ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ธาราโอบจันทร์ (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่สี่ ... (รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 27 พ.ย. 63





    ธาราโอบจันทร์
    บทที่สี่



    ไกรวีบอกตัวเองว่าบางทีนี่อาจเป็นเรื่องบังเอิญ นทีธัชช์คงมีงานด่วนที่กรุงเทพฯจึงจำเป็นต้องเดินทางร่วมกับเขา ดูจากที่ชายหนุ่มไม่ได้มีท่าทีว่าต้องตามติดชีวิตกัน ไม่ได้เลือกที่นั่งเพื่อจะอยู่ข้างกัน หนำซ้ำนทีธัชช์ยังทำราวกับเขาไม่มีตัวตนตลอดการเดินทาง

    ทว่าหลังจากออกมาสู่ประตูฝั่งผู้โดยสารขาเข้าไกรวีก็ยังต้องสงบจิตสงบใจ เพราะเขาเห็นนทีธัชช์ซึ่งนั่งบนที่นั่งใกล้ประตูกว่าเขามาก ตอนนี้กำลังยืนนิ่งโดยมีกระเป๋าเป้คล้องไว้กับหัวไหล่ข้างหนึ่ง นัยน์ตาคู่นั้นไม่ได้ทอดมองมาที่เขา เพียงแต่ก้มหน้าลงกดโทรศัพท์อย่างไม่รีบร้อน นั่นเป็นโอกาสให้ไกรวีทำเมิน เขาแทบจะพุ่งตัวผ่านประตูแล้วก้าวฉับลงบันได หากไม่ติดว่าเสียงทุ้มลึกจะดังขึ้นที่ด้านหลังเสียก่อน และเป็นเสียงที่ใกล้มากเสียด้วยสิ

    ไม่ต้องรีบนะกร พี่ติดต่อเจ้าของรถที่จะให้เรายืมเมื่อกี้ อีกเดี๋ยวเขาน่าจะเข้ามาถึงหน้าอาคารได้แล้ว

    โดยไม่ต้องพูดอะไรมากไปกว่านี้ ไกรวีก็รู้ได้ว่าที่เขาสันนิษฐานและพยายามบอกตัวเองนั้นเสียเวลาสิ้นดี ทั้งใบหน้าคมคร้ามก็ยังจุดยิ้มน้อย ๆ ส่งมาให้ ไม่ใช่ด้วยมิตรไมตรี แต่เหมือนกำลังบอกผ่านสายตาว่าอย่าได้โวยวายเลย เพราะยังไงเราก็ต้องไปด้วยกันอยู่ดี

    พี่ทีมีธุระที่นี่เหรอครับ

    ไม่เชิงว่าธุระหรอกครับ หรือการไปพักบ้านกรจะเรียกว่าธุระดีล่ะ

    หืม? จะพักบ้านเขาด้วยหรือเนี่ยผมไม่ได้บอกแม่ไว้

    ไม่เป็นไร พี่โทรไปหาท่านเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เช้า ท่านไม่ได้ขัดข้องอะไร

    ตั้งแต่เช้าหมายถึงตอนที่นทีธัชช์บอกว่าออกไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศน่ะหรือ ไกรวีได้แต่พ่นลมหายใจ ถ้าหากแม่รับรู้แล้วเขาก็คงขัดขวางไม่ได้ อีกอย่างกับเรื่องโดนรับน้องให้อยู่กับธรรมชาตินั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาย่ำแย่อะไร เพราะอย่างนั้นเขาจะลืม ๆ ไปเสียก็แล้วกันว่าผู้ชายหน้าคร้ามแดดคร้ามลมคนนี้เจ้าเล่ห์แค่ไหน

    ถึงที่จริงในใจลึก ๆ จะคิดไปแล้วว่านทีธัชช์ร้ายกาจ ไม่ใช่เพียงเจ้าเล่ห์ก็ตาม!

    มานั่นแล้ว

    หลังออกมายืนรอได้ไม่นาน รถคันใหญ่สี่ประตูสีดำสนิทก็เข้ามาจอดใกล้ ตีไฟหน้าให้ได้รู้ถึงการมาเยือน ไกรวีขึ้นนั่งที่เบาะหลัง ในขณะที่นทีธัชช์นั่งเบาะข้างคนขับซึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูง ผิวสีน้ำผึ้งคร้ามแดดอย่างเห็นได้ชัด ทว่าไม่มากเท่านทีธัชช์แน่ ไกรวีคิดว่าอย่างนั้น

    แน่ใจนะครับพี่จรัลว่าจะให้ผมยืม ไม่ให้เช่า

    นทีธัชช์ถามให้คนที่ขับรถด้วยความเร็วคงที่หัวเราะออกมาไม่เอาน่า ใช้แค่ถึงพรุ่งนี้เองไม่ใช่เหรอ พี่ไม่ได้ใช้บ่อยนักหรอกรถคันนี้น่ะ เกรงใจนักก็เติมน้ำมันให้หน่อยแล้วกัน

    ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ก็เต็มถังอยู่แล้วน่ะหรือ...นทีธัชช์จุดยิ้ม นึกขอบคุณจรัลรมย์ที่มีใจเอื้อเฟื้อกัน แม้เขาสองคนจะไม่ได้ถึงขั้นสนิทสนม หากแต่ครั้งเมื่อหลายปีมาแล้วที่เคยเดินป่าเพื่อไปยังโรงเรียนบนเขาด้วยกัน ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนก็ยังก่อเกิด แม้จะไม่ได้คุยกันบ่อยนัก แต่ต่างฝ่ายก็ต่างยินดีช่วยเหลือกันเสมอ

    ครั้งสุดท้ายที่ติดต่อกันด้วยเรื่องจริงจังก็เห็นจะเป็นเรื่องที่จรัลรมย์ติดต่อมาสอบถามเรื่องการส่งออกผักอินทรีย์ของไร่รินทร์ธารา เพื่อนำรายละเอียดไปให้เพื่อนร่วมกลุ่มที่มีร้านกาแฟเป็นของตัวเอง

    ว่าแต่ทำไมมาไวไปไวนักล่ะ เลยไม่มีเวลาไปนั่งกินข้าวกันเลย

    ผมไม่ได้มาธุระตัวเองน่ะครับ

    นทีธัชช์พูดเท่านั้น หากจรัลรมย์ที่รับรู้ถึงรังสีมืดดำจากเบาะหลังก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองกระจก แน่ใจแล้วว่าคนที่นั่งเงียบใช่จะอารมณ์ดีเท่าไรนัก เลยอมยิ้มขบขันเมื่อนทีธัชช์ดูไม่ยี่หระเลยสักนิด

    ขับมาได้สักพักรถก็เทียบจอดหลังเข้ามาในเขตอาคารแห่งหนึ่ง จรัลรมย์ปลดเข็มขัดนิรภัย เอ่ยปากส่งต่อรถให้นทีธัชช์พลางถามเพื่อความแน่ใจ

    โอเค เดี๋ยวจากตรงนี้พี่จะไปต่อเอง ไม่หลงทางแน่นะ?”

    ไม่หลงครับพี่จรัล มีไกด์นั่งหน้าเป็นตูดอยู่นั่น

    คนนั่งหน้าเป็นตูดก็เลยตวัดตามอง พลันได้รู้ว่าตัวเองกำลังแสดงกิริยาไม่น่าเอ็นดูต่อหน้าคนแปลกหน้าที่ฟังแล้วก็รู้ว่าคงเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่ให้นทีธัชช์ยืมรถ จึงเม้มปาก หันไปมองอย่างขอโทษขอโพย ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ว่าอะไร เพียงหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างไม่ถือสาเท่านั้น

    เดี๋ยวยังไงพรุ่งนี้พี่นัดที่ส่งรถอีกทีแล้วกัน

    ครับพี่จรัลนทีธัชช์ยกมือไหว้ เช่นเดียวกับไกรวีที่ทั้งไหว้และส่งยิ้มบางไปให้ จนกระทั่งร่างสูงของคนเป็นผู้ใหญ่เดินหายเข้าไปทางตึกลานจอดรถของคอนโดมิเนียมที่เลี้ยวเข้ามาแล้ว นทีธัชช์จึงค่อยย้ายที่ไปยังเบาะคนขับ แล้วหันกลับมามองไกรวีที่ยังนั่งนิ่ง

    จะนั่งตรงนั้นรึไง

    ไกรวีไม่ตอบ แต่ก็ยังมีท่าทีอิดออดหน่อย ๆ ตอนที่ปลดเข็มขัดแล้วเปิดประตูลงรถ พอย้ายมานั่งเบาะข้างคนขับก็ยังไม่พูดอะไร จนชายหนุ่มที่ออกรถมาได้ครู่หนึ่งต้องออกปากอย่างขำ ๆ

    ยังโกรธอยู่อีก

    ไกรวีถอนหายใจเปล่า ผมไม่ได้โกรธอะไรแล้วเว้นคำนี้ไว้หน่อยแล้วกัน

    ก็เห็นนั่งนิ่งเลย

    ผมแค่กำลังคิดว่านี่ผมต้องอยู่กับคนเผด็จการอย่างพี่ทีไปอีกนานแค่ไหนกัน

    คนที่ได้รับสมญานามโดยไม่ยินยอมถึงกับเลิกคิ้ว แต่ก็พอเข้าใจได้ถ้าไกรวีจะคิดอย่างนั้น เพราะแผนการตลบหลังเคียงผกายก็เป็นเขา มัดมือชกให้ไกรวีร่วมแผนก็เป็นเขา แถมจะมากรุงเทพด้วยกันเขาก็ยังไม่ได้บอกอะไรอีก แต่เชื่อเถอะว่าเขาไม่ใช่คนเผด็จการอย่างที่ไกรวีกำลังเข้าใจเลยจริง ๆ

    แต่บางทีการที่ไกรวีเข้าใจอย่างนั้นก็อาจจะดี

    ก็คงจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจบแหละครับ

    งั้นก็ไปลากตัวคนของเคียงผกายมาฆ่าหมกปูนเลยดีกว่าครับ น่าจะจบเร็วดี

    นทีธัชช์หลุดขำ รู้หรอกว่าอีกคนพูดด้วยอารมณ์ล้วน ๆ ไม่มีจริงจังผสมฆ่าเสร็จเราก็จะถูกตำรวจเล่นงานต่อ ได้อยู่ด้วยกันอีกยาวเลยนะอย่างนั้น ข้อหาไม่ใช่เล่นเลย

    ไกรวีเลยได้แต่ถอนหายใจ ปรับเบาะให้เอนลงแล้วหลับตา บ่งบอกว่าจะไม่สนทนากับคนเผด็จการอีกต่อไปแล้ว ส่วนคนที่ถูกโกรธก็ได้แต่ยิ้มขำ ปล่อยให้ไกรวีนอนหลับตาไป ส่วนเขาก็เอื้อมมือกดเปิดเพลงให้ดังไปทั้งรถโดยไม่คิดจะผ่อนลงเลยแม้ไกรวีจะลืมตามาจ้องกันแทบถลนก็ตาม

     

    ไหว้พระเถอะจ้ะ พ่อที บอกแม่ซิว่าเรื่องมันเป็นมายังไง แล้วตอนนี้ลูกสาวแม่เป็นยังไงบ้าง ถามเจ้ากรรายนั้นก็บอกแม่แค่ว่ายังอาการทรง ๆ อยู่ แม่จะขึ้นไปหาบ้างก็ไม่ให้ไป

    นทีธัชช์ยกยิ้มบางหลังที่พิมพ์อร ผู้อาวุโสสูงสุดของบ้านออกมาต้อนรับเขา ชายหนุ่มประคองเธอขึ้นบันได ยังคงโอบเอวไว้หลวม ๆ ขณะก้าวเดินเข้ามาในตัวบ้านหลังใหญ่ ส่งเธอนั่งลงบนโซฟาบุหนังสีครีมนวลได้จึงค่อยขยับตัวไปนั่งลงบนเก้าอี้บุหนังสีเดียวกัน

    มีหลายเรื่องที่ผมอยากมาเล่าให้แม่พิมพ์ฟังด้วยตัวเองครับ

    พิมพ์อรพยักหน้าเข้าใจ ก่อนหน้านี้เธอโทรศัพท์พูดคุยกับนภางค์ เพื่อนสนิทและเป็นมารดาของฝาแฝดเรียบร้อยแล้ว นภางค์บอกเธอเพียงว่าคงพูดอะไรมากไม่ได้ ขอเพียงให้วางใจว่าเพชรพริ้งจะปลอดภัย หลังจากนี้นทีธัชช์จะเป็นคนเดินทางมาพูดคุยกับเธอด้วยตัวเอง

    บางอย่างบอกเธอว่านี่คงไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำเป็นเรื่องใหญ่ อาจเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่ทำให้พูดคุยทางโทรศัพท์มากไม่ได้ และเธอก็ยินดีมากจริง ๆ ที่นทีธัชช์เดินทางมาหลังจากที่เธอติดต่อลูกชายไม่ได้เสียที

    มีอะไรก็พูดมาเถอะที แม่รับได้ แม่พร้อมแล้ว

    จังหวะนั้นเองที่ไกรวีนั่งลงข้างผู้เป็นแม่ วางแก้วน้ำเย็นเฉียบลงบนโต๊ะตรงหน้าตัวเอง พิมพ์อรเหลียวมองไม่เข้าใจ เอ่ยถามลูกชายที่ทำหน้าไม่รู้เรื่องแล้วยกแก้วจิบน้ำอย่างเงียบ ๆ

    แล้วไม่เอามาให้พี่เขาด้วยเล่าลูกคนนี้

    ไม่เป็นไรครับแม่พิมพ์ เดี๋ยวผมกินแก้วเดียวกับกรก็ได้ครับ

    เท่านั้นคนที่จิบเพียงลื่นคอจึงดื่มอั้ก ๆ อย่างลืมหายใจ จนน้ำหมดแก้วก็วางลงบนโต๊ะ ออกปากให้คนที่มองมาด้วยสายตาเชือดเฉือนเข้าเรื่องเสียที เพราะเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่านทีธัชช์จะสร้างเรื่องให้แม่ของเขารับฟังว่าอย่างไร

    แต่ก่อนจะพูดอะไร นทีธัชช์กลับถามพิมพ์อรให้ไกรวีหน้าตึงขึ้นก่อน

    กรเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กเหรอครับแม่พิมพ์

    เอ เป็นยังไงจ๊ะ

    ดูเป็นเด็กสู้คนดีครับ

    พิมพ์อรก็เลยได้หัวเราะร่วน นึกรู้ว่าลูกชายคงแผลงฤทธิ์ไปบ้างแล้ว และรู้ไปถึงว่าก็คงเพราะโดนฤทธิ์เดชของนทีธัชช์นั่นยังไงเล่าถึงได้เจอไม้มวยทางวาจาทางสีหน้าอย่างนั้น

    ก็สู้บ้างไม่สู้บ้าง แบ่งรับแบ่งสู้ได้ผมก็ทำ แต่บางทีก็ไม่อยากสู้อะไรหรอกครับ อยากอัดใส่ฝ่ายเดียวเลยก็มี

    นั่นอย่างไรเล่า เอาเรื่องน้อยเสียที่ไหน นทีธัชช์ได้แต่จุดยิ้มเมื่อพิมพ์อรส่งสายตาขอลุแก่โทษมาให้ ก่อนจะทำเมินลูกชายของพิมพ์อรด้วยการเข้าเรื่องด้วยใบหน้าที่จริงจังขึ้น

    เรื่องอุบัติเหตุของพลอย ผมอยากให้แม่พิมพ์วางใจครับว่าพลอยจะไม่เป็นอะไร ตอนนี้คีก็ดูแลอยู่ไม่ให้ห่าง จะไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นอีกจนกว่าเรื่องจะคลี่คลายลงแล้ว

    นทีธัชช์เอ่ยจริงจัง สงบนิ่ง เคร่งขรึมตามปกติยามพูดคุยเรื่องสำคัญ หากแต่ถ้อยความแบบนั้นเองที่ทำให้พิมพ์อรนิ่งไป เธอนึกคิดเพียงครู่ก็คล้ายจะรู้ถึงความหมาย จึงค่อยระบายลมหายใจยาว สีหน้าที่เคยเปี่ยมด้วยกังวลก็ผ่อนคลายลง

    นทีธัชช์บอกว่าคีรินทร์ดูแลแทนที่จะบอกว่าหมอรักษาเต็มกำลัง ใช้คำว่าเรื่องคลี่คลายแทนที่จะบอกว่าเพชรพริ้งหายดี เพียงเท่านั้นเธอก็รู้ได้แล้วว่าคงมีอะไรเกิดขึ้นเกี่ยวกับไร่รินทร์ธารา มิวายห่วงใยชายหนุ่มที่เป็นดั่งลูกอีกคนของเธอ

    แล้วพ่อคีล่ะ สบายดีไหมที

    คีสบายดีครับ สบายดีกว่าผมมาก

    พิมพ์อรเห็นเรียวตาคมเสไปทางลูกชายเธอก็หัวเราะ พยักหน้าอย่างเบาใจแล้วลุกขึ้นยืนพักผ่อนตามสบายเถอะคี เดี๋ยวแม่ให้กรพาไปห้องพักนะลูก

    ขอบคุณครับแม่พิมพ์

    แม่จะนอนเลยเหรอครับ

    จ้ะ กรไม่ต้องไปส่งแม่ที่ห้องหรอก พาพี่ทีไปพักเถอะ

    เธอว่าอย่างนั้นก่อนจะก้าวเดินไปทางบันได มีหญิงวัยกลางคนร่างท้วมซึ่งนั่งอยู่ห่าง ๆ ตั้งแต่แรกเข้ามาพยุงช่วยเหลือ พาเธอขึ้นไปจนถึงชั้นสองก็พากันเดินเข้าห้องนอนไป

    แต่นทีธัชช์กลับไม่แม้แต่จะขยับตัว เขามองตามผู้อาวุโสจนลับตาจึงค่อยกลับมาสบตาคนที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว เป็นเชิงบอกกันกลาย ๆ ว่าให้หยิบกระเป๋าเสียที ดังนั้นนทีธัชช์จึงคว้ากระเป๋าเป้ไว้ติดมือ ไม่ยอมก้าวเดินจนไกรวีต้องเลิกคิ้วมอง

    หิว ๆ นะว่าไหม

    ไกรวีอยากกลอกตา แต่ก็ทำเพียงพยักหน้ารับเพราะเขาก็รู้สึกหิวอยู่เหมือนกัน เลยเดินนำนทีธัชช์เข้าห้องครัว แล้วก็ได้จุดยิ้มพึงใจเมื่อพบว่ามีสำรับอาหารเก็บไว้รอเขา ทั้งกับข้าวก็มีแต่ของที่เขาชอบทั้งนั้นเลยด้วย

    ข้าวขาวหรือข้าวกล้องครับ

    อย่างละครึ่งแล้วกันพอได้เป็นการเบิกตาโตใส่เลยหัวเราะเบา ๆข้าวกล้องครับ ขอบใจมาก

    ไกรวีพยักหน้า ตักข้าวใส่จานในขณะที่นทีธัชช์ช่วยยกสำรับมาวางลงบนโต๊ะรับประทานอาหารขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในห้องครัว กระทั่งกินข้าวกันได้อีกครู่หนึ่งนทีธัชช์จึงถาม เป็นคำถามที่ทำให้ไกรวีแทบจะปาช้อนใส่หน้าอย่างไม่อยากจะรักษาหน้ากันแล้วด้วยซ้ำ

    ว่าแต่กรจะเอาคืนพี่ด้วยการให้พี่นอนตบยุงที่สวนหน้าบ้านรึเปล่า

    ผมไม่ใจร้ายเหมือนพี่ทีหรอกครับ

    ถ้าหากแม่จะไม่เตรียมห้องไว้ให้แล้ว ถ้าท่านไม่กำชับให้เขาพานทีธัชช์ไปส่งที่ห้องก็ไม่แน่หรอก เขาอาจจะให้นทีธัชช์นอนบนสนามหญ้าโดยมีก้อนหินต่างหมอนก็ได้!

     

    คงไม่ได้แวะเข้าบ้านแล้วใช่ไหมกร

    ครับแม่ไกรวีสวมกอดผู้เป็นแม่แนบแน่น เอ่ยคำทั้งเสียงอู้อี้ดูแลตัวเองด้วยนะครับ ผมจะพยายามลงมาหาแม่บ่อย ๆ จะส่งข่าวเรื่องพี่พลอยเป็นระยะ

    ยังไงก็ได้ แต่กรอย่าทำให้แม่รู้สึกว่ากรหายไปก็พอ ไม่อย่างนั้นแม่จะไปหาที่รินทร์ธารานะ

    พิมพ์อรว่าอย่างนั้นให้ไกรวีหัวเราะเสียงแผ่ว รู้ดีว่าลูกชายเป็นห่วง ไม่อยากให้คนที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพเข่าอย่างเธอต้องนั่งรถนาน พอหันไปมองทางรถคันใหญ่ก็เห็นว่านทีธัชช์นำกระเป๋าสัมภาระของไกรวีขึ้นไว้บนรถเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ ยกมือไหว้อย่างสุภาพนอบน้อมก่อนเอ่ยคำ

    ผมลานะครับแม่พิมพ์นทีธัชช์หันไปพยักหน้าให้ไกรวีเตรียมตัว จังหวะที่สองแม่ลูกกอดกันอีกครั้ง นัยน์ตาคู่คมก็สบมองกับคู่ตาอ่อนแสงของพิมพ์อรอย่างเงียบ ๆ

    แม่ฝากกรด้วยนะที

    นทีธัชช์จุดยิ้มผมคงต้องฝากตัวเองไว้กับแม่พิมพ์มากกว่าครับ

    ในความหมายอย่างนั้น คล้ายพิมพ์อรจะเข้าใจตรงกับเขา หากคนที่เพิ่งผละกอดออกจากแม่กลับตวัดตามองมา รู้หรอกว่าจะหมายถึงกลัวเขาแผลงฤทธิ์แผลงเดชอะไร และว่ากันตามตรงหากไม่มีใครมาแหย่เขาก่อน เชื่อเถอะว่าไกรวีไม่มีทางแสดงกิริยาเอาเรื่องกับคนคนนั้นแน่

    ถ้าพี่ทีไม่กวนผม

    พี่ยังไม่เคยกวนอะไรกรเลยนี่

    ไกรวีนิ่ง ขยับขึ้นรถจนนทีธัชช์ที่มองตามได้แต่อมยิ้ม ขณะที่พิมพ์อรส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ เธอยกมือลูบแขนนทีธัชช์เบา ๆ อย่างอวยพร แล้วจึงถอยห่างเมื่อชายหนุ่มไหว้เธออีกครั้งก่อนหันหลังขึ้นรถไป

    ยังมีอีกหลายเรื่องที่นทีธัชช์พูดคุยกับเธอเมื่อเช้าตรู่ เป็นการคุยกันสองคนที่ไม่มีไกรวีเข้ามาเกี่ยวข้อง หนึ่งในนั้นทำให้เธอรู้ว่าทำไมลูกชายถึงต้องไปอยู่ที่ไร่รินทร์ธาราอย่างไม่รู้ระยะเวลา และทั้งหมดที่ได้พูดคุย เธอก็วางใจที่จะให้นทีธัชช์ดูแลลูกชาย

    ไกรวีถึงจะอายุยี่สิบแปดแล้ว แต่เพราะพันผูกและใช้ชีวิตอยู่กับพี่และแม่ที่มีแต่ผู้หญิง แม้จะแข็งแกร่งอย่างไรก็ยังมีมุมละเลียดอ่อนมากพอตัว เพราะอย่างนั้นถ้าต้องไปเจอเรื่องราวอะไรก็ตาม หากมีใครสักคนคอยเคียงคอยดูแลก็คงดี

    และเธอเชื่อในนทีธัชช์อย่างที่คีรินทร์ทำให้เธอเชื่อใจว่าจะดูแลเพชรพริ้งได้ แม้สถานะจะต่างกัน แต่การปกป้องดูแลนั่นต่างหากที่จะคล้ายคลึง

     

    นทีธัชช์จำได้ว่าเขาเพิ่งนั่งลงบนชุดโซฟารับแขกของสำนักพิมพ์เรือนกระดาษได้ไม่เกินสิบห้านาที กาแฟที่พนักงานนำมาเสิร์ฟหลังไกรวีหายไปตอนนี้ก็ยังไม่ทันพร่องลงไปถึงครึ่ง ทว่าคนที่บอกให้เขานั่งรอตรงนี้ก็กลับเดินออกมา ข้างกายมีหญิงสาวหน้าตาคมสวยมากกว่าจะอ่อนหวาน และท่าทีของไกรวียามพูดคุยกับเจ้าหล่อนก็เหมือนจะเรียกเสียงเล็กเสียงน้อยด้านหลังเขาให้พูดถึง

    ฉันเพิ่งเคยเห็นคุณกรใส่ชุดลำลอง ดูดีไปอีกแบบเนอะ

    แก คนอะไร ล้วงมือเข้ากระเป๋า ถือแก้วกาแฟ คุยหน้านิ่ง ๆ ยังหล่อเลย

    หืม? นทีธัชช์พิจารณาคนที่ถ้าหากเขานับจำนวนค้อนที่ส่งมาให้กันได้คงเกือบโหล และเห็นจะปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ เสียด้วยว่ายามที่ชายหนุ่มกำลังพูดคุยจริงจังด้วยใบหน้าเคร่งขรึมนั้นมีเสน่ห์อยู่มาก ไหนจะมือข้างหนึ่งที่ล้วงกระเป๋ากางเกง อีกมือก็ถือแก้วกระดาษ ยิ่งตอนที่ยกแก้วขึ้นจิบทั้ง ๆ ที่เรียวคิ้วยังขมวดเป็นปมหลวมก็ยังดูดีมากทีเดียว

    นทีธัชช์ไม่เคยเห็นมุมนี้ เขาเห็นแต่คนที่เอาเรื่องทั้งการพูด ความคิด และการลงมือทำ แต่นั่นก็เป็นในส่วนของงานเขาเท่านั้น ไม่ใช่งานของไกรวีเอง

    เรียบร้อยแล้วครับ ไปกันเลยไหม

    ไกรวีเดินตรงเข้ามาหา ให้นทีธัชช์พับหนังสือพิมพ์ที่กางอ่านฆ่าเวลาแล้วหยัดกายขึ้นยืน เพียงผงกศีรษะทักทายหญิงสาวที่มองมาทางเขา และเธอก็ยกยิ้มตามมารยาทก่อนหันไปวางมือบนไหล่ไกรวี บีบเบา ๆ แทนคำลาก่อนหมุนตัวกลับเข้าด้านในไป

    พี่ทีมีธุระต้องไปที่ไหนอีกรึเปล่าครับไกรวีถามเมื่อมาถึงรถคันใหญ่ ให้อีกฝ่ายยกข้อมือขึ้นดูเวลาแล้วครุ่นคิด

    ยังพอมีเวลาอยู่ งั้นไปหาอะไรกินก่อนแล้วกัน

    ไกรวีพยักหน้า ไม่ได้ถามหรือออกความเห็นว่าควรไปที่ไหน ดูเหมือนนทีธัชช์ก็ไม่ได้อยากถามความเห็นเขาเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นชายหนุ่มจึงเพียงแต่นั่งเงียบตลอดทางโดยมีนทีธัชช์ที่ดูจะตั้งใจกับการขับรถมากกว่าเดิม ระหว่างทางก็มองแผนที่นำทางของรถเป็นระยะ จนในที่สุดก็เดินทางมาถึงร้านอาหารที่นทีธัชช์วางเป้าหมายไว้

    เป็นร้านอาหารที่มองเพียงแวบแรกก็ให้รู้ว่าสวยไม่เบา




    โปรดติดตามตอนต่อไป




    งิ้งง ไม่แท็ก ไม่เมนต์ ก็กดให้กำลังใจก็ยังดีคร้าบบบบ TT TT



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×