คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่สี่ ... (รีไรท์)
ไกรวีบอกตัวเองว่าบางทีนี่อาจเป็นเรื่องบังเอิญ
นทีธัชช์คงมีงานด่วนที่กรุงเทพฯจึงจำเป็นต้องเดินทางร่วมกับเขา ดูจากที่ชายหนุ่มไม่ได้มีท่าทีว่าต้องตามติดชีวิตกัน
ไม่ได้เลือกที่นั่งเพื่อจะอยู่ข้างกัน หนำซ้ำนทีธัชช์ยังทำราวกับเขาไม่มีตัวตนตลอดการเดินทาง
ทว่าหลังจากออกมาสู่ประตูฝั่งผู้โดยสารขาเข้าไกรวีก็ยังต้องสงบจิตสงบใจ
เพราะเขาเห็นนทีธัชช์ซึ่งนั่งบนที่นั่งใกล้ประตูกว่าเขามาก ตอนนี้กำลังยืนนิ่งโดยมีกระเป๋าเป้คล้องไว้กับหัวไหล่ข้างหนึ่ง
นัยน์ตาคู่นั้นไม่ได้ทอดมองมาที่เขา เพียงแต่ก้มหน้าลงกดโทรศัพท์อย่างไม่รีบร้อน นั่นเป็นโอกาสให้ไกรวีทำเมิน
เขาแทบจะพุ่งตัวผ่านประตูแล้วก้าวฉับลงบันได หากไม่ติดว่าเสียงทุ้มลึกจะดังขึ้นที่ด้านหลังเสียก่อน
และเป็นเสียงที่ใกล้มากเสียด้วยสิ
“ไม่ต้องรีบนะกร พี่ติดต่อเจ้าของรถที่จะให้เรายืมเมื่อกี้
อีกเดี๋ยวเขาน่าจะเข้ามาถึงหน้าอาคารได้แล้ว”
โดยไม่ต้องพูดอะไรมากไปกว่านี้ ไกรวีก็รู้ได้ว่าที่เขาสันนิษฐานและพยายามบอกตัวเองนั้นเสียเวลาสิ้นดี
ทั้งใบหน้าคมคร้ามก็ยังจุดยิ้มน้อย ๆ ส่งมาให้ ไม่ใช่ด้วยมิตรไมตรี แต่เหมือนกำลังบอกผ่านสายตาว่าอย่าได้โวยวายเลย
เพราะยังไงเราก็ต้องไปด้วยกันอยู่ดี
“พี่ทีมีธุระที่นี่เหรอครับ”
“ไม่เชิงว่าธุระหรอกครับ
หรือการไปพักบ้านกรจะเรียกว่าธุระดีล่ะ”
หืม? จะพักบ้านเขาด้วยหรือเนี่ย “ผมไม่ได้บอกแม่ไว้”
“ไม่เป็นไร พี่โทรไปหาท่านเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เช้า
ท่านไม่ได้ขัดข้องอะไร”
ตั้งแต่เช้า…หมายถึงตอนที่นทีธัชช์บอกว่าออกไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศน่ะหรือ ไกรวีได้แต่พ่นลมหายใจ
ถ้าหากแม่รับรู้แล้วเขาก็คงขัดขวางไม่ได้ อีกอย่างกับเรื่องโดนรับน้องให้อยู่กับธรรมชาตินั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาย่ำแย่อะไร
เพราะอย่างนั้นเขาจะลืม ๆ ไปเสียก็แล้วกันว่าผู้ชายหน้าคร้ามแดดคร้ามลมคนนี้เจ้าเล่ห์แค่ไหน
ถึงที่จริงในใจลึก ๆ จะคิดไปแล้วว่านทีธัชช์ร้ายกาจ
ไม่ใช่เพียงเจ้าเล่ห์ก็ตาม!
“มานั่นแล้ว”
หลังออกมายืนรอได้ไม่นาน รถคันใหญ่สี่ประตูสีดำสนิทก็เข้ามาจอดใกล้
ตีไฟหน้าให้ได้รู้ถึงการมาเยือน ไกรวีขึ้นนั่งที่เบาะหลัง ในขณะที่นทีธัชช์นั่งเบาะข้างคนขับซึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูง
ผิวสีน้ำผึ้งคร้ามแดดอย่างเห็นได้ชัด ทว่าไม่มากเท่านทีธัชช์แน่ ไกรวีคิดว่าอย่างนั้น
“แน่ใจนะครับพี่จรัลว่าจะให้ผมยืม
ไม่ให้เช่า”
นทีธัชช์ถามให้คนที่ขับรถด้วยความเร็วคงที่หัวเราะออกมา “ไม่เอาน่า ใช้แค่ถึงพรุ่งนี้เองไม่ใช่เหรอ พี่ไม่ได้ใช้บ่อยนักหรอกรถคันนี้น่ะ
เกรงใจนักก็เติมน้ำมันให้หน่อยแล้วกัน”
ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ก็เต็มถังอยู่แล้วน่ะหรือ...นทีธัชช์จุดยิ้ม
นึกขอบคุณจรัลรมย์ที่มีใจเอื้อเฟื้อกัน แม้เขาสองคนจะไม่ได้ถึงขั้นสนิทสนม หากแต่ครั้งเมื่อหลายปีมาแล้วที่เคยเดินป่าเพื่อไปยังโรงเรียนบนเขาด้วยกัน
ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนก็ยังก่อเกิด แม้จะไม่ได้คุยกันบ่อยนัก แต่ต่างฝ่ายก็ต่างยินดีช่วยเหลือกันเสมอ
ครั้งสุดท้ายที่ติดต่อกันด้วยเรื่องจริงจังก็เห็นจะเป็นเรื่องที่จรัลรมย์ติดต่อมาสอบถามเรื่องการส่งออกผักอินทรีย์ของไร่รินทร์ธารา
เพื่อนำรายละเอียดไปให้เพื่อนร่วมกลุ่มที่มีร้านกาแฟเป็นของตัวเอง
“ว่าแต่ทำไมมาไวไปไวนักล่ะ
เลยไม่มีเวลาไปนั่งกินข้าวกันเลย”
“ผมไม่ได้มาธุระตัวเองน่ะครับ”
นทีธัชช์พูดเท่านั้น หากจรัลรมย์ที่รับรู้ถึงรังสีมืดดำจากเบาะหลังก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองกระจก
แน่ใจแล้วว่าคนที่นั่งเงียบใช่จะอารมณ์ดีเท่าไรนัก เลยอมยิ้มขบขันเมื่อนทีธัชช์ดูไม่ยี่หระเลยสักนิด
ขับมาได้สักพักรถก็เทียบจอดหลังเข้ามาในเขตอาคารแห่งหนึ่ง
จรัลรมย์ปลดเข็มขัดนิรภัย เอ่ยปากส่งต่อรถให้นทีธัชช์พลางถามเพื่อความแน่ใจ
“โอเค เดี๋ยวจากตรงนี้พี่จะไปต่อเอง
ไม่หลงทางแน่นะ?”
“ไม่หลงครับพี่จรัล มีไกด์นั่งหน้าเป็นตูดอยู่นั่น”
คนนั่งหน้าเป็นตูดก็เลยตวัดตามอง พลันได้รู้ว่าตัวเองกำลังแสดงกิริยาไม่น่าเอ็นดูต่อหน้าคนแปลกหน้าที่ฟังแล้วก็รู้ว่าคงเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่ให้นทีธัชช์ยืมรถ
จึงเม้มปาก หันไปมองอย่างขอโทษขอโพย ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ว่าอะไร เพียงหัวเราะออกมาเบา
ๆ อย่างไม่ถือสาเท่านั้น
“เดี๋ยวยังไงพรุ่งนี้พี่นัดที่ส่งรถอีกทีแล้วกัน”
“ครับพี่จรัล” นทีธัชช์ยกมือไหว้ เช่นเดียวกับไกรวีที่ทั้งไหว้และส่งยิ้มบางไปให้ จนกระทั่งร่างสูงของคนเป็นผู้ใหญ่เดินหายเข้าไปทางตึกลานจอดรถของคอนโดมิเนียมที่เลี้ยวเข้ามาแล้ว
นทีธัชช์จึงค่อยย้ายที่ไปยังเบาะคนขับ แล้วหันกลับมามองไกรวีที่ยังนั่งนิ่ง
“จะนั่งตรงนั้นรึไง”
ไกรวีไม่ตอบ แต่ก็ยังมีท่าทีอิดออดหน่อย
ๆ ตอนที่ปลดเข็มขัดแล้วเปิดประตูลงรถ พอย้ายมานั่งเบาะข้างคนขับก็ยังไม่พูดอะไร จนชายหนุ่มที่ออกรถมาได้ครู่หนึ่งต้องออกปากอย่างขำ
ๆ
“ยังโกรธอยู่อีก”
ไกรวีถอนหายใจ “เปล่า ผมไม่ได้โกรธอะไร” แล้ว… เว้นคำนี้ไว้หน่อยแล้วกัน
“ก็เห็นนั่งนิ่งเลย”
“ผมแค่กำลังคิดว่านี่ผมต้องอยู่กับคนเผด็จการอย่างพี่ทีไปอีกนานแค่ไหนกัน”
คนที่ได้รับสมญานามโดยไม่ยินยอมถึงกับเลิกคิ้ว
แต่ก็พอเข้าใจได้ถ้าไกรวีจะคิดอย่างนั้น เพราะแผนการตลบหลังเคียงผกายก็เป็นเขา มัดมือชกให้ไกรวีร่วมแผนก็เป็นเขา
แถมจะมากรุงเทพด้วยกันเขาก็ยังไม่ได้บอกอะไรอีก แต่เชื่อเถอะว่าเขาไม่ใช่คนเผด็จการอย่างที่ไกรวีกำลังเข้าใจเลยจริง
ๆ
แต่บางที…การที่ไกรวีเข้าใจอย่างนั้นก็อาจจะดี
“ก็คงจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจบแหละครับ”
“งั้นก็ไปลากตัวคนของเคียงผกายมาฆ่าหมกปูนเลยดีกว่าครับ
น่าจะจบเร็วดี”
นทีธัชช์หลุดขำ รู้หรอกว่าอีกคนพูดด้วยอารมณ์ล้วน
ๆ ไม่มีจริงจังผสม “ฆ่าเสร็จเราก็จะถูกตำรวจเล่นงานต่อ ได้อยู่ด้วยกันอีกยาวเลยนะอย่างนั้น
ข้อหาไม่ใช่เล่นเลย”
ไกรวีเลยได้แต่ถอนหายใจ ปรับเบาะให้เอนลงแล้วหลับตา
บ่งบอกว่าจะไม่สนทนากับคนเผด็จการอีกต่อไปแล้ว ส่วนคนที่ถูกโกรธก็ได้แต่ยิ้มขำ ปล่อยให้ไกรวีนอนหลับตาไป
ส่วนเขาก็เอื้อมมือกดเปิดเพลงให้ดังไปทั้งรถ…โดยไม่คิดจะผ่อนลงเลยแม้ไกรวีจะลืมตามาจ้องกันแทบถลนก็ตาม
“ไหว้พระเถอะจ้ะ พ่อที บอกแม่ซิว่าเรื่องมันเป็นมายังไง
แล้วตอนนี้ลูกสาวแม่เป็นยังไงบ้าง ถามเจ้ากรรายนั้นก็บอกแม่แค่ว่ายังอาการทรง ๆ อยู่
แม่จะขึ้นไปหาบ้างก็ไม่ให้ไป”
นทีธัชช์ยกยิ้มบางหลังที่พิมพ์อร ผู้อาวุโสสูงสุดของบ้านออกมาต้อนรับเขา
ชายหนุ่มประคองเธอขึ้นบันได ยังคงโอบเอวไว้หลวม ๆ ขณะก้าวเดินเข้ามาในตัวบ้านหลังใหญ่
ส่งเธอนั่งลงบนโซฟาบุหนังสีครีมนวลได้จึงค่อยขยับตัวไปนั่งลงบนเก้าอี้บุหนังสีเดียวกัน
“มีหลายเรื่องที่ผมอยากมาเล่าให้แม่พิมพ์ฟังด้วยตัวเองครับ”
พิมพ์อรพยักหน้าเข้าใจ ก่อนหน้านี้เธอโทรศัพท์พูดคุยกับนภางค์
เพื่อนสนิทและเป็นมารดาของฝาแฝดเรียบร้อยแล้ว นภางค์บอกเธอเพียงว่าคงพูดอะไรมากไม่ได้
ขอเพียงให้วางใจว่าเพชรพริ้งจะปลอดภัย หลังจากนี้นทีธัชช์จะเป็นคนเดินทางมาพูดคุยกับเธอด้วยตัวเอง
บางอย่างบอกเธอว่านี่คงไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำเป็นเรื่องใหญ่
อาจเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่ทำให้พูดคุยทางโทรศัพท์มากไม่ได้ และเธอก็ยินดีมากจริง
ๆ ที่นทีธัชช์เดินทางมาหลังจากที่เธอติดต่อลูกชายไม่ได้เสียที
“มีอะไรก็พูดมาเถอะที แม่รับได้
แม่พร้อมแล้ว”
จังหวะนั้นเองที่ไกรวีนั่งลงข้างผู้เป็นแม่
วางแก้วน้ำเย็นเฉียบลงบนโต๊ะตรงหน้าตัวเอง พิมพ์อรเหลียวมองไม่เข้าใจ เอ่ยถามลูกชายที่ทำหน้าไม่รู้เรื่องแล้วยกแก้วจิบน้ำอย่างเงียบ
ๆ
“แล้วไม่เอามาให้พี่เขาด้วยเล่าลูกคนนี้”
“ไม่เป็นไรครับแม่พิมพ์
เดี๋ยวผมกินแก้วเดียวกับกรก็ได้ครับ”
เท่านั้นคนที่จิบเพียงลื่นคอจึงดื่มอั้ก
ๆ อย่างลืมหายใจ จนน้ำหมดแก้วก็วางลงบนโต๊ะ ออกปากให้คนที่มองมาด้วยสายตาเชือดเฉือนเข้าเรื่องเสียที
เพราะเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่านทีธัชช์จะสร้างเรื่องให้แม่ของเขารับฟังว่าอย่างไร
แต่ก่อนจะพูดอะไร นทีธัชช์กลับถามพิมพ์อรให้ไกรวีหน้าตึงขึ้นก่อน
“กรเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กเหรอครับแม่พิมพ์”
“เอ เป็นยังไงจ๊ะ”
“ดูเป็นเด็กสู้คนดีครับ”
พิมพ์อรก็เลยได้หัวเราะร่วน นึกรู้ว่าลูกชายคงแผลงฤทธิ์ไปบ้างแล้ว
และรู้ไปถึงว่าก็คงเพราะโดนฤทธิ์เดชของนทีธัชช์นั่นยังไงเล่าถึงได้เจอไม้มวยทางวาจาทางสีหน้าอย่างนั้น
“ก็สู้บ้างไม่สู้บ้าง แบ่งรับแบ่งสู้ได้ผมก็ทำ
แต่บางทีก็ไม่อยากสู้อะไรหรอกครับ อยากอัดใส่ฝ่ายเดียวเลยก็มี”
นั่นอย่างไรเล่า เอาเรื่องน้อยเสียที่ไหน
นทีธัชช์ได้แต่จุดยิ้มเมื่อพิมพ์อรส่งสายตาขอลุแก่โทษมาให้ ก่อนจะทำเมินลูกชายของพิมพ์อรด้วยการเข้าเรื่องด้วยใบหน้าที่จริงจังขึ้น
“เรื่องอุบัติเหตุของพลอย
ผมอยากให้แม่พิมพ์วางใจครับว่าพลอยจะไม่เป็นอะไร ตอนนี้คีก็ดูแลอยู่ไม่ให้ห่าง จะไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นอีกจนกว่าเรื่องจะคลี่คลายลงแล้ว”
นทีธัชช์เอ่ยจริงจัง สงบนิ่ง เคร่งขรึมตามปกติยามพูดคุยเรื่องสำคัญ
หากแต่ถ้อยความแบบนั้นเองที่ทำให้พิมพ์อรนิ่งไป เธอนึกคิดเพียงครู่ก็คล้ายจะรู้ถึงความหมาย
จึงค่อยระบายลมหายใจยาว สีหน้าที่เคยเปี่ยมด้วยกังวลก็ผ่อนคลายลง
นทีธัชช์บอกว่าคีรินทร์ดูแลแทนที่จะบอกว่าหมอรักษาเต็มกำลัง
ใช้คำว่าเรื่องคลี่คลายแทนที่จะบอกว่าเพชรพริ้งหายดี เพียงเท่านั้นเธอก็รู้ได้แล้วว่าคงมีอะไรเกิดขึ้นเกี่ยวกับไร่รินทร์ธารา
มิวายห่วงใยชายหนุ่มที่เป็นดั่งลูกอีกคนของเธอ
“แล้วพ่อคีล่ะ สบายดีไหมที”
“คีสบายดีครับ สบายดีกว่าผมมาก”
พิมพ์อรเห็นเรียวตาคมเสไปทางลูกชายเธอก็หัวเราะ
พยักหน้าอย่างเบาใจแล้วลุกขึ้นยืน “พักผ่อนตามสบายเถอะคี
เดี๋ยวแม่ให้กรพาไปห้องพักนะลูก”
“ขอบคุณครับแม่พิมพ์”
“แม่จะนอนเลยเหรอครับ”
“จ้ะ กรไม่ต้องไปส่งแม่ที่ห้องหรอก
พาพี่ทีไปพักเถอะ”
เธอว่าอย่างนั้นก่อนจะก้าวเดินไปทางบันได
มีหญิงวัยกลางคนร่างท้วมซึ่งนั่งอยู่ห่าง ๆ ตั้งแต่แรกเข้ามาพยุงช่วยเหลือ พาเธอขึ้นไปจนถึงชั้นสองก็พากันเดินเข้าห้องนอนไป
แต่นทีธัชช์กลับไม่แม้แต่จะขยับตัว เขามองตามผู้อาวุโสจนลับตาจึงค่อยกลับมาสบตาคนที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว
เป็นเชิงบอกกันกลาย ๆ ว่าให้หยิบกระเป๋าเสียที ดังนั้นนทีธัชช์จึงคว้ากระเป๋าเป้ไว้ติดมือ
ไม่ยอมก้าวเดินจนไกรวีต้องเลิกคิ้วมอง
“หิว ๆ นะว่าไหม”
ไกรวีอยากกลอกตา แต่ก็ทำเพียงพยักหน้ารับเพราะเขาก็รู้สึกหิวอยู่เหมือนกัน
เลยเดินนำนทีธัชช์เข้าห้องครัว แล้วก็ได้จุดยิ้มพึงใจเมื่อพบว่ามีสำรับอาหารเก็บไว้รอเขา
ทั้งกับข้าวก็มีแต่ของที่เขาชอบทั้งนั้นเลยด้วย
“ข้าวขาวหรือข้าวกล้องครับ”
“อย่างละครึ่งแล้วกัน”
พอได้เป็นการเบิกตาโตใส่เลยหัวเราะเบา ๆ “ข้าวกล้องครับ
ขอบใจมาก”
ไกรวีพยักหน้า ตักข้าวใส่จานในขณะที่นทีธัชช์ช่วยยกสำรับมาวางลงบนโต๊ะรับประทานอาหารขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในห้องครัว
กระทั่งกินข้าวกันได้อีกครู่หนึ่งนทีธัชช์จึงถาม เป็นคำถามที่ทำให้ไกรวีแทบจะปาช้อนใส่หน้าอย่างไม่อยากจะรักษาหน้ากันแล้วด้วยซ้ำ
“ว่าแต่กรจะเอาคืนพี่ด้วยการให้พี่นอนตบยุงที่สวนหน้าบ้านรึเปล่า”
“ผมไม่ใจร้ายเหมือนพี่ทีหรอกครับ”
ถ้าหากแม่จะไม่เตรียมห้องไว้ให้แล้ว ถ้าท่านไม่กำชับให้เขาพานทีธัชช์ไปส่งที่ห้อง…ก็ไม่แน่หรอก เขาอาจจะให้นทีธัชช์นอนบนสนามหญ้าโดยมีก้อนหินต่างหมอนก็ได้!
“คงไม่ได้แวะเข้าบ้านแล้วใช่ไหมกร”
“ครับแม่” ไกรวีสวมกอดผู้เป็นแม่แนบแน่น เอ่ยคำทั้งเสียงอู้อี้ “ดูแลตัวเองด้วยนะครับ ผมจะพยายามลงมาหาแม่บ่อย ๆ จะส่งข่าวเรื่องพี่พลอยเป็นระยะ”
“ยังไงก็ได้ แต่กรอย่าทำให้แม่รู้สึกว่ากรหายไปก็พอ
ไม่อย่างนั้นแม่จะไปหาที่รินทร์ธารานะ”
พิมพ์อรว่าอย่างนั้นให้ไกรวีหัวเราะเสียงแผ่ว
รู้ดีว่าลูกชายเป็นห่วง ไม่อยากให้คนที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพเข่าอย่างเธอต้องนั่งรถนาน
พอหันไปมองทางรถคันใหญ่ก็เห็นว่านทีธัชช์นำกระเป๋าสัมภาระของไกรวีขึ้นไว้บนรถเรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ ยกมือไหว้อย่างสุภาพนอบน้อมก่อนเอ่ยคำ
“ผมลานะครับแม่พิมพ์”
นทีธัชช์หันไปพยักหน้าให้ไกรวีเตรียมตัว จังหวะที่สองแม่ลูกกอดกันอีกครั้ง
นัยน์ตาคู่คมก็สบมองกับคู่ตาอ่อนแสงของพิมพ์อรอย่างเงียบ ๆ
“แม่ฝากกรด้วยนะที”
นทีธัชช์จุดยิ้ม “ผมคงต้องฝากตัวเองไว้กับแม่พิมพ์มากกว่าครับ”
ในความหมายอย่างนั้น คล้ายพิมพ์อรจะเข้าใจตรงกับเขา
หากคนที่เพิ่งผละกอดออกจากแม่กลับตวัดตามองมา รู้หรอกว่าจะหมายถึงกลัวเขาแผลงฤทธิ์แผลงเดชอะไร
และว่ากันตามตรงหากไม่มีใครมาแหย่เขาก่อน เชื่อเถอะว่าไกรวีไม่มีทางแสดงกิริยาเอาเรื่องกับคนคนนั้นแน่
“ถ้าพี่ทีไม่กวนผม”
“พี่ยังไม่เคยกวนอะไรกรเลยนี่”
ไกรวีนิ่ง ขยับขึ้นรถจนนทีธัชช์ที่มองตามได้แต่อมยิ้ม
ขณะที่พิมพ์อรส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ เธอยกมือลูบแขนนทีธัชช์เบา ๆ อย่างอวยพร แล้วจึงถอยห่างเมื่อชายหนุ่มไหว้เธออีกครั้งก่อนหันหลังขึ้นรถไป
ยังมีอีกหลายเรื่องที่นทีธัชช์พูดคุยกับเธอเมื่อเช้าตรู่
เป็นการคุยกันสองคนที่ไม่มีไกรวีเข้ามาเกี่ยวข้อง หนึ่งในนั้นทำให้เธอรู้ว่าทำไมลูกชายถึงต้องไปอยู่ที่ไร่รินทร์ธาราอย่างไม่รู้ระยะเวลา
และทั้งหมดที่ได้พูดคุย เธอก็วางใจที่จะให้นทีธัชช์ดูแลลูกชาย
ไกรวีถึงจะอายุยี่สิบแปดแล้ว แต่เพราะพันผูกและใช้ชีวิตอยู่กับพี่และแม่ที่มีแต่ผู้หญิง
แม้จะแข็งแกร่งอย่างไรก็ยังมีมุมละเลียดอ่อนมากพอตัว เพราะอย่างนั้นถ้าต้องไปเจอเรื่องราวอะไรก็ตาม
หากมีใครสักคนคอยเคียงคอยดูแลก็คงดี
และเธอเชื่อในนทีธัชช์อย่างที่คีรินทร์ทำให้เธอเชื่อใจว่าจะดูแลเพชรพริ้งได้
แม้สถานะจะต่างกัน แต่การปกป้องดูแลนั่นต่างหากที่จะคล้ายคลึง
นทีธัชช์จำได้ว่าเขาเพิ่งนั่งลงบนชุดโซฟารับแขกของสำนักพิมพ์เรือนกระดาษได้ไม่เกินสิบห้านาที
กาแฟที่พนักงานนำมาเสิร์ฟหลังไกรวีหายไปตอนนี้ก็ยังไม่ทันพร่องลงไปถึงครึ่ง ทว่าคนที่บอกให้เขานั่งรอตรงนี้ก็กลับเดินออกมา
ข้างกายมีหญิงสาวหน้าตาคมสวยมากกว่าจะอ่อนหวาน และท่าทีของไกรวียามพูดคุยกับเจ้าหล่อนก็เหมือนจะเรียกเสียงเล็กเสียงน้อยด้านหลังเขาให้พูดถึง
“ฉันเพิ่งเคยเห็นคุณกรใส่ชุดลำลอง
ดูดีไปอีกแบบเนอะ”
“แก คนอะไร ล้วงมือเข้ากระเป๋า
ถือแก้วกาแฟ คุยหน้านิ่ง ๆ ยังหล่อเลย”
หืม? นทีธัชช์พิจารณาคนที่ถ้าหากเขานับจำนวนค้อนที่ส่งมาให้กันได้คงเกือบโหล และเห็นจะปฏิเสธไม่ได้จริง
ๆ เสียด้วยว่ายามที่ชายหนุ่มกำลังพูดคุยจริงจังด้วยใบหน้าเคร่งขรึมนั้นมีเสน่ห์อยู่มาก
ไหนจะมือข้างหนึ่งที่ล้วงกระเป๋ากางเกง อีกมือก็ถือแก้วกระดาษ ยิ่งตอนที่ยกแก้วขึ้นจิบทั้ง
ๆ ที่เรียวคิ้วยังขมวดเป็นปมหลวมก็ยังดูดีมากทีเดียว
นทีธัชช์ไม่เคยเห็นมุมนี้ เขาเห็นแต่คนที่เอาเรื่องทั้งการพูด
ความคิด และการลงมือทำ แต่นั่นก็เป็นในส่วนของงานเขาเท่านั้น ไม่ใช่งานของไกรวีเอง
“เรียบร้อยแล้วครับ ไปกันเลยไหม”
ไกรวีเดินตรงเข้ามาหา ให้นทีธัชช์พับหนังสือพิมพ์ที่กางอ่านฆ่าเวลาแล้วหยัดกายขึ้นยืน
เพียงผงกศีรษะทักทายหญิงสาวที่มองมาทางเขา และเธอก็ยกยิ้มตามมารยาทก่อนหันไปวางมือบนไหล่ไกรวี
บีบเบา ๆ แทนคำลาก่อนหมุนตัวกลับเข้าด้านในไป
“พี่ทีมีธุระต้องไปที่ไหนอีกรึเปล่าครับ”
ไกรวีถามเมื่อมาถึงรถคันใหญ่ ให้อีกฝ่ายยกข้อมือขึ้นดูเวลาแล้วครุ่นคิด
“ยังพอมีเวลาอยู่ งั้น…ไปหาอะไรกินก่อนแล้วกัน”
ไกรวีพยักหน้า ไม่ได้ถามหรือออกความเห็นว่าควรไปที่ไหน
ดูเหมือนนทีธัชช์ก็ไม่ได้อยากถามความเห็นเขาเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นชายหนุ่มจึงเพียงแต่นั่งเงียบตลอดทางโดยมีนทีธัชช์ที่ดูจะตั้งใจกับการขับรถมากกว่าเดิม
ระหว่างทางก็มองแผนที่นำทางของรถเป็นระยะ จนในที่สุดก็เดินทางมาถึงร้านอาหารที่นทีธัชช์วางเป้าหมายไว้
เป็นร้านอาหารที่มองเพียงแวบแรกก็ให้รู้ว่าสวยไม่เบา
โปรดติดตามตอนต่อไป
งิ้งง ไม่แท็ก ไม่เมนต์ ก็กดให้กำลังใจก็ยังดีคร้าบบบบ TT TT
ความคิดเห็น