คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : บทที่สิบสาม ... (รีไรท์)
“คุ้นตาบ้างไหม”
เสียงทุ้มขรึมของนทีธัชช์ดังขึ้นเมื่อคีรินทร์ดูเหตุการณ์ผ่านกล้องติดหน้ารถเรียบร้อยแล้ว
หากชายหนุ่มกลับตอบคำถามไม่ได้ในทันที ยังคงพิจารณาภาพนิ่งที่พิมพ์ลงบนกระดาษขนาดเอสี่อยู่อีกครู่จึงส่ายหน้า
ให้แฝดน้องถอนหายใจเฮือก ทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้อย่างเครียดเคร่ง
“ที่แน่ ๆ คงไม่ใช่รถของเคียงผกาย”
คีรินทร์เปรยขึ้น “หรือถ้าใช่…ก็ต้องเป็นรถที่ใช้สักห้าปีก่อนหน้านี้”
เคียงผกายมีรถกระบะสำหรับใช้งานในไร่เป็นยี่ห้อเดียวกันล้วนทั้งสิ้น
และรถกระบะรุ่นเก่าที่ปรากฏในภาพก็เป็นรุ่นเดิมที่เคียงผกายเคยใช้ แต่โละยกไร่เพื่อเปลี่ยนรุ่นเป็นเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
คีรินทร์ไม่แน่ใจนักว่ารถเก่า ๆ ฐานัสจัดการไปอย่างไรบ้าง คลับคล้ายเพียงมีการส่งมอบให้คนงานหลายคนที่สมควรได้รับ
แต่ก็ไม่ทั้งหมด
“เป็นไปได้ไหมว่าอาจจะเป็นคนงานเก่าในไร่มัน”
“เป็นไปได้ที่จะใช่ แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่ฐานจะสั่งการ”
นทีธัชช์ตบโต๊ะอย่างหงุดหงิดใจ ยิ่งรู้ว่าใครสักคนกำลังเล่นงานเขาผ่านความรู้สึกก็ยิ่งมีแต่ความคุกรุ่น
ก่อนหน้านี้ยังมีบ้างที่มันลดทอนไปหรือแทบหายไปจากความคิด แต่คราวนี้…หากเป็นอย่างที่คีรินทร์เคยพูดไว้ก็คงต้องยอมรับว่าคนในเงานั่นเล่นงานเขาได้ถูกจุด
กับเพชรพริ้งเขายังพอออกหน้าหาความจริงมาง้างสู้กันได้
แต่กับไกรวี…เขาไม่อยากให้เกิดอันตรายขึ้นแม้เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม
หากสิ่งที่คนในเงาอาจยังไม่รู้ คือเขามีความอดทนมากพอที่จะจัดการปัญหานั้นทิ้งในคราวเดียว
และมันจะจบในทันทีที่เขาตัดสินใจทำลงไป
เพียงแต่ถ้าได้รู้ว่าคือใคร ใคร…ที่ไม่ใช่ฐานัส
“ฉันจะยังไม่ตัดมันออกไปแล้วกัน”
“ก็ดีแล้ว” คีรินทร์ยิ้ม “เก็บฐานไว้ก็ดี ถึงเรื่องครั้งนี้อาจไม่ใช่ฝีมือของฐาน
แต่เรื่องอื่นก็ไม่แน่ใช่ไหม”
“ฉันจะบอกนายเรื่องนี้พอดี”
สองนัยน์ตาสบสาน ก่อนละสายตาจากกันไปมองทางประตู
ชั่วแวบหนึ่งที่ความคิดวุ่นวายในหัวพลันหยุดชะงัก ก่อนถูกแทนที่ด้วยการส่ายหน้าอย่างระอากึ่งขบขัน
ก็เพราะเลขานุการหนุ่มซึ่งนั่งกอดอกพิงขอบโต๊ะทำงานตนมองตรงมานิ่ง ๆ หน้าตายักขีที่ดูก็รู้ว่างอนมากกว่าโกรธทำให้นทีธัชช์หัวเราะได้ในที่สุด
ชายหนุ่มยกมือขึ้น กระดิกนิ้วเรียกจอมทัพให้เดินเข้ามาข้างใน
รู้แล้วว่าเรื่องอะไรที่ทำให้ชายหนุ่มซึ่งร้อยวันพันปีจะปึ่งงอนกันสักทีหน้านิ่วคิ้วขมวดได้ขนาดนี้
“โดนผึ้งต่อยมารึไง”
จอมทัพดุนลิ้นกับกระพุ้งแก้ม “มีงานอะไรด่วนรึเปล่าครับ”
“ไม่มี แต่เห็นคนงอน เลยเรียกมาง้อสักหน่อย”
ว่ากันตามตรง จอมทัพเป็นชายร่างสูงที่ดูสมบุกสมบันด้วยทำงานด้านการเกษตรมาหลายปี
โครงหน้าคมเข้มจึงขัดกับกิริยาปั้นปึ่งแง่งอนในตอนนี้เป็นอย่างมาก นทีธัชช์กลั้นยิ้ม
กัดปากล่างตัวเองแล้วมองอีกฝ่ายอย่างเจ้าเล่ห์
“ง้อด้วยอะไรดีครับคุณจอมทัพ
กอดผมสักกอด หรือปากผมสักจุ๊บไหม”
นทีธัชช์คิดว่าตัวเองชนะแน่ เพราะแต่ไหนแต่ไร
แม้จอมทัพจะไม่ใช่คนเหยียดเพศ แต่กับนทีธัชช์ที่รู้ทางกันดีก็ยังทำให้คำพูดแบบนั้นสร้างอาการขนลุกชันได้เสมอ
ซึ่งก็ใช่ จอมทัพแสดงสีหน้าขยะแขยงกันในทันที ติดก็แต่แทนที่เขาจะชนะเหมือนทุกครั้ง…
“เก็บมือคุณนทีธัชช์ไว้ลูบแก้มน้องกรเขาเถอะครับ”
ชายหนุ่มดันถูกสวนหมัดเสียแทน!
แถมลูกคู่ของจอมทัพยังหัวเราะลั่นอย่างไม่คิดปิดบังกิริยาความเป็นเจ้านายอีกด้วยสิ!
ให้ตาย…ใครจะไปคิดว่าจะมีคนเห็นวินาทีที่เขาลูบแก้มนวดคอให้ไกรวี
ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมีคนปากโทรโข่งกระจายข่าวจนส่งตรงถึงหูของจอมทัพได้ เขารู้ รู้ว่าจอมทัพรอโอกาสเหมาะมาพอควรแล้ว
ดีหน่อยที่ตอนเรื่องกิ่งนางพญาเสือโคร่งชายหนุ่มยังวางไพ่ให้คนอื่นหงายแทน หากคราวนี้กลับฮุกหมัดใส่เจ้านายเต็ม
ๆ อย่างไร้ความปรานี เหตุผลก็เพราะเขาปิดกั้นจอมทัพไม่ให้เข้ามาผจญกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้
นทีธัชช์แอบหัวเราะเสมอยามมีใครบอกว่าผู้ชายน่ะพูดน้อยไม่ขี้นินทา
และจะรีบจับจอมทัพมัดถุงโยนใส่ให้ทันทีหากมีใครบอกว่าผู้ชายไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นคิดเล็กคิดน้อยเท่าผู้หญิง
“เข้าประเด็นสักที”
จอมทัพพยักหน้าแล้วเอ่ยปากไม่ให้เสียเวลา “ผมเป็นเลขาพี่สองคน”
“อ้อ หรือไม่อยากเป็นแล้ว”
“ฟาดหนังสือไล่ออกใส่หน้าผมก็ไม่ไป
งานตรงนี้สบายจะตาย ถึงเจ้านายจะชอบใช้ผมออกภาคสนามก็เถอะ”
คราวนี้เป็นนทีธัชช์ที่กลั้นขำไม่ได้ เขาโพล่งหัวเราะออกมาอย่างที่นานครั้งจะเป็น
แล้วส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายใจ “สักที ประเด็น”
“ผมรู้ว่าเรื่องที่เกิดกับกรไม่ใช่อุบัติเหตุ
ใช่ไหมครับ”
สองฝาแฝดสบตากันวินาทีสั้น ๆ รับรู้ทันทีว่าหลังจากวินาทีนี้ความเคร่งเครียดจะกลับมาอีกครั้ง
และใช่ เมื่อนทีธัชช์พยักหน้า ตอบสั้น ๆ ว่า “ใช่” จอมทัพก็เปลี่ยนสีหน้าจากผู้ชายปึ่งงอนเป็นเครียดขึงทันที
“ผมมีคนนึงที่อยู่ในใจ”
นทีธัชช์นิ่งไปนิด ก่อนหยิบกระดาษปากกาส่งให้จอมทัพเขียนชื่อผู้ต้องสงสัยในความคิดลงไป
หยิบมาอ่านวินาทีหนึ่งแล้วส่งต่อให้คีรินทร์
เกิดความเงียบขึ้นหลังจากนั้น นทีธัชช์รับเอากระดาษมาจากฝาแฝด
เปิดลิ้นชักหาไฟแช็กแล้วนำมาจุดไฟรนที่มุมกระดาษ กระทั่งมันมอดไหม้เกือบหมดพื้นที่จึงโยนลงถังขยะอย่างเงียบ
ๆ
“รู้ใช่ไหมเก้าว่าพี่จริงจังกับเรื่องนี้มาก”
“ผมคิดว่าพี่ทีก็คงรู้ดีว่าผมแทบจะเป็นตาคู่ที่สองที่สามของพี่
ใช่ไหมครับ”
จอมทัพช่างสังเกตกับทุกคน นั่นคือสิ่งที่ฝาแฝดรู้
ในบางเรื่อง ไม่ทันที่จะมองเห็นก็ยังเป็นจอมทัพที่เห็นก่อน หากแต่ในครั้งนี้นทีธัชช์เองก็มองเห็นอยู่ก่อนแล้วเพียงแต่ยังไม่ปักใจเท่าไรนัก
“ใช่ แล้วคนที่นายคิด…นั่นคือหนึ่งในตัวเลือกของพี่”
คีรินทร์ขมวดคิ้ว “แต่…”
“แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็จะไม่ตัดฐานัสออกไป”
“ไม่ว่าคุณฐานจะเกี่ยวข้องหรือไม่
แต่เชื่อเถอะครับว่ามีมือของเคียงผกายยื่นมาอยู่ในเรื่องแน่…รวมถึงเรื่องของพลอยด้วย”
เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง สองฝาแฝดสบตากันอีกหน
และเป็นคีรินทร์ที่หัวเราะออกมาเบา ๆ นทีธัชช์กลอกตาอย่างหน่ายใจ เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วแสร้งพึมพำ
“รู้ดีเกินไป ตัวอันตราย
อย่างนี้ให้อยู่ใกล้ไม่ได้”
จอมทัพยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สา ก่อนหันมองไปทางประตูเมื่อเห็นนทีธัชช์พยักหน้ารับใครบางคน
พอได้เห็นว่าเป็นเมืองรามจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขามีนัดกับอีกฝ่ายเพื่อซื้อขายเมล็ดพันธุ์ข้าวของรินทร์ธารา
ที่แม้นทีธัชช์จะออกปากพร้อมให้การช่วยเหลือ แต่เมืองรามก็ไม่สามารถรับความหวังดีและน้ำใจได้ในทุกเรื่อง
เพราะบางเรื่องก็ต้องเป็นเมืองรามเองที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า
โดยไม่หวังพึ่งนทีธัชช์ที่ยืนมองจากด้านหลัง
“สวัสดีครับพี่ที พี่คี”
“มาเอาเมล็ดพันธุ์เหรอราม”
“ครับพี่ที” เมืองรามจุดยิ้ม “ว่าแต่…มีอะไรกันรึเปล่าครับ”
นทีธัชช์พิจารณาอยู่ครู่จึงพยักหน้ารับยิ้ม
ๆ “เรื่องพลอยน่ะ ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว อีกไม่นานคงจะกลับมาช่วยงานทางนี้ได้”
เมืองรามตกใจ ประหลาดใจ ก่อนจะกลายเป็นความยินดีอย่างถึงที่สุด
ยิ่งหันมองคีรินทร์แล้วพบแต่รอยยิ้มก็พลอยโล่งใจไปด้วย หากไม่ทันได้เอ่ยถ้อยคำใดต่อจากนั้น
จอมทัพที่นั่งเงียบกลับส่งเสียงขึ้นมา เป็นเสียงล้อกึ่งจริงจังอย่างที่ทำให้เมืองรามเลิกคิ้ว
“คนสำคัญของพี่ทีเขาจะกลับมาแล้ว
ไอ้เราคงตกกระป๋องแน่”
นทีธัชช์ยิ้ม “รู้ตัวก็ดีนี่”
“แต่เอ…หรือคราวนี้คุณเพชรพริ้งกลับมาก็จะตกกระป๋องเหมือนผมครับ เพราะพี่ทีมีคนสำคัญคนใหม่แล้ว”
เจ้านายหน้าเข้มได้แต่ส่ายหัว นึกระอาในการล้อไม่เลิกของจอมทัพ
ถึงอย่างนั้นก็ยังจุดยิ้ม ตอบออกไปให้จอมทัพยกยิ้มเจ้าเล่ห์
“สำคัญกันคนละความหมาย พลอยคงไม่ถือสา”
“แสดงว่าคุณไกรวีต้องสำคัญในแบบของ…”
“ผมคิดว่าเราหมดธุระต้องคุยกันแล้วนะคุณจอมทัพ
รามรอคุณอยู่ ช่วยทำตามหน้าที่ก่อนผมจะพิจารณาลดหน้าที่ของคุณลง”
เท่านั้นจอมทัพก็ผุดลุกขึ้น กวาดมือเชื้อเชิญเมืองรามที่ยืนอมยิ้มให้ออกจากห้องผู้เป็นนายไปด้วยกัน
ขณะที่คีรินทร์ยังนั่งอยู่ที่เดิม สายตาที่ทอดมองแฝดน้องมีรอยค้นคว้าครุ่นคิด พอได้สบตากันอีกครั้งจึงถามขึ้นเสียงเรียบ
ติดยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก
“แน่ใจแล้วเหรอ”
“เรื่องอะไร”
“คนสำคัญคนใหม่”
นทีธัชช์นิ่ง ก่อนจุดยิ้ม “ไม่ใช่คนใหม่ แต่เป็นคนแรกแล้วก็คนเดียวต่างหาก”
“คนสุดท้ายด้วยไหม”
ชายหนุ่มสบกับเรียวตาพิมพ์เดียวกัน ใจประหวัดถึงคนที่วันนี้ขอนั่งทำงานอยู่บ้าน
คิดถึงใบหน้าได้รูป ริมฝีปากที่มักเจรจากับเขาอย่างไม่ยอมแพ้ ลูกแก้วกลมวาวที่เป็นประกายอย่างน่ามอง
และใช่… “คนสุดท้าย ถ้าไม่มีใครมาขัดขวางก่อนน่ะนะ”
นัยน์ตาคมกริบยิ่งคมลึกมากขึ้นเมื่อนึกถึงระหว่างทาง
เขารู้แล้วว่าที่คีรินทร์เคยเปรยไว้ไม่เกินจริง และเวลาที่ผันผ่านไม่เคยรอคอยให้เขาเตรียมพร้อม
แม้จะโชคดีที่ยังกะจังหวะให้เขาพอมีสติและเตรียมการ แต่หากเขาอยากจะรักษาไกรวีเอาไว้
บางทีก็อาจจะต้องแลกกับอะไรบางอย่าง
ชายหนุ่มหลุดออกจากความคิดเมื่อจอมทัพเปิดประตูแล้วเยี่ยมหน้าเข้ามา
ในขณะที่เมืองรามเดินห่างออกไปทางห้องบัญชี
“จริงเหรอครับ เรื่องคุณเพชรพริ้ง”
นทีธัชช์พยักหน้า “จริง”
แม้จะดูแปลกใจอยู่บ้าง แต่จอมทัพกลับไม่คิดถามอะไรต่อ
ปิดประตูลงแล้วเดินตามเมืองรามไป ทิ้งให้นายทั้งสองคนมองตามอย่างเงียบ ๆ กระทั่งลับตาจึงเป็นคีรินทร์ที่เอ่ยขึ้น
“อย่าให้เก้าหลุดสายตาล่ะ”
นทีธัชช์ถอนหายใจ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทำงานพลางหลับตาลงอย่างที่กำลังใช้ความคิด
อีกครู่หนึ่งจึงเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางบนโต๊ะมาปัดหน้าจอ
ระหว่างที่ยกมันทาบใบหูและรอปลายสายตอบรับก็ยังอดเปรยไม่ได้
“เลี้ยงลูกน้องได้ดีจริง
ๆ นะคีรินทร์ ตัวอันตรายขนาดนี้”
คีรินทร์หัวเราะหึ เงียบเสียงลงเมื่อคล้ายว่าปลายสายจะตอบรับแฝดน้องของเขาแล้ว
และเพียงอีกฟากฝั่งสัญญาณทักทายมา หน้าอันเครียดเคร่งก็ได้ปรากฏชัดอีกครั้ง
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
เพียงแต่คีรินทร์ไม่แน่ใจ ว่าสาเหตุมาจากคนปลายสายหรือจากเรื่องที่น้องชายฝาแฝดของเขาจะคุยกับอีกฝ่ายกันแน่...
เสียงเครื่องยนต์ที่แว่วมาทำให้ไกรวีที่กำลังเตรียมมื้อค่ำผละมือจากทัพพีแล้วหันไปมองทางประตู
พอเห็นว่ารถคันคุ้นตากำลังจอดเทียบที่ด้านหน้าจึงหันกลับมาจดจ่ออยู่กับหม้อต้มซุปอีกครั้ง
ขณะเดียวกันก็เฝ้าฟังเสียงการเคลื่อนไหว เสียงปิดประตูรถ เสียงเหยียบย่ำเท้า เสียงไม้ที่ดังแผ่วตามจังหวะการก้าวย่าง
ก่อนอุณหภูมิอุ่นของคนเบื้องหลังจะใกล้พอให้ชายหนุ่มที่กำลังตักซุปขึ้นชิมชะงักมือ
เอี้ยวตัวน้อย ๆ เพื่อหันมองอีกฝ่ายแทน
“มื้อค่ำเหรอ”
ไกรวีตอบคำถามนั้นด้วยรอยยิ้มบางพร้อมยื่นทัพพีเข้าไปใกล้
ให้คนมาใหม่ขยับตัวเข้าหาน้อย ๆ โน้มหน้าลงจิบน้ำซุปพอให้รู้รสชาติแล้วยกยิ้ม
“เป็นยังไงครับ”
“กลมกล่อมดี”
ไม่รู้ทำไม แต่คำตอบนั้นกลับทำให้ไกรวีหัวเราะออกมาได้
ปกตินทีธัชช์ไม่ออกปากชม หากอร่อยติดใจก็จะกินเรียบไม่เหลือแม้หยดเดียวหรืออาจจะเพิ่มข้าวอีกจาน
วันนี้ชายหนุ่มถึงรู้สึกว่าคนตรงหน้ามาแปลก แต่เป็นความแปลกที่ทำให้รู้สึกอุ่นใจไม่เบา
“หิวรึยังครับ”
นทีธัชช์ส่ายหน้าเนือย ขยับห่างออกไปเพื่อให้พ่อครัวประจำบ้านได้มีพื้นที่มากขึ้น “ยังล่ะ ขอพี่พักก่อน สักชั่วโมงค่อยกินข้าวกันได้ไหม”
“งั้นผมทำงานอยู่หลังบ้านนะครับ”
“ครับ” นทีธัชช์ตอบรับ อดไม่ได้ที่จะขยับเข้าใกล้ไกรวีอีกหน โน้มหน้าลงหาแล้วเปรยขึ้นเสียงเรียบ
“หอมดีนะ”
หอมทั้งอาหาร หอมทั้งคน…
นทีธัชช์ไม่เคยคิดว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวของรินทร์ธาราจะมีกลิ่นหอมขนาดนี้
ใช้เองกับตัวยังไม่รู้สึกอะไร คีรินทร์กับเพชรพริ้งยิ่งแล้วใหญ่ เห็นจะมีก็แต่ไกรวีนี่ล่ะที่ทำให้เขาสะดุดใจได้
หรือบางที…คงเพราะคนที่ใช้คือไกรวี
ไกรวีตีความไปอีกทางหนึ่งเสียงเรียบ
เรียวคิ้วเลิกขึ้นน้อย ๆ “หรือพี่ทีจะกินข้าวก่อนแล้วค่อยพักยาว ๆ เลยครับ”
“ไม่ดีกว่า เอาแบบที่พี่ว่าแหละครับ…เดี๋ยวพี่ออกมานะ”
ไกรวีไม่ว่าอะไร ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วหันไปสนใจหม้อซุปที่เคี่ยวได้ที่แล้วจึงปิดเตาแก๊ส
จัดการนำฝาหม้อมาปิดกักเก็บความร้อนก็พอดีกับที่นทีธัชช์เดินเข้าห้องไป ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มยืนนิ่ง
ขบปากล่างอย่างครุ่นคิด แล้วเม้มแน่นหลังจากนั้น
บ้าจริง… ไกรวีไม่ทันได้คิดเสียด้วยซ้ำตอนอีกฝ่ายโน้มหน้าเข้ามาใกล้ คิดเพียงว่าคงเพราะได้กลิ่นเย้ากระเพาะของน้ำซุปจึงติดใจ
แต่พอมองเห็นแววตาวับวาวอย่างนั้น มีหรือเขาจะไม่สะกิดใจว่าสายตานั้นสื่อความแบบไหน
นทีธัชช์เป็นคนแบบไหนกัน
บางทีไกรวีก็สงสัย ดูปากร้ายอย่างน่าเหลือเชื่อในหลายหน ดูใจดีอ่อนโยนในหลายที
แล้วยังมาเล่นกับใจเขาให้มันเต้นรัวอยู่บ่อยครั้งอย่างนี้อีก...พลันสัมผัสในวันก่อนก็กลับเข้ามาหลอมหัวใจ
ความอบอุ่นที่ปลอบโยนอย่างที่ไม่เคยได้รับไม่ได้ทำให้ไกรวีสับสนได้เท่ากับสายตาห่วงหา
เขามองออกว่าสายตาอย่างนั้นมีไว้เฉพาะให้ใครบางคนสำหรับนทีธัชช์เท่านั้น
เพียงแต่สิ่งที่เขายังไม่รู้...คือเขาอยู่ในวงล้อมแห่งนทีตั้งแต่เมื่อไร
เขาไม่รู้ตัวเลยจริง ๆ
นทีธัชช์นั่งจ้องหน้าไกรวีนิ่ง ๆ
มาพักหนึ่งแล้ว
หลังจากอาบน้ำชำระกายเรียบร้อย แทนที่ชายหนุ่มจะนอนพักอยู่ในห้องอย่างที่ตั้งใจ
เขากลับออกมานั่งเงียบ ๆ อยู่ชานเรือนด้านหลังโดยมีไกรวีนั่งทำงานอยู่เงียบ ๆ
เช่นกัน
อีกฝ่ายดูไม่ได้ให้ความสนใจเขาเท่าไรนัก
หากนั่นกลับเป็นการดีที่จะทำให้เขาได้พิจารณาบางสิ่งในใจอีกครู่ใหญ่จึงค่อยตัดสินใจได้
นทีธัชช์เลื่อนมือล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบสิ่งที่เก็บไว้ในนั้นออกมา
ก่อนรั้งข้อมือขวาของไกรวีให้ผละจากการจดจ่ออยู่ที่แป้นพิมพ์
ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็สวมบางสิ่งลงกับข้อมือขาวอย่างนุ่มนวล
“อะไรครับ”
ถึงรู้ก็เถอะว่านทีธัชช์กำลังสวมสร้อยข้อมือให้ ก็ยังอดถามไม่ได้อยู่ดีสิน่า
แล้วดูเสียสิ คนถือวิสาสะดึงมือเขาไปก็ไม่เห็นว่าอะไร
มีแต่ช้อนนัยน์ตาขึ้นมองกันยิ้ม ๆ แล้วหลุบตาลงมองมันอีกครั้ง “พี่ที”
“ของขวัญน่ะ”
“เนื่องในโอกาสอะไรครับ”
นทีธัชช์นิ่งไปครู่
ระหว่างนั้นก็ยังประคองมือขาวเอาไว้ เกลี่ยปลายนิ้วกับจี้ไม้บนสร้อยข้อมือเล่นอย่างเผลอไผล
ก่อนจะตอบในที่สุด “ในโอกาส...ต้องมีด้วยเหรอ”
“อ้าว”
ไกรวีอุทานเสียงเบาก่อนหัวเราะออกมา
หลุบตาลงมองสร้อยข้อมือสายหนังเส้นน้ำตาลเข้มที่ทำเป็นสองเส้นเล็กเชื่อมกับจี้ไม้สลักลาย
ชายหนุ่มพิจารณามันอย่างเงียบเชียบอยู่เป็นพัก และได้เห็นลวดลายของจี้ไม้ชัดเจนขึ้นก็ตอนที่นทีธัชช์ผละมือห่างออกไป
อีกครั้ง...ที่นทีธัชช์ทำให้หัวใจเขาแปรปรวน
คราวนี้ไม่ใช่เพราะสัมผัสอ่อนโยนหรือการกระทำคำพูดใด
แต่เป็นเพราะจี้ไม้สลักรูปดอกบัวนี่ต่างหากล่ะ
‘ดอกบัว’ คือความหมายของชื่อ ‘ไกรวี’
“ไม่ใช่ของขวัญ
แต่เป็นของไว้จองตัว...ได้ไหม”
เรียวตาคู่วาวตวัดขึ้นสบสานกับดวงตาคนชิดใกล้
ชายหนุ่มไม่แน่ใจนักว่านทีธัชช์เข้าใกล้กันมากขนาดนี้ตอนไหน
และหากจะถามออกไปว่าล้อเล่นกันหรือไร
นัยน์ตาคมปลาบคู่นี้ก็ให้คำตอบเขาชัดเจนแล้วว่าถ้อยคำอย่างนั้นได้กลั่นออกมาจากใจ
แต่ว่า...จองตัวอย่างนั้นหรือ? “พี่ทีจะไม่ให้ผมกลับไปอยู่บ้านแล้วเหรอครับ”
ชายหนุ่มถามเย้า
ไม่แน่ใจนักว่าควรแสดงสีหน้าอย่างไร ควรยิ้ม ควรนิ่ง
หรือไม่ควรสบตาที่มองมาไม่คละคลาดอย่างนี้
หากสิ่งที่ไกรวีทำได้กลับเป็นเพียงการมองตาตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้
นึกอยากรู้ขึ้นมาครามครันว่าหากเขาปฏิเสธออกไปตรง ๆ ว่า ‘ไม่’ นทีธัชช์จะมีปฏิกิริยาอย่างไร
“พี่รู้ว่ากรรู้ความหมายดี”
“แต่เรา...”
“นี่ไม่ใช่แผนการจับคลุมถุงชนนะ
ถ้ากรอยากรู้”
คำของนทีธัชช์ทำให้ความคิดที่ดังก้องสับสนในหัวจางหาย
ที่สุดไกรวีก็หัวเราะออกมา คลี่ยิ้มอุ่นอ่อนตอบรับรอยยิ้มนุ่มนวล
ยังคงสบตาแม้มือของเขาจะถูกอีกฝ่ายจับกุมไว้โดยวิสาสะ
หัวใจระรัวแรงขึ้นทุกขณะเมื่อมือของเขาได้รับการประคองเอาไว้ให้ขึ้นสูง
ก่อนความอบอุ่นจะซึมซาบสู่ผิวขาวเมื่อริมฝีปากหยักประทับทาบลงยังข้อนิ้วมือ
“พี่คิดว่าเราคิดเหมือนกัน”
เสียงทุ้มลึกยามนี้แปรเป็นอ่อนโยนอย่างยิ่ง “แต่ถ้าไม่ กรจะคืนมันให้พี่ก็ได้”
ไกรวีนิ่งงัน
หลุบตาลงมองจี้ไม้สลักลายบัวอีกครั้งอย่างครุ่นคิด และเสียงทุ้มนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“พี่อาจเอาแต่ใจมากไปก็ได้ แต่...ที่จริงพี่ไม่ได้อยากเร่งกรเร็วแบบนี้”
“ทำไมครับ”
“การที่พี่เห็นกรถูกทำร้ายโดยที่พี่ช่วยอะไรไม่ได้เลยมันน่าหงุดหงิด
แต่ถ้าเราคิดเหมือนกัน ใจตรงกัน ต่อไปพี่จะไม่ไว้หน้าใครที่ไหนอีกแล้ว”
การหยิบยื่นความห่วงใยมอบให้ได้ไม่เต็มที่
การแสดงออกถึงความรู้สึกได้ไม่เต็มรัก
กับเหตุการณ์ที่คล้ายจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ ทำให้ใจของชายหนุ่มอยู่ไม่สุข
ประหวัดถึงแม้รู้ดีว่าเราอยู่ห่างกันเพียงใกล้มือ และหากจะเป็นไปได้
ก่อนที่เขาจะออกโรงปกป้องได้อย่างชัดเจนแก่สายตาของทุกคน
เขาอยากรู้ว่าแท้จริงแล้วความรู้สึกของเขากับไกรวีตรงกันหรือไม่
เพราะถ้าไม่...
แม้นทีธัชช์ยังพร้อมที่จะปกป้อง
แต่ก็คงยากเต็มทีที่จะส่งความรู้สึกไปให้ไกรวีอุ่นใจ
“ว่าไง”
ถึงถามอย่างนั้นแต่ก็ยังขยับเข้ามาใกล้
ไกรวีสัมผัสได้ถึงลมหายใจกรุ่นอุ่นที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้ม
หลับตาลงเมื่อปลายจมูกโด่งคมแตะลงมา ครั้งแรกเพียงวินาที ผละออกอย่างตัดสินใจ
แล้วจึงค่อย ๆ
ลามเลียผิวแก้มขาวผ่องของไกรวีด้วยสัมผัสผะแผ่วที่เจือเร้นไว้ด้วยความรู้สึกอันท่วมท้น
“หืม?”
ยิ่งเห็นไกรวีเงียบ ชายหนุ่มเจ้าของคำถามก็ยิ่งรั้นจะเอาความ
จากจมูกที่เกลี่ยไล้แผ่วเบาจึงเพิ่มเติมด้วยมือกว้างกร้านที่ยกประคองใบหน้า
จุดยิ้มเงียบเชียบขณะที่ไกรวียังคงหลับตานิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน ไม่เบือนหนี
หากก็ไม่คิดตอบรับอย่างที่เขาตั้งตารอ
เพราะอย่างนั้นแล้ว... “ถ้ายังไม่ตอบ
พี่จะจูบ”
เท่านั้นเสียงหลบในลำคอก็ดังขึ้นเบา ๆ
ก่อนใบหน้าของไกรวีจะสะบัดออกเพียงพอให้รู้ว่าไม่ใช่ปฏิกิริยาต่อต้าน
ส่งผลให้นทีธัชช์หัวเราะหึ
ปล่อยมือที่ประคองหน้านั้นไว้แล้วนั่งจ้องอย่างที่ทำให้คนถูกมองอยากจะค้อนใส่สักที
แต่สิ่งที่ทำก็เพียงแต่หรี่ตา มองหน้าอย่างนึกจับผิดแล้วถามไปอย่างใจ
“ถ้าผมตอบรับ
พี่ทีจะยังให้ผมอยู่ที่นี่เหรอครับ”
“อะไร...”
“ไม่ใช่ว่าพี่ทีจะใช้สิทธิ์ของคนที่ใจตรงกัน
ด้วยการส่งผมกลับกรุงเทพไม่ให้ต้องเจอกับอันตรายใช่ไหม”
ให้ตาย
นทีธัชช์อยากกลอกตาขึ้นฟ้า ไม่เข้าใจว่าทำไมคนตรงหน้าถึงได้อ่านใจเขาออกนัก
และเพราะปฏิกิริยาหลังได้รับคำถามที่ค่อนข้างจะตอบทุกอย่างได้ชัดเจนดีแล้ว
แทนที่จะได้รับสัมผัสนุ่ม ๆ กลับมา นทีธัชช์จึงได้เป็นสายตาเคือง ๆ
กับมือที่ยกขึ้นรั้งแขนเสื้อยืดของเขาไว้ด้วยหน้าตาเอาเรื่อง
“งั้นผมไม่รับ”
“ไม่ได้สิกร”
“ผมไม่เป็นอะไร
ผมดูแลตัวเองได้ดีด้วยพี่ทีก็เห็นอยู่
ถ้าการที่เรารู้สึกตรงกันแล้วจะทำให้พี่ทีปกป้องผมเหมือนผมเป็นคนไม่เอาไหน
ผมยอมไม่รับรักจากพี่ทีดีกว่า”
“เดี๋ยวก่อน” นทีธัชช์ส่งเสียง
สีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง “อย่างนี้เท่ากับกรยอมรับแล้วสิว่าใจตรงกับพี่”
“ใจคนเปลี่ยนกันได้ พี่ทีรู้ไหมครับ”
โธ่
ไกรวีไม่คิดใช้ไม้อ่อนกับเขาก่อนเลยหรือไงกัน “พี่รู้
แต่กรอย่าเปลี่ยนใจจากพี่ได้ไหม”
“งั้นก็คายออกมาได้เลยครับว่าพี่ทีกำลังคิดจะทำอะไร”
แล้วจะให้เขาพูดอะไรในเมื่อไกรวีก็มองออกหมดแล้ว
เพียงแต่สิ่งที่ไกรวีไม่ได้มองลึกไปกว่านั้น
ก็เป็นเพราะเขาอยากจะตั้งหลักหาที่ยึดเอาไว้เสียก่อนที่จะเริ่มต้นโต้ตอบคนในเงาที่กำลังตามทำร้าย
เขาน่ะหรือจะขาดไกรวีไปได้ แค่ช่วงนี้ห่างกันไม่ถึงชั่วโมงเขาก็ยังคิดถึงแทบแย่
“แค่หลบไปพัก
รอพี่เตรียมแผนเรียบร้อยก่อนค่อยกลับมา”
“แผนพี่ทีแต่ละอย่างดีนักสิครับ”
“ครับ พี่ว่าดี” นทีธัชช์ตอบหน้าตาเฉย
“ไม่อย่างนั้นกรคงไม่มานั่งตรงนี้ให้พี่รักแบบนี้หรอก จริงไหม”
ไกรวีฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
ป่วยการจะเถียงคนหัวแข็ง ซ้ำร้ายยังวกเข้าเรื่องของตัวเองได้อย่างหน้าตาเฉย
อารมณ์ที่ควรจะเขินจะอายเลยหายไปหมดสิ้น
หลงเหลือแต่ความหมั่นไส้ที่นอกจากอยากจะค้อนสักทีแล้วก็อยากหยิกสักหน และแน่ล่ะ
หากนทีธัชช์รู้สึกกับเขาอย่างที่พูดจริง ก็ย่อมรู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหน...ใช่หรือเปล่าล่ะ!
“ผมจะไม่ไปไหน
แล้วพี่ทีก็ต้องบอกแผนที่คิดไว้ตอนนี้เลยด้วย”
“อ้าว”
“ถ้าไม่บอก ผมจะไปตามที่พี่ทีต้องการครับ
แต่จะไปโดยไม่กลับมาอีก” นี่มันขู่กันชัด ๆ เลยนะไกรวี “พี่ทีต้องเลือก”
นทีธัชช์ได้แต่หลับตาลง ขบกรามแน่น
นึกรู้ว่าอนาคตหากทุกอย่างลงตัวมากกว่านี้เขาคงกลายเป็นเสือร้ายที่อยู่ในกำมือของลูกแมวเหมียวแน่
แล้วไม่แคล้วก็จะกลายเป็นเขาเองนี่ล่ะที่จำแลงกายเป็นแมวเหมียวเสียเอง
เพื่อให้แมวน้อยในคราบเสือดาวได้ขยำขยี้เขาถนัดหน่อย
“โอเค พี่จะบอก
แต่กรบอกพี่มาก่อนว่าเราคิดเหมือนกันจริง ๆ”
“พี่ที”
ไกรวีลากเสียงยาวอย่างเหนื่อยหน่าย “ครับ เราคิดเหมือนกัน พอใจรึยัง”
“บอกรักพี่ก่อน”
“ผมยังไม่รักพี่ที”
นทีธัชช์ชะงัก หน้านิ่งลง
“พี่อกหักใช่ไหม”
“จนกว่าพี่ทีจะบอกแผนกับผมมา”
ให้...ตาย!
แล้วนทีธัชช์จะทำอะไรได้นอกจากรั้งร่างอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้กัน ถือวิสาสะนั่งซ้อนอย่างไม่สนว่าไกรวีจะยินยอมหรือไม่
ก่อนค่อย ๆ เล่าความคิดและแผนการที่อยู่ในหัว
แน่นอนว่ามันมีแผนที่จะให้ไกรวีกลับไปอยู่เมืองหลวงเพื่อความชัดเจนของเงาร่างที่หลบเร้นอยู่เบื้องหลัง
ชักใยคนอื่นโดยที่มือตัวเองไม่ต้องเปื้อนโคลน บอกเล่าถึงความคิดและชื่อของคนที่อยู่ในใจ
มิวายตบท้ายด้วยการซุกจมูกลงกับท้ายทอยขาว
สูดกลิ่นหอมจางที่ทำให้เขาสงบใจขึ้นได้อย่างน่าประหลาด
ชายหนุ่มไม่ได้คิดภาพไว้ในใจว่าไกรวีจะมีปฏิกิริยาอย่างไรยามรู้แผนของเขา
แต่ไกรวีที่ขยับตัวออกเพื่อหันมามองหน้ากัน แม้จะมีแววตำหนิอยู่ในดวงตาที่ถูกลวนลามแต่ก็ยังจุดยิ้มขึ้นได้
และเอ่ยถ้อยความที่ทำให้อยากจะดึงร่างหอม ๆ นี่เข้ามากอดให้สมใจอีกสักที
“ผมคงรักพี่ทีไม่มากเท่าที่พี่ทีรักผม”
“แต่ยังไงก็คือรัก”
ไกรวีหัวเราะ ส่ายหน้าอย่างระอาใจ
เขานึกภาพเมื่อครั้งมาที่นี่ใหม่ ๆ โดนรับน้องอย่างที่ไม่ได้สาหัสอะไรแต่ก็ทำให้เจ็บใจแทบบ้า
ไม่เคยได้รับคำหยอดหวานเลยด้วยซ้ำแต่กลับทำให้ใจระรัวไหว แล้วนี่อย่างไร
เอาแต่ใจดื้อดึงขนาดนี้ ไกรวีก็ยัง...รัก
“ผมจะไม่ไปไหน ผมจะอยู่ตรงนี้
นี่คือข้อตกลงของเรานะครับพี่ที”
คราวนี้นทีธัชช์อดใจไม่ไหวแล้ว
ชายหนุ่มดึงร่างคนรักสด ๆ ร้อน ๆ เข้าสู่วงแขน
อยากรัดร่างนี้ให้แหลกคาอ้อมอกของเขาเสียด้วยซ้ำหากทำได้ แต่ก็ยังยั้งใจ
เพียงก้มหน้าลงฟัดคอหอม ๆ อีกครู่หนึ่งถึงถอนหายใจอย่างยอมแพ้
“พี่คงเลือกอะไรไม่ได้แล้วใช่ไหม”
ไม่ใช่แค่วินาทีนี้ แต่จากนี้ต่อไป
ไกรวีบอกนทีธัชช์ได้เลยว่าหากคิดจะเป็นจอมบงการเหมือนที่ผ่านมาอีก...นทีธัชช์คงต้องเจ็บเสียดไปทั้งใจโทษฐานที่ขัดใจเขาอย่างแน่นอน!
“กร” เสียงทุ้มลึกเบาลงใกล้หู
“พี่ไม่ได้คิดว่ากรเป็นคนไม่เอาไหน แต่เพราะพี่รู้สึกกับกรมากไป เพราะกรสำคัญ”
ผืนฟ้าในคืนนี้ยังคงมีดาว
ทว่ามันกลับดูเหมือนเป็นคลื่นทะเลดาวที่พร้อมจะโถมเข้าใส่เขาที่นั่งมองมันอยู่ตรงนี้
และไม่ว่าวันพรุ่งนี้หรือวันไหน ๆ อันตรายใดจะโถมเข้ามาแทนที่ดวงดาวเหล่านี้
ไกรวีก็คงไม่หลีกหนี จะเผชิญหน้ากับมันโดยมีนทีธัชช์เคียงข้าง
ปกป้องดูแลให้สมกับที่อีกฝ่ายยอมลดความปากหนักแล้วสารภาพกับเขาแม้ยังไม่ใช่เวลาที่สมควร
ไกรวีรู้ ถ้าเขาเป็นอะไรไป
ไม่เพียงแต่เพชรพริ้งหรือแม่พิมพ์อรที่จะเสียใจ แต่นทีธัชช์ก็เช่นกัน
เพราะฉะนั้นเขาจะไม่เป็นอะไร จะไม่ยอมเป็นอะไรจนกว่าจะได้เห็นหน้าของคนที่คิดแผนทำร้ายพี่สาวของเขาจนเขาต้องมาอยู่ที่นี่ให้ได้!
โปรดติดตามตอนต่อไป
ใช่ค่ะ ปล่อยให้เขาหวานกันไปก่อน แล้วหลังจากนั้น....
ก็จะยังหวานกันอยู่ค่ะ /แน่ใจ๋จ๋จ๋
#ธาราโอบจันทร์ หรือ คอมเมนต์ หรือ กดให้กำลังใจ นะคะน้าาน้าน้าน้า
ขอบคุณค่าา
ความคิดเห็น