คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่แปด ... (รีไรท์)
ฐานัสยืนมองคนที่อยู่ห่างไปอย่างพิจารณา
เห็นแล้วว่าฝ่ายนั้นดูกำลังจริงจังกับกระดาษในมือเป็นอย่างมากจึงตัดสินใจนิ่งเฉย จนกระทั่งกระดาษแผ่นแรกจบไปแผ่นที่สองจึงตามมา
และเรียวคิ้วเข้มก็ขมวดเป็นปมอย่างครุ่นคิดทันที นั่นล่ะถึงทำให้เขาตัดสินใจเดินตรงไปหา
คนที่ยืนอยู่หลังรถกระบะขนผักอินทรีย์เหลียวสายตามองวินาทีหนึ่งเมื่อรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวผ่านปลายสายตา
ก่อนจะกลับมาสนใจกับชื่อผักชนิดหนึ่งที่ทำให้การทำงานหยุดชะงักชั่วคราวต่อ ไม่ได้รู้เลยสักนิดว่าการเคลื่อนไหวของคนแปลกหน้าใกล้ตัวมากขึ้น
จนที่สุดก็อยู่ใกล้พอที่จะทำให้เงยหน้าขึ้นมอง
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”
คำถามนั้นส่งมาอย่างเป็นมิตร แต่ไกรวีกลับหรี่ตาลงขณะพินิจรูปหน้าที่คลับคล้ายเคยเจอกันที่ใด
และรอยยิ้มที่ส่งมาก็ราวกับกระตุ้นความทรงจำได้ดี ชายหนุ่มจึงไม่ได้ยิ้มแต่ก็ไม่ขยับหนี
เพียงส่ายหน้า ตอบกลับเสียงเรียบไปเท่านั้น
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ”
น่าแปลกที่กิริยาเรียบเฉยอย่างนั้นกลับทำให้ฐานัสพอใจ
พอเห็นว่าอีกฝ่ายกลับไปสนใจหลังกระบะที่มีผักห่อมัดแยกประเภทกันชัดเจนแล้วจึงถือวิสาสะชะโงกหน้าดูกระดาษที่เป็นใบรายการสินค้า
ขยับยิ้มมากขึ้นพลางช้อนนัยน์ตามอง ความไม่แน่ใจซึ่งปรากฏชัดบนใบหน้าทำให้ชายหนุ่มเอ่ยยิ้ม
ๆ
“นางแลวก้านสีขาวครับ จะมีดอกม่วง
ๆ ขาว ๆ ติดอยู่ตามก้าน”
ไกรวีชะงักไปเล็กน้อย พลันสายตาก็มองไปเห็นมัดก้านสีม่วงอย่างที่ฐานัสบอก
เม้มปากน้อย ๆ ก่อนยื่นมือหยิบมาดู ไล่สายตานับจำนวนอย่างเงียบ ๆ พอเรียบร้อยก็ขีดเครื่องหมายถูก
กำลังจะไปยังลำดับถัดไปก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงสายตาของฐานัสที่มองกันไม่คละคลาด ไกรวีไม่ได้รู้สึกประหม่าหรือเก้อเขินในความไม่รู้ผักพื้นบ้านของตัวเอง
แต่เป็นความอึดอัดมากจนต้องหยุดงานแล้วหันมอง
“ขอบคุณครับ”
ฐานัสเองก็ดูพอใจเป็นอย่างมากที่ได้รับคำขอบคุณ
แต่แทนที่เขาจะถอยห่างหรือจากไปอย่างที่ไกรวีหวัง ชายหนุ่มกลับยังยืนอยู่ที่เดิม จนเป็นไกรวีที่ต้องเดินอ้อมร่างสูงใหญ่นั้นไปยืนอีกทาง
แสดงออกชัดเจนว่าแม้ไม่ได้ต้องการเป็นปรปักษ์เหมือนใคร แต่ก็ใช่ว่าจะอยากอยู่ใกล้หรือเสวนา
หากแต่ฐานัสไม่สนใจ เขาเห็นว่านัยน์ตาคู่นั้นยังชำเลืองมองดอกนางแลวอยู่อีกครั้งสองครั้งจึงขยับตัวพาดแขนลงวางกับกระบะท้าย
เอ่ยปากให้คนที่กำลังชำเลืองมองอีกรอบชะงักไป “นางแลวนี่ลวกกินกับน้ำพริกก็อร่อยนะครับ
หรือจะทำแกงก็ดี รสขมหน่อย ๆ ถ้าน้องกรชอบ”
สรรพนามเรียกขานทำให้ไกรวีเหลียวมอง เขาสบตานิ่งนานหลายวินาทีอย่างที่ทำให้ฐานัสอมยิ้ม
รับรู้ได้ถึงกำแพงสูงชันที่คงยากหากจะเข้าหา แต่ฐานัสไม่สนนักหรอก ตราบใดที่คนซึ่งกำลังยืนสังเกตการณ์จากหน้าร้านขายผักออร์แกนิคจะยังขึงเครียดขณะจ้องมาอย่างนั้น
ไกรวีมองไม่เห็นเหมือนที่เขาเห็น แต่ชายหนุ่มก็ยังอุตส่าห์ยิ้มมารยาท
เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเฉยชาเป็นที่สุด “ขอโทษครับ แต่เราไม่รู้จักกัน
เพราะอย่างนั้นถ้าจะเรียกก็รบกวนเป็นชื่อจริงดีกว่า”
“แต่พี่ชอบชื่อเล่นคุณไกรวีมากกว่านะครับ”
ไกรวีเผลอขมวดคิ้ว คนอะไรพูดจากวนโทโสได้ขนาดนี้
นี่หากไม่ติดว่าเขาคร้านจะเสวนาด้วยแล้วคงได้ต่อปากต่อคำกลับไปบ้างล่ะ ชายหนุ่มถอนใจเฮือก
ก่อนมองเห็นคู่อริตัวจริงของฐานัสที่กำลังเดินตรงเข้ามาด้วยหน้าตาถมึงทึงราวกับจะฉีกทึ้งฐานัสอยู่รอมร่อ
ต่างจากเสียงเย็นเยียบที่ส่งไปคนละซีกโลกเลยทีเดียว
“มีปัญหาอะไรกับคนของผม
คุณฐาน” นทีธัชช์เปรยตามองเพียงครู่ก่อนเหลียวมาสบตากับไกรวีที่ยืนนิ่ง
“เรียบร้อยรึยังกร”
“ครับ เรียบร้อยแล้ว”
“งั้นก็ไป”
ไกรวีพยักหน้า เดินอ้อมหน้ารถแล้วเปิดประตูขึ้นนั่งยังฝั่งข้างคนขับ
ปล่อยทิ้งให้นทีธัชช์เผชิญหน้ากับฐานัสที่ดูจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับสายตาเย็นเยียบที่จ้องมอง “มีปัญหาอะไร”
นทีธัชช์ถามอีกครั้ง ยืนยันว่าต้องการคำตอบ
หากฐานัสกลับหัวเราะแล้วเลิกคิ้ว “ผมไม่มีปัญหาอะไร น้องกรก็ดูไม่มีปัญหาอะไรนี่”
“อย่ายุ่งกับเขา”
ชายหนุ่มเตือนเสียงเข้ม ก่อนแสยะยิ้มเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าอะไรที่จะทำให้ฐานัสหน้าเสียทุกครั้งหากเอ่ยถึง
“ได้เวลากลับบ้านแล้วมั้งคุณหนูฐาน ระวังพ่อโทรตามล่ะ”
และใช่ จากหน้ายิ้มกวนอารมณ์ก็กลายเป็นนิ่งสนิท
ฐานัสส่งเสียงเหอะ ส่งสายตาที่ปรากฏชัดว่าไม่พอใจและพร้อมจะทำลายทุกอย่างที่ข้องเกี่ยวกับนทีธัชช์
มันชัดเจนพอที่จะทำให้คนมองเห็นขบกราม เตือนอีกครั้งด้วยเสียงที่เข้มขึ้น
“อย่ายุ่งกับเขา”
ฐานัสยิ้ม เหมือนเขาจะยั่วอารมณ์นทีธัชช์ได้เสียแล้ว “สำคัญขนาดนั้นเลยเหรอครับคุณที ถ้าน้องกรจะเป็นอะไรเหมือนพลอยไปอีกคน…”
ทันทีทันใด ร่างของฐานัสก็เซกระแทกเข้ากับประตูด้านหลัง
เสียงกระทบกระทั่งนั่นดังพอที่จะทำให้คนที่นั่งบนรถสะดุ้งตัว พอเห็นว่านทีธัชช์กำลังต้อนอีกฝ่ายด้วยการดันแขนเข้ากับอกเพื่อล็อกตัวไว้จึงรีบเปิดประตูลงมา
ทันได้ยินเสียงกดต่ำที่ราวกับกำลังประกาศก้องว่าพร้อมจะมีเรื่องที่ตรงนี้หากฐานัสต้องการ
“ฉันเตือนแกแล้ว”
“เฮ้ ๆ ใจเย็นหน่อยน่า”
ฐานัสเหลียวสายตามองไกรวีที่มองมานิ่ง ๆ นึกอยากยั่วนทีธัชช์อีกสักรอบ
“เอ...แต่ถ้าตกเขาอาจจะดูจำเจไปใช่ไหม ลองเล่นกับน้ำ—”
“ไอ้ฐาน!”
นทีธัชช์คำรามลั่น แขนที่เคยกดล็อกขยับออก
เปลี่ยนเป็นมือหนึ่งกำกระชากคอเสื้อ ส่วนอีกมือยกขึ้นชี้นิ้วใส่หน้าระยะประชิด “หุบปากไว้เถอะ ถ้ายังปากพล่อยอย่างนี้ แม้แต่พ่อแกก็จะไม่มีทางช่วยได้แน่”
ฐานัสขมวดคิ้ว ผลักนทีธัชช์ให้ถอยห่าง
ยืดตัวขึ้นตรงพลางจัดเสื้อเชิ้ตยับยู่ให้เข้าที่ ยิ่งเห็นว่านทีธัชช์จุดยิ้มหยามหยันก็ยิ่งหงุดหงิดใจ
แต่จากน้ำเสียงและท่าทางที่บ่งชัดถึงความกราดเกรี้ยวที่กำลังโถมมาอย่างตั้งตารอคอย
จึงตัดสินใจพักรบในคราวนี้เอาไว้ด้วยการขยับก้าวห่างจากรถกระบะคันใหญ่ของรินทร์ธารา
ยกมือชี้หน้านทีธัชช์อย่างคาดโทษ บอกให้รู้ว่าเรื่องจะไม่จบแค่ตรงนี้แน่ ก่อนหมุนตัวก้าวห่างไปทั้งที่อารมณ์ยังคุกรุ่นโกรธเคือง
นทีธัชช์ยืนนิ่ง มองตามจนแน่ใจแล้วว่าฐานัสจะไม่กลับมาอีกจึงหันมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง
ออกปากสั่งเสียงเข้มไม่ต่างจากเมื่อครู่ “ขึ้นรถ”
ไกรวีทำตามอย่างว่าง่าย ใช่ว่ากลัว แต่เขารู้แล้วว่าสภาวะทางอารมณ์ของนทีธัชช์ตอนนี้ใช่จะดีนัก
ยิ่งเสียงปิดประตูดังลั่นอย่างนั้นก็ทำให้ได้แต่นั่งนิ่ง จนรถเคลื่อนตัวอีกครู่หนึ่งคนที่ขบกรามแน่นตลอดทางจึงค่อยผ่อนลง
เอ่ยถามด้วยเสียงที่ทุ้มลึกไร้แววขุ่นโกรธ
“มันเข้ามาคุยอะไร”
ถึงจะยังห้วนก็เถอะ แต่ก็ยังดีกว่าห้าวกระด้างเหมือนที่คุยกับฐานัส
ไกรวีประมวลผลแล้วตอบตามที่คิดออกไป “เข้ามาตีสนิท”
นทีธัชช์ขมวดคิ้วทันที “ยังไง”
“ไม่รู้สิครับ ดูท่าเป็นมิตร
แต่ก็เหมือนไม่ใช่”
ไกรวีผ่อนลมหายใจยาว ครุ่นคิดถึงสายตาของฐานัสยามมองตนแล้วให้สะกิดใจอย่างบอกไม่ถูก
เหมือนอีกฝ่ายอยากเข้าหาเพราะต้องการทำความรู้จักกันจริง แต่อีกทางก็เหมือนจะต้องการยั่วโมโหนทีธัชช์
แต่พอคิดถึงบทสนทนาที่เขาได้ยินพอดี ใจเลยเอนเอียงไปทางอย่างหลังมากกว่า “ผมว่าเขาคงแค่อยากยั่วพี่ที”
“แล้วเห็นไหมว่ามันเป็นตัวอันตราย”
ไกรวีพยักหน้า และนึกขอบคุณที่นทีธัชช์อยู่ตรงนี้
เป็นคนที่เข้าหาอีกฝ่ายแทนที่จะเป็นเขา เพราะถ้าไม่มีแรงอารมณ์ของนทีธัชช์ที่มากพออยู่แล้ว
บางทีอาจเป็นไกรวีที่พุ่งเข้าใส่ ซัดใบหน้าหล่อร้ายนั่นให้เลือดตกยางออกเลยก็ได้
“พี่ทีว่าเขาจะทำจริงไหมครับ”
“ทำอะไร”
“ก็…” ไกรวีเว้นคำ แต่นั่นกลับทำให้นทีธัชช์กัดฟันกรอดขึ้นมาอีกรอบ
อยู่ ๆ เขากลับคิดว่าฐานัสไม่ได้หมายความถึง ‘น้ำ’ ตรงตัว การที่จะทำร้ายคนใกล้ตัวเขามีมากวิธี และเขาคิดว่าคนที่มีสมองคิดแต่ทำร้ายคนอื่นอย่างฐานัสจะไม่มีวันใช้วิธีเดิม
นึกรู้ว่า ‘น้ำ’ ในความหมายของฐานัสคืออะไร
ถ้าฐานัสจะไม่ทำร้ายเขา ก็อาจใช้เขาเป็นเครื่องมือทำร้ายไกรวี
แล้วให้ตาย เขานึกอยากให้ไกรวีหัวสมองแล่นช้าขึ้นมาบ้าง
“เขาคงจะไม่หลอกพี่ทีให้ทำร้ายผมใช่ไหม”
อยากขำแต่นทีธัชช์ขำไม่ออกจริง ๆ “คิดได้ยังไง”
“ผมไม่คิดว่าเขาจะใช้วิธีเดิม
แต่ถ้าทำวิธีใหม่อย่างที่บอกมา นั่นก็จะเป็นหลักฐานมัดตัวเขาแบบที่ดิ้นไม่หลุดสิครับ”
“แล้วทำไมถึงคิดว่าจะเป็นพี่”
“นทีแปลว่าน้ำ” พอนทีธัชช์เหลียวมองอย่างต้องการที่จะรู้ว่ารู้ความหมายได้อย่างไร ไกรวีจึงแสยะยิ้มแล้วเอ่ยความ
“นทีเป็นคำที่แปลง่ายออกครับ อีกอย่างสมมติว่ามันยาก แต่ผมเป็นบรรณาธิการ”
ในสมองของเขามีคำไทยเป็นล้าน เขามีหนังสือพจนานุกรมเทียบคำเล่มหนาอย่างที่คงปาหน้านทีธัชช์ให้หมดหล่อได้
และถ้าตอนนี้มันอยู่ในมือ เขาคงฟาดมันกระแทกไหล่เจ้าของยิ้มร้ายที่ราวกับกำลังแสดงออกว่า ‘เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเขาเป็นคนขี้อวด’ ให้ไหล่หลุดสักที
แต่พออีกฝ่ายปรับอารมณ์ได้ เสียงทุ้มลึกที่เอ่ยบอกกันก็ทำให้ไกรวีนิ่งอีกครั้ง
“พี่ไม่มีวันทำร้ายกร”
เขาเชื่อ เชื่ออย่างหมดใจ ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น
แต่จะกับใครหากไม่แว้งทำร้ายกันก่อนนทีธัชช์ก็จะไม่มีทางเปิดฉากสู้ ชายหนุ่มเป็นคนปากคอเราะรายก็จริง
แต่ก็จริงใจกับทุกคนมากพอที่จะไม่คิดร้ายใคร
แต่สิ่งที่เขายังไม่รู้ คือนทีธัชช์จะมั่นคงกับความคิดตัวเองแค่ไหน
จะยึดมั่นในศรัทธาของตัวเองมากเท่าไร ที่จะมากพอจนเป็นเกราะป้องกันไม่ให้ถูกใครหลอกใช้ได้สมดังใจ
“ผมเชื่อ”
ไกรวีบอกอย่างซื่อตรง เขาจะเชื่อทุกคำพูดและการกระทำของนทีธัชช์
หวังอยู่ในใจว่าจะไม่มีวันที่นทีธัชช์จะทำร้ายความวางใจของเขาให้มลายลง
ลมเย็นยามบ่ายพัดโชยให้ชายหนุ่มที่ยืนเล่นรับลมอยู่หน้าบ้านไม้ไผ่หลังเล็กเงยหน้าขึ้น
นัยน์ตาเรียววาวทอดมองริ้วดอกนางพญาเสือโคร่งที่ชูช่อออกดอกประชันความงดงาม มันพลิ้วพลัดตามกระแสลมจนคล้ายจะได้กลิ่นอ่อน
ๆ ไกรวียอบกายลงนั่ง ใช้สองขารับน้ำหนักตัวขณะเอื้อมมือหยิบดอกที่ร่วงหล่นลงพื้น พินิจสีชมพูอ่อนหวานของกลีบใบก็ให้ยิ้ม
ขยับปลายนิ้วเคลียใบก่อนหยัดกายขึ้นยืน
“คุณทีอยากได้แบบอื่นเพิ่มไหม
รีเควสต์ยายมาได้เลยนะ ยายจะได้ทำให้”
นทีธัชช์ที่กำลังทอดมองร่างประเปรียวที่ยืนทอดน่องใต้ต้นนางพญาเสือโคร่งถึงกับเลิกคิ้ว
เขาละสายตาจากไกรวีกลับมามองหญิงชราเจ้าของคำถามเมื่อครู่ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ
แล้วเย้ากลับไป
“เจอนักท่องเที่ยวบ่อยเลยสิครับยาย
พูดอังกฤษเก่งแล้วอย่างนี้”
“เก่งเกิ่งอะไรกั๊น ยายก็พูดตามหลานมันนั่นแหละ
พูดไม่เป็นกับเขาเดี๋ยวจะตกเทรนด์”
คราวนี้นทีธัชช์เลยหัวเราะร่วน ท่าทีของยายบุญมาทำให้เขาคลายยิ้มได้ไม่ยากเลย
ทว่าแม้อารมณ์ขันจะมีมาก แต่หญิงชราก็ยังรอคอยคำตอบที่ถามไป ให้ชายหนุ่มหลุบตาลงมองไม้แกะสลักที่จะนำไปเป็นพวงกุญแจขายในร้านขายของที่ระลึกอย่างครุ่นคิด
เขาเองไม่ได้เรื่องมากอะไรนัก ด้วยยายบุญมาแม้ปีนี้จะอายุเจ็ดสิบปีแล้วแต่งานฝีมือก็ยังละเมียดละไมและสร้างสรรค์
เป็นที่ชื่นชอบชื่นชมของนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ
ทว่าอยู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็แล่นโลด แววตาคมปลาบแน่วนิ่งเป็นประกายวิบไหว
ก่อนเงยหน้าขึ้นสบตากับหญิงชรา จุดยิ้มแล้วจึงเอ่ยบอกความต้องการ
ยายบุญมาตอบรับด้วยรอยยิ้ม รับปากเป็นมั่นเหมาะว่าหากนทีธัชช์มาครั้งต่อไปจะได้ไม้แกะสลักแบบที่ต้องการแน่
ก่อนจะมองส่งชายหนุ่มที่ขอตัวกลับ เดินออกไปยังหน้าบ้านเพื่อเรียกอีกคนที่ยืนเล่นอยู่ตรงนั้น
ซึ่งยายบุญมาก็ได้แต่ยิ้มกว้างอย่างผู้ใหญ่ใจดีเมื่อไกรวีมองตรงมาแล้วยกมือไหว้ลาอย่างนอบน้อม
“กลับกันเลยแล้วกัน หรืออยากแวะที่ไหนต่อรึเปล่า”
ไกรวีส่ายหน้าหลังได้ยินคำถาม วันนี้นทีธัชช์พาเขาเดินสายมาตั้งแต่เช้า
ส่งผักด้วยตัวเองตามแต่ละร้านเพื่อให้เขาได้เรียนรู้ แถมยังแจ็กพ็อตเจอฐานัสเข้าให้อีก
แล้วกว่าจะขึ้นภูมาถึงที่นี่ก็ใช้เวลาพอสมควร ไกรวีคิดว่าตัวเขาอยากกลับไปพักที่ไร่มากกว่าจะทำอะไรแล้วในตอนนี้
ถึงอย่างนั้นก็ยังเอ่ยปากอาสา “ผมขับรถให้ไหมครับ”
“อย่าเลย นั่งก็พอแล้ว”
ไกรวีเกือบคิดว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงแล้วนะ หากไม่ติดว่าประโยคถัดมาน่ะ
“เกิดเสียหลักพารถลงข้างทางล่ะแย่แน่ แทนที่จะได้ไหลล้อลงถนนดี ๆ กลัวจะได้กลิ้งกลุก
ๆ ลงเนินเขาไปมากกว่า”
ห่วงสวัสดิภาพตัวเองล่ะสิ “พูดอย่างนี้ไม่ไว้ใจกันเลยนี่ครับ”
“อือ ไว้ใจได้ที่ไหนล่ะ
ตอนขับรถขึ้นภูมาก็หลับเกือบตลอดทางเลยไม่ใช่รึไง”
เอาเป็นว่าไกรวีไม่เถียง และทำในสิ่งที่นทีธัชช์พูดหลังจากขึ้นรถได้ไม่เกินสิบนาที
นั่นคือการเอนเบาะลงสุดแล้วนอนหลับตลอดทาง
ไกรวีชอบนั่งที่ชานพักหลังเรือน จากตรงนี้นทีธัชช์ไม่ได้จัดการพื้นที่ให้เป็นรูปเป็นร่างนัก
หากไม่นับว่าเป็นลานซักล้างและลานตากผ้า พื้นที่ด้านหลังก็จะเป็นพื้นที่โล่งว่างที่ทำให้มีลมพัดโบกทุกคราวที่มีคลื่นลม
ปกติไกรวีจะมานั่งเล่นตรงนี้ บางคราวก็เอาแล็ปท็อปออกมานั่งทำงาน
ทอดน่องสบายอารมณ์รับลมเย็น ๆ มองวิวทิวทัศน์ซึ่งเป็นทิวเขาเรียงสลับกับเส้นถนนไกลลิบ
ๆ แต่ในคราวนี้เขาไม่ได้มองทิวเขาห่างไกลอีกแล้ว ในเมื่อดอกนางพญาเสือโคร่งที่กำลังเบ่งบานใกล้
ๆ ดึงดูดใจเขาได้มากกว่า
ก่อนหน้านี้ไกรวีเห็นว่ามันเป็นเพียงต้นไม้ใหญ่ที่นทีธัชช์ปลูกเรียงไม้กระดานสี่ต้นเป็นแนวรั้วแสดงอาณาเขต
ไม่เคยคิดสงสัยว่ามันคือต้นอะไร จนกระทั่งตอนนี้ที่ดอกเบ่งบาน สร้างให้บ้านไม้หลังใหญ่อันแสนสงบเย็นเจือความนุ่มนวลได้ในทันที
ชายหนุ่มอาจได้อยู่ในภวังค์นานกว่านี้
ถ้านทีธัชช์จะไม่เดินออกมาเสียก่อน เขาย่อตัวลงแล้วนั่งหย่อนขาข้างไกรวี ทอดมองภาพอันนุ่มสบายตาอยู่เงียบ
ๆ อีกพักไกรวีจึงเอ่ยขึ้น
“พี่ทีเคยคิดอยากจะทำอะไรกับพื้นที่ตรงนี้บ้างรึเปล่าครับ”
นทีธัชช์หันมองคนข้างกาย กระตุกยิ้มอย่างไม่วางใจ “จะเสนออะไรล่ะสิ”
คนโดนรู้ทันเลยส่งเสียงหึในคอ พยักพเยิดหน้าไปทางต้นนางพญาเสือโคร่งแล้วว่าขึ้น “เพิ่งมาคิดออกก็ตอนเห็นพญาเสือโคร่งบานแหละครับ จะฟังไหมล่ะ”
ถึงยังมีท่าทีไม่วางใจแต่นทีธัชช์ก็ยังพยักหน้า “ลองว่ามา”
“ผมว่าพื้นที่ตรงนี้ก็กว้างดี
ถ้ามีบึงอยู่ตรงนี้ อาจจะเอาไว้เลี้ยงปลาหรือให้เป็นบึงเฉย ๆ ก็ได้ มีสะพานไม้ยื่นไปถึงแค่กลางบึง
น่าจะเป็นที่พักผ่อนที่ดีเลยนะครับ”
นทีธัชช์นึกภาพตามแล้วจุดยิ้ม “ชอบแบบนั้นเหรอ”
“ผมชอบ แต่ไม่เกี่ยวกับผมนี่ครับ
นี่บ้านพี่ที ถ้าพี่ทีไม่ชอบก็ไม่ต้องทำ แค่นั้นเองครับ”
ไกรวีพูดจริง ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
แต่เขายังระลึกอยู่เสมอว่าตนเป็นเพียงแขกผู้ขออยู่อาศัย เพียงแต่เสนอแนะเพื่อให้พื้นที่ว่างเปล่าตรงนี้เป็นรูปร่างหรือมีประโยชน์ขึ้นมาบ้างเท่านั้น “เลี้ยงปลาก็ดีนะครับ หิว ๆ ก็จับมาทำอาหารเลย”
“พอเถอะ ส่วนของฟาร์มก็เลี้ยงไว้แล้วนั่นไง”
“หรือจะขุดเป็นคลอง เอาไว้เล่นน้ำเวลาร้อน
ๆ”
นั่นก็น่าสนใจ แต่ “แบบนั้นพี่นอนแช่ในอ่างก็ได้”
ไกรวีเลยส่งค้อนไปทีค่าที่ขัดกันอยู่เรื่อย
แต่ก็ต้องยอมรับว่าห้องน้ำของที่นี่ก็ดีมากอยู่แล้ว ด้วยมีอ่างอาบน้ำแล้วผนังชิดอ่างยังเป็นกระจกที่หากเปิดมู่ลี่ออกแล้วก็จะมองเห็นวิวด้านนอก
ไกรวีเคยใช้บริการแช่น้ำร้อนครั้งหนึ่ง ค้นพบว่ามันดีมากทีเดียว ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อมองออกไปนอกผนังกระจกแล้วเห็นทิวเขายามค่ำคืน
“อะไรอีกดี”
ไกรวีทำหน้าเบื่อใส่ “ไม่คิดแล้วครับ ถ้าพี่ทีจะทำจริงก็คิดเองเลยแล้วกัน”
นทีธัชช์หัวเราะในลำคอ หันมองผืนฟ้าที่ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงทุกขณะจึงขยับตัวหยัดยืนลงบนพื้น
ก้าวเท้าออกเดินไปทางต้นนางพญาเสือโคร่ง ไกรวีเห็นดังนั้นจึงลงจากชานพักแล้วเดินตามไปบ้าง
เห็นมือกร้านเอื้อมขึ้นไป เด็ดดอกมันมาไว้กับมือแล้วหันมองมา
แม้จะแปลกใจเล็กน้อย แต่ไกรวีก็ยังยื่นมือออกไปรับดอกสีชมพูหวานจากอีกคน
ชายหนุ่มเคลียกลีบใบอย่างลืมตัว นึกคิดไปว่าการกระทำเมื่อครู่แม้จะเงียบงันแต่ก็นุ่มนวล
“ถ้าชอบ จะตัดกิ่งปักแจกันก็ได้นะ
พี่ให้”
พลันหัวใจกลับวูบไหว ไกรวีรู้สึกแปลกประหลาดในอกจนทำให้ใบหน้าขึ้นไออุ่น
ทว่าวินาทีถัดมากลับคิดว่านี่หรือใช่เรื่องที่สมควร จึงหรี่ตามองนทีธัชช์อยู่นิ่ง ๆ
ก่อนตัดสินใจเปรยออกไป “นึกจะตัดก็ตัดได้เลยเหรอครับ”
“ไม่ได้สิ ถ้าจะตัดก็เลือกกิ่งที่ดูท่าว่าไม่แข็งแรงแล้วกัน”
นี่เขาว่าชักแปลก ๆ ยังไงพิกล “ทำไมต้องเลือกกิ่งครับ”
“กับบางกิ่งโดนลมพัดมากเข้าก็จะหักอยู่แล้วน่ะ
ก็เลือกกิ่งที่จะหักมิหักแหล่แล้วกัน” พอบอกอย่างนั้นก็เลยหรี่ตามองบ้าง
ซ้ำยังมีแววคาดโทษเจืออยู่ด้วย “นี่คงไม่คิดว่าพี่จะทำร้ายต้นไม้ตัวเองหรอกใช่ไหม”
ไกรวีหน้าง้ำ ด้วยไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาคิดไปแล้ว
ถึงแม้จะแอบมีอีกความรู้สึกแทรกเข้ามาก็เถอะ…ก็นึกว่าจะใจดีต่อกันเสียอีก
นทีธัชช์เองพอเห็นปฏิกิริยาอย่างนั้นก็หัวเราะ
เดินไปทางโครงไม้ขึ้นทรงที่เหมือนจะเป็นจุดที่เก็บอุปกรณ์การเกษตร ก่อนจะกลับมาหาไกรวีอีกครั้งที่เพียงแต่มองมาด้วยสายตาใคร่รู้
ชายหนุ่มหันไปพิจารณาต้นที่อยู่ใกล้สุดแล้วเดินไล่ไปอีกทาง หยุดอยู่ที่ต้นริมซ้าย มอง
ๆ อยู่อีกครู่จึงโน้มกิ่งหนึ่งลงมา
ไกรวีเห็นเหมือนกันว่ามันหมิ่นเหม่จะหักลงจากต้นแล้ว
จึงขยับเข้าไปดูยามนทีธัชช์ใช้กรรไกรตัดกิ่งลงมา เสร็จแล้วก็หันมาหา ยื่นกิ่งที่ยังมีดอกบานสวยเรียงไร่ตามแนวไม้
จุดยิ้มมองมาให้ไกรวีเอื้อมมือรับมัน
“สีขาวเหมาะกับกรมากกว่านะ”
ถ้อยคำนั้น ไกรวีไม่แน่ใจว่าเป็นคำชมหรือเพียงแต่ออกความคิดเห็น
หากเขาก็ยังได้ยินเสียงใจเต้นตุบอยู่หลายหนก่อนมันจะสงบดังเดิม
และมันเกือบจะเต้นรัวอย่างน่าหวั่นหากเขาไม่สงบใจได้เสียก่อน
“พญาเสือโคร่งสีขาว ที่จริงพี่หวงมากนะ
ไม่ให้ใครง่าย ๆ ถึงกิ่งจะหักก็เถอะ” นทีธัชช์บอกอย่างนั้นขณะเอื้อมมือแล้วใช้เรียวนิ้วเคลียกลีบใบจากกิ่งที่อยู่ในมือไกรวี
เพียงมองยังรู้สึกว่าแผ่วเบาทะนุถนอม รับรู้ได้ว่ามันคงมีค่าทางใจไม่มากก็น้อย
“มันหายาก เพราะงั้นก็ช่วยรับมันไว้แล้วดูแลให้ดีด้วยล่ะ”
ไกรวีนิ่งไปครู่ เป็นครั้งแรกที่เขาไม่อยากเงยหน้าสบตาคนที่มองจ้องมา “ผมจะดูแลมันได้ยังไงล่ะครับ ในเมื่อมันหักลงมาแล้ว”
และเพราะไม่เงยหน้ามองกันสักที ไกรวีจึงไม่เห็นว่านทีธัชช์คลี่ยิ้ม
ไม่ได้รับรู้ถึงรอยยิ้มที่เปลี่ยนไป เว้นเสียแต่เสียงทุ้มลึกที่คล้ายจะนุ่มขึ้นนั้นดังใกล้หู
ให้รู้ว่านทีธัชช์อยู่ใกล้กันกว่าเคย ขณะที่เรียวนิ้วยังคละเคลียกับดอกสีขาวไม่ห่างกัน
“มีหลายวิธีที่จะรักษามันไว้ได้
พี่อยากให้กรลองคิดวิธีเอาเอง เอาที่กรชอบที่สุดแล้วกัน”
นาทีนี้ไกรวีไม่รู้แล้วว่านทีธัชช์ใจดีกับเขาเพราะอะไร
แต่การแสดงออกว่าเขามีความสำคัญพอที่จะได้เป็นเจ้าของสิ่งที่นทีธัชช์หวงแหน และเปิดโอกาสให้เขาได้ตัดสินใจเองอย่างเต็มที่
นั่นทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองได้รับเกียรติมากพอ
ก็ใช้ได้เหมือนกันนี่นา นายนทีธัชช์
ขอบคุณภาพจาก oknation.nationtv.tv/blog/karieng มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ความคิดเห็น