คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่หก ... (รีไรท์)
ไร่รินทร์ธารามีทางเข้าอยู่สามทาง หนึ่งคือทางท้ายไร่ที่ถือเป็นเส้นทางที่ส่วนตัวที่สุด
เพราะคนที่จะเข้าออกประตูนั้นได้จะมีเพียงเจ้าของที่นี่เท่านั้น ส่วนอีกประตูทางเข้าคือฝั่งของสำนักงาน
ประตูนี้จะเป็นประตูที่คนงานคนสวนใช้เข้าออกกันเป็นปกติ ส่วนประตูสุดท้ายคือประตูที่ถือเป็นหน้าตาของไร่
เพราะเป็นเส้นทางที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวให้แวะเข้ามาทำกิจกรรมสันทนาการตามที่รินทร์ธาราจัดไว้
หากขับรถผ่านประตูเข้ามาจะเห็นร้านขายของที่ระลึกซึ่งมีจุดปั๊มบัตรสำหรับผู้ที่เข้ามาทำกิจกรรมแบบวันเดย์
ไม่ว่าจะเป็นการทัวร์สวนเกษตรอินทรีย์ หรือรับประทานอาหารที่วัตถุดิบล้วนแต่ปลอดสารพิษ
รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่สนใจชื่นชมธรรมชาติข้ามวัน ทางไร่รินทร์ธาราก็จะมีโซนที่จัดเป็นฟาร์มสเตย์ให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ด้วย
วันนี้นทีธัชช์เข้ามาตรวจงานฝั่งธุรกิจของไร่
ชายหนุ่มเดินตรวจและไถ่ถามทักทายพนักงาน เริ่มจากร้านขายของที่ระลึก ในร้านจะมีสินค้าแปรรูปปลอดสารพิษ
เป็นวัตถุดิบที่ได้รับการรับรองมาตรฐานแล้ว ผักและผลไม้สดใหม่จากไร่ รวมถึงของที่ระลึกต่าง
ๆ อย่างเช่นโปสการ์ด พวงกุญแจ หมวกสาน ที่ทุกอย่างจะเกี่ยวข้องและสื่อสัญลักษณ์ถึงรินทร์ธาราอย่างเด่นชัด
ไกรวีสนใจร้านขายของที่ระลึกเป็นพิเศษ หยุดดูพวงกุญแจไม้สลักรูปเรือนพักรับรองของฟาร์มสเตย์อยู่นาน
กระทั่งนทีธัชช์แตะศอกเรียกกันนั่นล่ะถึงได้ออกเดิน
“พวงกุญแจน่ารักดีนะครับ”
ไกรวีอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองอีกครั้ง เมื่อครู่เหมือนเขาจะเห็นพวงกุญแจพวงหนึ่งที่ให้สะดุดตา
หากไม่ทันได้หยิบดูนทีธัชช์ก็เรียกกันเสียก่อน
“ฝีมือชาวบ้านน่ะ พี่ไม่ได้จ้างประจำ
ถ้าใครว่างทำตอนไหนก็ค่อยทำส่งมา พี่ก็จะรับซื้อมาขายต่อ ถือเป็นการช่วยเพิ่มรายได้ให้ชาวบ้านอีกทางหนึ่ง”
ไกรวียกยิ้มกับคำบอกนั้น “แล้วโปสการ์ดล่ะครับ”
“ทำไม?”
“ต้องทำไมด้วยเหรอ”
ไกรวีหัวเราะน้อย ๆ นึกขันเรียวคิ้วที่เลิกขึ้นของอีกคน “น่าจะไม่ใช่ฝีมือชาวบ้านรึเปล่าครับ แต่รูปสวยมาก เก็บจังหวะของภาพได้ดีด้วย
น่าจะมืออาชีพแน่นอนเลย”
คราวนี้คนที่เลิกคิ้วก็เลยจุดยิ้ม ดูพึงพอใจเป็นอย่างมากกับคำชมนั้น
ให้ไกรวีสะกิดใจอย่างถึงที่สุด ชายหนุ่มพิจารณาปฏิกิริยานั้นอีกเพียงแวบก็เข้าใจ ถอนใจยาวพลางส่ายหน้าแล้วบ่นอุบ
“ไม่น่าชมเลย”
“เอ้า”
“ขอคำชมคืนแล้วกันครับ”
นทีธัชช์หัวเราะ ส่ายหน้าปฏิเสธคำขอนั้นอย่างขำ
ๆ “ชมแล้วชมเลยสิครับ มีคนชมอย่างนี้ก็ดี พี่จะได้มีกำลังใจทำต่อ”
ไกรวีทำหน้าที่แสดงชัดถึงคำถามว่า ‘ขนาดนั้นเลย’ ก่อนจะเลี่ยงการมองสบตาด้วยการหันไปทางเคาน์เตอร์ต้อนรับในร้านอาหาร
เห็นพนักงานหญิงคนหนึ่งมองมาตาเป็นประกายก็เกิดเก้อขึ้นมาชั่ววูบ ด้วยไม่รู้ว่าสายตาของเธอมองกันด้วยความรู้สึกอย่างไรกันแน่
ดีหน่อยที่ตอนนี้ยังเช้าอยู่ จึงมีเพียงนักท่องเที่ยวที่ค้างอยู่ฟาร์มสเตย์มารับประทานอาหารเช้าเท่านั้น
ไกรวีเลือกที่นั่งใกล้ประตูเมื่อนทีธัชช์บอกจะเข้าไปดูในครัวหน่อย หากก็คิดผิดไปนิดเพราะดูจะเรียกดวงตาเป็นประกายจากเธอได้มากกว่าเคย
และเพียงแค่เขาส่งยิ้มให้ เจ้าหล่อนก็เดินออกมาต้อนรับพร้อมคำถามจากเสียงหวานหยดนั่น
“คุณไกรวีรับน้ำอะไรดีคะ
เดี๋ยวแหวนไปเอามาให้”
“ขอน้ำเปล่าก็พอครับ”
เธอตอบรับ รีบไปทางโซนเครื่องดื่ม หยิบน้ำเปล่าหนึ่งขวดกับแก้วหนึ่งใบมาวางลงตรงหน้า
ถึงจะดูรู้ว่าเธอค่อนไปทางเฉิดฉายเป็นประกายยามเห็นเขา แต่ไกรวีก็อดอมยิ้มให้กิริยานั้นไม่ได้จริง
ๆ
ใช่ว่าเขาจะมองไม่ออกว่าใครเข้าหาแบบไหน
บางคนมองเขาตาเป็นมันด้วยจุดประสงค์ที่รู้แน่ชัดว่าต้องการเข้าใกล้ แต่หญิงสาวที่ชื่อแหวนคนนี้ดูห่างไกลกับคำนั้นมาก
เธอแค่ตื่นเต้นที่ได้พบเจอคนใหม่ ๆ เท่านั้นเอง…คิดว่านะ
“คุณไกรวีคะ คุณไกรวีผิวขาวละเอียดเหมือนคุณพลอยเลยค่ะ
ผิวส๊วยสวย”
ถึงจะรู้สึกแปลกประหลาดแต่ไกรวีก็ยังยิ้มขอบคุณเธอ
กำลังจะรินน้ำดื่มก็ต้องเลิกคิ้วให้คำถามที่ส่งมา “คุณไกรวีเป็นคนเหนือเหรอคะ”
“เปล่าครับ”
“ผิวดีมากจริง ๆ ค่ะ แหวนเคยลองขอคุณพลอยดูผิวใกล้
ๆ เธอก็ใจดีให้แหวนดู หูย ผิวนี่ละเอียดเนียนผุดผ่อง น่าอิจฉามาก ๆ เลยค่ะ”
ไกรวีไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงยิ้มให้เธอ แอบคิดไปถึงพี่สาวที่
ณ ขณะนั้นคงอารมณ์ดีไม่น้อย เพชรพริ้งแม้เป็นผู้หญิงที่ชอบโลดโผนโจนทะยานแต่เรื่องรักสวยรักงามก็ไม่เคยขาด
มีอะไรบำรุงได้เธอก็ทำ เลยกลายเป็นเขาที่ต้องรับเชื้อความรักสวยรักงามมาด้วย ไม่ใช่ว่าสนใจเอง
แต่เพชรพริ้งนั่นล่ะที่ชอบหาโลชั่นหาครีมหามาส์กอะไรต่อมิอะไรมาให้เขาใช้
ถ้าแหวนบอกว่าผิวเขาดี ก็คงต้องยกความดีความชอบให้เพชรพริ้งจริง
ๆ
“แต่จริง ๆ คนที่ผิวดีมากมีอีกสองคนค่ะคุณไกรวี”
ชายหนุ่มไม่อยากรู้เลยสาบานได้ แต่ถ้าทำทีไม่สนใจก็เกรงเธอจะขวัญเสีย
เลยถามออกไปยิ้ม ๆ “ใครเหรอครับ”
“คุณคีกับคุณทีไงคะ”
เธอพูดเสียงเบาลง ขยับเข้ามาใกล้อีกนิดอย่างที่ทำให้รู้ว่าเธอตั้งใจพูดถึงเจ้านายเต็มที่
“แต่คุณทีน่ะไม่ดูแลตัวเองเลย อยู่กับแดดกับลม ผิวก็เลย—”
“นินทาเจ้านายนี่ ผมไล่คุณออกได้เลยนะคุณวิรงรอง”
วิรงรองสะดุ้ง สีหน้าสีตาค่อนไปทางรู้ตัวว่าซวยแน่แล้ว
แต่มิวายยังส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากคนที่นั่งอมยิ้ม ดังนั้นไกรวีจึงหยัดกายขึ้นยืน
คว้าขวดน้ำได้ก็ถามคนที่ยืนทำหน้าเข้มดุอยู่ข้างหลังเธอ
“เรียบร้อยแล้วเหรอครับพี่ที”
นัยน์ตาที่มองหลังวิรงรองเหลียวมาสบกับดวงตาคู่กลม
เห็นประกายระยับพราวเจือขบขันก็ให้รู้ว่าไม่ได้ขุ่นข้องอะไรกับการกระทำของพนักงานหญิงเลยสักนิด
ก็แน่ล่ะ คนที่ถูกนินทาไม่ใช่ตัวเอง แต่เป็นนทีธัชช์ซึ่งเป็นเจ้านายใหญ่ของเธอนี่ต่างหาก
“แหวนขอโทษค่ะคุณที”
นทีธัชช์จึงพินิจอยู่ครู่ เขาเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้นิสัยของเธอ
ทำงานตรงนี้มาสามปีไม่เคยเห็นเธออิดออดบ่ายเบี่ยงเกี่ยงงานเลยสักครั้ง ติดที่เป็นคนรักสวยรักงามเกินไป
เห็นใครงามหน่อยไม่ได้เป็นต้องเข้าหาทันที
คือเขาหมายถึง…ผิวสวย หน้าสวย หุ่นดี จะหญิงหรือชายถ้าวิรงรองมองว่าสวยก็ไม่แคล้วโดนคุกคามอ่อน
ๆ ทั้งนั้น
เขาน่ะไม่เท่าไหร่ แต่คีรินทร์ก็โดนเจ้าหล่อนมองเป็นประจำ
“ครั้งนี้ผมอนุโลมให้คุณแล้วกัน
แต่อย่าให้ผมได้ยินอีกนะครับ”
“คุณทีจะหักเงินเดือนใช่ไหมคะ”
ชายหนุ่มส่ายหน้า จุดยิ้มเย็น “ผมจะไล่คุณออก”
วิรงรองหน้าเสีย หากคนพูดจาหักหาญใจก็ไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด
เขาพยักหน้าให้ไกรวีที่มองหญิงสาวอย่างเห็นใจหากก็ทำอะไรไม่ได้ ใช่ว่าไกรวีจะชอบที่ถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว
แต่เขาไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเอ็ดหรือปรามคนของรินทร์ธาราได้ จึงทำได้เพียงรับฟังอย่างยิ้ม
ๆ เท่านั้น
“ทีหลังช่วยพี่ดูด้วย ถ้าเขาทำไม่ถูกไม่ควรก็ปรามบ้าง
ไม่ใช่นั่งยิ้มอย่างเดียว อย่างนี้ใครจะกลัวได้”
อ้าว เป็นเขาที่ผิดเสียอย่างนั้น…ไกรวีชะงักไปแวบหนึ่งก่อนเปิดประตูขึ้นรถ “ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีอำนาจในการปรามหรือดุใครในไร่ได้นี่ครับ”
“สิทธิ์ของกรมีแน่อยู่แล้ว”
“ในแง่ไหนครับ เพราะแค่เป็นน้องชายของคุณนายที่นี่น่ะเหรอ”
ไกรวีถอนหายใจ มองเสี้ยวหน้าคมคร้ามนิ่ง “ผมคิดว่าตัวเองเป็นแขกของรินทร์ธาราด้วยซ้ำ
อย่าทำให้ใครมองว่าผมใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มใครเลยครับ”
“แล้วชอบเหรอ แบบเมื่อกี้”
แน่ล่ะว่าไม่ชอบ “ชอบไม่ชอบแต่พี่ทีก็ตัดสินคุณแหวนเขาไปแล้วนี่ครับ”
“ก็ใช่ไง เพราะพี่ก็รู้ว่าแหวนเขาเป็นคนยังไง
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขานินทาพี่กับคนใกล้ตัวแบบนี้ ถ้ากรยังปล่อยให้เขาพูด ต่อไปจะไม่ยิ่งไปกันใหญ่เลยเหรอ”
“ผมจะระวังให้มากขึ้น”
ดูก็รู้ว่าดื้อ นทีธัชช์ล่ะอยากหักพวงมาลัยเสยข้างทางให้ตกใจเล่นนัก “คำนินทาเหมือนจะเป็นเรื่องที่เคยชินไปแล้วมั้ง แต่อย่าลืมนะว่าต่างคนต่างมีหน้าที่ต้องทำ
ถ้าพี่ คี พลอย หรือแม้แต่กรเองควบคุมคนของเราไม่ได้ ต่อไปจะมีคนที่นับถือเราในฐานะคนจ้างงานจริง
ๆ สักกี่คนกัน”
ไกรวีฟังแล้วนิ่ง เขาเข้าใจความหมายของนทีธัชช์ดี
ขนาดตัวเขาเองยังมีระยะห่างกับนักเขียนในการดูแลเพื่อที่จะไม่ให้เกิดความเอนเอียงเอาแต่คล้อยตามในเนื้องานเลย
แล้วนับประสาอะไรกับไร่รินทร์ธาราที่มีคนงานหลักร้อยล่ะ
“ทีนี้ก็ให้รู้ไว้ว่ากรมีสิทธิ์
ถ้าไม่คิดว่ามีสิทธิ์ในฐานะคนร่วมครอบครัว ก็ให้ถือสิทธิ์ตัวแทนของพลอยแล้วกัน”
ไกรวีตอบรับ ทอดมองไปยังเส้นทางเบื้องหน้า
นทีธัชช์พาเขาออกมานอกเขตไร่แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพาไปไหน ทว่าหลังจากขับรถออกมาได้ไม่เกินสิบนาทีดี
ไกรวีก็มองเห็นร้านอาหารข้างทางที่เหมือนจะสร้างเป็นเพิงไม้อย่างที่ไม่ได้ทำเป็นกิจจะลักษณะอะไร
“พี่ที นั่นลุงเจิดรึเปล่าครับ”
แม้รถจะยังขับไม่ถึงร้านดี แต่สายตาไกรวีก็มองไปเห็นร่างคุ้นตาของหัวหน้าแปลงนาที่สอนเขาพรวนปรับเนื้อดินเมื่อสัปดาห์ก่อน
บรรเจิดนั่งอยู่ที่โต๊ะริมนอกสุด มีคนอีกหนึ่งคนนั่งร่วมโต๊ะด้วย แต่แปลกที่ไกรวีไม่คุ้นหน้าอีกคนเลย
ทั้งดูจากการแต่งตัวที่สะอาดสะอ้านแล้วก็ทำให้แปลกตา
ทว่าแม้ไกรวีไม่คุ้นหน้า แต่สำหรับนทีธัชช์แล้วคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มขบกรามแน่นเมื่อได้เห็น ตัดสินใจเลี้ยวเข้าจอดริมทางใกล้ร้านอาหารแล้วเปิดประตูลงรถโดยไม่พูดคำใด
ทำให้ไกรวีต้องปลดเข็มขัดก้าวลงตาม ก็พอดีกับที่อีกฝ่ายมองมาเห็นกันพอดี
ไกรวีรู้สึกได้ว่ารังสีของความคุกรุ่นแผ่กระจายทั่วกายนทีธัชช์
ปกติชายหนุ่มก็ดูเป็นคนเข้มดุมากอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ดูมันจะยิ่งเพิ่มพูนอย่างที่ทำให้ไกรวีใจเต้นรัวอย่างหวั่นใจเลยทีเดียว
“อ้าว ว่าไงครับ คุณที”
น้ำเสียงที่ใช้ทักทายดูร่าเริง ยิ้มที่ส่งมาดูเป็นมิตร
แต่ไกรวีกลับรู้สึกได้ว่านี่มันของปลอมชัด ๆ
นทีธัชช์เองก็คงรู้สึกเหมือนกัน เขาจุดยิ้มเย็น
ถามออกไปด้วยเสียงทุ้มลึกเหมือนเป็นการทักทายปกติที่ไม่ปกติเลยสักนิดเดียว “ไงครับคุณฐาน มายุ่งวุ่นวายอะไรกับคนของผม”
อีกฝ่ายนิ่งไปนิด ก่อนหัวเราะออกมาราวกับได้ยินเรื่องขบขัน “ผมจะวุ่นวายกับคนของคุณทีทำไมล่ะครับ พอดีผมแวะมาซื้อข้าวร้านนี้ เจอลุงเจิดก็เลยทักทายกันธรรมดา”
บอกอย่างนั้นพร้อมกับยกถุงพลาสติกที่มีกล่องโฟมขึ้นให้นทีธัชช์เห็นชัดเจน
ก่อนต้องมองสบกับดวงตาคมปลาบที่ไม่แม้แต่จะผละหนี เปิดเผยความเงียบเย็นที่ทำให้บรรยากาศคุกรุ่นขึ้นทุกขณะ
อีกฝ่ายเห็นดังนั้นจึงยกยิ้ม ยินยอมที่จะล่าถอยด้วยการกล่าวลา
“ผมไปแล้วนะครับ”
“เชิญ”
อีกฝ่ายยังยิ้ม หมุนตัวก้าวไปอีกทางที่มีรถของตนจอดอยู่
ไกรวีมองตาม จึงได้เห็นว่ารถกระบะที่อีกฝ่ายเพิ่งสอดตัวเข้านั่งยังเบาะคนขับติดสติกเกอร์ชัดเจนว่า ‘ไร่เคียงผกาย’ พลันนึกรู้ว่าทำไมอยู่ ๆ นทีธัชช์ถึงดูดุนัก
ต่างจากบรรเจิดที่ยังนั่งดื่มน้ำด้วยท่าทีสบาย ๆ เหมือนเมื่อครู่ไม่มีบรรยากาศเย็นเยียบโรยตัวเลยแม้เพียงนิด
“ฐานัสมาคุยอะไรกับลุงครับ”
นทีธัชช์ทิ้งตัวลงนั่ง เปิดประเด็นทันทีที่รถกระบะของไร่คู่ตรงข้ามขับจากไปแล้ว
และคำถามของเขาก็ทำให้บรรเจิดถอนหายใจยืดยาวก่อนเอ่ย
“มาโน้มน้าวลุงน่ะสิคุณที
คงเห็นโอกาสที่ลุงไม่มีคนในไร่อยู่ด้วย เลยมาพูดจาชักชวนลุงไปทำงานด้วยกัน”
นทีธัชช์ได้ยินอย่างนั้นก็ได้แต่ข่มใจรับฟังอย่างสงบ
หลังจากวิรงรองลาออกไปอยู่กับเคียงผกายแล้ว ในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์กลับมีคนงานลาออกไปอีกสามคน
แม้จะอยู่ในส่วนที่ยังแบ่งสรรหน้าที่กันได้ไม่เดือดร้อนอะไร แต่การที่มีคนงานเลือกที่จะออกไปไล่เลี่ยกันอย่างนี้ก็ค่อนข้างน่ากังวล
ถ้ามองโดยรวมล่ะก็ใช่ แต่นทีธัชช์ยังไม่มีความรู้สึกนั้น
“ลุงว่าเคียงผกายมันเอาใหญ่แล้วนะคุณที
เห็นว่าทางเรากำลังอ่อนกำลังแค่เพราะไม่มีคุณคีอยู่ด้วย เลยมาโน้มน้าวให้คนงานไปอยู่ฝั่งเขา”
“แล้วลุงเจิดโดนโน้มน้าวยังไงบ้างครับ”
“โอ๊ย ก็เรื่องคุณพลอยนั่นล่ะจะอะไร
มาบอกว่าตอนนี้รินทร์ธารากำลังสั่นคลอน เขาบอกให้ลุงหาทางที่จะอยู่ได้อย่างมั่นคงมากกว่าที่นี่
ลุงก็เลยลองตามน้ำถามว่าลุงจะไปอยู่ไหนดีล่ะ เท่านั้นแหละคุณที”
หึ นทีธัชช์รู้สึกเวทนามากกว่าโกรธเกรี้ยว
ได้แต่พยักหน้ารับคำบอกเล่านั้นแล้วถามขึ้น “แล้วลุงว่ายังไงครับ จะไปไหม”
“อือ ลุงก็ว่าจะคุยกับคุณทีอยู่
ได้ไหมล่ะคุณที”
นทีธัชช์ได้ยินอย่างนั้นจึงกดยิ้ม หยัดกายขึ้นยืน
แววตาเป็นประกายของความรู้สึกที่ไม่ชัดเจน “ถ้าลุงไป เดี๋ยวผมเซ็นอนุมัติให้เลยแล้วกันครับ”
“ลุงขอเงินล่วงหน้าสี่เดือนได้ไหม”
“ได้ครับ ผมจะให้พี่หญิงจัดการให้แล้วกัน”
ไกรวีนิ่ง ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะเลยเถิดมาขนาดนี้
หากยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องลุกขึ้นเดินตามนทีธัชช์กลับมาที่รถ ยังคงเหลียวมองบรรเจิดที่กลับไปกินข้าวตามปกติเหมือนการขอลาออกเมื่อครู่เป็นเรื่องสบาย
ๆ พอรถขับพ้นร้านอาหารมาแล้วจึงค่อยหันไปมองนทีธัชช์ที่ขับรถด้วยท่าทีสงบนิ่ง ไม่มีแววโกรธเคืองหรือแม้กระทั่งผิดหวังเสียใจ
ไกรวีรู้ว่าบรรเจิดทำงานที่รินทร์ธารามาตั้งแต่ก่อนที่ฝาแฝดจะเข้ามาสานต่อจากบุพการี
รับรู้ได้ว่าคงมีใจผูกพันกับที่นี่มากถึงไม่ไปไหน แต่เมื่อครู่นั้น…
“มีอะไรรึเปล่า”
นทีธัชช์ถามเสียงเรียบ ให้ไกรวีนิ่งเพื่อเดาอารมณ์ก่อนจึงตัดสินใจถามออกไป
“พี่ทีไม่ยื้อลุงเจิดไว้เลยเหรอครับ”
“ยื้อ?”
“ลุงเจิดทำงานที่นี่มานาน
อยู่ ๆ จะไป ผมว่ามัน…”
ไกรวีพูดไม่ออก ตามจริงเขาไม่น่าจะมีสิทธิ์ถึงขนาดยื้อหรือไล่ใครได้
แต่มันก็น่าตกใจไม่ใช่หรือที่อยู่ ๆ คนเก่าคนแก่ของไร่กลับหันเหจะไปทางอื่นที่ดูก็รู้ว่าเป็นคู่แข่งกัน
แล้วทำไม…เดี๋ยวก่อนนะ นั่นนทีธัชช์หัวเราะอะไรเนี่ย?
“ไปกันใหญ่แล้ว”
นทีธัชช์หัวเราะขำไม่ปิดบัง “พี่กับลุงเจิดแค่คุยเล่นกัน
ดูไม่รู้เลยเหรอ”
ชายหนุ่มเม้มปาก ครุ่นคิด...ไม่ล่ะ ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนคุยเล่นกันเลยไม่ใช่หรือ
ถ้าแค่นทีธัชช์แกล้งทำดุเขายังพอเข้าใจได้ แต่กับบรรเจิดนี่สิ…
พลันอยู่ ๆ ไกรวีก็รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมา
ใช่แน่ ต้องใช่แน่ ๆ
ไกรวียกมือขึ้นปิดหน้า ครู่หนึ่งก็ทิ้งมือลง
หยัดศอกกับกรอบหน้าต่างรถได้ก็ค้ำมือปิดครึ่งหน้าแล้วโอดครวญอย่างเหนื่อยหน่าย “ผมต้องบ้าแน่ ๆ ถ้าต้องเจอคนอย่างพี่ทีกับลุงเจิดพร้อมกันทุกวันแบบนี้”
ใช่แน่ ไม่ว่าจะลูกน้องหรือเจ้านายก็ร้ายกาจเหมือนกันไม่มีผิด
นี่เขาโดนหลอกจากคนที่ทำหน้าตาเฉยเมยได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนอีกแล้วหรือเนี่ย!
‘ปกติพี่คีเป็นอย่างนายนทีธัชช์บ้างไหม
นี่ผมจะบ้าตายอยู่แล้วนะพี่พลอย’
เพชรพริ้งเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าข้อความที่น้องส่งมาผ่านแอปพลิเคชั่นสนทนาจะเป็นการไถ่ถามถึงสามีเธอ
ข้องใจไม่น้อยกับคำว่า ‘เป็นอย่างนายนทีธัชช์บ้างไหม’ เธอนิ่งทวนประโยคคำถามอีกสองรอบ
ค่อยถามกลับไปเพื่อความชัดเจน
‘เป็นอย่างที่กรว่าคือเป็นแบบไหนล่ะ’
หายไปพักหนึ่งถึงมีข้อความจากไกรวีตอบกลับมา
‘พูดมาก ขี้แกล้ง เล่นอะไรไม่รู้จักเวล่ำเวลา
ผมตามไม่ทัน’
เท่านั้นเพชรพริ้งก็หัวเราะ เธอส่งโทรศัพท์ที่ยังเปิดหน้าจอสนทนากับน้องชายให้คีรินทร์ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องทำงาน
พอชายหนุ่มรับไปก็ไล่อ่าน ก่อนได้เลิกคิ้วแล้วมองหน้าภรรยาอย่างมีคำถาม
“ไอ้ทีน่ะเหรอจะพูดมาก”
คีรินทร์งุนงง แปลกใจ ถ้าตัดคำว่าพูดมากทิ้งเหลือแต่ส่วนอื่นก็ยังพอเข้าใจได้บ้าง
แต่ปกติเวลาที่นทีธัชช์จะพูดมากมักเป็นเวลาที่พูดสอนคนงาน มากสุดคือโต้ตอบคนของเคียงผกายให้สนุกปาก
แต่แม้กับเขาหรือผู้เป็นแม่นทีธัชช์ยังดูสงบปากสงบคำด้วยซ้ำ ชอบใช้ท่าทีกวน ๆ เล่นงานคนรอบข้างเสียมากกว่า
“แล้วพลอยควรตอบน้องไปว่ายังไงดีคะ”
เพชรพริ้งยิ้ม และคีรินทร์ก็รู้ว่าเธอมีแผนในใจอยู่แล้ว จึงบอกไปอย่างอนุญาตอยู่ในที
“แล้วแต่พลอยเลย”
ว่าแล้วก็เดินเข้ามาจุมพิตเรือนผมนุ่มอย่างที่มักทำ
แต่คนที่เคยยิ้มรับสัมผัสเขากลับนิ่วหน้าแล้วเบี่ยงหลบอย่างตั้งใจ พอหันมามองกันอีกทีก็ยิ่งขมวดคิ้วใส่อย่างไม่ชอบใจนัก
“พี่คีฉีดน้ำหอมเหรอคะ เหม็นมากเลย”
หือ “พี่ไม่ใช้น้ำหอม พลอยก็รู้”
นั่นสิ ปกติสามีเธอไม่ใช้น้ำหอม แม้แต่สบู่ที่ใช้ก็ยังเป็นสบู่กลิ่นธรรมชาติที่เป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งของไร่เลย
ไม่เหมือนเธอที่ยังติดใช้เจลอาบน้ำยี่ห้อหนึ่งที่มีขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป แต่ครั้งนี้กลิ่นหอมอ่อนจางนั้นกลับกลายเป็นฉุนแตะจมูก
เพชรพริ้งเบือนหน้าหนีสามีที่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างกันแล้วมองเธออย่างสงสัย ขณะนั้นเองที่ความคิดหนึ่งแวบเข้ามา
แย่ล่ะ…ถ้าเป็นอย่างที่เธอคิด
ก็ผิดเวลาเอามาก ๆ จริง ๆ
สิ่งที่คิดจะตอบน้องชายพลันหายไป เธอหยัดกายขึ้นยืน
มองหน้าสามีอย่างระงับความหงุดหงิดยามได้กลิ่นกายเขาไว้ไม่ได้ ก่อนเดินเลี่ยงไปทางห้องครัวแล้วค่อยตอบน้องกลับไป
‘ทนหน่อยนะกร พี่ทีเขาก็เป็นอย่างนี้’
คราวนี้น้องเธอตอบมาเร็วทันใจเลยล่ะ ‘พูดมากน่ะพอทนได้ แต่ขี้แกล้งเนี่ย บางทีก็อยากทำตัวเป็นสัตว์ประหลาดใส่ให้รู้แล้วรู้รอด’
‘โธ่ เจ้ากรของพี่ หงุดหงิดแล้วเนี่ย
555’
‘ขำไปเถอะ ใครจะดีเท่าสามีพี่พลอยล่ะ’
เพชรพริ้งนิ่ง เธอรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาจากกรอบประตูครัว
พอหันไปก็พบกับสายตาเป็นห่วงเป็นใยที่ส่งมาให้ตามปกติ ใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏชัด
และแววตาที่มองสบกันก็คล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
คีรินทร์ไม่ได้เดินเข้ามาหาเธอ เพียงแค่เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยน
“พี่จะลองเปลี่ยนไปใช้เจลอาบน้ำของพลอย
ดีไหม”
เพชรพริ้งพยักหน้า คลายยิ้มหวานยามเขาบอกเธอด้วยน้ำเสียง
กิริยา และรอยยิ้มที่ยังคงเดิม
“ไว้เราเช็กอย่างละเอียดกันอีกทีนะครับ”
คีรินทร์รู้เหมือนที่เธอรู้ เพราะอย่างนั้นเพชรพริ้งจึงพยักหน้ารับอีกรอบ
นึกขอบคุณที่ถ้อยคำอ่อนโยนใส่ใจของเขาทำให้เธอรู้สึกสงบขึ้น เพราะอย่างนั้นจากที่คิดว่าจะวางโทรศัพท์แล้วทำเครื่องดื่มสมุนไพรสักแก้ว
ก็เลยเปลี่ยนใจไปเป็นกดแป้นพิมพ์แทน
ไม่นานเธอก็ได้สติกเกอร์รูปยักษ์หน้าแดงกลับคืนมาจากไกรวี
หัวเราะได้และก็อารมณ์ดีมากขึ้นอีกด้วย
เพราะข้อความที่เธอส่งไปน่ะ เป็นการแหย่ลูกแมวในกรงเสือชัด
ๆ
‘เอาน่า กรอาจน่าแกล้ง พี่ทีก็คงเอ็นดู
แล้วพี่ก็ว่าไม่มีใครน่าแกล้งไปกว่ากรแล้วด้วย ถ้ารับไม่ไหวก็ข่วนหน้าไปเลยนะเจ้าเสือน้อย!’
เรื่องชอบแกล้งเธอยังพอหาข้ออ้างให้นทีธัชช์ได้
แต่เรื่องพูดมากถือเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับเธอ เพราะอย่างนั้นไกรวีก็คงต้องเคลียร์ประเด็นนี้กับเจ้าตัวเองแล้วล่ะ
เธอกับสามีจะไม่ยุ่งอย่างแน่นอน
โปรดติดตามตอนต่อไป
เกือบลืมอัปค่ะ มัวแต่สร้างบ้านอยู่ (เกมล้วน ๆ กร๊ากกกก)
ฝากด้วยนะคะ ^ ^
ทวีตติดแท็ก #ธาราโอบจันทร์ หรือคอมเมนต์ หรือกดให้กำลังใจ ตามสะดวกเลยค่าา
ความคิดเห็น