คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : บทที่สิบสอง ... (รีไรท์)
นทีธัชช์มองหญิงสาวซึ่งนั่งนิ่งไขว่ห้างขณะที่เขากับไกรวีก้าวเข้ามาในร้านอาหาร
นัยน์ตาที่มองไกรวีมีประกายความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด ทว่ายามเหลียวมามองเขา นทีธัชช์เห็นแต่ความเฉยชาอย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน
กวินทรา…ชายหนุ่มเคยพบเธอมาแล้วหนหนึ่งครั้งที่พาไกรวีเข้าสำนักพิมพ์ ตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก
มองเพียงว่าหญิงสาวมีบุคลิกเรียบนิ่งน่าเกรงขามเหมาะสมตามคุณสมบัติของผู้ที่เป็นนายคน
เขาไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรจนกระทั่งวันนี้ที่ได้เจอกันอีกครั้ง หญิงสาวแสดงออกและปฏิบัติต่อเขาราวเป็นขั้วตรงข้ามที่พร้อมจะผลักไส
ไม่เหมือนไกรวีที่ได้รับสายตาและรอยยิ้มที่แตกต่างไป
ไม่ สายตานั้นไม่ใช่เชิงชู้สาว เหมือนเธอรักไกรวีดั่งคนในครอบครัวเสียมากกว่า
ซึ่งก็คงไม่แปลกอะไร แต่ที่แปลกคือสายตาที่มองเขานี่สิ
“อยู่ที่นี่ทำงานหนักเหรอกร”
กวินทราถามหลังละสายตาที่มองนทีธัชช์ไปสบตากับน้องชายของเพื่อนสนิท ให้ได้รอยยิ้มตอบก่อนเสียงจะตามมา
“ไม่หนักหรอกครับ แค่ลงพื้นที่บ่อย”
เธอพยักหน้า หันกลับไปทางนทีธัชช์ที่เปิดเมนูอาหารดูเงียบ
ๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่ว่าคุณทีใช้งานกรหนักอย่างทาสนะคะ”
หืม? ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ช้อนนัยน์ตามองคนถามก็เห็นยิ้มนิด ๆ บนใบหน้า ไม่มีแววของการเย้าแหย่
ไม่ใช่คำถามชวนเรียกเสียงหัวเราะ แม้แต่ไกรวียังสัมผัสได้ จึงเลือกจะหัวเราะออกไปเบา
ๆ แล้วตอบแทน
“ถ้าโดนใช้เป็นทาสผมคงไม่อยู่หรอกครับพี่ก้อย”
“พี่รู้” เธอตอบรับ ยิ้มพิมพ์ใจแล้วว่าต่อ “อย่าให้ใครเอาเปรียบได้ล่ะกร
โดยเฉพาะคนที่เขาคิดว่าตัวเอง…เหนือกว่า”
นทีธัชช์ยิ้ม แต่กวินทรามองออกว่าชายหนุ่มยิ้มเพียงปาก
หากการแสดงออกอย่างนั้นก็ทำให้เธอพึงใจอยู่มาก อาจเพราะนทีธัชช์ยังเลือกที่จะเงียบ
ให้สิทธิ์ในการพูดคุยแก่ไกรวีโดยไม่ยื่นปากเข้ามายุ่ง ดังนั้นตลอดระยะมื้ออาหารที่ผ่านมาเกือบครึ่งทางจึงมีเพียงคนสองคนที่สนทนากันเป็นส่วนมากเท่านั้น
นทีธัชช์พูดบ้างในบางครั้ง แต่ก็นับคำได้
หน้าที่หลักของเขาคือทำตัวเป็นสุภาพบุรุษตักอาหารให้กวินทรายามเธอพูดคุยเข้าประเด็นสักเรื่องที่จะวกมาแทะเล็มเขาได้อย่างแนบเนียน
มันน่าตลกตรงที่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มถูกผู้หญิงแทะเล็มกัดกินทางวาจาโดยปราศจากความพิสวาทใด
หากเขาก็ยังนิ่ง เงียบ และยิ้มในใบหน้าเท่านั้น
ครู่หนึ่งระหว่างรอของหวาน เสียงโทรศัพท์ของไกรวีก็ดังขึ้น
เขามองหน้าจอ เห็นเป็นชื่อนักเขียนในการดูแลคนหนึ่งและค่อนข้างสนิทกันจึงกดรับทันที
“ว่าไงนัท”
ตอนรับก็ยกยิ้มดีอยู่ ทว่าเงียบฟังอีกฝั่งกรอกเสียงมาตามสายเรียวคิ้วก็เริ่มขมวดมุ่น
มุมปากที่ยกยิ้มคลายลง ที่สุดจึงหันมองนทีธัชช์เชิงบอกกล่าวแล้วลุกเดินออกจากร้านไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่น้อย
นทีธัชช์ยังคงยิ้มยามมองหญิงสาวตรงหน้า
ในขณะที่สองมือประสานกันวางบนโต๊ะด้วยท่าทีสุภาพหากก็ผ่อนคลาย ยกยิ้มมากขึ้นอีกนิดเมื่อกวินทราเหลียวมองสบตา
“กรไม่อยู่แล้ว เข้าเรื่องเลยสิครับ”
หญิงสาวเลิกคิ้ว หัวเราะออกมาเมื่อนทีธัชช์ดูไม่อยากอ้อมค้อมเสียเวลา
และใช่ เขาคิดว่าการที่ยอมนิ่งเงียบตลอดมาก็เพื่อให้เกียรติไกรวีเท่านั้น และคงเกิดรำคาญขึ้นมาจนทำให้ไกรวีรู้สึกได้และอึดอัดใจถ้ากวินทรายังไม่เลิกโยเยออกนอกทางไปเรื่อยเสียที
“ฉันแค่อยากรู้ว่าผู้ชายอย่างคุณจะดูแลน้องฉันได้ดีหรือเปล่า
เพราะเท่าที่ดู…ฝาแฝดของคุณดูแลเพื่อนฉันได้ไม่ดีเลยสักนิด”
นทีธัชช์มั่นใจในตอนนี้ว่าสองพี่น้องไม่ได้ปริปากบอกเล่าความจริงให้กวินทราได้รับฟัง
ดังนั้นเขาจะเพิกเฉยต่อคำครหาที่เธอมีต่อแฝดพี่ของเขาและมุ่งไปอีกประเด็นแทน “คุณอาจตั้งแง่เกินไปครับคุณก้อย”
“ไม่รู้สิคะ กับพลอยฉันยอมรับว่าคงไม่ห่วงอะไรแล้ว
แต่กับกร…ที่ต้องอยู่กับคุณ”
นทีธัชช์ยิ้ม “ผมทำไมเหรอครับ”
“คุณว่าฉันสวยไหมคะคุณที”
คำถามของเธอทำชายหนุ่มเลิกคิ้ว แม้ดูจะเบี่ยงประเด็นแต่ก็ตอบตามที่คิด “คุณสวยมากครับ ถ้าพลอยสวยเฉี่ยว คุณก็คง…สวยดุ”
“สวยดุเหรอคะ ฉันชอบนะ”
กวินทราหัวเราะออกมาได้ ทว่ายังมีความยียวนอย่างที่ทำให้นทีธัชช์ยังยิ้มแค่ปาก
ยิ่งโดยเฉพาะประโยคถัดมาของเธอ “คุณมองว่าฉันสวย แต่ฉันก็รู้ว่าผู้หญิงอย่างฉันคงไม่ทำให้ต้องใจคุณได้หรอก
ใช่ไหมคะ”
คราวนี้ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างที่แทบไม่สังเกตเห็นหากไม่จ้องตากันอยู่
กวินทรามองเห็น เธอจึงเสริมเติมถ้อยคำหลังจากนั้น “แต่กับกรก็ไม่แน่ ฉันเข้าใจถูกรึเปล่าคะ”
กวินทราเป็นคนฉลาด ชายหนุ่มจับได้ว่าเจ้าหล่อนยังไม่มีความมั่นใจมากนักหรอกถึงต้องเกริ่นออกมาเสียยืดยาว
และทั้งหมดนั้นก็เพื่อยื้อเวลารอสังเกตปฏิกิริยาของเขาเท่านั้น หากจนแล้วจนรอดนทีธัชช์ก็ยังยิ้มแบบเดิม
ไม่หือไม่อือ และเร่งเวลาขึ้นเมื่อเห็นว่าไกรวีกดวางสายโทรศัพท์แล้ว
“เข้าเรื่องครับ น้ำซะเยอะแล้ว”
กวินทราประหลาดใจเล็กน้อยกับความนิ่งเฉยไม่ไหวติงของเขา
หากก็ยังเลือกพูดออกไปเพราะเห็นแล้วว่าไกรวีกำลังเดินกลับเข้าร้าน “ถ้าคุณทำกรเสียใจ อย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
“นี่คือคำขู่เหรอครับ”
หญิงสาวหัวเราะ “ฉันคงไม่มีแรงพอจะทำร้ายผู้ชายอย่างคุณได้ ยิ่งได้ยินมาว่าคุณกับแฝดคุณค่อนข้างมีอิทธิพลในหลาย
ๆ พื้นที่ด้วยนี่คะ ใครจะกล้าล่ะ...เนอะ”
นับว่ากวินทราทำการบ้านมาดี อีกนัยหนึ่งก็บอกให้รู้ว่าเขากำลังโดนสืบข้อมูลส่วนตัวจากเจ้าของสำนักพิมพ์ใหญ่
มันไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรือตื่นเต้นตกใจอะไร เพราะที่สุดแล้วนทีธัชช์ก็ยังยกยิ้มอยู่ดี
ทว่ายังไม่ทันได้ตอบกลับไกรวีก็เดินมาถึงโต๊ะเสียก่อน
สีหน้าเขายังมีความกังวลอยู่จาง ๆ และเอ่ยปากทันทีเมื่อสบตากับกวินทรา
“นัทโทรมาครับพี่ก้อย บอกว่าไม่อยากแต่งนิยายแล้ว
กับเรื่องที่เป็นโพรเจกต์รวมกับนักเขียนคนอื่นตอนนี้ก็ด้วย”
กวินทราพยักหน้าอย่างเข้าใจ เห็นใจด้วยเหมือนกันที่ไกรวีมีปัญหาที่ต้องแก้ไขอีกแล้ว “ถ้าจะให้พี่ช่วยอะไรก็บอกพี่เลยนะกร อยู่ตรงนี้คงติดต่อกับนัทไม่ค่อยสะดวกใช่ไหม”
“ขอบคุณนะครับ แต่ผมคิดว่าถ้านัทยังไม่ไหวจริง
ๆ ผมคงต้องลงกรุงเทพไปคุยด้วยสักหน่อย ได้คุยกันต่อหน้าอาจจะดีกว่า”
หญิงสาวพยักหน้าอีกครั้ง ด้วยรู้ดีว่าต่อให้ลำบากยากเย็นอย่างไรไกรวีย่อมต้องการพูดคุยต่อหน้ากับนักเขียนในการดูแล
ยิ่งกับนักเขียนคนนี้ที่เคยมีปัญหาเรื่องเดิม ๆ อยู่บ่อยครั้ง ก็มีหลายหนเหมือนกันที่ไกรวีเลือกจะเดินทางไปหา
พูดคุยถึงปัญหากันต่อหน้า และใช้วาทศิลป์ให้นักเขียนกลับมาเขียนงานได้อีกครั้ง
นทีธัชช์ที่ฟังอยู่เงียบ ๆ
เอ่ยขึ้นบ้าง “ถ้าจะไปตอนไหนก็บอกล่ะ พี่จะได้เคลียร์งานไว้ก่อน”
หมายความว่าเขาจะตามไกรวีไปด้วย และไกรวีก็พยักหน้ารับพร้อมยิ้มอย่างขอบคุณ
เหมือนการติดสอยห้อยตามกันไปเป็นเรื่องปกติและเคยชินไปเสียแล้ว จะมีก็แต่กวินทราที่มองน้องชายเพื่อนอย่างครุ่นคิด
ด้วยปกติแล้วหากไม่ใช่เพชรพริ้งไกรวีจะชอบเดินทางคนเดียวมากกว่า เรียกได้ว่านอกเวลางานจะเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวเชียวล่ะ
แต่นี่กับคนที่รู้จักกันไม่นาน…อย่างน้อยก็ในความคิดของเธอ
ไกรวีกลับยินยอมโดยไม่มีแม้แต่หน้าตาปั้นปึ่งไม่พอใจเลยหรือนี่
ไกรวีทำให้เธอรู้ว่าเขาไว้วางใจในตัวนทีธัชช์มาก…แต่เธอไม่รู้ว่าอยู่ในขั้นที่เรียกว่าพิเศษเกินกว่าใครได้หรือยัง
“กรจะอยู่กับคุณก้อยก่อนไหม
พี่จะได้ให้เวลา”
กวินทราเผลอนิ่วหน้า คำถามนั้นต่างอะไรจากคนที่กุมอำนาจเหนือกว่า
ว่ากันตามตรงเธอไม่ใคร่ชอบใจครอบครัวนี้ตั้งแต่จับเพื่อนของเธอคลุมถุงชนแล้ว ถึงจะรู้ก็เถอะว่าต่อมาไม่นานเพชรพริ้งกับคีรินทร์จะกลายเป็นรักจริงรักแท้ของกันและกัน
แต่กับผู้ชายคนนี้…เธอคงต้องขอดูท่าทีอีกสักหน่อย
“กรไม่ต้องรบกวนคุณทีก็ได้นี่นา
ยังไงถ้าเสร็จธุระกันแล้วพี่ขับรถไปส่งกรที่ไร่ก็ได้”
ไกรวีส่ายหน้าทันที “อย่าเลยครับพี่ก้อย ทางอันตรายมาก ขนาดผมเองยังไม่มั่นใจว่าจะขับไหวเลย เราไม่ใช่คนในพื้นที่ด้วย”
“กันดาลขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
กวินทรายิ้ม ส่งคำถามให้นทีธัชช์โดยตรง
“เรื่องอย่างนี้คงต้องรบกวนคุณก้อยลองดูรีวิวที่นักท่องเที่ยวเขียนเอาไว้แล้วล่ะครับ”
นทีธัชช์ยังยิ้ม แต่ยิ้มดุดันแบบที่ทำให้กวินทราใจหล่นวูบ
นี่คงเป็นหนึ่งในเรื่องที่ไม่สามารถแตะเขาได้ หากหยิบยกไกรวีมาจะทำให้ผู้ชายคนนี้ยิ้มแค่ปาก
ไร่รินทร์ธาราก็คงทำให้เขาเฉือนเธอด้วยรอยยิ้มนั้นได้เช่นเดียวกัน
“เอาเป็นว่า…วันนี้ผมต้องกลับไร่แล้วล่ะครับพี่ก้อย ยังไงผมจะมาหาพี่ก้อยอีกทีก่อนพี่ก้อยกลับนะครับ”
ไกรวีสรุปอย่างนั้น เล็งเห็นแล้วว่าคนสองคนกำลังก่อสงครามประสาทกันอยู่จริง
ๆ ระหว่างนั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเขายังแคลงใจสงสัย แต่ตอนนี้มันก็ชัดเจนแล้ว และเขาไม่อยากให้ใครมีปัญหาต่อกัน
“ถ้าลำบากก็ไม่ต้องมาดีกว่ากร
ไว้เจอกันอีกทีที่กรุงเทพเลยนะ” กวินทราก็เห็นว่าน้องกำลังลำบากใจ
จึงเอ่ยออกไปยิ้ม ๆ แล้วหันไปทางนทีธัชช์ ยิ้มอย่างที่หน้าสวยดุกลายเป็นหวานน้ำผึ้งอาบพิษเลยทีเดียว
“ฉันฝากน้องด้วยนะคะคุณที อย่าให้น้องฉันเป็นอะไร เพราะถ้าเป็น…”
เธอเอาเรื่องเขาแน่! นทีธัชช์อ่านสายตาอีกฝ่ายออก
และทำเพียงจุดยิ้มส่งไปให้ ไม่พูดอะไรขณะรอสองพี่น้องต่างสายเลือดร่ำลากัน จนแน่ใจแล้วว่ากวินทราเดินห่างออกไปไกลโขจึงเหลียวสายตามองไกรวีที่มองมายิ้ม
ๆ แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจสถานการณ์ แล้วเขาจะทำอะไรได้เล่านอกเสียจาก…
“มีเจ้านายขี้ระแวงอย่างนี้
ไม่เบื่อบ้างหรือไง”
ไกรวีหัวเราะออกมา ก้าวเท้าเดินเคียงนทีธัชช์ไปยังที่ที่จอดรถไว้ “ปกติพี่ก้อยไม่เป็นอย่างนี้นะครับ ยกเว้นแต่จะมีคนที่ไม่น่าไว้วางใจจริง ๆ”
“แล้วพี่เป็นคนไม่น่าไว้ใจงั้นสิ?”
“หืม? ใครพูดอย่างนั้นเหรอครับ”
นทีธัชช์หยุดนิ่ง มองไกรวีที่ยังยิ้มด้วยสายตาดุเข้มอีกครู่จึงค่อยถอนหายใจ
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางลงบนศีรษะทุยสวย ยีเส้นผมนุ่มมือเบา ๆ ค่อยผละออกมา
“ไม่พูดก็ยังรู้เลย ดูสายตาพี่ก้อยของกรก่อนเถอะ
กินพี่ได้คงกินไปแล้ว”
“พี่ที พี่ก้อยเป็นผู้หญิงนะครับ”
“ไม่เกี่ยวว่าหญิงหรือชายหรอกกร
ในกรณีของคุณก้อย เอาแค่ว่าดูจากสิ่งที่เขาทำกับพี่เถอะ น่ากลัวจะตายไป”
“ในแง่ไหนครับ”
นทีธัชช์นิ่งไปนิด ไม่ใช่เพราะคำถามของไกรวี
แต่เขาเห็นคนคุ้นตาสองคนอยู่ไม่ไกลกันต่างหาก ยิ่งสองคนนั้นเหลียวสายตามาเห็นและแสดงท่าทีตกใจอย่างชัดเจนทั้งที่ไม่ได้มีอะไรผิดปกติก็ทำให้นทีธัชช์หรี่เรียวตา
ไกรวีมาได้ยินคำตอบก็ตอนที่เขามองตามนทีธัชช์ไปเห็นคนสองคนเช่นกัน
“เล่นสงครามประสาทกับใจคนอื่น”
ไกรวีอยากขำ ทว่าสองคนที่มองเห็นก็ทำให้เขาเกิดกังวลขึ้น…เมืองรามกับวิรงรอง
ดูเหมือนสองคนนั้นไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอนทีธัชช์ที่นี่
เพราะอย่างนั้นกว่าจะตั้งสติกันได้ก็ตอนที่ชายเจ้าของไร่รินทร์ธาราเดินเข้าไปใกล้แล้ว
สายตาที่มองคนสองคนเป็นการมองอย่างพิจารณา ก่อนหันไปพยักหน้ารับไหว้จากวิรงรองที่ส่งยิ้มเจื่อนให้กัน
เป็นเมืองรามที่เริ่มต้นทักทายก่อน “พี่ทีมาธุระในเมืองเหรอครับ”
“ใช่ แล้วรามล่ะ นัดเจอกับแหวนที่นี่เหรอ”
คำถามตรงไปตรงมาทำให้คนฟังนิ่วหน้า ไม่เว้นแม้แต่ไกรวีที่แทบลืมหายใจยามวิรงรองลอบสบตากันอย่างขอความช่วยเหลือ
เขาเองไม่อยากพาตัวไปเกี่ยวข้องนักหรอก แต่ก็อดเห็นใจไม่ได้ ดูจากท่าทีแล้วก็ให้รู้ว่าเรื่องราวเบื้องลึกยังไม่ลงตัว
แน่ถ้าจะให้เขาช่วย…เขาไม่อยากโกหกอะไรนทีธัชช์เลยจริง ๆ
“ไม่ได้นัดครับพี่ที”
เมืองรามตอบในที่สุด “แต่ผมไปรับแหวนมาเอง”
นทีธัชช์นิ่งไป ใช่ว่าเขาจะใส่ใจลูกน้องเกินพอดี
แต่ในเมื่อเห็น ๆ กันอยู่ว่าวันก่อนวิรงรองยังมีคนรับส่งอีกคนที่ไม่ใช่เมืองราม และเมืองรามก็รู้ในข้อนั้นดีด้วย
แล้วทำไม…
“พี่หวังว่านายจะคิดดีแล้วนะราม”
นั่นเป็นคำเตือน เมืองรามรู้ แต่ไม่แน่ชัดว่าเตือนด้วยความเป็นห่วงในสวัสดิภาพของเขา
ของวิรงรอง หรือของหน้าตาไร่รินทร์ธารากันแน่ แต่เขาก็ยังเห็นความหวังดีและน้อมรับมันเอาไว้
จึงยกมือประนมไหว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกว่ารักและเคารพนทีธัชช์เหมือนเดิม
“ขอบคุณพี่ทีสำหรับความหวังดีครับ”
นทีธัชช์ถอนหายใจ มองเห็นประกายกล้าของดวงตาแล้วก็ได้แต่ปล่อยวาง
ถึงเขาจะควบคุมดูแลคนงานทุกคนในไร่ได้ แต่ใช่ว่าจะสามารถควบคุมหัวใจของใครได้เสียเมื่อไหร่ “แล้วแหวนจะกลับตอนไหน จะกลับพร้อมผมกับคุณกรเลยไหม ผมกำลังจะกลับกันแล้ว”
“แหวนเหรอคะ…” วิรงรองกะพริบตาปริบ ก่อนตอบรับในที่สุด “งั้นแหวนขอติดรถคุณทีคุณกรด้วยนะคะ
นะพี่ราม แบบนี้ดีที่สุดแล้ว”
เมืองรามไม่พอใจนักหรอก เขายังอยากอยู่กับวิรงรองอีกสักหน่อย
แต่ก็รู้ดีว่าสายตาคาดคั้นของนทีธัชช์มีอิทธิพลกับเขามากเพียงใด ดังนั้นจึงเลือกที่จะพยักหน้า
ยืนส่งกระทั่งรถกระบะสี่ประตูคันใหญ่ของนทีธัชช์ห่างออกไปแล้วจึงค่อยละสายตา
และได้แต่หวังว่านทีธัชช์จะไม่ซักถามอะไรวิรงรองระหว่างการเดินทาง
เพราะรู้จักนิสัยหญิงสาวดี หากโดนหว่านล้อมทักถามมากหน่อยก็อาจหลุดปากได้…ซึ่งเมืองรามไม่ต้องการให้วิรงรองหลุดปากไปเกินสมควร แม้แต่คำเดียวก็ไม่ต้องการ!
“เดี๋ยวผมขับรถเอาไปให้ลุงบุญเป็งเองดีไหมครับ
พี่ทีจะได้ไม่เสียเวลากับเรื่องทางนี้ด้วย”
ไกรวีเอ่ยถามขึ้นขณะมองนทีธัชช์ที่กำลังคร่ำเคร่งกับเครื่องกรองมูลไส้เดือนที่อยู่
ๆ ก็เกิดไม่ทำงาน ทั้งยังมาชำรุดในวันที่ต้องคัดกรองเตรียมจัดชุดส่งออกให้ลูกค้าเสียด้วย
แต่ไกรวีก็จำได้ว่าวันนี้นทีธัชช์มีนัดกับบุญเป็ง เกษตรกรรายหนึ่งที่เคยถูกสารเคมีเล่นงานจนต้องปรับดินกันอยู่พักใหญ่
วันนี้ชายหนุ่มจะนำเมล็ดผักสลัดหลายสายพันธุ์ไปให้ตามคำร้องขอของผู้สูงวัย และตอนนี้ก็ใกล้เวลามากแล้วด้วย
นทีธัชช์มีเวลาคิดไม่มาก ใจจริงเขาอยากจะวานจอมทัพมากกว่า
แต่คนนั้นก็ดันติดประชุมตัวแทนเกษตรกรอินทรีย์แทนเขา คนงานคนอื่น ๆ ก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ
เห็นมีว่างงานอยู่ก็แค่คนเดียว
แต่เขา…ไม่อยากให้ไกรวีห่างจากสายตาเท่าไรนัก
“เถอะครับ เดี๋ยวแกรอ”
นทีธัชช์คิดอีกครู่จึงตัดสินใจได้ “อืม รบกวนกรด้วยแล้วกันนะครับ”
ชายหนุ่มยิ้ม เอื้อมมือรับกุญแจรถจากนทีธัชช์แล้วห่างออกมา
เขาเคยไปที่ดินของบุญเป็งมาแล้วหลายครั้งเพราะนทีธัชช์แวะไปติดตามดูผล จนแน่ใจแล้วว่าตอนนี้ดินของบุญเป็งสามารถปลูกพืชได้โดยไม่เสียหาย
ซึ่งก็เป็นเรื่องน่ายินดีมากจริง ๆ ที่เกษตรกรรุ่นสูงวัยจะได้มีที่ทางทำมาหากินต่อเสียที
ไกรวีอมยิ้มขณะยกมือไหว้บุญเป็ง บอกกล่าวว่าเป็นตัวแทนนำเมล็ดพันธุ์มาให้เพราะนทีธัชช์ติดจัดการงานในไร่
ทำหน้าที่จดความต้องการและปัญหาที่บุญเป็งพบลงสมุดบันทึกอีกพักหนึ่งถึงขอตัวกลับ ไกรวีขับรถกลับมาทางเดิม
เพียงแต่มีบางอย่างไม่เหมือนเดิม
มีรถตามมา…
ไกรวีไม่แน่ใจในคราวแรก คิดว่าบางทีอาจเป็นรถของผู้คนที่สัญจรไปมาแม้ความจริงแล้วถนนเส้นนี้จะมีรถน้อยมากก็ตาม
หากเมื่อขับมาได้สักพัก ลองลดความเร็วลงก็ยังเห็นว่ารถคันนั้นตามท้ายอยู่ไม่ได้ขยับแซงไปไหน
จึงมั่นใจในตอนนั้นว่าเขากำลังเจอเรื่องไม่ปกติเป็นอย่างยิ่ง หากโดนสะกดรอยยังพอใจชื้นได้ว่าจะไม่เป็นอันตรายเท่าไร
แต่การที่จ่อรถต่อท้ายด้วยระยะที่ใกล้กันมากขึ้นทุกที ไกรวีจึงตัดสินใจได้ว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรเสี่ยงที่จะรับรู้เพียงคนเดียว
หากวินาทีที่มือซ้ายกำลังปัดหน้าจอโทรศัพท์หมายต่อสายตรงถึงนทีธัชช์
รถก็กลับกระตุกด้วยได้รับการกระแทกจากด้านหลัง แม้ไม่รุนแรงเท่าไรก็ยังทำให้โทรศัพท์หลุดมือ
ไกรวีเม้มปากแน่น หัวใจเริ่มระรัวเมื่อรู้สึกได้ว่าการจูบท้ายกระบะเมื่อครู่เป็นเพียงการทักทายเท่านั้น
ไกรวีพยายามเพ่งผ่านกระจกมองหลังว่าคนในรถคือใคร
แต่ฟิล์มที่ติดทึบก็ทำให้เขาหงุดหงิด เพิ่มความเร็วรถเพื่อเว้นระยะออกห่าง แต่ก็กลับกลายเป็นว่ารถคันหลังเหยียบคันเร่งจนตีขึ้นมาประกบข้างได้สำเร็จ
และในวินาทีที่ชายหนุ่มหันมองไป หัวใจก็ต้องตกหล่นวูบหายเมื่อพบปากทรงกลมสีดำสนิทสอดออกมาผ่านช่องกระจกหน้าต่างฝั่งข้างคนขับ
นั่นมันปืน! ไกรวีขบกรามแน่น เป็นเวลาเพียงน้อยนิดที่จะได้พิจารณาถนนสองเลนส์ เมื่อเห็นว่ามันยังว่างเปล่าไร้รถคันใด
ไกรวีก็ตัดสินใจหักพวงมาลัยให้รถของเขาเบียดกระแทกกับรถอีกคัน แรงกระแทกทำให้ร่างเขาสั่นคลอน
อีกคันกระแทกกลับคืนจนเขาเกือบเสียหลัก แต่ยังมีสติที่จะหักพวงมาลัยรถแล้วเบียดอีกครั้ง
คราวนี้ไกรวีใช้เวลานานมากพอที่จะทำให้ได้ยินเสียงเสียดสี เบียดบดจนรถอีกคันใกล้ตกขอบถนนอยู่รอมร่อจึงโดนเบียดกลับอย่างจงใจ
แต่ก่อนที่จะคิดได้ว่าควรทำอย่างไรต่อจากนี้ รถติดฟิล์มทึบคันนั้นก็แล่นลิ่วห่างออกไปจนในที่สุดก็ลับตา
ไกรวีหยุดรถในทันที หอบหายใจรุนแรง มือสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
แต่ก็ต้องพยายามหักห้ามใจพารถที่จอดคร่อมเลนส์ให้ไปชิดกับริมทางของฝั่งตน รู้สึกได้ถึงใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ
กำพวงมาลัยแน่นจนมือขาวไร้สีเลือดขณะก้มหน้าลงพิงกับมันอย่างหาที่พักพิง อีกครู่หนึ่งเมื่อตั้งสติได้จึงยืดกายขึ้นหลังตรง
เอื้อมมือที่ยังสั่นอยู่ไปกดปุ่มที่กล้องติดหน้ารถเพื่อดูว่ามันได้บันทึกภาพเหตุการณ์ไว้หรือไม่
เป็นอีกครั้งที่ไกรวีสะดุ้งตัวเมื่อมีรถคันหนึ่งชะลอตอนที่กำลังขับผ่านเขาไป
ก่อนจะจอดเทียบถัดไปทางด้านหน้าไม่ไกลกันนัก นัยน์ตาวิบไหวหรี่เรียว หายใจติดขัดขึ้นมาอีก
ก่อนจะค่อย ๆ สงบลงเมื่อพบว่าคนที่ลงมาจากรถไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน แต่เป็นเมืองราม
เมืองราม…ชายหนุ่มรีบยกมือปิดการใช้งานของกล้อง เป็นจังหวะที่อีกฝ่ายเดินมาถึงตัวรถพอดี
สีหน้าเป็นกังวลทำให้ไกรวีสูดลมหายใจเข้าลึก ยังไม่สามารถปรับสีหน้าได้ยามเมืองรามเคาะกระจกเรียกกัน
“คุณกร!” เมืองรามดูตกใจเมื่อเห็นว่าคนในรถเป็นเขา “เกิดอะไรขึ้นครับ
แล้วคุณกรเป็นอะไรรึเปล่า”
อีกครู่ไกรวีถึงหาเสียงตัวเองเจอ เขาส่งสายตาเป็นสัญญาณว่าจะเปิดประตูรถ
ให้เมืองรามที่รับรู้ได้ก้าวถอยไป เอื้อมมือมาหมายจะประคองหากว่าไกรวีจะยืนไม่อยู่
แต่ชายหนุ่มก็ยังสามารถหยัดยืนได้เต็มเรี่ยวแรง หันตัวกลับเข้ารถ โน้มลงหยิบโทรศัพท์ที่ตกอยู่ใต้เท้าแล้วกลับมามองเมืองรามอีกครั้ง
“อุบัติเหตุครับคุณราม โดนรถชนแล้วหนีน่ะครับ”
“โทรหาพี่ทีรึยังครับ”
ไกรวีส่ายหน้า เห็นเมืองรามล้วงหยิบโทรศัพท์จึงรีบบอกออกไปด้วยไม่อยากรบกวน “เดี๋ยวผมโทรบอกเองครับ”
เมืองรามไม่ขัดข้อง เขามองไกรวีที่เดินไปทางด้านหลังรถขณะกรอกเสียงไปตามสาย
ส่วนเขาเองก็สำรวจความเสียหายของข้างรถให้ และแน่ใจว่านี่คงไม่ใช่อุบัติเหตุทั่วไปแน่
ไม่อย่างนั้นนอกจากด้านหลังรถที่บุบจนทำให้เขาเกิดประหลาดใจ ก็ไม่ควรมีรอยบุบและขีดข่วนชัดเจนที่ด้านข้างอย่างนี้
ชายหนุ่มยิ้มให้กำลังใจเมื่อไกรวีดูเหมือนจะเสียขวัญอยู่มากแม้ประคองสติได้ดี
สังเกตจากมือที่สั่นน้อย ๆ จนต้องประสานเข้าหากัน ไกรวีหันหน้าเข้าหาตัวรถ วางกำปั้นลงบนกระโปรงหน้าเพื่อเป็นหลักยึดให้ตัวเอง
“ไหวไหมครับ นั่งในรถก่อนดีกว่าครับคุณกร”
ไกรวีไม่เห็นเหตุที่ต้องปฏิเสธจึงก้าวเท้าขึ้นนั่งบนรถโดยหย่อนขาลงมาที่ด้านข้าง
ในขณะที่เมืองรามเดินสำรวจความเสียหายรอบรถอีกครั้งก่อนกลับมาหาไกรวี เหลียวสายตามองกล้องติดหน้ารถแล้วเอ่ยถาม
“มีกล้องอยู่นี่ครับ ใช้ได้ใช่ไหม
คุณกรไม่ต้องกังวลนะ ผมว่าอย่างน้อยเราก็ยังมีหลักฐานให้ตำรวจ”
ไกรวียิ้ม ส่ายหน้าเนือยอย่างอ่อนแรง “กล้องใช้ไม่ได้ครับคุณราม เห็นพี่ทีบ่นอยู่เหมือนกันว่าเสียมาสองสามวันแล้ว”
“อ้าว…” เมืองรามเองพอได้ยินอย่างนั้นก็อับจนหนทาง ยืนเงียบเป็นเพื่อนไกรวี จนกระทั่งเห็นร่างของนทีธัชช์ขี่ควบม้าสีเชสต์นัทใกล้เข้ามาจึงแตะไหล่บอกให้ไกรวีรู้
สีหน้าของนทีธัชช์ทำให้ไกรวีใจหาย ไม่เพียงแต่เป็นห่วงเขาอย่างชัดเจน
แต่ยังแฝงไว้ด้วยความโกรธขึ้งอยู่ลึก ๆ ข้างในแววตา ชายหนุ่มหยุดเจ้าน้ำตาลไหม้ใกล้ต้นไม้ใหญ่
ลงจากหลังมันได้ก็ผูกไว้กับตรงนั้น ก่อนเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าที่ปกปิดความยุ่งยากใจไว้ไม่ได้
และเขาไม่คิดจะปกปิดมันด้วย
“พี่หารถออกมาไม่ได้เลย
พี่มาช้าไปหรือเปล่า”
“ไม่ครับ ไม่ช้าเลย”
ถ้าเทียบกับระยะเวลาที่เขาวางสายจนถึงตอนนี้ ไกรวีไม่แน่ใจว่ามันถึงสิบนาทีแล้วหรือยัง
ซึ่งนั่นก็ถือว่ารวดเร็วมากแล้วสำหรับเขา
“กรเป็นอะไรไหม”
สิ่งแรกที่นทีธัชช์สำรวจไม่ใช่รถประจำตัวของเขา
แต่เป็นร่างของไกรวีที่ใบหน้าซีดเซียวอย่างสังเกตได้ หากไกรวีกลับส่ายหน้า ยกยิ้มบางเพื่อบอกว่าไม่เป็นอะไร
“อุบัติเหตุครับพี่ที ชนแล้วหนี”
เขาบอกเหมือนที่บอกเมืองราม รู้แก่ใจว่านทีธัชช์ไม่เชื่อก็ยังยืนยันด้วยการพยักหน้า
ดังนั้นนทีธัชช์จึงเหลียวมองกล้อง กลับมาสบตาอีกครั้งก็ได้รับถ้อยคำจากไกรวีเหมือนที่เมืองรามรู้
“กล้องพังเมื่อวันก่อนใช่ไหมครับ
ผมลองกดเปิดแล้ว ไม่มีอะไรขึ้นมาเลย”
นทีธัชช์สบตากับไกรวีวินาทีหนึ่งจึงพยักหน้า
ยกมือขึ้นเสยผมอย่างหงุดหงิดใจพลางพึมพำเสียงเบา “พี่ผิดเองที่ชะล่าใจ ไม่หากล้องใหม่มาเปลี่ยนสักที”
“อย่างนี้เราจะทำยังไงกันได้บ้างครับ
ไม่มีหลักฐานอะไรเลย”
เป็นเมืองรามที่ถามขึ้น ให้นทีธัชช์หันมองราวกับเพิ่งเห็นหนุ่มรุ่นน้องอยู่ตรงนี้ “รามมาตั้งแต่ตอนไหน เห็นอุบัติเหตุหรือเปล่า”
“ไม่ครับพี่ที ผมขับมาก็เห็นรถจอดอยู่นิ่ง
ๆ แล้ว เห็นกระบะหลังบุบเหมือนโดนชนเลยเอะใจ เห็นว่าเป็นรถของพี่ทีด้วยแหละครับ”
นทีธัชช์พยักหน้ารับรู้ “ขอบใจรามมากที่ลงมาอยู่เป็นเพื่อนกร พี่ไม่รบกวนรามแล้วล่ะ”
คำนั้นทำให้เมืองรามนิ่วหน้า ด้วยรู้สึกไม่ต่างอะไรจากการโดนไล่กลาย
ๆ “แต่…”
“อีกเดี๋ยวคนของพี่ก็คงมาแล้ว
ประกันก็ด้วย ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วล่ะราม พี่ขอบใจนายมากจริง ๆ”
เมืองรามนิ่งไปเหมือนยังพะวง ก่อนพยักหน้ารับ
หันไปยิ้มให้กำลังใจไกรวีอีกครั้งก่อนออกปากขอตัวกลับ
เขาสองคนยังนิ่งเงียบจนกระทั่งรถของเมืองรามห่างออกไป
นทีธัชช์เท้าแขนซ้ายกับกรอบประตูเหนือไกรวี โน้มหน้าลงหาแล้วเอ่ยถามเสียงนุ่ม
“ไหวรึเปล่า”
“ไหวครับ” ไกรวีตอบเสียงติดแหบน้อย ๆ ก่อนต้องได้ประหลาดใจกับสัมผัสจากมือกร้านที่แตะลงยังผิวแก้มของเขา
รู้ได้ในนาทีถัดมาว่าเป็นสัมผัสปลอบโยนเพราะปลายนิ้วที่เกลี่ยแก้มเขาเบา ๆ
“แต่พี่ที กล้องรถไม่ได้เสียนะครับ”
“พี่รู้ บอกพี่สิว่าทำไม”
ไกรวีนิ่งไปครู่ จนได้ยินเสียงรถที่ใกล้เข้ามาถึงเอ่ยปากบอก “ผมไม่ไว้ใจใคร พี่ทีไม่โกรธผมนะครับ”
ที่ไม่ไว้ใจเมืองรามด้วยน่ะหรือ…นทีธัชช์ส่ายหน้า “กรทำถูกแล้ว”
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดูเหมือนอาการสั่นของมือกับหัวใจจะหายไปแล้ว
หัวใจเขากลับมาเต้นเป็นปกติ มือแม้จะยังเย็นแต่ก็ผ่อนคลายและควบคุมได้มากกว่าเมื่อครู่
ทั้งหมดนั้นก็เพราะได้รับการปลอบโยนจากนทีธัชช์ที่ยังไม่ผละมือออกห่างไป มีแต่จะขยับย้าย
เคลื่อนมือแล้วสอดนิ้วประคองหลังกกหู นวดเบา ๆ อย่างที่ทำให้ไกรวีคลายใจ
ที่สุดจึงเอ่ยออกมา ให้ใบหน้าที่อ่อนโยนลงกว่าเคยกลับมาพราวโรจน์ด้วยความคุกรุ่น
“รถชนไม่ใช่อุบัติเหตุครับพี่ที”
นทีธัชช์ไม่อยากให้เกิดเลย อย่างน้อยก็ไม่ควรเกิดขึ้นเร็วอย่างที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัวรับอย่างนี้ “ยังไง”
“มันเป็นเรื่องจงใจครับพี่ที”
ทั้งรถที่เบียดกันไปกระแทกกันมา หรือแม้แต่ปลายกระบอกปืนที่โผล่พ้นกรอบหน้าต่าง…ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องจงใจที่ไม่ใช่เพียงส่งคำเตือน แต่หมายถึงคิดปลิดชีวิตเขาเลยต่างหากล่ะ!
โปรดติดตามตอนต่อไป
สารภาพว่าลืมวันลืมคืน กว่าจะรู้ตัวว่าเมื่อคืนวันพฤหัสที่ต้องอัปเรื่องนี้ก็ตอนที่กำลังอ่านนิยายแบบติดลมบนเลยค่ะ แฮ่
เริ่มแล้วนะคะ เริ่มเข้มข้นเหรอ เปล่าค่ะ... พี่ทีเนี่ย เริ่มแตะตัวคุณกรแล้วนะคะ! เนียนนนนเหรอคะคนเรา /แซวเล็ก ๆ จะได้ไม่เครียดกันมากเนอะ อิอิ
#ธาราโอบจันทร์ หรือ คอมเมนต์ หรือ กดให้กำลังใจ นะคะน้าาน้าน้าน้า
ขอบคุณค่าา
ความคิดเห็น