ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [OS/SF] Lovelyz is all around

    ลำดับตอนที่ #4 : Fishing (Yein & Jin)

    • อัปเดตล่าสุด 17 ส.ค. 59


    Fishing

    Pairing: Yein & Jin

    ----


    ‘ความหวัง’ เป็นสิ่งที่ควรจะมี

    แต่เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะที่จะ ‘ให้’



    “เยอิน… ทำไมแกชอบตกปลาอะ”


    มยองอึนก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมเยอินถึงชอบการตกปลา…


    “ฉันก็ไม่รู้ว่ะพี่…”

    “เอ๊า…”


    เพราะขนาดเจ้าตัวเอง  มันก็ยังไม่รู้เลย!



    “มันก็มีเหตุผลหลายอย่างนะ…”


    เยอินเคยบอกว่า  เธอชอบความรู้สึกของการที่ได้เดินลัดเลาะไปในที่ต่าง ๆ เพื่อค้นหาแหล่งน้ำเหมาะ ๆ ที่เธอจะได้ถือคันเบ็ดและนั่งรออะไรบางอย่างแบบมีจุดหมาย  แต่มาคิดอีกที  แค่เหตุผลง่ายๆ อย่างการที่ เธอชอบเวลาปลากินเหยื่อ  ก็มีส่วนทำให้เธอชอบตกปลาเหมือนกัน


    เยอินอาจไม่แน่ใจถึงเหตุผลที่เธอชอบการตกปลา แต่สิ่งหนึ่งที่มยองอึนรู้แน่นอนก็คือ ตัวเธอเองเกลียดการตกปลาและการทำกิจกรรมกลางแจ้งมากที่สุด!


    เธอบ่นทุกครั้งที่ถูกลากมานั่งเป็นเพื่อนด้วยเวลาออกไปตกปลาด้วยกัน  แต่เยอินก็ยังจะทู่ซี้ชวนเธอมาได้ทุกครั้งไป…



    “แกไม่เบื่อบ้างเหรอ...” มยองอึนบ่นหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางหยิบมันฝรั่งทอดขึ้นมากินด้วย  “นั่งรอทั้งวัน ร้อนก็ร้อน แล้วบางวันก็ไม่เห็นจะได้อะไรด้วยซ้ำ  แกก็ไม่ได้อะไร  ฉันก็ไม่ได้อะไร  ยังจะบังคับมาอีก”


    “ได้ดิพี่”  คนเด็กกว่าตอบยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี  มือข้างหนึ่งปล่อยจากคันเบ็ดมาจัดผมยาวสีน้ำตาลของตัวเองที่กำลังปลิว
    เพราะลมพัด


    “ได้อะไร  นี่ตั้งแต่บ่ายโมง ฉันยังไม่เห็นแกตกปลาอะไรได้ซักกะตัวนึง”

    “ได้อยู่กับพี่ไง”

    “ตลกละ  เก็บมุกไว้หยอดแฟนคลับที่โรงเรียนเหอะ”



    เยอินหัวเราะคิกคักอย่างพอใจ  ส่วนมยองอึนประชดหน้าตายไปอย่างนั้นเอง  เพราะก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้จริงจังกับคำที่พูดมานัก

    เยอินเป็นคนพูดเก่ง ปากหวาน อย่างนี้มาตั้งแต่วันแรกที่มยองอึนได้รู้จักแล้ว และเป็นเด็กที่หน้าตาก็ยังจัดว่าดีมากคนหนึ่งของโรงเรียน  หุ่นสูง บวกกับความมีเสน่ห์เวลาเล่นดนตรี ทำให้หลาย ๆ คนในโรงเรียนเลยกรี๊ดให้มือคีย์บอร์ดวงดนตรีของเธอมากที่สุดเวลามีการแสดงที่โรงเรียน ทั้ง ๆ ที่ตามปกติแล้วนักร้องนำอย่างเธอน่าจะมีคนชอบเยอะแท้ ๆ



    หน้าตู้ล็อคเกอร์ของเยอินจะเต็มไปด้วยขนมกับจดหมายแทบทุกวัน  และบางครั้งก็ลามมาถึงตู้ของเธอด้วย แต่นั่นก็เป็นเพราะตู้ของเยอินล้นเกินจนต้องมาฝากไว้กับเธอและสมาชิกวงคนอื่น



    แล้วด้วยความเป็นมิตร หน้าตาที่ยิ้มแย้มทักทายคนอื่นอยู่เสมอ และการเป็นคนคุยเก่งนี่เอง ทำให้หลาย ๆ คนยิ่งชอบเยอินกันมากขึ้นไปอีก เมื่อเจอเยอินในห้องเรียนหรือที่อื่นนอกเหนือจากบนเวที

    หลายคนเคยทึกทักเอาเองไปว่าเยอินสนใจพวกเธอจนมีเรื่องมีราวตบตีกันเองด้วยซ้ำ แต่จริง ๆ แล้วมือคีย์บอร์ดไม่เคยคิดอะไรกับคนพวกนั้นไปมากกว่าเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือคนรู้จักเลย



    เธอเลยได้ฉายาที่คนในวงตั้งให้ว่า  โฮปแมชชีน เพราะเป็นคนชอบให้ความหวัง โปรยเสน่ห์ไปทั่ว



    และเพราะทุก ๆ อย่างของเยอินนี่แหละที่เลยทำให้

    มยองอึนต้องพยายามไม่เข้าข้างตัวเองอยู่


    เพราะเธอเองก็คงเป็นอีกคนหนึ่งที่จะลงไปร่วมกรี๊ดเยอินกับผู้ชมคนอื่นแน่ ๆ ถ้าเธอไม่ได้เป็นนักร้องของวงนี้



    แล้วที่เธอมากับเยอินเกือบทุกวันเสาร์  ทั้ง ๆ ที่เธอเกลียดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง  ก็คงเป็นเพราะเธอก็ชอบเยอินมากพอ ๆ กับที่ เยอินชอบการตกปลานั่นแหละ



    แต่มยองอึนจะไม่มีทางให้เด็กคนนั้นรู้เรื่องนี้เด็ดขาด

    เพราะเยอินมี คนคนนั้น ที่คงชอบมากพอ ๆ กับการตกปลาอยู่แล้ว


    “ใกล้จะกลับยัง  ฉันจะได้ไปเดินเล่นแถว ๆ นี้หน่อย  ถ้ายังอีกนาน”

    “กลับเลยก็ได้พี่มยองอึน วันนี้คงไม่มีดวงได้เจอ...”



    เยอินกรอสายเบ็ดกลับ  เตรียมหยิบกล่องอุปกรณ์มาไว้ข้างตัว  ดึงเหยื่อล่อออก และพับคันเบ็ดเก็บลงกระบอกเรียบร้อย  ทั้งสองคนพากันเดินออกมาจากริมลำธารที่นั่งตกปลากันมาตั้งแต่บ่ายจนตอนนี้พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว



    “เจออะไรอะ”

    “ปลาแบสปากใหญ่…”  


    “นี่มาตกปลาแบบเลือกไว้ว่าจะตกตัวนี้โดยเฉพาะเลยเหรอ  ฉันนึกว่าตกไปเรื่อย ๆ ได้ตัวไหนก็เอาซะอีก”


    มยองอึนถามด้วยความสงสัย  เธอไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการตกปลามากนัก  ไม่เหมือนอีกคนที่ชอบตกปลามาตั้งแต่เด็ก ๆ  และดูเหมือนจะเชี่ยวชาญมากกว่าการเล่นดนตรีด้วยซ้ำไป



    “ใช่  เห็นเค้าแนะนำกันว่าที่นี่มี  ฉันก็เลยมาตามรีวิว...”

    “แล้วถ้าสมมติ ตกได้ปลาที่หายากอย่างนี้จะเอาไปทำอะไร  เอาไปกินงี้เหรอ”


    “สำหรับฉันก็ ไม่นะ ก็คงถ่ายรูป แล้วก็ปล่อยแหละ”

    “เอ้า แล้วจะมาตกไปทำไมละ”  



    คำตอบของเยอินทำเอามยองอึนสงสัยหนักขึ้นไปกว่าเดิม  เธอก็เคยสงสัยอยู่ที่หลายครั้งเยอินมาตกปลา แต่กลับไม่ได้เตรียมกระป๋องหรืออุปกรณ์อะไรสำหรับใส่ปลากลับบ้านเลย  เธอเองก็ไม่เคยได้ถามจนมารู้เอาวันนี้


    “ก็แค่อยากตกปลา  ไม่ได้อยากกินปลาซักหน่อย  ทำไมจะต้องตกเพื่อเอาไปกินด้วยละ”


    เยอินยักไหล่  เธอไม่ได้ตอบกวนอย่างที่มยองอึนคงคิดอยู่  แต่เธอแค่ชอบการได้มาตกปลาจริง ๆ  เรื่องกินไม่ได้เป็นเรื่องหลักสำหรับเธอ  ถ้าอยากกิน ไปซื้อที่ตลาดคงง่ายกว่า แต่มยองอึนก็คงยังไม่หายสงสัย  



    “แล้วอย่างงี้  ถ้าแกตั้งใจมาตกปลาตัวนึง แต่ว่าตกได้ตัวอื่นแทนอะ  จะทำยังไง ก็ปล่อยเหรอ?”

    “ก็ปล่อยสิ  ถามแปลก ๆ แฮะพี่เนี่ย”

    “แต่เรานั่งทั้งวันเพื่อตกมันมาเนี่ยนะ?”



    “พี่มยองอึน  บางตัวเราก็ต้องปล่อยมันไป อย่างปลาแบบมีไข่เต็มท้องอย่างนี้อะ  ถ้าเราเอามา  ลูกปลาอีกหลายตัวต้องตายเลยนะ”  


    เยอินอธิบายให้คนขี้สงสัยเข้าใจ  ไม่แปลกที่คนอื่นจะไม่เข้าใจเกี่ยวกับการตกปลาแล้วก็ปล่อยกลับสู่แหล่งน้ำ  เพราะบางทีก็เป็นธรรมเนียมที่จะรู้กันเฉพาะคนตกปลาเท่านั้น  และบางคนก็ไม่รู้ว่าการตกปลาก็เป็นกีฬาชนิดหนึ่ง  มีกติกาในการเล่นเช่นเดียวกับกีฬาประเภทอื่น ๆ บ่อยครั้งก็ตกแค่เผื่อเก็บสถิติ นับคะแนนเท่านั้น แล้วก็ปล่อยกลับสู่บ่อน้ำหรือลำธารไป ดังนั้น การตกปลาก็ไม่ได้เป็นแค่การหาอาหารอย่างเดียวอย่างที่หลายคนเคยเข้าใจ


    “แต่มันก็เจ็บปากไปแล้วอยู่ดีนะ”

    “มันเจ็บปากเดี๋ยวก็หาย เดี๋ยวมันก็ไปหาปลาหมอให้รักษาให้ไง”



    “ตลกไหมเนี่ย”

    “ไม่ตลกก็ได้ พี่อะ…

    มันเจ็บปากแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หาย  แต่ถ้าเราเอามา ก็เท่ากับเราฆ่ามันไปเลยนะ ไม่เจ็บกว่าเหรอ”



    มยองอึนพยักหน้าเข้าใจ  แต่สีหน้าของรุ่นพี่ เยอินพอมองออกว่ายังคงครุ่นคิดอะไรในใจอยู่  เลยไม่ได้สนใจว่าเชือกรองเท้าผ้าใบของตัวเองหลุดเปื้อนดินจนเจ้าตัวจะเหยียบอยู่แล้ว


    “เหม่ออะไรอยู่เนี่ย… เชือกรองเท้าหลุดแล้ว”

    “เฮ้ย! ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันทำเอง”

    “ไม่เป็นไร”



    เยอินเดินมาดักข้างหน้าและนั่งลงดึงเชือกรองเท้าของรุ่นพี่ผูกให้แน่น  

    ฉากนี้เหมือนกับภาพในซีรีส์ที่ยูชีจินทำให้หมอคังซ้อนทับขึ้นมาไม่มีผิด เพียงแค่คนที่กำลังนั่งอยู่ไม่ได้ใส่ชุดทหาร แต่เป็นเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงยีนขาสั้นธรรมดา  และข้างตัวเธอไม่ได้มีกระเป๋าสำหรับหมอแต่เป็นกล่องเก็บเหยื่อตกปลาของเยอิน



    มยองอึนก้มมองเยอินที่กำลังตั้งใจผูกเชือกรองเท้าให้เธอด้วยจังหวะหัวใจที่เต้นแบบแปลก ๆ

    ทั้งที่เธอก็รู้ดีว่าไม่ควรรู้สึกแบบนี้ แต่มยองอึนก็แอบโทษรุ่นน้องที่เป็นคนดีแบบไม่รู้กาลเทศะ



    มาทำในสิ่งที่คนเป็นพี่น้องไม่ควรทำให้กันได้ยังไง

    เพราะถ้าแกคิดกับฉันเหมือนเป็นคนรักกันละก็ ฉันจะไม่ว่าอะไรเลย จองเยอิน…



    รุ่นน้องผูกให้จนเสร็จ หยิบกล่องอุปกรณ์ที่วางทิ้งไว้เพื่อผูกเชือกรองเท้าให้อีกคนขึ้นมาแล้วเดินไปด้วยกันต่อ


    “เมื่อกี๊คิดอะไรอยู่”

    “เปล่า…”  มยองอึนปฏิเสธไปก่อนเพราะขี้เกียจไปย้อนนึกว่าคิดอะไรไปแล้ว  แต่เยอินทำหน้าตาคาดคั้นอยากรู้  เธอก็ต้องคิดขึ้นมาพูดต่อ “อืม… ไม่มีอะไร ก็แค่คิดว่า แกนี่หางานอดิเรกได้เหมาะกับตัวเองดีเนอะ”



    “เหมาะยังไงอะ”

    “ไม่รู้สิ ฉันคิดเอาเองนะ… วิธีตกปลาแบบที่แกทำ มันก็เหมือนการให้ความหวังแบบที่แกชอบทำอะ

    แกเอาเหยื่อไปล่อให้ปลาทุกตัวสนใจ ทั้ง ๆ ที่จริงแกสนใจอยู่แค่ตัวเดียว ทีนี้พอมีตัวอื่นมาติดกับแก แกก็ปล่อยมันทิ้งไป  ให้มันกลับไปเจ็บแล้วก็หายเอง”



    เยอินมองหน้าคนที่กำลังพูดด้วยสีหน้าแบบทึ่ง ๆ  “พี่นี่ก็คิดมากเหมือนกันเนอะ…เข้าใจเปรียบเทียบจัง”


    “เฮ้อ ช่างเหอะ  ฉันก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”

    มยองอึนตัดบทสนทนา กระชับกระเป๋าเป้  แล้วหยิบขนมที่ยังเหลือมากินแก้ปากว่าง

    ถนนเส้นทางกลับบ้านของเธอนั้นยังอีกยาวไกล  เยอินยืนยันว่าจะไปส่งเธอให้ถึงที่บ้านให้ได้  แม้ว่าเธอจะบอกว่าเธอกลับรถเมล์ได้ก็ตาม มยองอึนนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คันเล็กของเยอิน  มือกำชายเสื้อยืดของคนขี่ไว้แน่น  จนมาถึงหน้าบ้านของเธอเอง  



    เยอินโบกมือลาพลางนัดแนะให้เธอไปเจอกันที่บ้านพรุ่งนี้เพื่อซ้อมดนตรีก่อนถึงวันแสดงจริง  แล้วยังอาสาจะมารับอีกต่างหาก  แต่เธอก็ต้องปฏิเสธความหวังดี ที่ดีเกินไปจนทำให้ใจหวั่นไหวนั้นไป



    อีกฝ่ายกลับไปแล้ว

    แต่มยองอึนยังคงยืนเหม่ออยู่หน้าบ้าน  เธอก้มมองเชือกรองเท้าที่เยอินเพิ่งผูกไว้ให้จนแน่นหนาและดูท่าทางว่าคงจะไม่หลุดออกมาอีกนอกจากเธอจะแกะมัน



    ปลาธรรมดาอย่างเธอหลงรักเหยื่อล่อสวย ๆ ของเยอินเข้าให้แล้ว...


    -----


    ปลาแบสที่เยอินไล่ตามหาอยู่  ก็คงจะเปรียบได้กับคนสวยผมบลอนด์ที่มานั่งเล่นกับเยอินอยู่ในห้องซ้อมดนตรีที่บ้านของเยอินคนนี้ละมั้ง…


    ยูจีเอ มัธยมปลายปีสุดท้าย พิธีกรประจำโรงเรียน สวย พูดเก่ง น่ารัก ดูดี อะไร ๆ ก็ดีไปหมด ตรงข้ามทุกอย่างกับพัคมยองอึน คนที่ได้แต่แอบมองอย่างเธอ


    ถ้าอยู่กันสามคน มยองอึนคงทนอยู่ดูภาพสองคนนั้นนั่งคุยหยอกล้อกันไม่ได้แน่  ยังดีที่มีพี่จีซู มือเบสของวง อยู่ในห้องนี้กับเธอด้วย  ถึงจะเป็นคนพูดน้อยหน้านิ่งติดเย็นชาก็เถอะ  แต่ก็ยังดีกว่านั่งอึดอัดดูภาพบาดตาบาดใจอยู่คนเดียว



    เธอก็ไม่รู้ว่าสองคนนั้นเค้าคุยอะไรกันบ้าง ก็เค้ากระซิบกระซาบกันใกล้ซะขนาดนั้น แต่คงจะมีความสุขกันมากทีเดียวเลยละ ไม่งั้นก็คงไม่หัวเราะเสียงดังจนพี่จีซูต้องปรายตามองแบบดุ ๆ ให้เงียบหรอก



    “พี่จีซู… เมื่อไหร่พี่มิจูกับซูจองจะมาอะ”

    “มิจูมันก็สายประจำอยู่แล้วนี่ แต่ก็คงใกล้ถึงแล้วละ”


    ทุกคนนนน ช่วยรีบมาซ้อมกันซักที  ฉันทนไม่ไหวแล้วโว้ย


    .

    .

    .


    “ฮาย! ทุกคนนน คนสวยมาแล้วค่าาา  อ้าว จีเอ หวัดดี นี่วันนี้ฉันไม่สายด้วยนา~ มาพร้อมซูจองเลย”


    เหมือนสวรรค์ได้ยินคำขอร้องของมยองอึน  อีมิจู ที่เป็นมือกลอง เปิดประตูห้องซ้อมเข้ามา และร้องทักทุกคนในห้องด้วยน้ำเสียงร่าเริง  จากนั้น รยูซูจอง  เพื่อนรุ่นเดียวกับเยอิน ที่เป็นมือกีตาร์ก็เดินตามหลังเข้ามาเป็นอันครบองค์ประชุม  มยองอึนแอบโล่งใจที่เยอินแยกตัวออกมาจากรุ่นพี่คนสวยที่ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ซักที



    “สายไปห้านาที…”

    “โห จีซูเพื่อนรัก  ห้านาทีก็ถือว่ามีพัฒนาการที่ดีเนอะ  ไม่โมโหนะเพื่อนนะ นะคะ ๆ ๆ ๆ”


    มิจูเข้าไปเกาะแขนเพื่อพลางทำเสียงอ้อนใส่ (ซึ่งดูกวนมากกว่าจะน่ารัก)  จีซูที่กำลังเซ็ทอุปกรณ์ผลักหัวเพื่อนไปห่าง ๆ ด้วยสีหน้าเย็นชา  พอเพื่อนไม่เล่นด้วย  มือกลองก็เลยเดินหน้ามุ่ยไปนั่งประจำที่ของตัวเอง



              “ทุกคน…”  เยอินพูดขึ้นขณะที่สมาชิกในวงเตรียมเข้าตำแหน่งของตัวเองเพื่อเริ่มซ้อม  “วันนี้พี่จีเอจะมาขอดูเราซ้อมด้วย จะได้รู้ว่าคิวในการแสดงของพวกเราในวันงานโรงเรียนว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง  งั้นเราก็...ซ้อมกันเหมือนจริงเลยเนอะ”


                “โอเค!”


    “เอ้อ อีกเรื่องนึง…

    พี่จีเอเค้าอยากทำโชว์เซอร์ไพรส์เพลงนึงตอนวงเราเล่นเพลงสุดท้ายจบอะ

    ก็เลยจะให้ฉันเป็นคนเล่นเปียโนให้ เพราะงั้น ฉันกับพี่จีเอจะซ้อมกันต่อ คนอื่นก็กลับกันก่อนเลยนะถ้าซ้อมวงเสร็จแล้ว”



    มยองอึนไม่ชอบใจเลยที่เห็นเยอินกับรุ่นพี่ผมบลอนด์ลอบมองแล้วส่งยิ้มให้กันเหมือนโลกนี้มีกันอยู่แค่สองคน

    แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากหยิบไมโครโฟนมาเคาะแล้วเคาะอีก ทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ได้มีอะไรเสีย



    ความคับข้องที่ติดค้างอยู่ในใจของมยองอึนตอนนี้ก็คือ ทำไมจะต้องให้เยอินเล่นให้คนเดียวด้วย  ทำไมไม่ให้ซูจองเล่นกีตาร์อะคูสติกเพราะ ๆ ให้ ทำไมต้องไล่คนอื่นกลับก่อน  ทำไมจะต้องอยู่ด้วยกันสองคน

    คำว่า ทำไม… เธอก็ไม่สามารถถามออกไปได้



    ไม่รู้เหมือนกันว่า ไม่กล้าถาม หรือไม่กล้าที่จะได้ยินคำตอบกันแน่...



    “แล้วทำไมแกต้องไล่พวกฉันกลับ แล้วแอบ ๆ ซ้อมกันกับพี่จีเอสองคนด้วยอะ...”



    ยังดีที่ซูจอง รุ่นน้องร่วมวงที่นั่งเงียบอยู่นานก็สงสัยเหมือนกัน

    เยอินมองหน้าจีเอด้วยรอยยิ้มที่รู้กันสองคนอีกครั้ง

    แต่คราวนี้จีเอเป็นคนตอบขึ้นเอง  “ถ้าจะเซอร์ไพรส์ มันก็ต้องเป็นความลับสิซูจอง”



              “ต้องเป็นความลับกับพวกฉันด้วยเหรอ”  มิจูชี้ไม้กลองเข้าหาตัวเอง  พอจีเอพยักหน้า ก็ทำหน้าตางอแงเหมือนเด็กโดนขัดใจ  “ทำไมพวกฉันรู้ไม่ได้อ่า ฉันก็อยู่วงเดียวกับเยอินนะ จีเอยา~”


                “ยิ่งถ้าเป็นเธอ ฉันยิ่งต้องเก็บความลับให้มิดเลยแหละ  ใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้นว่า อีมิจูรู้ โลกรู้”


                “โธ่ ใครมันตั้งฉายาแย่ ๆ แบบนั้นให้ฉันเนี่ย”



                  “... จะซ้อมกันได้รึยัง”



    เสียงเย็นชายะเยือกที่อาจถึงขั้นแช่แข็งใครซักคนได้ ดังขึ้นมาจากจีซูที่ยืนถือเบสรอจนเมื่อย  ทุกคนถึงกับเงียบกริบแล้วหันกลับไปจับเครื่องดนตรีของตัวเองด้วยสีหน้าหวั่น ๆ กับอาการเสียวสันหลังวาบ


    คุณหัวหน้าวงนี่น่ากลัวจริง ๆ …




    ทุกคนเลยเริ่มต้นซ้อมตั้งแต่ตอนนั้น  โดยมีจีเอนั่งเป็นผู้ชมอยู่ด้วย  มยองอึนรู้ตัวว่าตัวเองกำลังรู้สึกประหม่า ที่จริง เธอไม่เคยมีปัญหากับการแสดงต่อหน้าคนมาก ๆ  แต่เรื่องกวนใจวันนี้ทำให้เธอไม่ค่อยมีสมาธิ  ลืมเนื้อร้อง ขึ้นเสียงสูงไม่ถึง  พูดเกริ่นนำเชื่อมระหว่างเพลงได้ไม่ดี  จนต้องซ้อมกันใหม่อยู่หลายรอบ  กว่าจะเป็นที่พอใจก็ปาเข้าไปมืดค่ำแล้ว


    อาการเหน็ดเหนื่อยบวกกับเวลาที่ซ้อมเลิกดึกมากกว่าที่คิด แล้วพรุ่งนี้ก็ยังเป็นวันจริงที่ต้องแสดงแล้วด้วย  ทำให้ทุกคนเลิกบ่นเรื่องที่จะไม่ได้ดูเยอินซ้อมกับจีเอ และเตรียมเก็บของกลับบ้าน



    คนอื่น ๆ ร่ำลากัน และออกไปจากห้องกันหมดแล้ว  เหลือแต่มยองอึนที่ยังอ้อยอิ่ง เก็บของช้า ๆ เพราะไม่อยากให้สองคนที่เหลือได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองมากนัก



    แอบรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนหวงก้าง แต่คู่นี้มันก็น่าหมั่นไส้จริง ๆ นี่



    บ้านมยองอึนอยู่ไกลจากคนอื่น ๆ พอสมควร

    มิจู กับซูจองบ้านอยู่ทางเดียวกันก็เลยกลับด้วยกันไปแล้ว ส่วนจีซูอยู่บ้านข้าง ๆ เยอิน เพียงแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึง  ก็มีแต่เธอนี่แหละที่อยู่แยกคนละทาง  


    เธอก็ได้แต่หวังว่ารถเมล์จะยังไม่หมดละนะ...



    เมื่อถ่วงเวลาต่อไปอีกไม่ได้แล้ว  มยองอึนก็เลยจำใจหยิบกระเป๋าออกจากห้องซ้อมมา โดยไม่ได้บอกลาอีกสองคนที่เหลืออีกรอบ  แต่ยังไม่ทันจะเดินไปถึงหน้าประตูบ้าน  เจ้าของบ้านก็วิ่งตามมาเรียกเธอไว้



    “พี่มยองอึน!”


    คนผมสั้นหันไปตามเสียงเรียก  ก็เห็นเยอินถือกุญแจรถวิ่งตามเธอมา  พลางชี้ไปที่มอเตอร์ไซค์ของตัวเองที่จอดอยู่


    “ให้ฉันไปส่งนะ…”


    “อ้าว ไม่ซ้อมกับพี่จีเอแล้วเหรอ”


    “เดี๋ยวค่อยกลับมาซ้อมก็ได้  วันนี้พี่จีเอมาค้างกับฉันอยู่แล้ว…”



    ถึงขั้นเตรียมเสื้อผ้ามาค้างด้วยกันเลยเรอะ!



    มยองอึนได้แต่กำมือแน่น กล้ำกลืนความรู้สึกคับข้องใจอีกระลอกให้หายไป  

    เธอก็ไม่รู้แน่ชัดนักว่าสองคนนี้ไปถึงขั้นไหนกันแล้ว  เพราะไม่มีใครเคยบอก  แต่ถึงขั้นที่จะมานอนบ้านเดียวกันด้วยแล้ว  เธอก็คิดว่าเธอคงหวังหรือเข้าข้างตัวเองกับเรื่องของเยอินไม่ได้อีกต่อไป



    เลิกคิดซักทีมยองอึน!



    “ไม่ต้องหรอก  น่าจะยังมีรถเมล์อยู่”

    “แต่มันดึกแล้วนะ  ให้ฉันไปส่งเถอะ”



    เยอินพยายามทำหน้าขอร้องให้รุ่นพี่เปลี่ยนใจ  แล้ววิ่งกลับหลังไปคว้ามอเตอร์ไซค์ของตัวเองจูงมาถึงที่

    มยองอึนยังคงยืนอยู่ที่เดิม

    เธอไม่เข้าใจเยอินเลย…

    ไม่เข้าใจว่าเยอินจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร

    จะมาทำดีกับเธอด้วยเหตุผลอะไรอีก  ทั้ง ๆ ที่ก็มีคนที่สำคัญมากมายกว่านั้นนั่งรออยู่แล้ว



    มันเพราะว่าเราเป็นพี่เป็นน้องกันอย่างนั้นเหรอ

    หรือเพราะว่าแกเป็นคนดีเกินไป จองเยอิน



    “ฉันไปเองได้จริง ๆ  ฉันนั่งรถเมล์สายนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว  ไม่เป็นไรหรอก  แกกลับไปซ้อมเถอะ  ยังไม่ได้ซ้อมกันเลยนี่  พรุ่งนี้จะแสดงจริงอยู่แล้ว”

              “พี่ไปได้แน่นะ…”  เยอินวางหมวกกันน็อคที่หยิบมาด้วยสองใบลงกับตะกร้าหน้ารถ  เดินตรงไปคว้ามือของคนผมสั้นมากุมไว้แน่น  “แน่ใจนะ”


              “เออ บอกว่าได้ก็ได้ดิ ทำเหมือนฉันเป็นเด็ก ๆ ไปได้”


    เยอินยังคงมีท่าทางลังเล  แต่มยองอึนก็พยักหน้าให้ความมั่นใจกับเจ้าของบ้านอีกครั้ง  ค่อย ๆ คลายมือออกจากมือของอีกคนที่กุมอยู่



    “ฉันกลับได้จริงๆ  ไม่ต้องห่วง”

    “งั้นถ้าพี่ถึงบ้านแล้วโทรบอกฉันด้วยนะ”

    “อือ  ไปแล้วนะ…”



    “อย่าลืมโทรมานะพี่!”


    คนผมสั้นโบกมือให้รุ่นน้องก่อนจะเลื่อนบานประตูเหล็กเปิด  แต่เยอินก็ยังไม่วายตะโกนไล่หลังรุ่นพี่มาด้วยสีหน้าเป็นห่วง  ที่มยองอึนต้องรีบปิดประตูหลบให้พ้นจะได้ไม่ต้องเห็นสีหน้านั้น  เพราะกลัวว่าใจจะแอบคิดเข้าข้างตัวเองต่อไปอีก…



    เพราะนี่มันก็เหมือนกับการที่เยอินหย่อนเหยื่อล่อแสนสวยลงมาในน้ำ คือการคอยเป็นห่วงและทำดีด้วย  หลอกล่อให้ปลาธรรมดา ๆ อย่างเธออยากได้สิ่งนั้น  ความสวยงามของมัน ทำให้เธออดใจไม่ได้ที่จะเข้าไปใกล้  อยากจะคว้ามันมาไว้กับตัวเอง  อยากจะงับเหยื่อนั้นซะ  


    แต่เธอก็รู้อยู่แล้วว่ามันอันตราย  สิ่งเหล่านั้นไม่ได้มีไว้เพื่อเธอ  แต่มีไว้สำหรับคนคนนึงที่มีค่ากว่านั้น และมันจะทำให้ปลาธรรมดา ๆ อย่างเธอเจ็บอย่างแสนสาหัส  โดยที่เธอจะไม่ได้อะไรกลับมา  นอกจากแผลเหวอะหวะที่ต้องมารักษาด้วยตัวเอง


    ความหวังดีนั้น อย่ารับมันมาเลยมยองอึนอา... มันไม่ใช่ของของเธอ  มันไม่ได้ทำมาเพื่อเธอ

    มันไม่มีวันเป็นของเธอ...


    ----


    ใกล้เวลาเริ่มแสดงของวงสุดท้ายที่เป็นวงที่ทุกคนรอคอย  เหล่านักเรียนก็ทะยอยเข้ามาในหอประชุมที่ใช้แสดงจนแน่นขนัด

    เสียงพิธีกรคนสวยคุยเล่นกับคนดูได้ยินดังมาถึงด้านหลังเวทีที่เหล่าสมาชิกวงนั่งหน้าตาคร่ำเครียดกันอยู่

    แม้แต่มิจูคนขี้เล่นก็ยังนั่งเคาะไม้กลองด้วยสีหน้าแอบเครียดไปด้วย



    เมื่อได้ยินเสียงจีเอเรียกให้วงสุดท้ายขึ้นไปเซ็ทเครื่องดนตรีเตรียมแสดง  จีซูก็เรียกสมาชิกทุกคนมาล้อมวงเพื่อรวบรวมความมั่นใจก่อนขึ้นเวที


    “ไม่ได้จะบอกให้กดดันนะ  แต่ว่านี่เป็นการแสดงครั้งสุดท้ายของฉันกับมิจูที่โรงเรียนนี้  ขอให้ทุกคนทำให้เต็มที่ละ  เข้าใจไหม”

    “ไม่กดดันซักนิดเลยพี่จีซู…”  เยอินที่ตอนนี้หน้าซีดไม่แพ้เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ใส่อยู่โพล่งขึ้นทันทีที่หัวหน้าวงพูดจบ  เสียงคนดูที่ดังกระหึ่มอยู่ด้านนอกทำเอาเธอตื่นเต้นจนมือเย็นเฉียบ  “ทำยังไงก็ไม่ชินกับคนเยอะ ๆ ซักที  ให้ตายเถอะ”



    “ข้างนอกนั่นแฟนคลับแกทั้งนั้น  แกจะทำอะไร  โก๊ะกังแค่ไหนคนก็กรี๊ดอยู่แล้วแหละ…”  มยองอึนยื่นแขนไปโอบไหล่รุ่นน้องตัวโตเพื่อให้กำลังใจ  และหนึ่งในคนที่จะกรี๊ดให้เยอินก็มีเธออยู่ด้วยนี่แหละ



    “เออ… ฉันก็ไม่ได้จะกดดันเหมือนกันนะ”  มิจูชี้นิ้วโป้งข้ามไหล่ไปยังวงอื่นที่นั่งพักอยู่หลังเวทีเหมือนกัน  “แต่เมื่อกี๊ฉันไปคุยกับจินเย วง De Boum มา  มันบอกว่ามีอาจารย์จากมหาลัยดนตรีมาดูด้วย  ถ้าใครเล่นดีก็อาจจะถูกทาบทามให้ไปเรียนต่อ  หรืออาจจะมีให้ทุนด้วยนะ”

    “โคตรจะไม่กดดันเข้าไปใหญ่เลยพี่มิจู”  ซูจองเช็ดเหงื่อที่ไหลซึมตามไรผม พูดแกมประชดขึ้นมาบ้าง  ทุกคนตื่นเต้นจนแม้แต่การกลืนน้ำลายก็ยังยากลำบาก  ตอนนี้การออกไปหน้าเวทีดูจะน่ากลัวพอ ๆ กับการไปออกรบเสียแล้ว



    “เอาน่า… สู้ ๆ นะทุกคน  ทำให้เต็มที่  ทำให้เหมือนที่ซ้อมมา  ยกเว้นมยองอึน  ทำให้ดีกว่าที่ซ้อมมาล่ะ  ฉันรู้ว่าเธอปล่อยของวันจริงอยู่แล้ว...”



    นักร้องนำที่ตอนแรกก็ดูจะเครียดน้อยที่สุดก็กลับเครียดขึ้นมาบ้าง  เมื่อหัวหน้าวงอย่างจีซูฝากฝังความหวังไว้ที่เธอ  

    “จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่เคยทำมาเลยแล้วกัน”


    “ดีเลย… รวมมือกันหน่อย”


    มือของสมาชิกวงวางทับซ้อนกันเป็นหนึ่ง  มยองอึนรู้สึกได้ถึงมือเย็นเฉียบของมือคีย์บอร์ดที่วางทับลงบนหลังมือของเธอ  เธอไม่รู้จะช่วยยังไงนอกจากพยักหน้าให้กำลังใจเสริมอีกแรง



    “L to the Z!  ไฟท์ติ้ง!!”


    ----



    เหล่าคนดูส่งเสียร์เชียร์กันดังสนั่นเมื่อพวกเธอเล่นเพลงร็อคเร็วซึ่งเป็นเพลงรองสุดท้ายจบ  มยองอึนเดินไปหยิบขวดน้ำที่หน้าเวทีมาจิบพลาง ๆ ระหว่างที่รอสมาชิกวงเซ็ทเครื่องดนตรีกันใหม่เล็กน้อย เพื่อจะเล่นเพลงสุดท้าย…



    เพลงที่เธอกลัวที่จะร้องมากที่สุด  เพราะความหมายของมันช่างจี้ใจดำเธอเสียเหลือเกิน

    แต่สมาชิกวงผู้ไม่รู้เรื่องราวอะไรในใจของเธอก็ยืนกรานว่าจะต้องร้องเพลงนี้ให้ได้  เนื่องจากน้ำเสียงใสปนเศร้าของเธอเข้ากับเพลงนี้ได้อย่างลงตัว



    “เอาละค่ะ… เพลงนี้ก็จะเป็นเพลงสุดท้ายของพวกเราแล้ว  ไหน ๆ ก็กระโดดกันมาตลอดหลายเพลง เราก็จะขอปิดท้ายด้วยเพลงช้าๆ  เบาๆ แล้วกันนะคะ…”


    ปกติแล้วมยองอึนชวนคุยไม่เก่งนัก  จึงเป็นนักร้องนำที่ไม่ค่อยป๊อบในหมู่คนดู  แต่วันนี้นักร้องนำของวงชวนคนดูคุยต่อได้ไหลลื่น  ไม่ติดขัดเหมือนตอนซ้อมที่ล่มกลางคันอยู่หลายครั้ง



    อาจเป็นเพราะเพลงที่กำลังจะร้องนั้นตรงกับชีวิตของเธอจนไม่จำเป็นต้องจำบทพูดเกริ่นนำเพลงเหมือนที่เคยทำมาตลอด

    “มีใครในนี้เคยไม่สมหวังในความรักกันบ้างไหมคะ…” คนดูส่งเสียงฮือฮา และค่อย ๆ ยกมือกันเกือบทั้งหอประชุม  



    “ใคร ๆ ก็เคยกันทั้งนั้นละค่ะ แต่กว่าจะไปถึงขั้นตอนอกหัก  ก่อนหน้านั้น  ตัวเราเองก็มักจะประเมินสถานการณ์ได้อยู่แล้วใช่ไหมละคะ ว่าเรามีความหวังแค่ไหน เช่น เค้าอาจจะมีแฟนอยู่แล้ว  เค้าไม่ชอบคนแบบเรา  หรือเค้าไม่เคยรู้จักหรือเห็นเราอยู่ในสายตาเลย...”



    มยองอึนทอดสายตามองมือคีย์บอร์ดที่กำลังหลับตาตั้งสมาธิเตรียมเล่นเพลงสุดท้าย…


    “แต่มันจะมีคนอีกประเภทที่รู้ว่าเราคิดอะไรแล้วชอบ ‘ให้ความหวัง’ ค่ะ  หลาย ๆ คนคงเคยเจอคนที่ชอบมาให้ความหวัง  ทำให้เราประเมินสถานการณ์ผิดพลาดไป  เผลอคิดเข้าข้างตัวเอง  ทั้ง ๆ ที่ที่จริงก็ไม่ได้คิดอะไรไปมากเท่าเรา  แล้วสุดท้ายเค้าก็จากไป  ทิ้งเอาไว้แค่ ‘ความหวัง’ ให้เราเก็บเอาไว้...”



    “เราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต่อว่าเค้าอยู่ในใจว่า  ‘เธอไม่น่าทำอย่างนั้นเลย...’”

    “เอาล่ะ  ถ้างั้น มาฟังกันเลยดีกว่าค่ะ กับเพลง Shouldn’t have…”



    เสียงเปียโนจากเยอิน  ตามด้วยกีตาร์อะคูสติกประสานจากซูจองบรรเลงขึ้นเป็นท่อนเริ่ม  มยองอึนขยับไมโครโฟนเข้ามาใกล้  หลับตานึกถึงความรู้สึกที่อยู่ภายในใจลึก ๆ ของเธอให้ถ่ายทอดออกมาผ่านเสียงร้อง…



    ฉันคิดมาก… จนนอนไม่หลับ

    ‘ทำไมเธอถึงทำอย่างนั้น’

    เป็นสิ่งที่อยากถามกับเธอมาตลอด

    อยากจะถามกับเธอเหลือเกิน



    ที่ผ่านมา… ฉันเป็นอะไรสำหรับเธอ



    ฉันกังวลจนแทบบ้า  คิดไปเองอยู่ฝ่ายเดียว

    มีแค่ฉันคนเดียวที่คิด แต่เธอ…




    ถ้าอย่างนั้น…

    เธอก็ไม่ควรทำอย่างนั้น

    คืนนั้นเธอก็ไม่ควรเดินมาส่งฉันที่บ้าน

    เธอก็ไม่ควรกอดฉันไว้แบบนั้น

    เธอก็ไม่ควรพูดถ้อยคำเหล่านั้นที่ทำให้ใจของฉันสั่นไหว

    สายตาอบอุ่นที่เธอใช้มองมาที่ฉัน

    ฉันคงเป็นบ้าไปคนเดียวที่ไปตกหลุมรักมันเข้า



    เธอไม่ควรทำอะไรอย่างนั้น

    ไม่ควรทำอย่างนั้นเลย…



    เธอไม่ควรทำอย่างนั้น

    ฉันเองไม่ก็ควรรู้สึกอย่างนั้น

    ฉันเฝ้าบอกตัวเองอยู่ทุกวัน

    บอกทุก ๆ คำที่ฉันไม่สามารถบอกเธอออกไปได้


    เธอไม่น่าทำอะไรอย่างนั้นเลย…



    เสียงคนดูปรบมือเกรียวกราวและส่งเสียงเชียร์ดังลั่นเมื่อดนตรีจบ  มยองอึนกวาดสายตามองทั้งหอประชุมด้วยรอยยิ้มกว้าง  โล่งใจที่ทำได้ดีเหมือนยกภูเขาออกจากอก  หันไปเจอเพื่อนร่วมวงคนอื่น ๆ ก็กำลังยกนิ้วโป้งให้ทั้งสองข้างเช่นกัน…



    เยอินส่งยิ้มให้เธอพร้อมกับพูดว่า ‘เยี่ยมมาก’  



    นี่คงจะเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดของเธอ

    ถ้าเยอินไม่ได้มีโชว์พิเศษกับจีเอรออยู่...



    พิธีกรสาวรั้งตัวมือคีย์บอร์ดเอาไว้เมื่อเธอได้สัมภาษณ์สั้น ๆ หลังการแสดงจบ  มยองอึนกับเพื่อนร่วมวงคนอื่น ๆ ก็เข้ามาด้านหลังเวทีโดยมีสมาชิกจากวงอื่น ๆ มารุมล้อมถามเรื่องโชว์พิเศษของจีเอกับมือคีย์บอร์ดของวงเธอ  แต่พวกเธอก็ตอบคำถามพวกนั้นไม่ได้เพราะไม่รู้อะไรเลยเหมือนกัน  คนอื่น ๆ ก็เลยกรูกันไปเกาะขอบเวทีรอดูว่าสองคนดังของโรงเรียนจะมีอะไรพิเศษ ๆ มาให้ดูบ้าง... น่าสนใจจนแม้แต่มือกลองกับมือกีตาร์ของวง L to the Z อย่างมิจูกับซูจอง ยังเปลี่ยนใจวิ่งกลับไปดูด้วย



    แต่มยองอึนกลับตรงกันข้าม  ใช่ว่าเธอไม่อยากดูเยอินแสดง  แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทนแข็งใจดูภาพบาดตาได้หรือไม่

    เธอตั้งใจว่าจะเดินออกจากหอประชุมไปทางประตูด้านหลังเวทีนี้  พอเสร็จงานแล้วค่อยกลับมาเก็บข้าวของ  แต่จีซูที่เดินตามมาติด ๆ เรียกถามรั้งนักร้องนำของวงไว้



    “ไปไหนอะ  ไม่ไปดูกับคนอื่นเค้าเหรอ…”

    “ไปเข้าห้องน้ำอะ เดี๋ยวกลับมา”



    เธอตัดสินใจโกหกรุ่นพี่  เพราะไม่อยากอยู่เปิดเผยความอ่อนแอให้ใครเห็น  จีซูไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ  

    มยองอึนเลยถือโอกาสปลีกตัวออกมาจากหอประชุม  และหลบมานั่งเล่นที่ชิงช้าในสนามเด็กเล่นฝั่งประถม  ซึ่งเธอตั้งใจเลือกที่จะมาให้ไกลจากหอประชุมที่จัดแสดงมากที่สุด  จะได้ไม่ได้ยินเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาให้เจ็บปวดหัวใจ



    มยองอึนก็ไม่รู้ว่าเธอนั่งอยู่ตรงนานเท่าไหร่แล้ว  เพราะไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือติดมือมาด้วยและเธอไม่ใช่คนชอบใส่นาฬิกา  รู้แต่ว่าเธอนั่งเล่นอยู่นานจนพวกเด็ก ๆ ประถมเพิ่งเลิกเรียน ที่คอยมองแรงใส่พี่มัธยมปลายปีสองที่มาแย่งเล่นชิงช้าอย่างเธอกลับบ้านกันไปหมดแล้ว



    เธอนั่งคิดอะไรไปเพลิน ๆ  เหม่อมองท้องฟ้าที่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีส้มเข้มขึ้นเรื่อย ๆ  และยังไม่อยากกลับไปเจอหน้าใครตอนนี้  โดยเฉพาะ จองเยอิน...  คนที่คงกำลังจะมีความสุขดีอยู่กับปลาตัวใหญ่ที่เพิ่งตกมาได้



    ทั้ง ๆ ที่พยายามหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทุกอย่างเพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองเจ็บแล้วแท้ ๆ  แต่ก็ยังมานั่งนึกถึงเค้าอยู่ดี…


    คนผมสั้นก้มมองรองเท้าผ้าใบที่ตัวเองใส่ในวันนี้  รองเท้าคู่เดียวกับที่เยอินผูกเชือกไว้ให้จนแน่นเมื่อวันก่อนราวกับจะไม่ให้เธอแกะออกได้ยังไงยังงั้น  



    แค่ฉันเลิกชอบเธอไม่ได้มันยังรัดฉันแน่นไม่พอรึไง จองเยอิน…



    คนผมสั้นก้มลงพยายามแกะปมเชือกที่ผูกเงื่อนตายมัดจนแน่นออก  แต่แกะจนเล็บจะฉีก เชือกก็ไม่ยอมคลายตัวออกเลย  เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาน้ำตาคลอแค่เพราะปมเชือกรองเท้าที่แกะไม่ออกอย่างนี้



    อ่อนแอเกินไปไหมเนี่ย...




    “เด็กหญิงพัคมยองอึน~ ผู้ปกครองมารับแล้วค่ะ… อ้าว! แล้วนั่นพี่จะแกะทำไมอะ”


    เสียงเย้าแหย่ที่มยองอึนคุ้นเคยดังใกล้เข้ามาจากทางด้านหลังชิงช้าที่เธอนั่งอยู่  เธอรีบปาดน้ำตาที่คลอเบ้าออกอย่างรวดเร็วแล้วหันกลับไปมองเยอินที่เพิ่งเดินมาถึง



    “ก็แกผูกไว้แน่นเกิน…”

    “ไม่ต้องไปแกะหรอก แน่นก็ดีแล้วนี่  จะได้ไม่หลุดง่าย”  



    เยอินตรงเข้ามาจับโซ่ชิงช้าแกว่งเบา ๆ ให้คนที่นั่งอยู่  มยองอึนไม่ได้พูดอะไรต่อจากคำแนะนำของคนตัวสูง  เธอนั่งให้เยอินแกว่งชิงช้าให้อย่างเงียบ ๆ  จนรุ่นน้องคงทนความเงียบไม่ไหวเข้าเลยเป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นก่อน


    “ทำไมมาหลบอยู่นี่  ฉันตามหาพี่แทบแย่”

    “ก็แค่เบื่อ ๆ คนเยอะเฉย ๆ”



    “พี่ไม่ได้อยู่ดูโชว์สุดท้าย  พี่จีซูบอกว่าพี่ไปเข้าห้องน้ำ  แต่ก็ไม่ได้กลับไปอีก...”

    “แล้วไง”



    “พลาดอะไรไปเยอะเลยแหละ  พี่น่าจะอยู่ดูอะ  พี่จีเอโคตรเจ๋งเลย  ฉันนี่โคตรประทับใจ...”



    จะตามมาหาฉันเพื่อพูดถึงคนของแกทำไมอีก...


    มยองอึนไม่รู้จะหลบเลี่ยงยังไงให้พ้น  เธอหนีมาถึงที่นี่ก็เพราะไม่อยากรู้อะไรที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น แต่เจ้าตัวยังตามมาเล่าให้ฟังถึงที่  น้ำตาที่เคยกลั้นไว้ไหลท่วมขอบตาจนเอ่อล้นลงมาที่แก้ม  และเธอไม่สนใจจะเช็ดมันอีกต่อไป


    เยอินยังคงยิ้มกว้างพลางแกว่งชิงช้าให้คนผมสั้น  โดยไม่ได้สังเกตแผ่นหลังที่สั่นไหวเพราะพยายามสะกัดกั้นความรู้สึกที่เธอไม่ควรคิดกับอีกคนนึงไว้  แต่จนแล้วจนรอดก็คงไม่พ้นสายตาเยอินที่สังเกตว่าคนพี่เงียบไปนานผิดปกติ



    “พี่… เป็นอะไรรึเปล่า”

    “ช่างฉันเถอะ”

    “ช่างไม่ได้สิ…”



    รุ่นน้องปล่อยมือจากโซ่ชิงช้าแล้วเดินอ้อมมาด้านหน้า คุกเข่าลงให้อยู่ระดับเดียวกับคนที่นั่งชิงช้าเพื่อจะได้เห็นหน้ามยองอึนชัด ๆ  

    เยอินไม่ได้คาดหวังว่าจะเห็นน้ำตาจากมยองอึน  เลยตกใจรีบใช้มือของตัวเองเช็ดน้ำตาให้คนผมสั้นแทนที่จะใช้ผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อ  และพยายามสบตาคนที่กำลังก้มหน้าซ่อนน้ำตาของตัวเองไว้  


    “พี่มีอะไรไม่สบายใจอะ  บอกฉันได้นะ...”



    ราวกับความอดทนเส้นสุดท้ายขาดผึง  แค่เพียงได้ยินน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยจากอีกฝ่าย  เธอปัดมือของเยอินที่แตะอยู่ที่แก้มของเธอออก  ขึ้นเสียงดังใส่อีกฝ่ายทั้งที่น้ำตายังนองหน้า


    “เลิกมาทำดีกับฉันซักทีได้ไหม!”

    “พี่มยองอึน…”



    ยิ่งเห็นสายตาสับสนปนกังวลของคนตรงหน้า  เธอยิ่งทนควบคุมหลาย ๆ อารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในใจแทบไม่ไหว


    เธอชอบเยอินเหลือเกิน

    ยิ่งเค้าเป็นห่วง  ยิ่งเค้าใส่ใจ  ใจของเธอยิ่งหวั่นไหว


    แต่นี่มันมากเกินไปสำหรับเธอ…



    “ฉันรู้แกเป็นคนดี  แกเป็นห่วงเป็นใยคนอื่น ทำให้เค้าชอบแกกันไปทั่ว  แต่แกเลิกทำอย่างนี้ซักทีเหอะ”


    “...”


    “เลิกให้ความหวังคนอื่นซักที  แกมีพี่จีเออยู่แล้วทั้งคน  จะมาทำดีกับฉันไปทำไมอีก


    ฉันชอบแก  แต่ฉันไม่อยากชอบแกอีกแล้ว

    .

    .

    .

    เลิกให้ความหวังฉันเถอะ  คนไม่มีสิทธิมันเจ็บนะเว้ย..”



    มยองอึนไม่กล้าสบตากับคนที่เธอเพิ่งสารภาพความในใจออกไป  ยิ่งอีกคนนิ่งเงียบ  ใจยิ่งเสียเข้าไปใหญ่  เธอไม่รู้จะพูดอะไรต่อ  ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร  เธอควรจะลุกออกไปจากตรงนี้เลยดีไหม  หรือจะบอกตามหลังว่าเธอพูดเล่นดี  แต่คนตรงหน้าก็คงไม่เชื่อแล้วเพราะเธอดันร้องไห้ออกมาซะขนาดนี้…



    ผมสั้นสีน้ำตาลที่ปรกหน้าถูกคนนั่งคุกเข่าที่เงียบอยู่นานปัดออกเบา ๆ  ริมฝีปากบางบรรจงจูบซับลงบนแพขนตาที่เปียกชื้น  ราวกับจะช่วยซับน้ำตากับความทุกข์ให้คลายลง



    สัมผัสอบอุ่นจากอ้อมกอดกับริมฝีปากของเยอินนั้นเป็นการตอบรับคำสารภาพที่เกินความคาดหมายของมยองอึนไปมาก  เธอไม่รู้ว่ารู้สึกตกใจหรือดีใจมากกว่ากัน  รู้แต่ว่าเธอยอมนั่งอยู่ตรงนี้อีกทั้งคืนก็ได้ถ้ายังมีอ้อมกอดของเยอินอยู่แบบนี้



    แต่เธอเริ่มรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ของอีกฝ่าย…



    “ใครบอกว่าพี่ไม่มีสิทธิละ…”

    “นี่แกยังจะทำแบบนี้กับฉันอีกเหรอ…”



    “ชู่ว~ ใจเย็น ๆ ฟังฉันก่อนสิ” เยอินคว้าข้อมือคนที่กำลังเงื้อมือจะทุบเธอเอาไว้ได้  แล้วยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองพลางกลั้วหัวเราะ

    “นี่ไง… ฉันถึงบอกว่าพี่พลาดอะไรไปเยอะ ที่ไม่ได้ดูโชว์ของพี่จีเอ...”



    “ทำไม?”  ครั้งนี้มยองอึนสงสัยมากกว่าที่จะรู้สึกเจ็บปวดกับชื่อของรุ่นพี่คนสวยที่ออกมาจากปากของคนตรงหน้าที่กำลังลูบผมปลอบเธอพลางยิ้มกว้างคลายกังวล



    “ก็ถ้าพี่อยู่ดู  พี่ก็จะรู้ไงว่าพี่จีเอเค้าร้องเพลงให้พี่จีซู  คนเค้ากรี๊ดสนั่นลั่นฮอลล์...”

    “หา?”



    “งงเลยล่ะสิ~”

    “ล… แล้วทำไม…”



    “พี่จีเอใช้ฉันเป็นเครื่องมือนิดหน่อยน่ะ… แบบว่า  ลองใจพี่จีซู อะไรประมาณนั้น  ไม่คิดว่าจะได้ผลมาถึงพี่ด้วยแฮะ”


    เยอินหัวเราะเบา ๆ  หลังจากพูดจบ ใช้นิ้วโป้งกดระหว่างคิ้วของมยองอึนที่กำลังขมวดปมแน่นด้วยความสงสัยอย่างอารมณ์ดี  



    “สรุปว่าแกกับพี่จีเอเป็นอะไร… กันอะ”

    “พี่จีเอเป็นพี่สาวที่ฉันสนิทด้วยมากที่สุด  แม่ฉันกับแม่พี่จีเอสนิทกัน  เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว  ฉันไม่คิดอะไรแบบนั้นด้วยหรอก...”



    คนที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านล่าง  จู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมานั่งเบียดบนที่นั่งชิงช้าด้วยกันกับมยองอึน  แผ่นไม้ที่นั่งนั้นเล็กเกินกว่าคนสองคนจะนั่งสบายอยู่แล้ว


    “ถ้าอย่างงั้นพี่ละ… อยากเป็นอะไรกับฉัน”


    ความอบอุ่นจากท่อนแขนที่เบียดชิดกัน กับใบหน้าของอีกฝ่ายที่ค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้จนเธอได้ยินเสียงลมหายใจ   

    บวกกับคำพูดชวนคิดและหน้าตาเจ้าเล่ห์นั่นอีก

    ยิ่งทำให้มยองอึนรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาที่หน้าของตัวเอง



    เยอินไม่ได้รอให้อีกฝ่ายตอบคำถามของตัวเอง แต่ประคองใบหน้าของผมสั้นเข้าไปใกล้และกดจูบลงไปบนลงริมฝีปากบางแทน มยองอึนตกใจเกินกว่าจะตอบรับจูบนั้นได้โดยไม่เคอะเขิน  ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งร้องไห้เพราะคิดว่าอกหักจากคนที่ชอบอยู่แท้ ๆ  แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้คนที่เธอชอบกำลังจูบเธออยู่…



    นี่มันฝันของฉันรึเปล่าเนี่ย…



    แต่สัมผัสจากปลายจมูกโด่งของเยอินสัมผัสกับแก้มของเธอ  สัมผัสจากปลายนิ้วที่ประคองใบหน้าของเธอให้ตอบรับกับจูบนั้น  และรอยจูบย้ำ ๆ ที่กำลังละเลียดดูดดื่มความหอมหวานจากริมฝีปากล่างของเธอก็บ่งบอกชัดว่าเธอไม่ได้ฝันไป


    แถมยังเป็นอะไรที่ดีเกินกว่าฝันไปเสียอีก…



    เธอติดกับเหยื่อของเยอินแล้ว

    แต่ครั้งนี้เธอไม่อยากจะออกไปเลยแม้แต่น้อย



    เยอินยอมผละออกจากริมฝีปากที่ตอนนี้แดงฉ่ำของมยองอึนหลังจากจูบอันยาวนาน เพราะรุ่นพี่กำปกเสื้อเชิ้ตของเธอยับยู่ยี่จนเธอกลัวอีกฝ่ายจะหมดอากาศหายใจไปเสียก่อน เธอเอื้อมมือไปลูบผมมยองอึนที่กำลังซบหน้ากับไหล่ของเธอและกำลังหอบหายใจแรงถี่



    “ว่าไง… ตกลงพี่อยากเป็นอะไรกับฉันไหม”

    “ไอ้บ้าเอ๊ย  ใครเค้าถามกันอย่างนี้เล่า…”  มยองอึนทุบไหล่คนที่เธอกำลังซบอยู่โทษฐานถามคำถามกวนประสาทซ้ำอีกรอบ  “ถ้าแกชอบฉันเหมือนกัน  แกก็ขอฉันคบดิ”



    “ฉันก็ชอบพี่ไง…  ไม่งั้นจะจูบทำไม”

    “งั้นแกจะมาถามฉันทำไมอีก  ก็ขอเลยดิ”



    “แล้วมีใครที่ไหนเค้าใช้วิธีบังคับให้คนที่ชอบบอกขอคบกันบ้างเนี่ย  ฮ่า ๆ ๆ”

    “โอ๊ย งั้นไม่คุยด้วยแล้ว!”

    “เดี๋ยว ๆ  พี่มยองอึน  ใจเย็น ๆ ~  ให้ฉันคิดคำซึ้ง ๆ ให้ได้ก่อนดิ~”



    เยอินรั้งคนขี้หงุดหงิดที่กำลังจะลุกหนีลงมานั่งที่ตักของเธอ  กระชับกอดไว้แน่นกว่าเดิมไม่ให้อีกฝ่ายดิ้นไปไหนได้อีก  ราวกับอีกฝ่ายเป็นปลาหายากที่เธอจะไม่ปล่อยให้หลุดมือไป


    มือของมยองอึนถูกเยอินดึงมากุมไว้  แล้วกดจูบลงบนหลังมือนั้น  สายตามั่นคงจริงจังที่มองมาเหมือนสะกดใจที่กำลังว้าวุ่นหงุดหงิดของมยองอึนให้สงบลงได้



    “ขอบคุณนะที่พี่ก็รู้สึกดีกับฉันเหมือนที่ฉันรู้สึก

    แล้วก็ขอโทษด้วยนะที่ทำพี่ร้องไห้…”


    “ฉันไม่เคยคิดจะให้ความหวังใครเลยนะ  แม้แต่กับพี่ก็เถอะ  ขอโทษที่ทำให้พี่รู้สึกแบบนั้น  แต่ว่าถ้าพี่สังเกตดี ๆ พี่ก็คงจะรู้ว่าทุกอย่างที่ฉันทำให้พี่ ฉันทำแบบนั้น กับพี่แค่คนเดียว… ไม่เคยทำกับคนอื่นเลยซักครั้ง”


    “ต่อไปนี้  ฉันอยากไปตกปลากับพี่  อยากเล่นดนตรีกับพี่  อยากไปส่งพี่ที่บ้าน อยากจูบพี่ด้วย...


    ฉันอยากอยู่กับพี่ในฐานะอื่นแล้วอะ

    .

    .

    .

    เราเลิกเป็นพี่น้องกันเถอะนะ… ได้ไหม”




    เยอินถามประโยคสุดท้ายยังไม่ทันจบดี  ก็ถูกคนผมสั้นโน้มคอเข้าไปจูบอีกครั้ง  เสียงตอบรับในลำคอ กับใบหน้าพยักเบา ๆ คือคำตอบว่า ‘ตกลง’  ของคำถามนั้น...



    โทรศัพท์มือถือของเยอินสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง  ทำให้ทั้งสองต้องผละออกจากกัน  เป็นจีซูนั่นเองที่โทรมาตามว่าเธอได้เจอนักร้องนำที่ หายตัวไปแล้วหรือยัง เยอินเลยดึงมือมยองอึนเพื่อลุกขึ้นจากชิงช้า  พานักร้องนำที่สมาชิกวงตามหากันวุ่นกลับไปเก็บของที่เวทีที่เธอแอบหนีออกมา



    “นี่ เล่าให้ฟังหน่อยสิ… ฉันพลาดอะไรไปมั่ง เรื่องพี่จีเอกับพี่จีซูอะ”

    “โหย  พลาดทุกตรงเลยแหละ   พอพี่จีเอร้องเพลงจบนะ พี่แกก็บอกชอบพี่จีซูออกไมค์ตรงนั้นเลย  แล้วพี่มิจูกับซูจองก็ไปลากพี่จีซูออกมาหน้าเวทีได้ไงไม่รู้… พลาดสุด ๆ ก็ตรงพี่อดเห็นคนหน้าตายอย่างพี่จีซูเขินนั่นแหละ”



    “จริงดิ?  พี่เค้าเขินยังไงอะ”

    “เดี๋ยวไปดูคลิปที่พี่มิจูเลย  หรือไม่แน่ก็เดี๋ยวไปเห็นที่เวทีเลยเนี่ยแหละ  ฉันว่าพี่จีซูน่าจะยังเขินพี่จีเอไม่เลิกแน่  เมื่อกี๊ตอนโทรมายังได้ยินเสียงแซวกันอยู่เลย ฮ่า ๆ ๆ”



    “โอ๊ย  ฉันไม่น่าปอดแหกเรื่องแกแล้วเผ่นออกมาเลยอะ

    แล้วนี่เค้าไปชอบกันได้ไง?  ฉันดูไม่เห็นออกเลย...”

    “พี่จีเอชอบพี่จีซูมาตั้งนานแล้ว~  พอตอนต้นปีที่ฉันออดิชั่นเข้าวงพี่ได้  พี่จีเอก็รีบมาขอให้ฉันช่วยตีสนิทให้ใหญ่เลย  แต่อิพี่เรามันเย็นชาหน้าตายซะขนาดนั้น ตอนแรกฉันก็ไม่คิดว่าแผนพี่จีเอมันจะได้ผลหรอก...”



    “ทำไมฉันรู้สึกเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรที่เกิดขึ้นเลยเนี่ย~”

    “ก็พี่มัวแต่ชอบฉันล่ะสิใช่ม้า~”

    “อย่ามาหลงตัวเองน่า  เล่าให้ฟังต่ออีกสิ”

    “พี่อยากรู้อะไรก็ถามมาดิ~~”



    เสียงใสของมยองอึนเอ่ยถามเรื่องจีซูกับจีเอที่เธอพลาดไปตลอดทางเดินกลับ  เยอินก็คอยตอบคำถามมากมายได้ไม่รู้เบื่อ  เห็นทีว่าเธอคงต้องหาซื้ออะไรไปขอบคุณจีเออยู่เหมือนกันที่เป็นคนต้นเรื่องที่ส่งผลดีต่อมยองอึนกับเธอด้วย




    เสาร์อาทิตย์นี้เปลี่ยนเป็นชวนพี่มยองอึนไปเดินห้าง ซื้อของบ้างก็คงจะดี…


    เยอินมองคนตัวเล็กกว่าที่กำลังเดินคล้องแขนอยู่ข้าง ๆ เธอ  พลางนึกถึงความน่ารักของอีกฝ่ายที่มีให้เธอตลอดมา



    ทั้งที่มยองอึนเกลียดอากาศร้อน และการไปตกปลาอย่างกับอะไรดี

    แต่ก็ยอมไปกับเธอทุกครั้งที่เธอชวน  แค่เธออ้อนว่าไม่อยากไปคนเดียว  และบอกว่าชอบให้มีอีกคนอยู่ข้าง ๆ ด้วยกัน   ก็ทำให้มยองอึนที่ถึงจะบ่นเล็กน้อยแต่ก็ไม่เคยปฏิเสธเธอเลยซักครั้ง  


    เหตุผลที่ทำให้เธอชอบตกปลาอีกข้อหนึ่งที่เธอไม่เคยบอกใคร  ก็คือ  เธอชอบการที่ได้อยู่กับมยองอึนสองคนในบรรยากาศดี ๆ นี่แหละ



    วันเสาร์นี้เธอคงจะต้องตอบแทนที่มยองอึนไปตกปลากับเธอตลอด ด้วยการไปที่อื่นตามใจคุณแฟนซักหน่อยแล้วกัน


    และเยอินคงจะไม่ไปตกปลาอีกซักพัก

    เพราะเธอมีสิ่งมีค่าที่ต้องดูแลที่สำคัญกว่าปลาหายากที่ต้องตกให้ได้แล้ว…


    -end-


    Soundtrack recommended : Baek A Yeon - Shouldn't Have (youtube.com/watch?v=x815A21RIto)



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×