คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ห้า ... (รีไรท์)
ไกรวีมองเข้าไปในตัวบริเวณของร้าน ที่นี่ไม่ใช่ร้านอาหารโดยเฉพาะ
แต่น่าจะเป็น Café & Restaurant เสียมากกว่า บรรยากาศโดยรอบแม้ยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ตัวร้านก็ยังรู้สึกถึงความร่มรื่นจากโครงเหล็กที่มีไม้เลื้อยดอกสีเหลืองขึ้นคลุม
ตัวร้านเป็นเหมือนบ้านไม้สองชั้น และนทีธัชช์ก็เลือกที่จะนั่งอยู่ในซุ้มไม้เลื้อยโดยไม่ถามความเห็นเขาสักคำ
แต่ช่างเถอะ ไกรวีคิดว่านทีธัชช์รสนิยมดีพอสมควร
ดูจากที่เลือกคาเฟ่กึ่งร้านอาหารเป็นที่รับประทานมื้อกลางวันแล้วล่ะก็
“เต็มที่เลย พี่เลี้ยงเอง”
ไกรวีนิ่งไปเล็กน้อยกับคำบอกนั้น ดูไม่น่าไว้วางใจยิ่งกว่าตอนที่จะให้เขาปั่นจักรยานทำสมูทตี้
ชายหนุ่มจึงหรี่เรียวตาลง มองอย่างจับผิดแล้วถามขึ้น “เนื่องในโอกาสอะไรครับ”
“ต้องมีด้วยเหรอ”
“ผมกลัวพี่ทีจะคิดทำอะไรกับผมอีก”
เท่านั้นนทีธัชช์ก็หัวเราะออกมา ส่ายหน้าเชิงบอกว่าไม่มีอะไรจริง
ๆ ก่อนรับเมนูมาจากพนักงานหญิงคนหนึ่งที่ออกมาต้อนรับกัน และเมื่อไกรวียังดูท่าไม่ไว้วางใจเขา
นทีธัชช์จึงเป็นคนจัดการสั่งอาหารด้วยตัวเอง
“เป็นอย่างนี้บ่อยรึเปล่า”
“แบบไหนครับ”
“โกรธนาน”
ไกรวีส่ายหน้า “ผมหายโกรธนานแล้ว แต่พี่ทีทำให้ผมไม่วางใจเองนี่ครับ ช่วยไม่ได้หรอก”
นทีธัชช์ยอมรับว่าตัวเองผิด ผิดที่เล่นแรงเกินไปหน่อยและทำตามอำเภอใจโดยที่ไกรวีไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะโต้แย้ง
ถึงอย่างนั้นคนที่นั่งปั้นหน้าตึงก็ยังทำให้เขาอ่อนใจ เขากลัวว่าตัวเองจะเล่นไม้แข็งถ้าไกรวียังคงมึนตึงต่อกัน
“แค่อยากให้กินอิ่มกินอร่อย
เพราะกลับไปส่วนใหญ่ก็มีแต่อาหารชีวจิตทั้งนั้น”
นั่นก็จริง แม้จะมีเนื้อสดไว้ให้ทำอาหาร
แต่ส่วนใหญ่ก็ยังประกอบด้วยวัตุดิบพื้นบ้านที่ทางไร่ปลูกไว้ “แต่ผมชอบนะครับ ได้กินผักสด ๆ กรอบ ๆ แถมปลอดสารพิษแน่นอนด้วย”
“งั้นก็สบายใจได้เลย เพราะวัตถุดิบของที่นี่ก็ปลอดสารพิษเหมือนกัน”
“รู้ได้ยังไงครับ”
นทีธัชช์ส่งผักสลัดเข้าปาก เคี้ยวอีกครู่ค่อยตอบ “เพราะรินทร์ธาราส่งของตามออเดอร์ให้ร้านนี้”
ไกรวีตาเป็นประกายขึ้นเมื่อได้รับความรู้ใหม่
ซึ่งหลังจากนั้นระหว่างมื้ออาหารจึงเต็มไปด้วยบทสนทนาที่ว่าด้วยธุรกิจจัดซื้อผัก นม
ผลไม้จากไร่รินทร์ธารา เรื่อยไปถึงระบบการรับออเดอร์จากร้านค้าร้านอาหารในตัวจังหวัดอีกด้วย
นั่งอีกพักจนมื้ออาหารจบแล้ว มีรถสีขาวคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาในร้านซึ่งไม่ได้มีพื้นที่จอดรถ
แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าคงเป็นพนักงานหรือเจ้าของร้านเพราะรถขับเข้าไปจอดด้านในที่ใกล้กับกรงสุนัขขนาดใหญ่
เหล่าสุนัขต่างยืนขึ้นแล้วส่ายหาง และนั่นก็ทำให้นทีธัชช์สนใจไม่น้อย
นทีธัชช์พินิจคนที่เพิ่งลงจากรถ เห็นพนักงานคนหนึ่งวิ่งออกมาช่วยถือของก็เข้าใจว่าคงเป็นคนที่เขาอยากเจอและพูดคุยกันสักครั้ง
หากก่อนที่เขาจะได้พูดหรือขยับตัว อีกฝ่ายก็กลับเหลียวสายตามาสบกันเข้าเสียก่อน มีรอยไม่แน่ใจปรากฏอยู่ชั่วครู่
แต่เพียงแค่นทีธัชช์จุดยิ้ม คนที่ดูไม่แน่ใจจึงคลายยิ้มแล้วเดินตรงเข้ามาหา
นทีธัชช์จำได้ว่าคีรินทร์บอกไว้ เจ้าของร้าน
café & restaurant นี้อายุน้อยกว่าหลายปี และถ้าดูจากรูปหน้าเกลี้ยงเกลาอ่อนเยาว์แล้วก็ให้มั่นใจ
“สวัสดีครับคุณคีรินทร์”
แต่ดูอีกฝ่ายจะมั่นใจกว่าเขามาก นทีธัชช์หัวเราะน้อย
ๆ แล้วส่ายหน้า แนะนำตัวออกไปอย่างไม่ถือสาอะไร “ผมนทีธัชช์ครับ ฝาแฝดของคีรินทร์”
ได้ยินเสียงอ้าวลอยมาเบา ๆ ก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะพร้อมกับยกมือขึ้นลูบคออย่างเก้อ
ๆ “ขอโทษนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ย
“ผมจำได้ว่าวันนั้นคุณคีรินทร์บอกว่าคุณนทีธัชช์ออกตรวจพื้นที่พอดี”
วันนั้นที่อีกฝ่ายหมายถึงคงเป็นวันที่ไร่รินทร์ธาราได้ต้อนรับคู่ค้าที่ค่อนข้างสำคัญพอตัวรายหนึ่ง
เพราะไม่เพียงแต่ Relieve Café จะรับสินค้าจากทางไร่ส่งตรงไปยังสาขาในตัวจังหวัด
แต่ยังเป็นลูกค้ารายแรกที่ไร่ของเขาจับมือซื้อขายสินค้าโดยจัดส่งมายังอีกสองสาขาที่กรุงเทพอีกด้วย
“ว่าแต่เดินทางมาถึงนี่เลย
ได้ลองเมนูที่ทำจากนมแพะของทางไร่รึยังครับ”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
นทีธัชช์ตอบยิ้ม ๆ “เอ…นี่ผมรบกวนคุณสหรัถรึเปล่าครับ
เห็นว่าเพิ่งกลับเข้าร้านมาด้วย”
ดวงตาคู่กลมของคนตรงหน้าเป็นประกายวิบวาว
ริมฝีปากคู่อิ่มคลี่ยิ้ม กิริยาอย่างนั้นทำให้นทีธัชช์นิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะได้รู้สึกเหมือนมีกำปั้นของไกรวีมาซัดเข้าที่ซีกแก้มแม้ที่จริงชายหนุ่มจะเพียงแต่นั่งเงียบอยู่ข้าง
ๆ เพราะถ้อยความกลั้วหัวเราะของอีกฝ่าย
“ผมไม่ใช่สหรัถหรอกครับคุณนทีธัชช์”
ว่าอย่างนั้นก่อนก้มหน้าก้มตาล้วงเอากระเป๋านามบัตรในกระเป๋าเป้ หยิบมาได้หนึ่งใบก็เงยหน้ายื่นส่งให้นทีธัชช์
“ผมรดิศครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
ให้ตาย…นทีธัชช์เข้าใจไกรวีก็ในวินาทีนี้ว่าความรู้สึกที่ว่าหน้าแตกยับเป็นอย่างไร
หากแต่ไม่วาย คนที่เคยหน้าแตกเพราะเข้าใจผิดเกี่ยวกับเขายังหัวเราะเยาะกันในทันทีอย่างไม่ปิดบังเสียด้วย
แถมเหตุการณ์นี้ยังทำให้ไกรวีอารมณ์ดีแม้จะกลับถึงไร่รินทร์ธาราซึ่งนับดูก็หลายชั่วโมงต่อจากนั้นแล้วก็ตาม
โดยที่ยังมีสายตาเยาะหยันคอยส่งให้เวลามองกันอยู่ร่ำไป
เจ้าคิดเจ้าแค้นพอดูเลยนะไกรวี!
นทีธัชช์รู้สึกว่าตัวเองจมจ่อมกับงานเอกสารจนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงพักเที่ยงแล้ว
ทว่าเมื่อละมือจากงานแล้วมองออกไปในส่วนของด้านหน้าห้องที่ใช้เป็นห้องรับรองแขก เขากลับไม่พบไกรวีที่ควรจะนั่งทำงานของตัวเองอยู่ตรงนั้น
ชายหนุ่มทอดถอนลมหายใจยาว หยัดกายขึ้นยืนก่อนจะก้าวเท้าออกมาจากห้อง
ก็พอดีกับที่จอมทัพ เลขานุการหนุ่มของคีรินทร์ลุกออกจากโต๊ะทำงานของตนพอดี
“พี่ที พักกินข้าวเหรอครับ”
ชายหนุ่มถามขึ้นเมื่อมองมาเห็นเขา แม้จะไม่ได้สนิทกันเท่าคีรินทร์ แต่การทำงานด้วยกันมาหลายปีก็ทำให้สนิทใจที่จะเรียกขานกันอย่างคนคุ้นเคยได้
นทีธัชช์พยักหน้า ถามกลับ “เห็นกรไหม”
“ครั้งสุดท้ายก็เกือบสิบโมงมั้งครับ
เห็นบ่น ๆ ว่าจะออกไปยืดเส้นยืดสาย แล้วก็หายไปเลย”
ไปหลงอยู่ที่ไหนรึเปล่านั่น นทีธัชช์ได้แต่ถอนหายใจ
เอ่ยขอบคุณจอมทัพแล้วเดินออกมาจากสำนักงาน กวาดตามองไปรอบบริเวณก็ไม่มีทีท่าจะมองเห็นร่างสันทัดของคนที่นับได้ว่าอยู่ในการดูแลของเขาเลยสักนิด
กำลังคิดว่าจะโทรศัพท์ตามดีหรือจะลองขับรถตระเวนหาดี รถกระบะคันเก่าที่บรรทุกคนงานมาเกือบสิบคนก็จอดเทียบใกล้
ๆ สำนักงาน
และนทีธัชช์ก็ได้รู้ทันทีว่าไม่ต้องไปตามหาไกรวีเองแล้ว
เพราะคนงานคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ช่วยหัวหน้างานวิ่งตรงเข้ามาหา บอกกล่าวทันทีที่หยุดตรงหน้ากัน
“คุณทีครับ คุณกรอยู่นาข้าวนะครับ
ฝากผมมาบอก เผื่อคุณทีกำลังตามหาครับ”
“นาข้าวแปลงไหนเหรอครับน้าชุ่ม”
“นู่นครับ สุดไร่เลย ที่กำลังปรับดินกันอยู่นั่นแหละครับ”
เท่านั้นนทีธัชช์ก็เอ่ยขอบคุณ ก้าวตรงไปยังรถกระบะของตัวเองแล้วสอดตัวเข้าไป
ขับมาได้อีกเกือบสี่กิโลเมตรจากสำนักงาน ผ่านแปลงนาโล่งแห้งมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงแปลงนาสุดท้าย
สายตาก็มองไปเห็นร่างสันทัดที่กำลังขยับอย่างแข็งขันอยู่บนที่ดินโล่งว่าง มีดินร่วนซุยจากการพรวนเตรียมงานกองเป็นหย่อม
ไกรวีเองพอได้ยินเสียงปิดประตูรถก็เพียงแต่เงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง
กลับไปยกคราดขึ้นจากดิน ปักลงไปใหม่ ก็ปล่อยถูครืดให้ดินแห้งที่เกาะกลุ่มแตกออก ทำอย่างนั้นซ้ำ
ๆ เรื่อย ๆ ตามแนวดินเป็นทางยาวไป ในขณะที่มีอีกหนึ่งคนซึ่งยืนไม่ห่างกันรีบรุดไปหานทีธัชช์ทันทีที่มองเห็น
“คุณทีครับ”
คนที่เดินเข้ามาหาคือลุงบรรเจิด หัวหน้างานส่วนแปลงนาที่ดูเหมือนกำลังอยู่ในขั้นตอนของการสอนงานคนมาใหม่
นทีธัชช์ยังทอดมองไปกลางแปลงนาจนบรรเจิดมองตาม
“หน่วยก้านดีมากเลยนะครับคุณที”
ชายหนุ่มจุดยิ้ม ยกมือขึ้นกวักเรียกคนที่พักมือจากดินแล้วจึงเอ่ยขึ้น “มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงครับ”
“ตอนแรกไม่ได้อยู่แปลงนี้หรอกครับ
เห็นเดินเล่นแถว ๆ ต้นแปลงนู่น แต่บ่น ๆ ว่าหัวสมองไม่แล่นทำงานไม่ได้ พอเห็นพวกผมจะมาตรงนี้ก็เลยขอติดรถมาด้วย
แล้วก็อย่างที่เห็นเลยครับ”
นทีธัชช์พยักหน้ารับรู้ มองไกรวีที่กำลังเดินมาก็ให้ได้ตีหน้านิ่ง
ถึงเขาจะค่อนข้างพอใจที่ไกรวีอยู่ไม่สุขจนเดินออกมาหางานทำก็เถอะ แต่ชายหนุ่มก็ยังติดค้างค่าที่ไม่ยอมบอกกล่าวกันก่อน
นี่ถ้าเขาคลาดกับคนงานที่อีกฝ่ายฝากส่งข่าวบอกกัน ไม่ใช่เขาต้องขับรถตระเวนหาจริง ๆ
น่ะหรือ
ไกรวีดูกลมกลืนกับสถานที่มากขึ้นเมื่อสวมเสื้อกล้ามสีเทาอ่อนด้านใน
ทับด้วยเชิ้ตแขนยาวสีเทาเข้ม กางเกงยีน กับรองเท้าบู้ทสีดำที่คงจะหายืมจากคนงานนั่นแหละ
“มีอะไรเหรอครับ”
นทีธัชช์อยากเอ็ดชายหนุ่มตรงนี้เลย ติดก็แต่ยังมีคนงานอีกหลายคนที่ยังคงทำงานในส่วนของตัวเอง
จึงบอกให้ไกรวีไปรอที่รถ ส่วนเขาก็ยืนคุยกับบรรเจิดเกี่ยวกับพื้นที่ที่จะแปรรูปเป็นพื้นที่การปลูกถั่วแทนข้าวอีกครู่หนึ่งค่อยผละออกมาหาคนที่ยังยืนมองแปลงนาอยู่เงียบ
ๆ
“เหนื่อยไหม”
นทีธัชช์ถาม ไม่มีแววห่วงใยหรือต้องการรู้จริงจัง
เหมือนก็แค่ถาม เพราะอย่างนั้นไกรวีจึงตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจเช่นกัน “ดีกว่านั่งอยู่ในออฟฟิศแหละครับ”
“โทษใครไม่ได้นะอย่างนั้น
บอกพี่เองนี่ว่าจะตรวจงานจากนักเขียน”
“ผมก็ยังไม่ได้โทษพี่ทีเลย”
ไกรวีเอ่ยกลั้วหัวเราะ ปรับช่องส่งลมเย็นให้จ่อตัวแล้วเอนหลังพิงเบาะนั่ง
“ลุงเจิดบอกว่าอีกสองวันจะหว่านเมล็ดปลูกถั่วแล้ว”
“อืม ปรับดิน เพิ่มธาตุอาหารให้ดินน่ะ”
“เสียดายที่ผมมาอยู่ไม่ทันช่วงเกี่ยวข้าว”
ได้ยินเสียงที่อ่อนลงก็ให้รู้ว่ารู้สึกอย่างที่พูดจริง
นทีธัชช์เลยเหลียวมองคนข้างกาย จุดยิ้มพอใจที่ไกรวีไม่ได้อิดออดที่จะเรียนรู้การทำงานทุกอย่างในไร่
แม้ตัวเองจะเข้ามาเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็ต้องไป
“ถ้าสนใจเรื่องปลูกข้าว
กรคงต้องอยู่จนถึงระยะปลูกครั้งต่อไปแล้วล่ะ”
“ซื้อตัวผมมาจากเรือนกระดาษให้ได้ก่อนแล้วกัน”
นทีธัชช์หลุดขำ ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “มีใครพูดแล้วเหรอว่าจะให้กรเข้ามาทำงานที่นี่ ตัวเองพูดเองทั้งนั้น”
ใช่ ไกรวีไม่เถียง แต่ก็ไม่เถียงอีกเช่นกันว่าการได้เรียนรู้ด้านเกษตรกรรมนั้นสนุกมากทีเดียว
เพียงแต่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่าจะหยุดอยู่กับตรงนี้ได้นานแค่ไหน แต่เพราะเห็นว่าไหน
ๆ ก็ต้องอยู่จนกว่าจะจบเรื่องกับไร่เคียงผกายได้แล้ว ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อยก็คงดี
“อยากได้รองเท้าบู้ท ผมพอจะยืมรถคันไหนขับเข้าเมืองได้บ้างครับ”
ไกรวีจุดประเด็นให้นทีธัชช์ที่เกือบลืมไปเสียสนิทว่าจะเอ็ดเจ้าตัวถึงกับถอนหายใจ
และทั้ง ๆ ที่สายตามองตรงไปข้างหน้าแต่ก็ยังเอ่ยด้วยเสียงที่ดุขึ้นเล็กน้อย
“ทีหลังจะไปไหนบอกพี่ก่อนนะกร
ไม่ใช่นึกอยากไปไหนก็ไป เกิดไปหลงกลับไม่ถูกจะทำยังไง”
ไกรวีขมวดคิ้ว “จะหลงได้ยังไงล่ะครับ มองไปทางไหนก็เห็นคนงานเต็มไปหมด”
“พี่เคยบอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าพี่ไม่ไว้ใจใคร”
“หมายถึงว่า…พี่ทีกลัวจะมีคนจากเคียงผกายลอบเข้ามาเหรอครับ”
“และคนที่จะเป็นเป้าหมายต่อจากพลอยอาจจะเป็นกร”
ไกรวีนิ่ง เขาไม่คิดว่านทีธัชช์จะจริงจังขนาดนี้
เพราะดูจากการที่ไร่รินทร์ธารามีการจัดการตรวจตราคนเข้าออกที่รัดกุมมากขึ้น หากก็ยังไม่วางใจที่จะคิดหรือรู้สึกว่าทุกที่ที่เป็นของเขาปลอดภัย
อยู่ ๆ ไกรวีก็รู้สึกอุ่นที่ใจขึ้นมา อาจเพราะได้รับการเอ็ดที่เกิดจากการห่วงสวัสดิภาพของเขาจากนทีธัชช์กระมัง
“เกิดกรโชคไม่ดีอย่างพลอย
โดนฆ่าหั่นศพแทนที่จะถูกผลักตกเขาล่ะจะทำยังไง เสียเวลาตามหาชิ้นส่วนร่างกายแล้วอาจจะต้องนิมนต์พระทำพิธีไม่ให้ผีไกรวีเฮี้ยนด้วยก็ได้
ดูสิ ยุ่งยากไปกันใหญ่”
“กว่าคนร้ายจะจับผมฆ่าหั่นศพได้
ตอนนั้นรินทร์ธาราคงร้อนเป็นไฟแล้วล่ะครับ”
นทีธัชช์เลิกคิ้ว หัวเราะหึในลำคอ กำลังจะต่อบทเสียหน่อยหากแต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็รั้งไว้เสียก่อน
ชายหนุ่มขับรถช้าลง ล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง พอเห็นว่าเป็นจอมทัพจึงหยิบบลูทูธขึ้นมาเกี่ยวใบหูแล้วกดรับ
“ว่าไงเก้า”
“พี่ทีครับ พอดีมีคนขอยื่นใบลาออก
ผมอยากให้พี่ทีกลับมาคุยหน่อย สะดวกไหมครับพี่”
นทีธัชช์นิ่งไปนิด นานครั้งรินทร์ธาราจึงจะมีคนขอลาออกสักคน
ด้วยระบบการทำงานของที่นี่เป็นครอบครัว แม้จะมีคนงานมากแต่นทีธัชช์กับคีรินทร์ก็ดูแลเอาใจใส่อย่างทั่วถึง
หากแต่ครั้งนี้ที่จอมทัพติดต่อมาก็ทำให้สะกิดใจ
ทุกคนสำคัญก็จริง แต่ไม่มีครั้งไหนที่จอมทัพต้องโทรมารายงานทันทีแบบนี้
“ใครจะออก”
จอมทัพเงียบไปหลายวินาทีแล้วผ่อนหายใจยาว “ช้องนางครับพี่ที”
ฝ่ายบัญชี…อืม เรื่องใหญ่ด้วยสิเนี่ย “ได้ เดี๋ยวพี่ไป ไม่เกินสิบนาทีน่าจะถึง
บอกคุณช้องนางอย่าเพิ่งไปไหนล่ะ”
“ครับพี่”
นทีธัชช์ตีวงล้อก่อนหักพวงมาลัยกลับรถไปทางเดิม
ก่อนโทรศัพท์หาอีกหนึ่งสายซึ่งมีนัดกินข้าวกันในเที่ยงนี้ รออีกครู่สั้น ๆ ปลายทางก็รับโทรศัพท์
นทีธัชช์ส่งเสียงไปทันทีโดยไม่รอให้อีกทางเอ่ยคำใด
“มีเรื่องนิดหน่อย เดี๋ยวต้องอยู่เคลียร์ก่อน
ถ้านายกับพลอยหิวก็กินข้าวกันก่อนเลยนะ”
คีรินทร์นิ่งไปนิด “มีเรื่องด่วนอะไร”
“ค่อยคุยกัน อ้อ ถ้าจะกินกันก่อนก็เหลือส่วนของฉันกับกรไว้ด้วยแล้วกัน”
นทีธัชช์ไม่รอคำตอบรับจากคีรินทร์ เขากดวางสายแล้วเหยียบคันเร่งให้รถทะยานสู่ความเร็วเพิ่มขึ้นไปอีก
ไกรวีเองแม้จะฟังจากบทสนทนาที่ได้ยินแค่นทีธัชช์พูดก็ยังรู้ว่าคงเป็นเรื่องสำคัญมาก
จึงทำเพียงนั่งเงียบตลอดทาง กระทั่งถึงสำนักงานลงรถมานั่นแหละนทีธัชช์ถึงหันมาคุยกัน
“หิวไหม ถ้าหิวไปหาขนมปังรองท้องก่อนก็ได้นะ”
แต่ไกรวีส่ายหน้า สายตาบอกชัดว่าจะรอกินพร้อมกัน
เพราะอย่างนั้นทั้งสองจึงเดินเข้าสำนักงาน ตรงหน้าห้องทำงานที่เป็นส่วนของเลขานุการมีคนรออยู่แล้วสามคน
จอมทัพ ช้องนาง และชาคริยา หัวหน้าฝ่ายบุคคลที่ตอนนี้ใบหน้าดูหงุดหงิดยิ่งกว่าใคร
นทีธัชช์มองพนักงานสามคนที่เป็นดั่งขาที่ช่วยพยุงของไร่รินทร์ธาราก่อนพยักหน้า “เข้าไปคุยในห้องผมเถอะครับ”
ได้ยินอย่างนั้นไกรวีจึงแตะข้อศอกนทีธัชช์เบา
ๆ รอจนหันมามองจึงค่อยถาม “ให้ผมรออยู่ข้างนอกไหมครับพี่ที”
“ไม่เป็นไร มาเถอะ มาฟังด้วยกัน”
นทีธัชช์จุดยิ้มเล็ก ๆ แล้วก้าวเข้าไปด้านในโดยมีไกรวีเดินตามปิดท้าย
พอไกรวีเดินเลี่ยงไปยังโซฟาที่วางอีกมุมหนึ่งของห้อง ชายหนุ่มก็นั่งลงบนเก้าอี้ประจำตัว
บทสนทนาเริ่มต้นขึ้นทันทีด้วยเสียงทุ้มลึกที่คล้ายอ่อนลงเล็กน้อย
“คุณช้องนางจะลาออกเหรอครับ”
“ค่ะ นางยื่นใบลาออกอย่างถูกต้องแล้ว
แต่ว่าพี่หญิง…”
ท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ ของช้องนางทำให้นทีธัชช์ระบายลมหายใจ
หันไปทางชาคริยาที่ยังมีอาการหงุดหงิด เห็นแล้วว่าปัญหาหนึ่งน่าจะมาจากเธอด้วยจึงเอ่ยถาม
“ทำไมล่ะครับพี่หญิง”
“ก็ยัยนางจะออกกะทันหันน่ะสิคะคุณที
พี่บอกให้รอครบหนึ่งเดือนตามกฎก่อนก็ไม่ยอม บอกจะออก ๆ ท่าเดียว แล้วพี่ก็รู้ด้วยว่ายัยนางไม่ได้ออกเพราะเหตุผลที่ลงไว้ในใบลาออกหรอก
ยัยนางน่ะโกหก”
“ไม่จริงนะคะคุณที”
ช้องนางร้องขึ้น มองชายหนุ่มที่รับใบลาออกมาไว้กับมือพลางไล่สายตาอ่านอย่างเงียบเชียบ
ท่าทีนิ่งขรึมของเขาทำให้เธอเกร็งขึ้นมากะทันหัน “นางไม่ได้โกหกนะคะ
นางพูดจริง นางจำเป็นจริง ๆ ที่ต้องออกกะทันหันแบบนี้”
“แต่ถ้าคุณช้องนางออกตอนนี้
ระบบบัญชีคงรวนอยู่นะครับ เพราะเราคงหาคนมาแทนคุณช้องนางในทันทีไม่ได้”
นทีธัชช์ว่าอย่างนั้นก่อนกลับไปอ่านรายละเอียดในใบลาออกอีกครั้ง
แค่เพียงครั้งแรกเขายังสะดุดใจกับเหตุผล พอเห็นปฏิกิริยาก็ยิ่งรู้แน่แล้วว่าที่ชาคริยาพูดมาไม่เกินจริง
ฝ่ายบัญชีคนนี้คงไม่ได้ลาออกกลับบ้านไปดูแลพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดอย่างที่ระบุไว้ คงมีเหตุผลอื่นมากกว่า
“นางคงอยู่ได้นานสุดก็หนึ่งอาทิตย์ค่ะคุณที
นางมีความจำเป็นจริง ๆ”
เสียงเธอสั่นคลอนเหมือนดวงตาที่มีน้ำคละคลอ
มองแล้วน่าสงสาร แต่ก็น่าสงสัยด้วยเหมือนกัน นทีธัชช์มองภาพหญิงสาวตรงหน้าพลางครุ่นคิด
อีกเป็นนาทีก่อนจะระบายลมหายใจแล้วเอ่ยตามที่ตัดสินใจออกไป
“แล้วคุณกลับไปจะมีงานรองรับเลยรึเปล่าครับ”
“มะ…ไม่มีค่ะ”
“งั้นไม่เป็นไร ผมอนุญาตให้คุณออก
แต่ยังไงผมจะให้เงินเดือนล่วงหน้าสามเดือนไปด้วยนะครับ” คำบอกของเขาทำเอาช้องนางตาเบิกโต
หยดน้ำร่วงเผาะจากดวงตา “ดูแลตัวเองให้ดี ช่วงที่เพิ่งกลับไปอาจจะยังหางานไม่ได้
นั่นล่ะจะทำให้คุณลำบาก เงินล่วงหน้าสามเดือนคงพอช่วยคุณได้บ้าง”
“ขอบคุณคุณทีมากนะคะ นาง…นางจะไม่ลืมพระคุณเลยค่ะ”
นทีธัชช์ยิ้ม เมื่อครู่เขาทำแทนในส่วนของคีรินทร์ไปแล้ว
แต่ประโยคถัดมานี่สิที่เป็นเขาจริง
“ไปแล้วไม่ต้องกลับมานะครับ
เพราะผมคงต้อนรับคุณช้องนางไม่ได้แล้ว” ทั้งห้องเงียบกริบในทันที
แม้แต่ไกรวีที่ได้ยินคำนั้นยังขมวดคิ้ว “ไปเถอะครับ อย่าให้เสียเวลามากกว่านี้เลย
เก็บของออกจากหอให้เรียบร้อย อย่าลืมคืนกุญแจให้คุณมลเขาด้วยล่ะ”
นทีธัชช์หยัดกายขึ้นยืน ยิ้มเย็น “คงไม่ต้องมีใครออกไปส่งคุณหรอกใช่ไหม คนสำคัญอย่างคุณน่าจะมีคนมารอรับอยู่แล้วนะ
คุณช้องนาง”
ช้องนางหน้าซีดเผือด ขยับปากไม่ได้ก้าวขาไม่ออก
จนกระทั่งนทีธัชช์ก้มหน้าลง ตวัดลายเซ็นลงบนใบลาออกแล้วส่งต่อให้ชาคริยาที่ยังคงแววกรุ่นเคืองอยู่
พอเรียวตาคู่คมตวัดมามองกัน มีดแหลมจากในดวงตาก็บาดลึกจนเธอร้าวไปหมด ช้องนางยกมือสั่นเทาขึ้นไหว้เขา
ค่อย ๆ ก้าวออกห้องก่อนลับหายไปจากสำนักงาน
“โธ่ คุณทีน่ะ ไม่น่าให้เงินยัยนั่นเลย”
“เอาเถอะพี่หญิง ผมทำในส่วนของคี
ถ้าคีอยู่ตรงนี้ก็คงตัดสินใจอย่างนั้น ยังไงฝากพี่หญิงด้วยแล้วกันนะครับ”
“แล้ว…พี่ทีจะให้ผมลองตามไปดูไหมครับ”
จอมทัพที่ยืนเงียบมานานส่งเสียง ให้นทีธัชช์นิ่งคิดหลายวินาทีจึงพยักหน้า
ออกปากไหว้วานจอมทัพ หันบอกให้ชาคริยาไปพักกินข้าว แล้วพยักหน้าให้ไกรวีที่ยืนขึ้นแล้วเดินตามออกมา
ไกรวีไม่ได้ถามว่าทำไมนทีธัชช์ถึงพูดจาใจร้ายกับหญิงสาวอย่างนั้น
เขานั่งเงียบตลอดทางจากสำนักงานจนกระทั่งถึงบ้านใหญ่ท้ายไร่ คีรินทร์กับเพชรพริ้งยังไม่แตะต้องอาหารที่เตรียมไว้
รอคอยเขาสองคนมาร่วมมื้ออาหารอย่างพร้อมหน้ากัน
น่าแปลกที่นทีธัชช์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องทำงานได้อย่างสบาย
ๆ โดยที่คีรินทร์ก็รับฟังอย่างสงบ เหมือนรู้กันมาก่อนแล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
คีรินทร์ไม่มีความเห็นใดนอกจากบอกว่า “ดีแล้ว” ให้นทีธัชช์ยักไหล่ กระทั่งมื้ออาหารใกล้จบลงนั่นแหละที่เสียงโทรศัพท์ของนทีธัชช์ดังขึ้น
“ว่าไงเก้า ได้เรื่องแล้วเหรอ”
ชายหนุ่มรับฟังคู่สาย ไม่แปรผันสีหน้าสบาย
ๆ ราวกับได้ยินเพื่อนชวนคุยเท่านั้น แต่คุยกันได้ไม่กี่คำจอมทัพก็วางสายไป ก่อนจะมีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นให้นทีธัชช์ที่ถือโทรศัพท์ค้างไว้กดเปิดหน้าจอ
สิ่งที่จอมทัพส่งมาทำให้เขาจุดยิ้ม ช้อนนัยน์ตามองสบกับฝาแฝดแล้วจึงเอ่ยขึ้น
“ได้เวลาเปิดประตูรับข้าศึกแล้ว”
คีรินทร์พยักหน้าด้วยท่าทีสงบเหมือนเคย
เพชรพริ้งดวงตาระยับพราว ในขณะที่ไกรวียังคงมึนงงอยู่ชั่วขณะจนนทีธัชช์ต้องช่วยไขความกระจ่างด้วยการยื่นโทรศัพท์ส่งให้
จอมทัพส่งรูปมาหลายรูป แม้ภาพจะแตกเพราะซูมเกือบสุดก็ยังมองเห็นชัดว่าคนในรูปคือช้องนาง
ตั้งแต่เธอยืนคุยกับใครสักคนอยู่หน้าไร่รินทร์ธารา จังหวะที่เธอขึ้นรถไปกับเขา และรถที่เข้าสู่สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีป้ายไม้ใหญ่ปรากฏให้ได้เห็น
ป้ายไม้ที่ระบุว่าสถานที่นั้นคือ ‘ไร่เคียงผกาย’
โปรดติดตามตอนต่อไป
แวะมาขอความช่วยเหลือค่ะ แฮ่
พอดีว่าเราลงเรื่องนี้อีก 3 ที่ คือธัญวลัย ฟิคชั่นล็อก กับรีดอะไรท์ด้วย
ทีนี้ ถ้าใครที่ก็อ่าน ๆ นิยายอยู่รีดอะไรท์ เราวานรบกวนกดติดตาม
กดเรตติ้ง กดให้คะแนนเรื่องนี้ที่ทางนั้นด้วยนะคะ
https://www.readawrite.com/a/df4ef9b34aed8bd75d088d996bfb5a0f
ตอนนี้เรากำลังคิดอยู่ว่าอาจจะไปลงหลักปักฐานอยู่ทางนั้น เพราะลงหลาย ๆ ที่ก็เหนื่อยตัวเองค่ะ
ดูท่าแล้วทางนี้ไม่ค่อยมีใครอ่านด้วย (ฮาาาา) แต่ยังไงก็จะลงต่อไปก่อน ตัดสินใจได้ยังไงจะแจ้งอีกทีนะคะ
ส่วนตอนนี้ก็เหมือนเดิม คอมเมนต์ หรือทวีตติดแท็ก #ธาราโอบจันทร์ หรือกดให้กำลังใจน้าา
ขอบคุณค่าาาา
ความคิดเห็น