คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : บทที่สิบหก ...
ธาราโอบจันทร์
บทที่สิบหก
ข่าวการกลับมาของเพชรพริ้ง ไม่เพียงแต่เป็นที่รับรู้ของคนในรินทร์ธาราเท่านั้น หากยังตีวงกว้างในหลายภาคส่วนซึ่งมีความเกี่ยวข้องกัน นั่นรวมถึงชายหนุ่มที่นั่งครุ่นคิดถึงการปรากฏตัวอีกครั้งของเธออย่างเงียบ ๆ มาพักหนึ่งแล้วด้วยสีหน้านิ่งสนิทที่แม้แต่คนใกล้ชิดยังตีความไม่ได้อย่างนั้น
ฐานัสพ่นลมหายใจยาว มองภาพถ่ายของเพชรพริ้งที่โพสต์ลงบนช่องทางโซเชียลหนึ่งและเป็นเพียงช่องทางเดียวที่เขากับเธอสามารถติดต่อกันได้ มองรอยยิ้มกว้างที่ยังดูอ่อนหวานแต่เคลือบไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยวไม่เคยเปลี่ยน มองภาพรวมของเธอก็ได้เห็นว่าดูสุขภาพดี ไม่เหมือนหญิงสาวที่เคยผ่านความเป็นความตายมาก่อนหน้านี้
ก็นั่นสินะ…เธอน่ะหรือจะเคยผ่านมันมาก่อน
ฐานัสขยับยิ้มลึก เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เขาส่งเสียงอนุญาตให้คนด้านนอกเข้ามา เป็นเลขาของเขาที่ก้าวเข้ามาเพียงก้าวหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“มีแขกมาขอพบคุณฐานค่ะ”
แขก…
ฐานัสเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ ความจริงวันนี้เขาไม่ได้นัดหมายกับใคร และในช่วงที่กำลังพักดินเพื่อปลูกพืชใหม่อย่างนี้ก็ไม่น่าจะมีใครหรือลูกค้าคนไหนมาขอคำปรึกษา
ทว่าไม่ทันได้ออกปากถามหรือแม้แต่ตัดสินใจ แขกที่มาขอพบก็แทรกกายผ่านช่องประตูเข้ามายืนเคียงเลขาของเขา
คิ้วเข้มกระตุกน้อย ๆ มองเลขาที่ทำตัวไม่ถูกในทันที หากเขาก็เพียงแต่ยกยิ้มบาง เอ่ยไปให้เธอเบาใจ “ไม่เป็นไรครับคุณนก เพื่อนผมเอง”
ยามได้ยิน แขกที่ยืนตรงหน้าแทบหลุดขำอย่างเยาะหยัน ยิ่งเห็นว่าฐานัสเน้นเสียงเหมือนจงใจอย่างนั้น รูปปากหยักก็ยิ่งคลายเป็นรอยยิ้มร้ายอย่างที่ทำให้คนมองขบกรามเบา ๆ
“ไม่ลุกขึ้นต้อนรับนะ” ฐานัสว่าอย่างนั้นแล้วพเยิดหน้าเป็นการบอกอีกฝ่ายให้นั่งลง ซึ่งแขกก็ลากเก้าอี้แล้วทิ้งตัวลงนั่งทันทีเหมือนกัน…ด้วยท่าทีที่กวนประสาทจนฐานัสต้องนับหนึ่งถึงสิบในใจนั่นละ “มีอะไร”
คนมาใหม่เลิกคิ้ว “นึกว่านายจะรู้แล้วซะอีก”
ไอ้เวรนี่…ฐานัสเคาะนิ้วกับผิวโต๊ะ พิจารณาเจ้าของใบหน้าคร้ามเข้มอย่างเงียบเชียบ ฝ่ายนั้นก็แสดงให้รู้ว่ามีเวลาทั้งวันที่จะเล่นจ้องตากับเขา ถึงได้ยกแขกกอดอกหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ
กว่าจะคิดออกว่าคนที่แทบจะตัดขาดทางความสัมพันธ์กันไปหลายปี มีโอกาสได้ข้องแวะก็กัดแซะกันไม่เลิกมาหาด้วยจุดประสงค์ใด ก็ใช้เวลาไปกับความเงียบอยู่อีกพักหนึ่ง
ฐานัสถอนหายใจยาว เปิดลิ้นชักหยิบแฟ้มที่เคยเตรียมไว้จนลืมออกมาโยนส่งให้
“ทุกคนที่นายส่งรูปมาให้เคยเป็นคนของฉันจริง แต่ก็แค่เคย”
นทีธัชช์ไม่แปลกใจกับคำบอกนั้น ชายหนุ่มหยิบแฟ้มขึ้นมาเปิด พบว่าเป็นใบประวัติของคนทั้งหมดที่เขาเคยส่งรูปจากกล้องวงจรปิดให้ฐานัสเมื่อพักใหญ่มาแล้ว เขาค่อย ๆ อ่านประวัติแต่ละคนอย่างช้า ๆ ละเลียดเก็บรายละเอียดอย่างใจเย็น จนหมดแฟ้มถึงปิดแล้ววางลงตามเดิม ถอนหายใจเหมือนแสนเสียดาย
“คิดว่าจะได้มีเรื่องฟ้องร้องกันให้เสียเวลาเล่นซะอีก”
ฐานัสฟังแล้วหัวเราะหึ “เอาเวลาไปตามล่าหาคนที่ทำร้ายพลอยดีกว่ามั้ง”
“เรื่องนั้นก็ด้วย” นทีธัชช์สบตาเข้มเรียว “ได้ของมารึยัง”
“ไม่มี”
“ได้ไงวะ”
“ก็กูไม่มีจะให้กูทำไง”
“ก็คุยกันแล้วว่ามึงจะเป็นคนหาให้” นทีธัชช์ขมวดคิ้วฉับ “ไอ้ฐาน มึงจะเล่นลิ้นกับกูรึไง”
คนฟังถึงกับกลอกตาแล้วถอนหายใจเฮือก ลืมเลือนไปเสียสนิทว่าก่อนหน้านี้เคยวางเส้นกั้นระยะห่างระหว่างกันเอาไว้ ไม่ได้รู้สึกระแคะระคายที่เขาสองคนพูดคุยกันเหมือนในอดีต แต่หากจะถามความรู้สึกแล้วล่ะก็…ตอนนี้เขาค่อนข้างหงุดหงิดที่เหมือนถูกโยนภาระต่างหาก
ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนออกปากเอง…
“มันไม่ทิ้งหลักฐานอะไรไว้เลยนี่หว่า ถึงจะเคยเป็นคนเก่าแก่ของที่นี่ แต่มันตายไปแล้วมึงก็รู้ จะให้กูไปตามเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวมันทีหลังกูก็หาไม่เจอแล้วไง”
นทีธัชช์แค่นยิ้ม เขายกมือขึ้นเสยเส้นผมที่ปรกหน้าผากอย่างหงุดหงิดใจ ถึงอย่างนั้นกลับไม่ได้รู้สึกว่าเสียเวลาที่ต้องพาตัวเหยียบย่างเข้ามาในถิ่นของเคียงผกาย ชายหนุ่มคว้าแฟ้มเอาไว้ หยัดกายขึ้นยืนแล้วหันหลังเตรียมก้าวออกห้อง
หากคำพูดของเจ้าถิ่นก็กลับทำให้เขาชะงัก
“มัวแต่หาคนทำ มึงหาคนสั่งแล้วรึยัง”
นทีธัชช์ผ่อนลมหายใจยาวก่อนหันกลับมามองสบตาฐานัส เห็นว่าในดวงตาคู่เรียวนั้นไม่มีแววเล่นล้อจึงพยักหน้า
ปฏิกิริยานั้นเองที่ทำให้ฐานัสกระตุกมุมปาก “ระวังไว้ด้วยแล้วกัน คนใกล้ตัวมึงน่ะ”
คนฟังได้แต่สบตากันอีกอึดใจหนึ่งก่อนพเยิดหน้าแกน ๆ ยกแฟ้มที่ว่ากันตามตรงแล้วถือว่าหยิบมาไว้กับตัวโดยพละการเป็นการร่ำลา ก่อนจะก้าวเท้าออกห้อง มีน้ำใจด้วยการปิดประตูให้เกิดเสียงไม่เบาไม่ดังจนเจ้าของห้องส่ายหน้าเนือย
ฐานัสหวังว่าการพยักหน้าตอบกลับกันอย่างนั้น จะหมายถึงความคืบหน้าในตัวคนร้ายที่เข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นทุกที
และใช่ เขาหวังว่าคนที่เขากับนทีธัชช์คิด…จะเป็นคนคนเดียวกัน
“ได้เรื่องบ้างไหม”
นทีธัชช์มองพี่ชายฝาแฝดที่ออกปากถามทันทีที่เห็นหน้า เขาวางแฟ้มลงกลางโต๊ะให้คีรินทร์เอื้อมมือมาหยิบไป ทิ้งตัวลงนั่งก่อนขมวดคิ้วมุ่นยามนึกถึงรายละเอียดที่เพิ่งรู้มา
ชายหนุ่มเงียบรอให้คีรินทร์ไล่อ่านครบทุกหน้า พอเงยหน้าสบตากันค่อยเอ่ยออกไป “จากข้อมูลทั้งหมด ไม่มีความน่าจะเป็นที่ไอ้ฐานจะปกปิดความจริงเลยนะ”
คีรินทร์เองก็คิดอย่างนั้น ยิ่งได้มาเห็นข้อมูลว่าในทุก ๆ เหตุการณ์ของความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในรินทร์ธารา กระทั่งกับเมืองรามที่เคยถูกขู่และทำลายข้าวของ ทั้งหมดทุกคนเป็นอดีตคนงานของเคียงผกายล้วนทั้งสิ้น ฐานัสให้ข้อมูลมาโดยครบถ้วน ไม่ว่าจะวันเริ่มงานหรือพ้นสถานะคนงาน กระทั่งเหตุผลของการพ้นสถานะยังมีรายละเอียดชัดเจนทุกคน
และใช่ ไม่มีใครที่ออกจากงานด้วยเหตุผลดี ๆ เลยสักคน
“เคียงผกายเลี้ยงคนหรือเลี้ยงซ่องโจร”
คำเอ่ยของนทีธัชช์ไม่จริงจัง แต่ในเนื้อเสียงยังมีความเคร่งเครียดส่วนหนึ่ง คนฟังเองก็พอจะจับความคิดได้ ถึงทอดลมหายใจยาว เก็บแฟ้มเข้าลิ้นชักที่มีกุญแจล็อกแล้วลุกขึ้นยืน
“มีอะไรเพิ่มเติมไหม”
“ไม่” ถึงจะเกือบมีเรื่องกันก็เถอะ นทีธัชช์ไม่คิดปริปากบอกฝาแฝดหรอกน่ะ “แล้วนี่จะไปไหน”
“เที่ยงแล้วนี่ ฉันจะเข้าไปบ้านสวน”
จบคำนั้น เพชรพริ้งก็เปิดประตูเข้ามา ด้านหลังมีไกรวีหยุดยืนอยู่ไม่ห่างกันเท่าไรนัก แต่เพราะระยะห่างอย่างนั้นเองที่ทำให้นทีธัชช์มองคนรักได้สะดวกตาหน่อย ชายหนุ่มสบสานสายตา ไล่เรื่อยมองกลีบปากอิ่มที่เม้มเข้าทันทีที่เห็นสายตาเขาลดลง มองไปถึงปกคอเสื้อที่วันนี้ดูเรียบร้อยผิดปกติ
นทีธัชช์จุดยิ้ม แม้รู้ว่าเป็นความผิดเขาที่ดันเผลอทิ้งร่องรอยความรักใคร่ไว้อย่างชัดเจนที่เรียวคอนั้นก็เถอะ
“กรจะไปบ้านสวนด้วยเหรอครับ”
“ครับ” ไกรวีตอบคนรัก แอบค้อนไปหนึ่งควักโทษฐานที่นทีธัชช์ส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้ “เดี๋ยวแม่ก็จะกลับแล้ว เลยว่าจะไปค้างด้วยสักคืนน่ะครับ”
“ค้าง?”
“พลอยยืมตัวน้องชายพลอยหน่อยนะคะพี่ที”
เหอะ…
ดูท่ากระหยิ่มยิ้มย่องของเพชรพริ้งเสียเถอะ คิดหรือว่าเขาจะมองไม่ออกว่าเธอแสดงท่าทีเหนือกว่า กับแค่ได้ตัวไกรวีไปนอนด้วยคืนหนึ่งนั่นน่ะนะ
“…อ่อนจริง ๆ เลยครับคุณพลอย”
เพชรพริ้งอ้าปากค้าง แต่คนที่หนักกว่าคือไกรวีที่ขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเข้มใส่ “พี่ที”
ก็ไกรวีไม่เห็นสีหน้าของเพชรพริ้งนี่!
“พอได้แล้ว พักรบกันได้ตั้งนานสองนาน กลับมาทำงานด้วยกันนี่จะตีกันอีกแล้วหรือไง”
เป็นคีรินทร์ที่ห้ามทัพเอาไว้ได้ทัน ดังนั้นภรรยากับน้องชายที่กำลังห้ำหั่นกันทางสายตาถึงสงบลงได้ เห็นอย่างนั้นคีรินทร์จึงถอนหายใจ เดินไปโอบไหล่ภรรยาแล้วรั้งให้ก้าวเดินเสียที
เขารู้ว่าทั้งสองคนเคยเป็นไม้เบื่อไม้เมาที่ไม่จริงจัง บางครั้งก็แค่ทำตัวเหมือนเด็กที่ชอบอวดโอ่ของรักใส่กันก็เท่านั้น
ทว่าของรักคราวนี้กลับเป็นคน…คนที่ไม่ได้รู้เห็นมาก่อนว่าสงครามย่อม ๆ นั้นเป็นอย่างไร
“ทำไมพูดกับพี่พลอยแบบนั้นล่ะครับ”
หือ…นทีธัชช์ละสายตาจากสองสามีภรรยากลับมาหาคนรักที่ยังยืนอยู่ หน้าที่นิ่งขึงขึ้นก็ทำเอาชายหนุ่มอยากหัวเราะแต่ก็ขำไม่ออก
“พลอยทำพี่ก่อน”
“พี่พลอยทำอะไรครับ”
“อวดพี่ว่ากรจะไปนอนด้วย”
คราวนี้คนฟังถึงกับอ้าปากค้าง เพราะนทีธัชช์เอ่ยอย่างนั้นโดยไม่มีท่าทีของการงอแงเอาแต่ใจเลยด้วยซ้ำ เขาดูจริงจังขรึมเข้มขณะทอดมองสบกัน ตอนที่เดินไปหมุนให้มู่ลี่ปิดลงก็ยังสบสานไม่คละคลาด กว่าจะรู้ว่านั่นหมายถึงอะไร…ไกรวีก็ถูกชักพาเข้ามาในห้องที่ปิดม่านสนิท ประตูถูกล็อกดังกริ๊กให้คนที่เข้าสู่อ้อมแขนแกร่งหรี่เรียวตา
“เห็นว่าพี่ผิดเพราะทำรอยที่คอเรานะ”
พูดเหมือนจะสำนึก แต่ริมฝีปากหยักกลับแนบสนิทกับกลีบปากอิ่ม ไม่เพียงแต่แตะสัมผัสเท่านั้น นทีธัชช์ยังบดเบียดขบกินจนกลีบปากนั้นฉ่ำชุ่ม ให้ลมหายใจหอบหนักจนมือเรียวต้องกำกำปั้นทุบอกเขา อย่างนั้นถึงจะพอใจให้ผละออกห่าง เพียงพอที่ลมหายใจร้อนรุ่มจะรินรดกันและกัน
“พี่ให้กรทำโทษพี่คืนก็ได้”
คนหอบกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง มองอย่างไม่วางใจ “ยังไงครับ”
นทีธัชช์ยิ้ม เบือนหน้าเพื่อให้ลำคอปรากฏชัดแก่สายตาไกรวี “ทำคอพี่เป็นรอยได้เลยครับ พี่จะไม่ร้อง”
ไม่ร้องเหรอ!? ฉับพลันนั้นหน้าไกรวีก็ขึ้นสี เขาทุบเข้าที่ไหล่นทีธัชช์ปั้กหนึ่ง กัดปากล่างขณะจ้องตาอย่างคาดโทษ
และไม่ทันได้ตั้งตัว ไกรวีก็ทำโทษเขาจริง ๆ !
“…ไม่ให้ไปแล้วได้ไหม”
คราวนี้นทีธัชช์งอแงขึ้นมาจริง ๆ แล้ว นั่นเป็นเพราะริมฝีปากที่ดูดกลืนผิวเข้มเขาจนขึ้นรอยชัดเจน กระไออุ่นอย่างนั้นราวกับจะเหนี่ยวรั้งให้เขาโถมเข้าหา หากไม่ติดว่าตอนนี้คือเวลางานและเขาสองคนอยู่ในห้องทำงานแล้วล่ะก็…
นทีธัชช์สูดลมหายใจเข้าลึก รั้งมือเรียวให้ทาบลงกับแผ่นอกเขา ฟ้องคนกระทำอย่างออดอ้อน “ดูสิเนี่ย กรทำร้ายพี่”
หัวใจเลยเต้นรุนแรงราวจะกระดอนออกมาอย่างนี้…
แต่ไกรวีมีหรือจะเห็นใจ ยิ่งเห็นดวงตาคมกริบที่ตอนนี้ฉ่ำหวานเป็นประกายมองสบกันอย่างมีความหวัง เขาก็ยิ่งหยัดยิ้ม ผละมือจากอกคนรักแล้วถอยห่าง
“เจอกันพรุ่งนี้เย็นนะครับ”
“…แล้วคืนนี้พี่จะทำยังไง”
“มีมืออยู่นี่ครับ” ถ้อยคำใจร้ายหลุดมาให้ใจนทีธัชช์สะดุด “อย่าลืมหาอะไรกินก่อนลงพื้นที่นะครับ”
“กร”
ไกรวีสบตาเขาเป็นหนสุดท้าย ไม่มีความปราณีในม่านตานั้น ชายหนุ่มเปิดประตูแล้วเดินหนีออกไปเสียดื้อ ๆ ไม่สนว่าเขาจะเดินตามถึงประตูสำนักงานแล้วยืนมองส่งจนรถของคีรินทร์ลับสายตาไป
ให้ใช้มือเนี่ยนะ? ให้ตาย เขาไม่คิดว่าไกรวีจะใจร้ายและร้ายกาจกับเขาได้ขนาดนี้เลยจริง ๆ !
“ทุกอย่างต้องค่อย ๆ เรียนรู้กันไปครับน้าแช่ม ทุกวันนี้มีความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาเยอะ เราต้องปรับตัวให้ทันโลก ไม่อย่างนั้นไร่สวนเราก็จะหยุดอยู่แต่แบบเดิม ๆ”
เกษตรกรที่ยืนพูดคุยอยู่ส่งเสียงเห็นด้วย เพราะทุกวันนี้หากจะให้ปลูกหรือขายแบบเมื่อก่อนนั้นจะให้ผลสำเร็จเต็มร้อยคงยากเต็มที เธอเองแม้มีสวนผลไม้อยู่หลายสิบไร่ แต่คนที่จะช่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับธุรกิจออนไลน์กลับเป็นศูนย์
โชคดีที่เธอตัดสินใจขอคำปรึกษาจากนทีธัชช์ตอนที่เขาแวะมาเยี่ยมเยียนสวนผลไม้แบบอินทรีย์ ไม่อย่างนั้นก็คงจะมืดแปดด้านไม่จบสิ้น
“ดีจริง ๆ เลยที่พ่อทีเข้ามา ไม่งั้นนะ น้าไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงเลย”
“ลองปรับดูนะครับ ยุคนี้คนที่พร้อมซื้อผ่านระบบออนไลน์มีเยอะมาก มันสะดวกด้วยแหละครับ”
“จ้ะ ขอบใจพ่อทีจริง ๆ เอา ๆ เอาไปสักตะกร้าหนึ่งหน่อยนะ”
นทีธัชช์อยากออกปากปฏิเสธ ทว่าเธอกลับหันไปบอกให้คนงานของเธอช่วยกันแบกแตงโมตะกร้าใหญ่ที่น่าจะบรรจุเกินสิบลูกขึ้นหลังรถเขาทันที โดยมีจอมทัพช่วยผ่อนแรงด้วยอีกคน
“ขอบคุณครับน้าแช่ม” นทีธัชช์ยกมือประนมไหว้ เป็นการบอกลาไปด้วยในตัว ได้รับคำอวยพรอีกประโยคหนึ่งถึงได้หันตัวเดินขึ้นรถ รอกระทั่งจอมทัพปิดประตูคาดเข็มขัดเรียบร้อยค่อยสตาร์ตเครื่องหลังจากนั้น
งานลงพื้นที่ของวันนี้จบลงเร็วกว่าที่คาดไว้ ยังมีเวลาว่างมากพอที่เขาสองคนจะได้พัก ทั้งตอนเที่ยงพวกเขายังไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกันอีก เจ้านายอย่างนทีธัชช์ถึงได้เป็นสารถีพาลูกน้องไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากรินทร์ธารานัก
แม้จะเป็นร้านริมทางทว่ามีคนแน่นขนัดแทบตลอดเวลา อย่างในเวลานี้ก็ด้วย
จอมทัพเป็นคนเดินเข้าไปในร้านเพื่อหาที่ว่าง เป็นจังหวะที่ได้สบสายตากับใครบางคนเข้าพอดี
“เอ้า ลุงเชื่อม!”
คำทักนั้นทำให้นทีธัชช์เลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ เมื่อมองผ่านจอมทัพไปถึงได้เห็นชายวัยกลางคนเจ้าของชื่อเชื่อมมองมาตายิ้มด้วยความยินดี
“ไอ้เก้าโว้ย! คุณที! สวัสดี ๆ มานั่งด้วยกันกับผมเถอะมา”
ลุงเชื่อมหรือเชิดชัย นับเป็นคนงานเก่าแก่คนหนึ่งของรินทร์ธาราก็ว่าได้ หากแต่เมื่อถึงวัยอันสมควรเขาถึงได้ลาออกขอเกษียณตัวเองกลับไปอยู่กับลูกหลานที่จังหวัดใกล้เคียง หากนับดูแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันก็เกินสองปีได้แล้วกระมัง คนหนุ่มที่ยังมุ่งหน้ากรำงานอยู่เสมอถึงได้เกิดความยินดียามได้พบเจอ
“ลุงเชื่อมสบายดีนะครับ”
“ผมสบายดีคุณที ว่าแต่ทางนี้ล่ะสบายดีกันไหม” เชิดชัยถามกลับยิ้ม ๆ พลางรินน้ำเปล่าลงแก้วที่จอมทัพไปตักน้ำแข็งมาให้ “ไอ้ผมน่ะกลับบ้านไปก็ไม่ได้ถามไถ่ข่าวคราวใครเลย นี่ก็กะอยู่ว่าไปเยี่ยมเมืองรามเสร็จแล้วจะแวะเข้าไปหาเสียหน่อย”
นทีธัชช์นิ่งคิดไปครู่ ก่อนนึกขึ้นได้ว่าความจริงแล้วเชิดชัยคือญาติห่าง ๆ ของเมืองราม คราวแรกที่ได้รู้จักกันก็เพราะเชิดชัยเป็นคนแนะนำคนอายุน้อยกว่าให้เข้าหาเขา ถึงหลังจากนั้นเขาจะไม่ได้ยินเรื่องเมืองรามจากปากของเชิดชัยอีก หรือแม้แต่เมืองรามก็ไม่ได้พูดถึงผู้เป็นลุงของตน แต่นั่นก็นับเป็นเรื่องที่เขาเข้าใจมาโดยตลอดถึงความไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันในระบบเครือญาติ
ว่าแต่...มาเยี่ยมอย่างนั้นหรือ
เยี่ยมเยียนทักทาย หรือเยี่ยมไข้คนป่วย...
“รามไม่สบายเหรอลุง”
เป็นจอมทัพที่ถามออกไปอย่างหน้าซื่อตาใส เหมือนถามความเป็นไปผ่านญาติห่าง ๆ ที่หากจะว่ากันตามตรงแล้ว ถ้าเมืองรามเป็นอะไรขึ้นมาพวกเขาคงรู้ก่อนไม่ใช่หรือไงกัน
“ฮื่อ...ไม่สบายอะไรกัน ทำไมเอ็งถามเหมือนไม่รู้แบบนี้วะเนี่ยไอ้เก้า สมองเอ็งเลอะเลือนแล้วเรอะ”
เชิดชัยดูงุนงงไม่น้อยกับคำถามนั้น ซ้ำยังไม่ได้ตอบอะไรมากไปกว่ากล่าวหาให้จอมทัพหัวเราะแห้ง ทว่าจังหวะหนึ่งชายหนุ่มสองคนกลับสบตากันเงียบเชียบ เว้นระยะในบทสนทนาด้วยอาหารตามสั่งสองจานที่วางลงตรงหน้า ทุกอย่างยังคงเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรผิดแปลก
มันควรเป็นอย่างนั้น...หากไม่ใช่ว่าเชิดชัยจะจับต้องได้ถึงความเงียบงัน และเป็นฝ่ายเอ่ยปากบอกเล่าด้วยตัวเอง
ตะวันตกดินจนถนนสองฝั่งมืดสลัว ในเส้นทางที่ผู้คนไม่ค่อยสัญจรไปมาอย่างนี้ นับเป็นเรื่องง่ายที่นทีธัชช์จะจอดรถดับเครื่องเพื่อนั่งเงียบ ๆ คนเดียวภายในรถของตัวเอง
ทั้ง ๆ ที่วันนี้ดูเหมือนจะเป็นวันที่ราบรื่นไปเสียทั้งหมดสำหรับเขา หากแต่กลับมีบางอย่างที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจนแทบหมดแรง เหมือนร่างกายอันแข็งแรงจะติดขัดไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน ไม่แม้แต่อยากจะคิดถึงอะไรก็ตามที่วนเวียนอยู่ในหัว...เขาเหมือนคนไร้แรงที่อยากปลดแอกทั้งหมดให้พ้นตัว
เสียงโทรศัพท์ที่สั่นครืดเรียกรั้งชายหนุ่มที่อยู่ในภวังค์อันเงียบงันให้หลับตาลงนิ่ง ไม่เอื้อมมือคว้าจนแรงสั่นหายไป อีกไม่กี่อึดใจมันก็สั่นขึ้นมาอีกจนเขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ลืมตาขึ้นมองภาพสลัวแสงของถนนเบื้องหน้าก่อนจะเคลื่อนสายตามองหน้าจอที่ส่งเสียงรบกวนเขาไม่มีหยุด
เป็นฐานัสที่ติดต่อเข้ามา...
เป็นครั้งแรกที่นทีธัชช์ไม่แน่ใจนักว่าควรรับสายดีหรือไม่ เขาในยามนี้ไม่มั่นคงพอที่จะต่อกรกับใครหน้าไหน ถึงอย่างนั้นด้วยสิ่งที่รอคอยจากฐานัสยังมีอยู่ และเขามั่นใจว่าหากไม่มีเรื่องด่วนจริง ฐานัสจะไม่มีทางติดต่อมาหาเขาในยามวิกาลเช่นนี้แน่
ดังนั้นชายหนุ่มจึงเอื้อมมือไปกดปุ่มรับสาย รอฟังเสียงอีกฝ่ายผ่านหูฟังบลูทูธโดยไม่ตอบรับคำใด เกิดเป็นภาวะความเงียบงันอันน่าอึดอัดอยู่ครู่หนึ่งฐานัสถึงได้ส่งเสียงมา
“ไอ้ที่อยากได้น่ะ กูหามาให้ได้แล้วนะ”
นทีธัชช์กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง “ต้องคุยกันต่อหน้ารึเปล่า”
“มาได้ก็มา”
ชายหนุ่มถอนหายใจให้ฐานัสฟังหนึ่งเฮือกก่อนตัดสายเสียดื้อ ๆ เขานั่งนิ่งอีกอึดใจ ที่สุดถึงสตาร์ตเครื่องแล้วเหยียบคันเร่งเพื่อเคลื่อนล้อไปตามถนนเส้นยาว ผ่านทั้งรินทร์ธาราและเคียงผกายออกมาอีกหลายกิโลเมตร และจอดเทียบที่ลานจอดของบ้านพักตากอากาศหลังหนึ่งซึ่งอยู่ลึกเข้ามาจากปากทางที่รายล้อมด้วยต้นสนหลายร้อยพันต้น
เพียงดับเครื่องลง ประตูของบ้านพักก็เปิดออก ปรากฏเป็นร่างของฐานัสที่อยู่ในชุดเดิมกับที่เขาเห็นเมื่อกลางวัน ใบหน้าเข้มคมดูเรียบขรึมกว่าปกติ นั่นทำให้นทีธัชช์เปิดประตูลงจากรถ ก้าวย่างตามฐานัสเข้าไปในบ้านพักอย่างเงียบ ๆ
ฐานัสไม่ได้เอ่ยอะไรกับเขา ชายหนุ่มเพียงยื่นโทรศัพท์ของตนเองมาตรงหน้า ให้เขาหลุบตาลงมองอย่างเป็นคำถาม
“เอาไปดู กูขี้เกียจพูด”
นทีธัชช์หัวเราะขึ้นจมูก ไม่ได้มีความขำขันหรือเยาะหยันแก่กันแต่อย่างใด เป็นเพียงการปล่อยลมหายใจให้เจือหายไปพร้อมกับความรู้สึกหนึ่งที่คล้ายจะสุมอยู่ในอกตั้งแต่หลายชั่วโมงก่อน...หลังจากเจอกับเชิดชัยนั่นละ
“ถ้ามันไม่มีประโยชน์พอที่กูจะถ่อรถมาถึงนี่”
“เดี๋ยวมึงก็รู้”
นทีธัชช์รับโทรศัพท์มาจากมืออีกฝ่าย ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเบาะเดี่ยวพลางทอดสายตาไล่อ่านสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ ได้ยินเสียงน้ำแข็งกระทบแก้วจากเคาน์เตอร์บาร์ไม่ไกลกันขณะเขาเพ่งความสนใจให้สิ่งที่เห็นตรงหน้า มันเป็นภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดที่เขาต้องดูซ้ำสองรอบถึงจะปัดไปดูภาพถ่ายภาพอื่นได้
และกว่าทุกอย่างที่ฐานัสหามาให้ได้จะหมดลง แก้วเครื่องดื่มสีอำพันก็วางลงตรงหน้าเขาแล้ว
นทีธัชช์กดปิดจอทันทีหลังดูจบ เอนหลังพิงพนักเบาะโซฟาแล้วหลับตาลงนิ่ง ทุกอย่างที่ได้เห็นดูเหมือนจะสอดคล้องกับสิ่งที่เชิดชัยบอกเล่าได้อย่างลงตัว ชายหนุ่มมองไม่เห็นจุดบกพร่องหรือแม้แต่หลุมดำของเรื่องราว และทั้งหมดนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่เขาคิดไว้ไม่ผิดแม้แต่จุดเดียว
หากจะผิด...ก็คงเป็นตัวคนบงการเท่านั้น
“จะเอายังไงต่อ”
นทีธัชช์ลืมตาขึ้น นัยน์ตาที่ก่อนนี้เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าอ่อนแรงได้จางหาย กลับกลายเป็นความเข้มข้นของห้วงอารมณ์หนึ่งที่ฐานัสมักเห็นอยู่เป็นประจำ เพียงแต่คราวนี้ฐานัสรู้ดีว่าสายตาอย่างนั้นไม่ได้ส่งตรงมาถึงเขา แต่เป็นเจ้าของเรื่องราวทั้งหมดที่สร้างความยุ่งยากวุ่นวายให้รินทร์ธาราอย่างไม่น่าให้อภัย
แม้จะไม่แน่ใจนักว่ารวมถึงสิ่งที่เพิ่งรู้ด้วยหรือไม่ก็ตาม
“เอาไงเหรอ...” ชายหนุ่มส่งเสียงแหบห้าว คว้าแก้วเครื่องดื่มขึ้นจรดปาก ละเลียดมันลงคอจนครึ่งแก้วถึงวางลง “มันถึงเวลาแล้ว”
เวลาที่เขารอคอยมาเนิ่นนาน กระทั่งสร้างแผนการโดยเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน
และใช่ เขาเชื่อว่าแผนเขาไม่เสียเปล่า ใครบางคนคงพร้อมที่จะเผาทำลายเขาให้เป็นจุลแล้ว หรือไม่...ก็คงเป็นเขาก่อนที่จะได้ทำร้ายทำลายอีกฝ่าย อยู่ที่ว่าใครจะลงมือก่อนก็เท่านั้นเอง!
โปรดติดตามตอนต่อไป
สวัสดีค่ะ คลื่นธารค่ะ ^ ^
ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจว่าจะกลับมาเขียนต่อเมื่อหลายเดือนก่อน แต่เราก็ยังหายไปนานมาก ๆ จริง ๆ ขอโทษด้วยนะคะ
จริง ๆ แล้วที่ผ่านมาเรากำลังเผชิญกับความเครียดจนทำให้ไม่สามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้เลย
มันยากมากที่จะสานต่อในอะไรสักอย่างที่อยากจะทำ เลยได้ผิดคำพูดกับทุกคนที่รอเรื่องนี้อยู่
เราขอโทษจริง ๆ ค่ะ
ตอนนี้ทุกอย่างจบลงและผ่านพ้นไปแล้ว แต่เราในตอนนี้ยังต้องเผชิญกับความเป็นจริงและปรับตัวให้ใช้ชีวิตต่อไปให้ได้ มันยากมากเลยค่ะ แต่เราก็ยังจะก้าวต่อไป และหวังว่าจะเขียนเรื่องนี้ให้จบให้ได้ ขอบคุณทุกคนที่ยังรอติดตามกันอยู่นะคะ ^ ^
ไม่แน่ใจว่าสำนวนภาษาจะยังเหมือนที่เคยเขียนค้างไว้อยู่ไหม ถ้ารู้สึกติด ๆ ขัด ๆ ไปบ้างก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ กำลังพยายามขัดสนิทฟื้นฟูสำนวนตัวเองอยู่ค่ะ หวังว่าจะเข้าใจ และขอบคุณล่วงหน้าที่เข้าใจนะคะ TT^TT
ใจจริงเราวางแพลนไว้ว่าจะจบธาราโอบจันทร์ให้ได้ภายใน 25 ตอน
ไม่รู้จะถึงหรือจะเกินหรือเปล่า ยังไงก็อยากให้ติดตามกันต่อไปนะคะ
ขอบคุณอีกครั้งจริง ๆ ค่ะที่ยังรอกันอยู่ ขอโทษที่อาจจะต้องทำให้กลับไปย้อนอ่านตอนก่อน ๆ เพราะลืมเนื้อหานะคะ ฮือออ
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะทุกคน ^ ^
ความคิดเห็น