คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่สอง ... (รีไรท์)
ไกรวีถูกพี่สาวหัวเราะใส่ราวขบขันสุดชีวิตเมื่อคืนนี้หลังได้ฟังเรื่องหน้าแตกของเขาเพราะความเข้าใจผิดในตัวนทีธัชช์
หากเขากลับไม่คิดและไม่ทันได้เตรียมตัวรับความอับอายระลอกสองจากคีรินทร์ตัวจริงที่คราวแรกก็เพียงแต่ยกยิ้มทักทายเขา
หากเพียงแค่สำรับมื้อเช้าวางลงตรงหน้าและเอ่ยปากว่าให้รับประทานกันก่อนนทีธัชช์จะมาได้เลย
แววตาที่คีรินทร์มองมาทางเขาไม่เพียงแต่มีรอยเอ็นดูที่คล้ายกับมอบให้คนอายุน้อยกว่าตน
แต่ยังแฝงไปด้วยความขบขันอย่างที่ทำให้ไกรวีแตะข้าวต้มกุ้งในถ้วยไม่ลง
การล้อเลียนเงียบดูท่าจะไปกันใหญ่เมื่อนทีธัชช์ขับรถกระบะคันใหญ่มาจอดเทียบ
เดินเข้ามาถึงก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างกันพร้อมออกปากคุยกับไกรวีราวเป็นเรื่องสลักสำคัญที่ต้องรายงาน
“เมื่อคืนผมเก็บเศษบนรถเรียบร้อยแล้วนะครับ
วันนี้คุณกรจะได้นั่งรถได้อย่างสบายใจ”
แล้วก็เป็นเพชรพริ้งที่กลั้นขำไม่ไหวจนหัวเราะพรืดออกมา
ยังดีที่ตรงหน้าเธอเป็นอาหารเช้าแบบอเมริกันอย่างขนมปังปิ้ง ไส้กรอก ไข่ดาว กับสลัดผักสด
ๆ ที่เด็ดมาจากแปลงสวนข้างบ้าน ไม่อย่างนั้นบางทีไกรวีอาจขอนิสัยไม่ดีแช่งให้กุ้งติดคอเธอจนสำลักหน้าแดงเลยก็ได้
ถึงอย่างนั้นทุกคนก็ยังทำให้ไกรวีรู้สึกเหมือนบนโต๊ะอาหารมีเพียงความสบายใจ
เรื่องที่ได้รับรู้เมื่อวานเหมือนเป็นเรื่องโกหก จนกระทั่งมื้อเช้าใกล้จบลงเต็มทีแล้วนั่นแหละนทีธัชช์จึงพูดออกมา
“ผมจะพาคุณกรไปเก็บของที่บ้านผมก่อนนะครับ
แล้วจะพาเข้าออฟฟิศ ช่วงสายเรามีประชุมใหญ่กับคนงานเรื่องของพลอย คุณคงต้องเข้าร่วมประชุมด้วย”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ รู้สึกอิ่มไปทั้งท้องแม้อาหารจะพร่องลงไปเกินครึ่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทว่าเพชรพริ้งก็เข้าใจ น้องชายของเธอต้องมารับรู้ทั้งยังต้องเป็นตัวละครหนึ่งในการเล่นเกมแล้วด้วยคงยังทำใจลำบาก
อันที่จริงเธออยากบอกให้น้องชายรู้ว่าไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงหากอยู่กับนทีธัชช์ แต่พอได้รับฟังว่าน้องชายฝาแฝดของสามีก็เหมือนจะอยากแผลงฤทธิ์เดชตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน
เธอจึงไม่แน่ใจนักว่าควรปลอบใจน้องชายดีหรือไม่
บางทีหลังจากทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น ไกรวีอาจต้องรับมือกับนทีธัชช์มากกว่าไร่เคียงผกาย
ดังนั้นเธอจึงไม่ได้บอกไป ว่าต่อให้เคียงผกายร้ายกาจยังไงก็ยังไม่สู้คนที่เขาต้องไปอาศัยร่วมด้วย
ใช่ว่าอยากกลั่นแกล้งน้อง แต่เพราะเธอเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนักว่านทีธัชช์มีแผนอย่างไรกับไกรวี
“ผมจะเจอพี่พลอยได้ทุกวันหรือเปล่า”
ไกรวีถามสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ไม่มีใครตอบคำถามนั้น กระทั่งเขาแน่ใจว่าคงถามผิดคนจึงลองหันหน้ามองคนที่นั่งกินข้าวต้มอยู่เก้าอี้ตัวข้างกัน
“หรือยังไงครับคุณที”
คนได้รับคำถามจุดยิ้ม “คงเจอได้ไม่ทุกวัน แต่ผมจะพยายามพามาให้เจอกันบ่อย ๆ แล้วกันครับ”
“หมายความว่าถ้าผมจะไปไหนทำอะไร
ผมต้องให้คุณพาไปเหรอครับ”
“ใช่” นทีธัชช์ตอบรับสั้น ๆ ไม่สนใจสายตาที่มองมาอย่างตั้งคำถามรวมถึงไม่พอใจเท่าไรนัก
ไม่ได้คิดอธิบายขยายความของคำว่าใช่เสียด้วยซ้ำ เพราะหลังจากวันนี้ไป อีกพักหนึ่งเดี๋ยวไกรวีก็จะเรียนรู้ได้เองว่าเพราะอะไรถึงต้องมีเขาตามติดไม่ให้ห่าง
“กรคุยกับยายก้อยแล้วรึยัง”
เพชรพริ้งถามถึงเจ้าของสำนักพิมพ์ที่ไกรวีเป็นบรรณาธิการอยู่ ซึ่งไกรวีก็พยักหน้ารับ
บอกกล่าวพลางถอนหายใจ
“พี่ก้อยรู้แล้ว ไม่ติดใจอะไร
ระหว่างนี้ผมคงทำงานของที่นี่ไปด้วยแล้วก็ยังทำงานที่กำลังดูแลนักเขียนสองคนแค่นั้น
นอกนั้นยังไม่รับเพิ่ม โยนงานไปให้บ.ก.คนอื่นก่อนเลย”
ไกรวีเป็นบรรณาธิการนิยายมือต้นของสำนักพิมพ์เรือนกระดาษซึ่งเป็นของกวินทรา
เพื่อนสนิทของเพชรพริ้งและรู้จักกันดีกับไกรวี อันที่จริงไกรวีรู้จักเพื่อนของเธอแทบทุกคน
การเป็นผู้ชายหนึ่งเดียวในบ้านตั้งแต่อายุย่างสิบขวบทำให้ได้รับการสอนให้รักและไม่ทิ้งพี่
เพชรพริ้งเองก็ไม่ทิ้งเขา เวลาไปไหนจึงติดสอยห้อยตามกันไปเสมอ
กับกวินทรา ไกรวีก็รู้จักสนิทใจกันดี เธอซื้อตัวเขาไว้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบเลยด้วยซ้ำ
โชคดีที่พอได้เข้าทำงานกวินทราก็ไม่ได้ใช้สิทธิ์ความสนิทกันในการมอบหน้าที่การงาน เธอให้เขาเริ่มต้นตั้งแต่เป็นเด็กเดินเอกสาร
จนค่อย ๆ เติบโตมาเป็นบรรณาธิการที่นักเขียนคนไหนก็อยากมีผลงานร่วมด้วย
ไกรวีเสียดายนิดหน่อยเพราะต้องโยนงานที่จะได้ร่วมทำกับนักเขียนชื่อดังคนหนึ่งให้คนอื่นดูแลเพราะมาที่นี่
ถึงแม้ว่าที่จริงส่วนมากเขาสามารถติดต่อสื่อสารกับนักเขียนผ่านโซเชียลได้ หากการมาที่นี่และรู้ว่าต้องทำงานแทนเพชรพริ้งจึงไม่อยากรับภาระมากนัก
เพราะเขาไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรบ้าง มันคงไม่ดีนักถ้าเรื่องทางนี้จะทำให้กระทบงานหลักของเขา
“ดีแล้วครับ ผมไม่อยากให้งานคุณกรกระทบกับเรื่องทางนี้เท่าไหร่”
“ถ้าคุณอยากให้เป็นอย่างนั้นคุณคงจะหาทางบอกผมตั้งแต่ก่อนที่ผมจะมาที่นี่”
คีรินทร์นิ่งไปเล็กน้อย มองตากับนทีธัชช์ก็ค่อนข้างชัดเจนว่า ‘เอาเรื่อง’ ที่พูดกันเมื่อคืนท่าทางจะจริง จึงเอ่ยขึ้นไม่ให้ไกรวีต้องรู้สึกหมางใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
หรือถ้ายังมีก็ขอให้น้อยลง
“เรื่องนี้พี่คงต้องขอออกตัวครับกร
เพราะพี่เป็นคนบอกทีเองว่าตอนที่ติดต่อไป ให้เล่นละครไปให้สุดทาง อย่าหลุดแผนออกไปก่อนเป็นอันขาด
เพราะพี่ไม่วางใจอะไรทั้งนั้น”
ไกรวีเข้าใจ ถึงจะอยากถามออกไปว่าแม้กระทั่งกับน้องชายที่จะไม่มีวันทำร้ายพี่สาวน่ะหรือ
หากเขาก็พยักหน้าแล้วไม่เอ่ยอะไรอีก รออีกครู่นทีธัชช์ก็กินข้าวต้มหมดถ้วย จึงเป็นเวลาที่เขาต้องบอกลาพี่สาวแล้วเริ่มแผนของนทีธัชช์เสียที
เพชรพริ้งมองตามรถกระบะคันใหญ่ที่มีน้องชายของเธอโดยสารไป
อยู่ ๆ ก็คิดไม่ตกขึ้นมา จนกลับเข้ามาในบ้านเห็นคีรินทร์นั่งอ่านข่าวผ่านแท็ปเล็ตที่โต๊ะกินข้าวก็อดไม่ได้ที่จะถาม
“กรจะรอดไหมคะพี่คี”
คีรินทร์ช้อนตามองหัวใจของเขา “รอดจากอะไรเหรอพลอย”
“จากพี่ที”
เท่านั้นคีรินทร์ก็หัวเราะออกมา ไม่ตอบอะไร
ทว่ากลับส่ายหน้าเนือยให้กับหน้าข่าวในมือ เช่นนั้นเองเพชรพริ้งจึงเข้าใจ หลังจากนี้ไกรวีคงไม่รอดแล้ว
ไม่ว่าจะกับการรับน้องหรือการที่ต้องติดตามนทีธัชช์ก็ตาม
เธอได้แต่ภาวนาว่าน้องชายของเธอจะมีความอดทนมากพอที่จะไม่แผลงฤทธิ์ออกมาเหมือนกัน
สิบโมงตรงเป็นเวลาที่คนงานทุกคนในไร่รินทร์ธาราพักมือจากงานของตัวเองเพื่อมารวมตัวกันในลานประชุมที่ตั้งเสาไม้สี่เสาเป็นฐาน
มีหลังคากระเบื้องกันแดดกันฝน แต่ไม่ได้ก่อผนังขึ้นไม่ว่าทางใดเพื่อให้ลานประชุมได้รับอากาศของธรรมชาติอย่างเต็มที่
ตรงนี้เป็นลานประชุมเพื่อพูดคุยกันเพียงปากเปล่าที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรเพิ่มเติม
หากเป็นงานที่ค่อนไปทางวิชาการหน่อยจะมีอีกห้องประชุมหนึ่งเป็นห้องประชุมปิด มีโต๊ะเก้าอี้และเครื่องปรับอากาศรองรับ
ส่วนตรงนี้เป็นเพียงพื้นที่โล่ง ดังนั้นเมื่อไกรวีก้าวตามหลังนทีธัชช์มา จึงได้เห็นว่าคนงานบางกลุ่มบ้างก็นั่ง
บ้างก็ยืน แต่ทุกคนดูอยู่ในสถานะเดียวกัน คือสถานะของคนที่รอความคืบหน้าอาการของคุณนายแห่งไร่รินทร์ธารา
ก่อนที่นทีธัชช์จะพูด เขาใช้สายตากวาดมองคนงานหลายสิบเรือนร้อยชีวิตเพื่อพิจารณา
ครู่หนึ่งจึงค่อยเปิดปาก
“เรื่องของคุณเพชรพริ้ง”
เขาเว้นคำชั่วครู่ ต้องยกมือขึ้นเพราะเสียงที่ฮือฮาอื้ออึง ลดมือลงน้อย
ๆ เป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียงลง เมื่อทุกอย่างอยู่ในความสงบอีกครั้งจึงพูดต่อ
“ผมคิดว่าทุกคนคงได้ข่าวที่ไม่น่ายินดีกันหมดแล้ว วันนี้ผมเลยมาบอกทุกคนอีกครั้งให้ชัดเจน
คุณเพชรพริ้งพลัดตกเขาจริง และอาการก็สาหัส…ผมไม่อยากใช้คำว่าปางตาย
แต่มันก็ใช่ แต่ว่า…”
นทีธัชช์ได้เว้นคำอีกครั้ง แววตายังคงแน่วนิ่งสงบเย็นแม้เห็นคนงานบางคนเริ่มซับน้ำตา
รู้ดีว่าแผนการของเขาทำให้เกิดผลกระทบเป็นความโศกเศร้ามากกว่าที่ประเมินไว้ หากเขาก็ยังนิ่งตามแบบฉบับของเขา
พูดต่อเมื่อเสียงเซ็งแซ่เบาลง
“ผมอยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในทุกอย่างที่เกิดขึ้น
ขอให้ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปเหมือนปกติที่เคยทำ ระหว่างนี้ถ้าใครมีงานอะไรไม่เว้นแม้แต่งานออฟฟิศก็ขอให้เข้ามาคุยกับผมเท่านั้น
เพราะหลังจากนี้คุณคีรินทร์จะไม่เข้าออฟฟิศสักพัก หวังว่าทุกคนจะเข้าใจนะครับ”
“โธ่คุณพลอย… คุณทีคะ คุณคีต้องเฝ้าดูอาการคุณพลอยใช่ไหม” คนงานหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งถามขึ้น
สีหน้าเศร้าหมองเห็นได้ชัด
ชายหนุ่มพยักหน้า ไม่มีรอยยิ้มอาทรเหมือนคีรินทร์
แต่ก็ไม่ได้แข็งกระด้างซึ่งก็เป็นไปในแบบของเขาเหมือนกัน “ระหว่างนี้คนที่จะมาช่วยงานผมจะเป็นคุณไกรวี น้องชายของคุณเพชรพริ้ง”
มือกว้างเอื้อมแตะที่ศอกขาวของคนข้างกาย
ไม่ได้ให้แนะนำตัว แค่ให้ทุกคนได้มองเห็นและจดจำคนมาใหม่เท่านั้น
“ถ้าผมไม่อยู่แล้วอยากติดต่ออะไร
วางเรื่องไว้ที่คุณไกรวีได้เลยนะครับ ย้ำอีกครั้ง อย่าวางงานที่ใครนอกจากผมกับคุณไกรวี
และอย่าเชื่อคำพูดของใครไม่ว่าเรื่องอะไรถ้าไม่ใช่คำที่มาจากปากผมกับคุณไกรวี”
น่าแปลกที่แม้นทีธัชช์จะยังไม่ให้เขามีบทบาทอะไร
หากไกรวีกลับรู้ได้ว่าการประชุมครั้งนี้คือการเปิดตัวเขาที่จะเป็นคนสำคัญของที่นี่อีกคน
แม้จะเป็นเพียงแผนของนทีธัชช์ก็ตาม
ทุกคนเองพอมองมาทางเขาก็มีริ้วความเคารพยำเกรงอยู่พอสมควร
ซึ่งไกรวีไม่ชินเลย ตอนที่เป็นบรรณาธิการ แม้ไม่ได้พาตัวเองไปสุงสิงกับนักเขียนมากนัก
แต่เขาก็ยังคุยกับทุกคนให้วางใจกันในระดับที่รู้สึกสนิทใจในเรื่องงานเขียนได้ ไม่ใช่การเคารพอย่างสถานะที่เหนือกว่าทุกคนอย่างนี้
อยากบอกออกไปว่าเขาไม่ใช่เจ้านายหรือคนสำคัญก็พูดไม่ได้
นทีธัชช์อยากให้เขาสวมบทไหนก็คงต้องทำ
จะให้สวมบทเป็นเลขานุการของนทีธัชช์ก็ย่อมได้
ขอเพียงแค่ทุกอย่างจะทำให้พี่สาวเขาปลอดภัย
“จากนี้เราจะไปไหนกันครับ”
หลังจากการประชุมย่อยว่าด้วยเรื่องเพชรพริ้งกับระบบเพิ่มเติมจบสิ้น
นทีธัชช์พาไกรวีเดินมาทางออฟฟิศที่ยังปิดประตูสนิท เจ้าของผิวคร้ามแดดเพียงเปิดประตูทิ้งไว้
ก้าวเข้าไปหยุดอยู่หน้าตู้เอกสารด้านข้างโต๊ะทำงาน หยิบหมวกสานปีกกว้างมาได้ก็กลับออกมา
ยื่นมันให้ไกรวีรับไว้
นทีธัชช์ยังไม่ตอบในทันที เขาพาไกรวีมาถึงรถกระบะคันเดิม
สอดตัวขึ้นรถ สตาร์ตเครื่องยนต์ได้ค่อยตอบคำ “เราจะไปทัวร์ไร่รินทร์ธารากันครับ”
ไกรวีหมดแรง เขายอมรับว่าแม้จะไม่ใช่ผู้ชายสำอางแพ้แสงอะไร
แต่พอต้องอยู่กับแดดตั้งแต่สายจนค่อนมืดก็ทำเอาร้อนวาบไปทั้งกระบอกตาได้เหมือนกัน แถมพอกลับมาถึงที่พักซึ่งเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวแต่กว้างใหญ่พอให้สี่หรือห้าคนอาศัย
ไกรวีก็แทบอยากจะกลับไปพุ่งตัวลงคลองใกล้ฟาร์มแพะมากกว่าจะนั่งนิ่งให้เหงื่อซึมในห้องนอนอย่างนี้
ห้องนอนที่มีเพียงแสงจากตะเกียงเท่านั้น
นทีธัชช์บอกกับเขาว่าปกติแล้วบ้านหลังนี้ไม่มีไฟฟ้าใช้
ถึงจะเห็นว่ามีเครื่องอำนวยความสะดวกอยู่เยอะ แต่นทีธัชช์จะใช้วิธีปั่นไฟเอาเท่านั้น
เพราะอย่างนั้นหากไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็อยากให้เขาลองใช้ชีวิตแบบที่ได้สัมผัสกับอากาศธรรมชาติไปก่อน
หากอยู่ไม่ได้จริง ๆ ก็ค่อยกลับไปพักกับเพชรพริ้งและคีรินทร์
ซึ่งนั่นกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกหยามอยู่ชัด ๆ !
“ยังไม่ง่วงเหรอครับ”
หลังจากไกรวีลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย
เขาอยากจะออกมานั่งรับลมที่ชานเรือนเสียหน่อยก็เจอเข้ากับนทีธัชช์ที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว
ไกรวีส่ายหน้าให้คำถามนั้น หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้โต๊ะเดียวกับนทีธัชช์แล้วทอดสายตามองออกไป
ลมเย็นยามราตรีทำให้ความอ่อนล้าที่สะสมตั้งแต่เมื่อคืนพลันจางเจือ
ไกรวียิ้มได้นิดหน่อยให้กับแสงไฟนวลตาที่อยู่ต่ำลงไป
บ้านของนทีธัชช์ตั้งอยู่บนเนิน หลบลี้จากพื้นที่อื่นของไร่ค่อนข้างมาก
มีความเป็นส่วนตัวสูงต่างจากบ้านหลักของคีรินทร์ ชายหนุ่มบอกเล่าเมื่อเช้าว่าพื้นที่ตรงนี้จะไม่ให้ใครเข้ามายุ่มย่ามนักหากไม่มีเหตุจำเป็นจริง
ไม่เหมือนบ้านของคีรินทร์ที่คอยต้อนรับขับสู้แขกเหรื่ออยู่เสมอ มีแต่หลังจากนี้ที่จะงดรับแขกเพราะย้ายไปอยู่บ้านหลังไร่ที่เขาได้นอนพักไปเมื่อคืนนี้
ไกรวีจมจ่อมอยู่กับธรรมชาติอันเงียบงันอีกพักหนึ่งจึงได้ดึงสติกลับมาหาคนข้างกายหลังได้รับคำถาม
“เหนื่อยไหมวันนี้”
ไกรวีไม่อยากโกหก แต่ก็ไม่อยากให้นทีธัชช์มองว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ
พินิจเพียงครู่จึงตอบออกไป “ผมขอเวลาปรับตัว อีกวันสองวันคงเดินทำงานกับคุณได้สบาย”
เขาใช้คำว่า ‘ทำงาน’ ได้อย่างเต็มปากหลังจากวันนี้ทั้งวันนทีธัชช์พาเขาตระเวนเกือบจะทั่วไร่
ให้เขาได้รู้ว่ารินทร์ธารากินพื้นที่กว้างใหญ่อย่างที่คงเดินไปแต่ละที่ไม่ไหว และแต่ละส่วนก็แบ่งสรรกันได้อย่างดี
รู้ได้ในทันทีว่าส่วนที่ดูงานไปวันนี้ยังไม่ครบทุกพื้นที่เลยด้วยซ้ำ
และทุกพื้นที่ที่ไปมาก็ดูเหมือนมีอะไรให้ต้องทำเยอะแยะไปหมด
อย่างส่วนของแปลงพืชหมุนเวียนที่ได้เรียนรู้มาว่ากำลังโรยเมล็ดปอเทืองเพื่อปรับสภาพดินเตรียมการปลูกครั้งต่อไป
จู่ ๆ นทีธัชช์ก็บอกให้เขาลองดูสภาพเนื้อดิน พรวนดิน หว่านเมล็ดไปพร้อม ๆ กับชาวสวนอย่างงง
ๆ
ไกรวีรู้สึกได้ว่าคนที่นั่งบนชุดโต๊ะไม้เดียวกันมองอยู่
จึงเบือนจากทิวทัศน์ตรงหน้ามาสบกับเรียวตาคู่คม นทีธัชช์ไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้มึนตึง เป็นสายตาที่มองมาอย่างที่ทำให้ไกรวีหัวใจกระตุกไปวูบเท่านั้น
“พี่ไม่ได้อยากให้กรปรับตัวเร็วนัก
แต่ถ้าเร็วได้ก็จะดี”
นทีธัชช์ว่าอย่างนั้นให้ไกรวีหัวเราะหึ
“เหมือนชีวิตผมต้องฝากไว้ที่คุณทีใช่รึเปล่าครับถ้าต้องอยู่ที่นี่”
รวมถึงต้องทำตามให้ได้อย่างที่คนเป็นผู้นำอยากให้ทำ
“ใช่” ชายหนุ่มถอนใจเฮือกหนึ่งก่อนมองหน้าคนที่หลุบตาลง “พี่ไม่ไว้ใจใคร
ถ้าพลอยถูกผลักลงเขาได้ คนในครอบครัวเดียวกับพลอยก็มีสิทธิ์โดนทำร้ายได้เหมือนกัน”
“แล้วทำไม…”
“ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแผน
แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่จะไม่ดูแลใคร ถูกไหม?”
และคนที่นทีธัชช์จะดูแลก็คือเขา พอคิดได้แบบนี้ไกรวีจึงช้อนนัยน์ตาขึ้น
ดวงตาคู่คมยังมองมา ไม่มีแววอาทรและอบอุ่นอ่อนโยนอย่างที่เขาจับต้องได้จากคีรินทร์
แต่ดวงตาคู่นี้กลับเต็มล้นด้วยพลังของความแน่วแน่จริงจังเหมือนที่มองเห็นมาตลอดทั้งวัน
ไกรวีไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องเจอกับอันตรายอะไรจนกระทั่งเมื่อครู่
และโดยที่อีกฝ่ายยังไม่พูดมา แต่ไกรวีก็รู้ได้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง เขาจะมีคนรองรับอันตรายนั้นไม่ให้กระทบโดนตัวโดยตรง
นทีธัชช์จะเป็นคนปกป้องเขา
“นอนเถอะ” อยู่ ๆ นทีธัชช์ก็เอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้ออกกันแต่เช้าหน่อยนะครับ
ต้องออกพื้นที่ไปตรวจงานของชาวบ้าน”
“ปกติออกตรวจกี่โมงครับ”
“เจ็ดโมงครึ่งสำหรับการออกพื้นที่รอบไร่
ไม่ใช่ในไร่ กรไหวหรือเปล่า”
ทำไมนทีธัชช์จะไม่เห็น เขาเห็นว่าใบหน้าเกลี้ยงเกลาดูอ่อนล้าเพลียแรงอย่างเห็นได้ชัด
ดีเท่าไหร่แล้วที่หนุ่มเมืองกรุงไม่เป็นลมล้มพับไปเสียก่อนระหว่างตรวจดูสภาพดินของแปลงปลูกพืชหมุนเวียน
เขายอมรับว่ารับน้องโหดไปหน่อย แต่พอเห็นไกรวีที่ถึงแม้จะงง ๆ แต่ก็ทำตามแต่โดยดีก็พอใจ
ให้เขารู้ว่าไกรวีไม่เพียงแต่เอาเรื่องทางด้านนิสัยใจคอ กับการทำงานก็ไม่เว้นเหมือนกัน
เพราะอย่างนั้นจากความตั้งใจเดิมที่คิดไว้ว่าจะให้ไกรวีดูงานอยู่ในออฟฟิศตลอดวัน
เลยเปลี่ยนแผนเป็นให้รับแดดตลอดวันกับเขาน่าจะดีกว่า
“งั้นพรุ่งนี้ผมจะตื่นมาทำข้าวเช้าก่อนเราออกพื้นที่แล้วกันนะครับ”
นทีธัชช์พยักหน้า “ขอบใจมาก”
ไกรวีไม่ได้เอ่ยอะไรหลังจากนั้น เขาลุกขึ้นยืน
สบตากับนทีธัชช์เชิงขอตัวก่อนเดินกลับเข้าห้องตัวเอง ครู่หนึ่งหลังจากสวดมนต์เสร็จแล้วทิ้งตัวลงนอน
เสียงประตูของห้องใกล้ ๆ กันก็ดังขึ้นให้รู้ว่าเจ้าของบ้านคงเตรียมตัวนอนแล้วเหมือนกัน
ชายหนุ่มจ้องมองเพดานไม้ผ่านความสลัวราง
ครุ่นคิดถึงหลาย ๆ เรื่องก่อนเปลือกตาจะค่อย ๆ ปรือปรอยและนำเขาสู่ห้วงนิทราในที่สุด
โปรดติดตามตอนต่อไป
อดใจไม่ไหว อยากอัปมากเลยยยยย แง้
ทวีตติดแท็ก #ธาราโอบจันทร์ หรือคอมเมนต์ หรือกดปุ่มให้กำลังใจน้าาา
ความคิดเห็น