

    ผมไม่มีของขวัญอะไรที่ดีกว่านี้จะให้ นอกจากผมจะรักเคย์ให้มากที่สุด…’ และบลาๆๆ อีกสามหน้ากระดาษเอสี่ โอ้โห นี่เขียนจดหมายหรือตอบข้อสอบ เห็นฉันเป็นอาจารย์รึไงกัน แล้วยังไม่นับไอ้ที่ทำตัวเห่ย ๆ แต่งตัวมาสคอตมากลางโรงอาหารแบบนั้นอีกนะ ถามจริง ๆ แกว่ามันไม่น่ารำคาญเหรอวะซึงฮี”


    เคย์ที่กำลังหนีบโทรศัพท์แนบกับหู โยนกระดาษปึกใหญ่ที่แนบมากับกล่องของขวัญสีชมพูที่ใหญ่ไม่แพ้กันของหนุ่มรุ่นพี่อย่างจองโฮซอกลงกับพื้นอย่างไม่ไยดี



    “เออน่า ใจเย็น ๆ… แกค่อย ๆ พูดก็ได้”

    “แล้วเอาจริง ๆ นะ บอกว่ารักอย่างนู้นอย่างนี้ แต่มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเกลียดสีชมพูขนาดไหน  เฮ้อ แกนะแก  ไม่น่าให้นัดบอดให้ฉันเลย  ฉันบอกแล้วนะว่ายังไม่อยากมีแฟนอะ แล้วตานั่นก็เป็นบ้าอะไรไม่รู้  ฉันยังไม่เคยบอกคบด้วยซักคำ”


    “เฮ้อ ฉันขอโทษ  ฉันขอโทษ… แล้วทำไมแกไม่บอกเลิกกับพี่เค้าไปวะ”

    “ทำอย่างกับว่าฉันไม่เคยบอกงั้นแหละ ฉันบอกไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว มันก็ไม่ยอมเลิก แถมยังตามตีสนิทพ่อกับแม่ฉันอีก”


    เคย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงตอนที่อีกฝ่ายตามเธอมาจนถึงบ้าน แถมยังเอาขนมของฝากมากมายมาเข้าทางพ่อแม่ จนพ่อแม่เธอปลื้มจนชมไม่หยุด


    คนตัวเล็กทิ้งตัวลงนอนกับเตียง ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวันนี้  ทั้ง ๆ ที่เป็นวันเกิดแท้ ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนมีความสุขไม่สุดยังไงไม่รู้



    “เอาน่าแก เดี๋ยวพี่แกก็เข้ามหาลัยละ ช่วงนี้ก็ยังว่าง ๆ เลยยังมาตามรังควานแกอยู่ อีกเดี๋ยวก็คงหายไปเองแหละ”

    “ก็หวังว่างั้นนะ…”


    “แล้วนี่แกได้เจอซูจองยัง”

    “ยังน่ะสิ หายไปไหนทั้งวันเลยก็ไม่รู้ ไม่คิดจะมาอวยพรพี่มันเลยซักคำ”


    “เตรียมเซอร์ไพรส์แกอยู่รึเปล่า~”

    “ไม่ต้องเซอร์พ้งเซอร์ไพรส์หรอก ให้มันมาก็พอแล้ว เฮ้อ~”



    โอซึงฮี เพื่อนสนิทที่ยังอยู่ในสายได้ยินเสียงถอนหายใจของเพื่อนก็ได้แต่ปลอบใจ  เธอเองก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่เป็นต้นเหตุแต่ก็ช่วยอะไรไปมากกว่านั้นไม่ได้  ซึงฮีอวยพรวันเกิดเคย์เป็นรอบสุดท้าย ก่อนจะช่วยภาวนาให้เพื่อนสนิทหลุดพ้นจากบ่วงภาระนี้ซักที แล้ววางสายไป


    ห้าทุ่มกว่าของวันที่ 20 มีนาคม อีกไม่ถึงชั่วโมงวันเกิดของเธอก็จะผ่านพ้นไป ทุกคนที่สำคัญกับเธอมาอวยพรให้เธอหมดทุกคนแล้ว ขาดก็แต่ยัยน้องสาวบ้านตรงข้ามที่หายหน้าหายตาไปไหนก็ไม่รู้ตั้งแต่เช้า เธอไม่เห็นซูจองทั้งที่โรงเรียน และตอนกลับบ้าน อาจจะเป็นเพราะเธอสาละวนอยู่กับการไล่โฮซอกให้ออกไปจากบ้านเธออยู่นานสองนาน แต่ซูจองก็ไม่เคยหายไปจากสายตาเธอนานขนาดนี้มาก่อน


    เคย์ชะโงกไปมองที่หน้าต่างบ้านตรงข้าม ไฟห้องนอนซูจองก็ไม่ได้เปิดอยู่ จะไปหาที่บ้านตอนนี้ก็กลัวว่าจะรบกวนพ่อแม่ของซูจอง เธอเลยลองพยายามโทรหา แต่อีกคนก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์เธอ


    หายไปไหนของเค้ากันนะ…




    “รยูซูจอง! หายไปไหนมา จะกลับดึกขนาดนี้ทำไมไม่บอกม๊า!!”


    ยังไม่ทันคิดจบ เคย์ก็ได้ยินเสียงแม่ของซูจองดุลูกสาวเสียงดังมาถึงบ้านของเธอ


    เตรียมเซอร์ไพรส์ไหมละโอซึงฮี…


    เสียงประตูบ้านรยูปิดดังปัง ซูจองเดินออกมาจากบ้าน พร้อมกับเสียงแม่ของซูจองตะโกนดุตามหลัง เป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงแจ้งเตือนข้อความมือถือของเคย์ดังขึ้นพอดี


    ‘พี่เคย์… ขอไปอยู่ด้วยแป๊บนึงได้ไหม’

    11.50 p.m.


    แน่นอนว่ายังไม่ทันอ่านข้อความได้จนจบ เคย์ก็พุ่งตัวลงมาถึงประตูหน้าบ้านแล้ว ซูจองในสภาพหัวยุ่ง ๆ กับเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อยนัก ทำเอาเธอใจคอไม่ดี แถมยังมีกลิ่นแอลกอฮอล์ที่เธอไม่คิดว่าจะมาอยู่บนตัวน้องสาวคนนี้ของเธอได้อีกต่างหาก


    เคย์จูงมือพาซูจองเข้าบ้านของเธอ โดยไม่ลืมที่จะตะโกนบอกคุณกับคุณนายรยูให้สบายใจว่าลูกสาวของพวกเค้าอยู่กับเธอ แม้จะได้ความเงียบเป็นคำตอบ แต่เธอคิดว่าก็ดีกว่าที่จะบอกไว้ก่อน


    เจ้าของบ้านพาซูจองมานั่งที่ปลายเตียงของเธอ คนเด็กกว่าเหลือบมองกล่องของขวัญสีชมพูที่กองระเกะระกะอยู่บนพื้น ก่อนจะเอ่ยปากพูดกันเป็นคำแรกของวันนี้



    “ของใครอะ...”


    เคย์ไม่เคยบอกซูจองเรื่องไปนัดบอด  หรือเรื่องที่มีคนมาตามตื๊อเธออยู่  ก็เลยนิ่งไปกับคำถามของน้องสาว  ด้วยความที่ไม่รู้จะเริ่มต้นอธิบายเรื่องยาวนั้นจากตรงไหน  เธอเลยตัดสินใจตัดเรื่องให้สั้นลงภายในสามพยางค์



    “เพื่อนอะแหละ”

    “แปลกจัง เค้าไม่รู้เหรอว่าพี่ไม่ชอบสีชมพู แล้วชมพูขนาดนี้ดูน่าจะเป็นของขวัญวันเกิดฉันมากกว่าละมั้ง”

    “พี่ก็ว่างั้น” 



    เคย์จับผมที่ปรกหน้าทัดหูให้ซูจอง ถึงได้เห็นว่าตาทั้งสองข้างของคนน้องบวมแดงก่ำ เหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก


    “เป็นอะไร ทำไมถึงไปดื่ม”

    “ไม่มีอะไรหรอก…”

    “ไม่มีได้ยังไง ก็เห็น ๆ อยู่ว่ามี”



    เคย์เริ่มจะเสียงดังเมื่อเห็นซูจองยังคงปากแข็ง ไม่บอกความจริงกับเธอ


    “ซูจองยังคุยกับพี่ได้ใช่ไหม พี่เป็นห่วงซูจองนะ”


    “ขอโทษนะที่ก่อเรื่อง ทั้ง ๆ ที่วันนี้เป็นวันเกิดพี่แท้ ๆ… ไม่ใช่สิ เลยไปแล้ว”


    ซูจองยกมือขวาขึ้นมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง เข็มยาวกับเข็มสั้นเพิ่งจะมารวมกันที่เลข12พอดี


    “อวยพรตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วสินะ...”

    “ช่างมันเถอะ”

    “ไม่ได้สิ  มันเป็นวันสำคัญของพี่นะ…”


    เด็กตัวสูงเอื้อมมือไปหยิบกระบอกสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้วส่งให้เจ้าของวันเกิด


    “ฉันไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรให้ดี ตอนแรกก็คิดว่ามันง่ายนะ แค่ซื้อของที่ตรงกันข้ามกับที่ฉันชอบก็พอแล้วใช่ปะ แต่มันก็มีเยอะเกินจนไม่รู้จะให้อะไรดี ก็เลยเลือกวาดรูปให้แล้วกัน”

    “แล้วจะบอกทำไมเนี่ย ไม่รอให้แกะดูก่อนเลยเหรอ”


    “ถึงไม่แกะพี่ก็รู้อยู่ดีว่ามันคืออะไร ยังไงก็ เกิดวันสันต์สุข นะ”

    “อะไร…”


    “อวยพรย้อนหลังไง มันเลยวันมาแล้วนี่นา โอ๊ย”


    คนเล่นมุกหน้าตายโดนทุบหลังเข้าให้ เนื่องจากกวนโมโหเธอแบบไม่รู้จักเวล่ำเวลา

    เคย์ใจชื้นขึ้นบ้างที่เห็นซูจองยิ้มออกมาได้

    แต่เธอก็ยังไม่หายเป็นห่วงกับตาที่บวมแดงเพราะร้องไห้มานั่นอยู่ดี


    “ตกลงนี่เราเป็นอะไร ทำไมต้องไปดื่มมาขนาดนี้ บอกพี่ได้ไหม”

    “พี่อย่าไปบอกใครได้ไหม”

    “อื้อ ไม่บอก สัญญา”

    “โอเค”


    ซูจองสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว 


    “ฉันอกหักอะ”



    “หา…”

    “ขอโทษนะพี่ ฉันเลือกวันอกหักได้ไม่ดีเลยอะ ทั้ง ๆ ที่คิดว่าทำใจได้แล้วแท้ ๆ เชียว ถ้าเค้าจะไปมีแฟน แต่ฉันก็ยัง… เฮ้อ~”


    ขณะที่ยังอึ้งกับเรื่องล่าสุดที่เพิ่งออกมาจากปากน้อง เคย์เองก็แอบนึกเสียใจที่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เธอห่างหายไปจากซูจอง และไม่ค่อยได้รู้เรื่องของซูจองเหมือนแต่ก่อน  เพราะเวลาตอนนี้เธอดันใช้ไปกับการคอยสลัดหนุ่มรุ่นพี่ขี้ตื๊อไปซะส่วนใหญ่


    เหมือนที่ซูจองก็ไม่ค่อยได้รู้เรื่องของเธอเหมือนกัน...


    “ใครอะ บอกพี่ได้ไหม”

    “พี่ไม่รู้จักหรอกมั้ง เค้าเป็นรุ่นพี่อะ”


    “ปีไหนละ”

    “จริง ๆ ก็รุ่นเดียวกับพี่นั่นแหละ แต่พี่คงไม่รู้จักหรอก”


    “บอกมานะ”

    “บอกไปพี่ก็ไม่รู้ แล้วเค้าก็ไม่ได้สนใจการมีตัวตนอยู่ของฉันด้วยซ้ำ  เอาเป็นว่า ฉันชอบเค้าอยู่ห่าง ๆ แล้วเค้าก็มีแฟนแล้ว ฉันก็อกหัก แค่นั้นแหละ”


    เคย์ลอบมองน้ำตาที่ค่อย ๆ ไหลลงบนแก้มกลมของน้องสาว เธอก็ไม่รู้จะปลอบยังไงนอกจากดึงตัวเด็กตัวสูงเข้ามากอด


    “อย่าให้พี่รู้นะว่ามันเป็นใคร จะตามไปด่าให้จำทางกลับบ้านไม่ได้เลยคอยดู”


    ซูจองที่กำลังสะอื้นหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ


    “พี่ไม่ทำอย่างงั้นหรอก”

    “ก็พี่เพิ่งบอกว่าจะทำนี่ไง เราก็อีกคน รู้ว่าเค้ามีเจ้าของทำไมยังไปชอบ น่าโดนด่าคนแรกเลยเนี่ย”


    “ก็ตอนที่ฉันชอบเค้า เค้ายังไม่มีแฟนซักหน่อย”

    “งั้นก็ยังน่าโดนด่าอยู่ดี”


    “ทำไมอีกอะ”

    “ก็ไอ้นิสัยชักช้า ยืดยาด ผัดวันประกันพรุ่งที่แก้ไม่หายน่ะสิ ถ้าไม่มัวแต่แอบชอบอยู่ จะโดนคนอื่นแย่งไปไหมละ”


    “พี่อะ… นี่ฉันเสียใจอยู่นะ~”

    “โอ๋ ๆ อะ ๆ  ไม่ว่าแล้ว ๆ ยัยเด็กไม่ได้เรื่องเอ๊ย~”


    คนพี่หัวเราะแล้วดึงซูจองมากอดแน่น ๆ อีกครั้ง เธอยังคงไม่ชอบใจเอาซะเลยที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับน้อง และถ้าเธอรู้ว่าคน ๆ นั้นเป็นใคร เธอคงอดไม่ได้ที่จะทำอย่างที่เธอพูดกับซูจองไว้แน่ ๆ


    เพราะแค่ได้เห็นซูจองร้องไห้เพราะเค้าคนนั้น ขนาดเธอยังไม่เคยเห็นหน้า เธอก็ไม่ชอบ ไม่ถูกชะตาเอาซะแล้ว…



    .

    .

    .


    มีรถจากบริษัทรับย้ายบ้านจอดอยู่หน้าบ้านเธอ… ไม่สิ บ้านซูจองนี่!


    เคย์ที่เพิ่งกลับจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถึงกับลืมโจทย์ในข้อสอบคณิตศาสตร์ที่เธอคิดไม่ออกไปเสียสนิท เมื่อได้เห็นแม่ของซูจองยืนคุยอยู่กับพนักงานรับขนย้ายบ้าน เธอรีบวิ่งไปหาคุณนายรยูหน้าตาตื่น สายตาชะโงกเข้าไปมองในบ้านที่เธอเข้าออกด้วยความคุ้นเคยอยู่เป็นสิบปี ตอนนี้เหลือแต่ความทรงจำกับความว่างเปล่า…



    “คุณน้าจะย้ายบ้านเหรอคะ”

    “ใช่จ้ะ อ้าว ตายแล้ว นี่เจ้าซูจองมันไม่บอกหนูเคย์เลยเหรอ”



    เคย์ยืนนิ่งเมื่อสิ่งที่เธอกลัวเป็นจริง  ไม่คิดว่าการที่เธอกับซูจองห่างหายกันไป  ไม่สนิทกันเหมือนเก่าจะทำให้อีกคนไม่ยอมบอกเรื่องสำคัญอย่างการจะย้ายบ้านกับเธออย่างนี้



    “ไม่ได้บอกอะไรเลยค่ะ แล้วคุณน้าย้ายไปอยู่ที่ไหนเหรอคะ”

    “ไปโซลน่ะจ้ะ พอดีพ่อซูจองเค้าได้เลื่อนขั้นเมื่อเดือนก่อน ต้องย้ายเข้าไปประจำที่นู่นน่ะ…

    เอ... แล้วนี่ซูจองไปอยู่ที่ไหนเนี่ย อีกเดี๋ยวก็จะต้องไปแล้ว”


    แม่ของซูจองหันรีหันขวางมองหาลูกสาว จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหา แต่เคย์ยกมือขึ้นห้าม พร้อมบอกว่าเธอรู้ว่าอีกคนอยู่ที่ไหน คนตัวเล็กรีบวิ่งออกไป ทิ้งให้คุณนายรยูมองตามไปอย่างห่วง ๆ


    “เจ้าซูจองเอ๊ย… ม๊าเตือนแล้วนะ~”




    ก้อนหินแบนถูกปาลงในสระ ก้อนแล้วก้อนเล่า กระเด้งกระดอนไปสองสามครั้ง ก่อนจะจมหายลงไป ทิ้งไว้แต่คลื่นระลอกใหญ่บนผิวน้ำ


    ซูจองยืนอยู่ริมสระน้ำใหญ่ที่สวนในหมู่บ้าน ที่ที่เธอชอบมาทุกครั้ง ไม่ว่าจะมีเรื่องให้คิดมาก ไม่สบายใจ หรือแม้จะเป็นเวลาอารมณ์ดีเป็นพิเศษก็ตาม ผืนน้ำสีเขียวเข้มก็ยังเป็นที่ที่สงบจิตใจให้เธอได้เป็นอย่างดีอยู่เสมอ


    แต่เธอยังไม่รู้เลยว่าจะได้มีโอกาสกลับมาที่นี่อีกเมื่อไหร่…




    “รยูซูจอง!!”



    คนถูกเรียกสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินชื่อตัวเองในน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดระดับสูงสุด แบบที่แม่ของเธอใช้ตอนที่รู้ว่าเธอแอบไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อน


    “พี่เคย์… โอ๊ย!”


    ก้อนหินที่ซูจองเก็บมาปาลงสระน้ำเล่น หล่นกระเด็นหลุดออกจากมือ ตอนที่เจ้าของน้ำเสียงโกรธสุดขีดเดินเข้ามาทุบไหล่เธอเต็มแรงตามจังหวะพยางค์ที่พูด


    “คิด-จะ-บอก-กัน-เมื่อ-ไหร่-ฮึ  หรือต้องให้ฉันเดินไปกดกริ่งหน้าบ้านเธอ แล้วยืนรอให้เธอกลับจากโซลมาเปิดเหรอ!”

    “โอ๊ย! พี่เคย์ เดี๋ยวก่อน ฟังก่อนนะ ฉันแค่ไม่อยากทำให้พี่---”


    ไม่! ฉันไม่ฟัง! ไม่ต้องมาพูดตอนนี้!

    ฉันจะไม่มีวันลืมเลยว่าเธอมันใจร้ายแค่ไหน

    แล้วฉันก็จะจำไว้ด้วยว่า


    สำหรับเธอแล้วเนี่ย ไอ้การที่เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เจอหน้ากันมาทุกวัน คุยกัน ทะเลาะกัน กินข้าวด้วยกัน

    ถึงตอนนี้เราจะไม่สนิทกันเท่าเมื่อก่อน

    แต่ทั้งหมดนี้มันก็ดูเหมือนไม่มีความหมายอะไรกับเธอเลย


    เพราะเธอกำลังจะไปจากที่นี่ โดยที่ไม่สนใจเลยว่าฉันจะเป็นยังไง

    ฉันจะอยากบอกอะไรกับเธอรึเปล่า ฉันจะอยากเจอเธออีกไหม


    เพราะว่าฉันมันไม่เคยสำคัญอะไรกับเธอเลยไง!”


    “พี่เคย์…”


    “ไม่ต้องพูด! แล้วเธอก็จำเอาไว้ด้วยแล้วกันนะ ว่าฉันมีพี่ชายคนเดียว ฉันไม่มีน้องอย่างเธอ แล้วเธอมันก็ไม่สำคัญกับฉันเหมือนกัน! 


    ฉันเกลียดเธอ!”



    คนตัวเล็กพูดจบก็วิ่งหันหลังกลับไปพร้อมกับเสียงสะอื้น ซูจองเรียกสุดเสียงที่มี แต่อีกคนก็ไม่หันหลังกลับมามอง


    และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ซูจองได้เห็นหน้า อดีตพี่สาวบ้านตรงข้าม ของเธอ




    ----



    “นี่พี่มีตุ๊กตาอันปังด้วยเหรอเนี่ย ไหนเคยบอกว่าไม่ชอบนี่นา-- อ้าว”


    คนมาเยี่ยมบ้านถือวิสาสะหยิบตุ๊กตาหน้ากลมรูปการ์ตูนตัวโปรดของตัวเองที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนโซฟาขึ้นมาขยำแก้มเล่น แต่ก็โดนเจ้าของบ้านรีบเดินเข้ามาคว้าไปจากมือ จับโยนเข้าตู้ไปซะอย่างนั้น


    และเคย์ตั้งใจว่าจะไม่บอกยัยเด็กแก้มกลมนี่เด็ดขาดว่า เธอเพิ่งซื้อกลับมาจากทริปไปญี่ปุ่นกับครอบครัวอีกรอบเมื่อเดือนก่อนเพราะนึกถึงหน้ายัยเด็กคนนี้ขึ้นมา…



    “ก็ไม่ได้ชอบนั่นแหละ เพื่อนซื้อมาแกล้ง”

    “เพื่อนลงทุนเนอะ”

    “เออ… พวกเพื่อนก็งี้แหละ ยิ่งรู้ว่าไม่ชอบอะไร ยิ่งหามาให้”



    เคย์วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะกระจกเล็ก แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างซูจอง เด็กน้อยแก้มกลมที่เธอไม่ได้เจอมาเกือบ 3 ปี

    ตอนนี้กลายเป็นสาวเต็มตัวแล้ว แต่แก้มยังคงกลมเหมือนเดิม


    ซูจองหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มพร้อมกับมองไปรอบ ๆ คอนโดของเคย์ด้วยสีหน้าตื่นตาตื่นใจ


    “ห้องใหญ่ขนาดนี้ พี่อยู่คนเดียวเหรอ”

    “อือ เวลาปั่นงานอะไรตอนดึก ๆ จะได้ไม่ต้องรบกวนคนอื่น”


    คนเด็กกว่าพยักหน้ากับคำตอบ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เป็นเคย์เองที่เป็นคนเปิดบทสนทนา


    “นี่เข้ามหาลัยแล้วสิ เรียนอะไรละ อยู่ปีไหนแล้ว”

    “ปี1 ศิลปกรรมฯ”


    “เก่งเหมือนกันนี่นา นึกว่าวาดรูปไปวัน ๆ ซะอีก แล้วอยู่มหาลัยไหน”

    “ก็ที่เดียวกับพี่อะแหละ”




    เคย์อึ้งไปเล็กน้อยเมื่อได้รู้ข้อมูลใหม่ล่าสุด ที่เธอกับน้องสาวเคยสนิทอยู่ร่วมรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกันมาเทอมนึงแล้ว แต่ไม่ยักจะเคยเห็นหน้ากันเลย อาจคงเป็นเพราะคณะศิลปกรรมฯ กับคณะเศรษฐศาสตร์อยู่ห่างกันลิบลิ่ว แล้วเธอก็เป็นพวกเก็บตัว เรียนเสร็จก็ไม่ค่อยไปไหน จึงไม่เคยได้เจอกับซูจองที่ไหนเลยซักครั้ง


    “อยู่หอไหน...”

    “หอใน”


    “ทำอะไรไม่เคยบอกเหมือนเดิมเลยเนอะ มาเรียนที่เดียวกันก็ไม่เคยบอก”

    “จะบอกยังไงละ ก็พี่ไม่ได้ใช้เบอร์เดิมนี่”


    “เออ จริงด้วย”


    เธอนึกขึ้นได้ว่าเธอเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่เมื่อสามปีก่อน เพราะดันไปซุ่มซ่ามทำหล่นบนรถเมล์ แล้วก็ไม่เคยได้คืนอีก



    “อีกอย่าง ฉันก็ไม่รู้ว่าพี่จะยังอยากติดต่อกับฉันอยู่ไหม เพราะว่าตอนนั้นพี่คงโกรธมาก…”

    “…”


    “ถ้าเป็นฉัน ฉันก็คงโกรธเหมือนกันนะ รู้ว่าจะย้ายบ้านมาตั้งนาน แต่เพิ่งมาบอกเอาตอนรถจะออกจากหมู่บ้านแล้ว”


    ซูจองหน้าจ๋อยเมื่อย้อนพูดถึงอดีตตอนสี่ปีที่แล้ว


    “ขอโทษนะ…”

    “ช่างมันเถอะ ตอนนั้นฉันก็งี่เง่าเกินไปเหมือนกันที่ไม่ยอมคุยกับเธอ”



    ถึงคนพี่จะพูดว่าช่างมัน แต่ก็ยังคงไม่ได้ยิ้มให้ซูจองเลยซักครั้งตั้งแต่เธอเดินเข้ามาในห้องนี้  แถมสรรพนามที่ใช้ก็ห่างเหิน  จนเธอเองยังนึกแปลกใจว่า ทำไมเคย์ถึงยอมตอบตกลงตอนที่เธอบอกว่าอยากมาเยี่ยม ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้ดูเต็มใจนักเมื่อเธอมาถึง


    ซูจองเองก็พอรู้อยู่แล้วว่า อดีตพี่สาวบ้านตรงข้ามของเธอไม่ค่อยจะชอบอะไรเกี่ยวกับเธอเท่าไหร่นัก ที่สนิทกันตอนเด็ก ๆ ก็เพราะว่า ในละแวกบ้านไม่ได้มีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันให้เล่นด้วย พอโตมา ความเห็นของเธอกับเคย์ก็มักจะไม่ค่อยลงรอยกันอยู่บ่อย ๆ อีกทั้งยังจากกันด้วยไม่ดีอีกต่างหาก


    “นี่พี่ยังเกลียดฉันอยู่ไหมเนี่ย...”


    เด็กแก้มกลมถามด้วยเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อเห็นคนพี่ยังหน้ามึนตึงใส่


    “ไม่หรอก”


    “แต่พี่ดูไม่โอเคเลยอะ… ถ้าอย่างนั้นฉันกลับดีกว่า ขอโทษที่มารบกวนนะ...”


    “เดี๋ยวก่อน…”


    คนตัวเล็กจับแขนเด็กตัวสูงที่กำลังจะลุกออกจากโซฟาไว้ได้ทัน แล้วดึงให้อีกคนหันมามองหน้าเธอ


    “แล้วมารู้เบอร์ฉันได้ยังไง”


    “ฉันบังเอิญเจอพี่ซึงฮีที่โรงอาหารคณะอะ”

    “ไปส่องเด็กศิลกรรมไม่บอกอีกแล้ว  ว่าแล้วเชียว…”


    “เพราะว่าพวกเพื่อนเนี่ย ยิ่งรู้ว่าเกลียดอะไร ก็ยิ่งหามาให้ใช่ไหมละ…”


    ซูจองยิ้มให้ แต่เคย์ก็ไม่ได้ยิ้มตอบหรือแสดงความเห็นอะไรต่อ


    คนเด็กกว่ายังคงยิ้มสู้แม้ว่าอีกคนจะยังคงหน้านิ่งเย็นชา ซูจองหยิบกล่องสีฟ้าขนาดไม่ใหญ่มากนักออกมาจากกระเป๋าเป้ มือที่สั่นเล็กน้อยของเคย์ถูกซูจองดึงมากุมไว้ให้รับกล่องใบนั้น


    “จริง ๆ ที่ฉันมาวันนี้ ก็แค่อยากจะเอาของอันนี้มาให้พี่ เป็นของที่ฉันตั้งใจว่าจะให้ตอนฉันจะย้ายบ้าน...


    “ขอโทษล่วงหน้ากับสิ่งที่พี่จะได้เจอหลังจากเปิดกล่องอันนี้ด้วยนะ ไม่รู้ว่าพี่จะยังอยากเห็นหน้าฉันอีกต่อไปไหม แต่ไม่ว่าถ้าพี่ต้องการอะไร หรืออยากให้ช่วยอะไร


    ฉันยังไม่เคยเปลี่ยนเบอร์นะ…”






    เด็กแก้มกลมลุกขึ้นจากโซฟา ดึงกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพาย แล้วโค้งบอกลาเจ้าของห้อง ก่อนจะออกจากห้องของเคย์ไป


    ขณะที่เจ้าของห้องยังคงนิ่งอึ้ง ในมือยังคงถือกล่องสีฟ้าไว้ที่เดิม จ้องมองมันด้วยความอยากรู้และความกลัวปะปนกัน


    แต่สุดท้ายความอยากรู้ที่มีมากกว่าก็ทำให้เคย์ตัดสินใจเปิดกล่องออกดู ข้างในไม่ได้มีของอย่างอื่น นอกจากกระดาษทั้งแผ่นเล็กแผ่นใหญ่ มีทั้งที่ม้วนไว้และพับไว้ พร้อมกับซองจดหมายอีกซองหนึ่ง


    เคย์หยิบกระดาษทั้งหมดขึ้นมาดู ทุก ๆ แผ่นเป็นภาพสเก็ตช์ของเธอ ด้วยลายเส้นที่เธอจำได้ดีว่าเป็นฝีมือของซูจอง มีทั้งภาพตอนที่เธอเด็ก ๆ ใส่ชุดสีขาวกับมงกุฎดอกไม้ในวันงานประจำปีของโรงเรียนประถม ภาพตอนที่เธอนั่งทำการบ้านอยู่ในสวนบ้านของซูจอง ที่เธอเองก็ไม่รู้ตัวว่าอีกคนแอบมาวาดเธอตอนไหน ภาพตอนที่เธอกับซูจองไปนั่งเล่นริมสระน้ำในสวนของหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังมีภาพมือสองมือที่จับกันในหลายๆแบบ ที่เธอดูแล้วไม่เข้าใจ ถ้าไม่ไปเจอภาพสุดท้ายที่อยู่ในกองกระดาษเหล่านั้น


    เป็นภาพมือข้างนึงกับชายแขนเสื้อที่ย้วยหลุดรุ่ย ถูกมือเล็ก ๆ ของอีกคนนึงจับไว้…


    ใจสั่นวูบไหวขึ้นมาทันทีที่เคย์จำได้ว่ามือสองข้างนั้นเป็นมือของเธอกับซูจอง

    ซูจองจำทุกครั้งที่เธอจับมือกันแล้ววาดเก็บไว้

    ซูจองแอบวาดรูปเธอเก็บไว้ทั้งช่วงเวลาสำคัญและไม่สำคัญ

    ซูจองพยายามจะบอกอะไรกับเธอกันแน่…



    ซูจองเป็นคนที่อธิบายอะไรด้วยคำพูดไม่ค่อยดีนัก ครั้งหนึ่งเคย์เคยให้ซูจองสอนใช้โปรแกรมโฟโต้ชอป แต่คุยกันยังไงก็ไม่เข้าใจ แถมเกือบจะตีกันตายคาคอมด้วยซ้ำ จนซูจองต้องขอเลิกสอน และทำเอาเคย์งอนไปหลายวัน สุดท้ายเด็กตัวสูงเอาสมุดเล่มนึงที่เธอเขียนวิธีใช้ทั้งหมดพร้อมวาดรูปประกอบมาง้อ แล้วเคย์ก็พบว่าซูจองทำให้ทุกอย่างดูง่ายขึ้นได้อย่างง่ายดายมากเพียงแค่ใช้การเขียนเท่านั้นเอง


    เคย์หันไปหยิบซองจดหมาย ของอีกชิ้นหนึ่งจากกล่องที่เธอยังไม่ได้เปิดดู ในใจหวังว่าข้อความในนั้น อาจจะทำให้เธอเข้าใจอะไรได้มากกว่ารูปวาดของตัวเธอเองที่ซูจองใส่มาให้


    ข้อความในจดหมายไม่ยาวเท่าจดหมายสี่หน้ากระดาษเอสี่ที่เธอเคยได้รับในวันเกิดตอนมัธยมปลายปีสุดท้าย  เธอไม่ได้เป็นคนลำเอียงหรอกนะ แต่ถ้าซูจองเขียนมายาวขนาดนั้นจริง ๆ เธอก็คงเต็มใจอ่าน เพราะว่ามันเป็นของซูจองนั่นแหละ



    ข้อความจากลายมือหวัด ๆ ของซูจองยาวหนึ่งกระดาษเอสี่พอดิบพอดี...


    ‘พี่เคย์…

    ฉันจะต้องย้ายบ้านแล้วละ… แอบใจหายยังไงไม่รู้


    เรารู้จักกันมาเป็นสิบปีแล้วเนอะ ฉันคิดว่าเราคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่ยังมีอีกหลายเรื่องเลยที่ฉันยังไม่เคยบอกพี่

    เพราะว่าฉันขี้ขลาดเกินไปที่จะบอกพี่ในวันที่เรายังอยู่ด้วยกัน ก็เลยเอามาบอกในวันที่เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว เผื่อว่าถ้าพี่รู้แล้ว พี่จะไม่อยากคุยกับฉันอีก ก็จะได้ใช้โอกาสนี้เลย


    อย่างแรก ฉันขอโทษที่ไม่ได้บอกพี่เรื่องที่เราจะย้ายบ้าน ฉันไม่อยากเอาเรื่องของฉันไปกวนใจพี่ อยากให้พี่มีสมาธิกับการสอบ พี่คงโกรธฉันมากแน่ ๆ ที่ฉันมาบอกเอาวันนี้ แต่อย่างน้อยพี่ก็สอบเสร็จแล้วใช่ไหมละ ยังไงฉันก็ขอให้พี่สอบเข้ามหาลัยที่ตั้งใจไว้ได้นะ พี่เก่งอยู่แล้ว


    อีกอย่างนึง รูปพวกนี้...

    พี่คงเคยโกรธเรื่องที่ฉันไม่เคยให้พี่เข้าไปที่ห้องฉันใช่ไหม จริง ๆ ห้องฉันมันไม่ได้รกหรอก แต่มันมีแต่รูปของพี่เต็มห้องไปหมด ฉันก็ไม่รู้ว่าพี่จะอยากเห็นมันไหม เลยต้องห้ามไว้ก่อน ขอโทษด้วยนะที่เคยโกหก


    ตลอดเวลาที่ผ่านมา  พี่เป็นพี่สาวที่ดีมากเลยนะ

    ฉันต่างหากที่เป็นน้องสาวได้แย่มาก  เป็นเด็กดื้อของพี่ยังไม่พอ  ยังจะเอาความรักความเอ็นดูที่พี่มีให้ฉันมาคิดเป็นอย่างอื่นไปอีก  ขอโทษจริง ๆ นะ ฉันพยายามเลิกคิดแล้ว

    แต่ฉันก็ยังชอบพี่  ชอบทุก ๆ อย่างของพี่เหมือนเดิม



    ฉันรู้ว่าพี่ไม่ได้คิดกับฉันไปมากกว่าน้องคนนึงหรอก

    เพราะพี่เองก็มีแฟนอยู่แล้ว

    (ถึงพี่จะไม่ได้บอก ฉันก็รู้ว่าใครเป็นคนให้ของขวัญวันเกิดพี่นะ  เพราะที่โรงอาหารวันนั้นฉันก็เห็น)



    ขอบคุณพี่มาก ๆ นะที่คอยดูแลฉันมาตลอด ถึงพี่จะบอกอยู่เสมอว่าไม่อยากมีน้องแบบฉันก็เถอะ


    ยังไงก็ขอให้พี่มีความสุขมาก ๆ กับทุก ๆ เรื่องนะ


    รยูซูจอง’






    เคย์นั่งนิ่งปล่อยให้ภาพในอดีตตั้งแต่เด็กจนโตฉายย้อนวนไปวนมาอยู่ในหัวเมื่ออ่านจดหมายจบ

    เธอไม่อาจให้คำจำกัดความของความรู้สึกประหลาดที่ถาโถมเข้าใส่ตัวเธอในตอนนี้ได้  



    ยัยเด็กแก้มกลมชอบเธอ…

    ซูจองชอบเธอ...



    ทำไมเธอถึงไม่เคยเอะใจที่เด็กคนนั้นคอยตามใจพี่สาวเอาแต่ใจอย่างเธอตลอด


    ทำไมเธอถึงไม่เคยเอะใจว่าคนที่ทำให้เด็กคนนั้นอกหักคนนั้นคือเธอ  


    ทำไมเธอถึงไม่เคยเอะใจว่า เด็กคนนั้นมีอิทธิพลกับความรู้สึกของเธอมาตลอด


    และทำไมเธอถึงไม่เคยเอะใจกับความรู้สึกของเธอที่มีให้กับซูจองเลย…


    การรู้จักกันในฐานะพี่น้องคงทำให้เธอยึดติดอยู่กับคำนั้น  ทั้ง ๆ ที่ความรู้สึกที่มีให้อีกฝ่ายเกินคำ ๆ นั้นไปตั้งเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้



    เธอไม่เคยชอบอะไรหรือใครที่ซูจองชอบเลย

    มันก็ใช่…


    แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา

    เธอก็ไม่เคยชอบอะไรหรือใครมากเท่ากับซูจองเลยเช่นกัน





    หลังจากนั่งครุ่นคิดลำดับเหตุการณ์อยู่นาน เคย์ก็รีบควานหามือถือของตัวเองออกมากดเบอร์ที่โทรเข้าหาเธอล่าสุดของวันนี้ทันที เบอร์ของคนที่เพิ่งก้าวเท้าออกจากห้องของเธอไปเมื่อสิบห้านาทีก่อนนี้นั่นเอง



    “ฮัลโหล พี่เคย์…”


    ปลายสายกดรับ  เสียงแหบเล็กทักทายแบบเรียบ ๆ ตามมาด้วยเสียงรถยนต์วิ่งผ่านที่บ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังเดินอยู่ริมถนน


    เคย์ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี…

    ได้แต่หลับตาภาวนาให้อีกฝ่ายหนึ่งตั้งใจฟังดี ๆ  เธอจะได้ไม่ต้องพูดหลายรอบ



    “ซูจองอา…”

    “ว่าไง”



    ฝ่ายซูจองเดินมานั่งลงที่ป้ายรถเมล์  ขยับสายหูฟังให้เข้าหูแน่น ๆ  แล้วกดเพิ่มเสียงสนทนาให้ดังขึ้น  เพราะกลัวว่าเสียงรถยนต์บนถนนจะกลบเสียงเล็ก ๆ ของเคย์เข้า


    ไม่รู้ว่าจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย  จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับของที่เธอให้ไปหรือไม่  แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็อยากฟังเสียงและคำตอบของพี่สาวให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้



    “ซูจอง… อยู่หอในใช่ไหม”

    “ใช่  ทำไมเหรอ”



    “อืม  ก็… พี่เคยได้ยินมาว่า…

    พวกเด็กศิลปกรรมฯ ต้องอยู่ทำโปรเจคที่คณะจนดึก ๆ ดื่น ๆ ตลอดเลยไม่ใช่เหรอ”

    “ก็ใช่…”



    “แล้วหอในก็ปิดแค่สี่ทุ่มเองนี่… ซูจองไม่ลำบากเหรอ”

    “บางทีฉันก็ไปนอนห้องเพื่อนนั่นแหละ… ว่าแต่พี่ถามทำไมอะ”



    “อืม...”

    “ฮัลโหล พี่เคย์…”



    ปลายสายเงียบไปครู่ใหญ่  จนซูจองต้องหยิบมือถือขึ้นมากดดูว่าสายหลุดไปหรือยัง  แต่เวลาสนทนายังคงเดินอยู่  และเสียงกระแอมดังขึ้น  แสดงว่าเคย์ยังไม่ได้วางสายเธอไป


    เคย์หยิบหมอนอิงบนโซฟามากอดไว้แน่น  รู้สึกได้ถึงเลือดที่สูบฉีดขึ้นไปบนใบหน้าจนหน้าร้อน  เมื่อพยายามเรียบเรียงประโยคที่จะพูดออกไป



    “อื้ม… ก็… มันจะสะดวกกว่าไหม  

    ถ้าซูจองจะย้ายมาอยู่กับพี่  



    เตียงอีกฝั่งนึงยังว่างนะ...”



    “อ… อะไรนะ?”


    ซูจองยิ่งกดหูฟังให้แนบชิดกับหูมากที่สุด  เพื่อให้มั่นใจว่าเธอไม่ได้เพิ่งหูฝาดไป  

    เคย์ไม่ได้ตอบคำถามที่เต็มไปด้วยความงุนงงสงสัยของซูจอง  แต่เปิดคำถามใหม่ขึ้นมาให้อีกฝ่ายตอบแทน



    “นี่  รู้ไหมว่าทำไมพี่ถึงชอบบอกว่าไม่อยากมีน้องอย่างซูจอง…”

    “เพราะว่าพี่อยากเป็นลูกคนเล็ก?”



    “ไม่ใช่”

    “อืม… เพราะว่าพี่ไม่ชอบฉัน?”



    “ผิด!”

    “งั้นอะไรอะ”



    “เพราะว่า

    พี่อยากได้ซูจองเป็นอย่างอื่นมาตลอดต่างหากเล่า~”



    “ห…หา  หมายความว่า...”



    ซูจองเริ่มค่อย ๆ คิดตามที่เคย์บอก  ถ้าเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดมาจริง ๆ  แสดงว่าความรู้สึกของเคย์ก็… เหมือนกันกับเธออย่างงั้นเหรอ!?



    “ใช่… พี่เองก็ชอบซู---”

    “...เดี๋ยว ๆ! หยุดก่อน! ...แล้วแฟนพี่ล่ะ?”



    “ไม่เคยมี  ทั้งเมื่อก่อน ชาติที่แล้ว  แล้วตอนนี้ก็ยังไม่มี!  เพราะว่าคนที่พี่ชอบมาตลอดก็คือรยู--”

    “หยุด!! อย่าเพิ่งพูดตอนนี้นะ! …”



    ซูจองรีบเอ่ยห้ามปลายสายไม่ให้พูดคำที่เธออยากได้ยินมาตลอดหลายปี  เธอไม่อยากได้ยินผ่านหูฟังโทรศัพท์ตอนนี้  แม้ว่าหูฟังจะคุณภาพดีแค่ไหนก็ตาม


    เธออยากได้ยินด้วยหูของตัวเองมากที่สุด...



    “ขอเวลาสิบนาที ฉันจะกลับไปที่ห้องพี่ตอนนี้เลย  แล้วพี่ค่อยบอกฉันตอนนั้นนะ  สัญญานะ!”



    “ได้เลย… พี่จะไม่บอกหรอกว่าพี่ชอบซูจ---”

    "อย่าเพิ่งบอก!!!!!!"





    เคย์หัวเราะเบา ๆ  ที่ได้ยินน้ำเสียงตื่นเต้นร้อนรนของซูจอง  เธอเดาไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายนั้นดีใจขนาดไหน  แต่ก็คิดว่าคงไม่ต่างกันกับเธอในตอนนี้



    เธออยากเห็นดวงตากลมโตนั้นที่เป็นประกายเวลาดีใจ

    อยากเห็นแก้มกลม ๆ ที่คงจะแดงน่าดู  หากได้มาเจอหน้าเธอ



    และเธอก็อยากเห็นว่าหน้าตาของเจ้าเด็กคนนั้นจะน่ารักขนาดไหน  เมื่อเธอจะได้บอกออกไปว่า  เธอเองก็ชอบ--



    อ๊ะ... เก็บไว้บอกตอนที่ซูจองมาถึงดีกว่าเนอะ :D



    -end-



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×