ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ธาราโอบจันทร์ (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #12 : บทที่สิบเอ็ด ... (รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 20 พ.ค. 64





    ธาราโอบจันทร์
    บทที่สิบเอ็ด



    ตอนที่เหลียวมองตัวเลขดิจิตอลบนหน้าปัดรถยนต์แล้วได้รู้ว่าเป็นเวลาสี่ทุ่มสามสิบแปดนาที นทีธัชช์ก็แน่ใจว่าทำไมเจ้าหน้าที่จึงไม่สามารถควบคุมจนต้องไปตามเขาถึงบ้านได้ เพราะปกติแล้วที่นี่มีกฎว่านักท่องเที่ยวที่พักในเรือนพักทุกหลังทุกเต็นท์จะต้องอยู่ในความสงบ ไม่ส่งเสียงดัง และรวมถึงไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทางไร่ไม่สนับสนุนและรณรงค์ขอให้ผู้เข้าพักงดเว้น ด้วยอยากให้เขตเรือนพักเป็นพื้นที่ที่จะได้พักผ่อนอย่างสงบและสบายใจ

    แต่ดูท่าแล้ว...กลุ่มนักท่องเที่ยวซึ่งกำลังตั้งวงเหล้าสรวลเสเฮฮากันในตอนนี้คงจะไม่รับฟังคำเตือนจากเจ้าหน้าที่เป็นแน่

    ติดลมจนไม่ยอมหยุดหรือยังไงนทีธัชช์ถามเสียงเรียบหลังจากที่ลงรถแล้วมีเจ้าหน้าที่อีกคนเดินตรงมาหาพอดี

    ไม่ครับนาย เหมือนตั้งใจมากกว่า

    นทีธัชช์เลิกคิ้วยังไง

    ก่อนหน้านี้ก็สงบดี แต่พอสี่ทุ่มปุ๊บก็ออกมาตั้งวงเสียงดังครับ พวกผมเข้าไปเตือนแล้วสองครั้งก็ไม่เป็นผล เลยต้องไปตามนายมาครับ

    ชายหนุ่มพ่นหายใจทันทีที่ได้ฟัง มองไปทางกลุ่มนักท่องเที่ยว นับจำนวนแล้วมีกันอยู่หกคน ประเมินร่างกายของแต่ละคนแล้วก็ให้ได้รู้ บางทีหากเจ้าหน้าที่ของเขายังเข้าไปตักเตือนอีกรอบก็อาจเกิดมีปากเสียงลามไปถึงใช้ความรุนแรง ซึ่งหากเกิดเหตุนั้นจริง เจ้าหน้าที่ของเขาจะเสียเปรียบอย่างแน่นอน

    เดี๋ยวผมจัดการเอง

    นทีธัชช์ใช้คำว่าจัดการไม่ใช่ไกล่เกลี่ยหรือพูดคุยเหมือนอย่างทุกที ให้เจ้าหน้าที่รับทราบและเตรียมพร้อมเฝ้าระวังอยู่ด้านหลัง ในขณะที่ชายหนุ่มก้าวเท้าเดินตรงเข้าไปหาด้วยท่าทีสบาย ๆ จุดยิ้มน้อย ๆ ยามมีสองในหกคนเหลียวมามอง

    สวัสดีครับ ผมนทีธัชช์ เป็นเจ้าของไร่ที่นี่ ไม่ทราบว่าตอนนี้พวกคุณกำลังมีปัญหาอะไรอยู่รึเปล่าครับ

    เพราะพิจารณาดีแล้วว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวรู้ดี จึงเลือกเปิดปัญหาให้ฝ่ายนั้นได้ขบคิดเอง ทว่าเสียงหัวเราะร่วนที่ดังกลับมาก็ทำให้รู้ว่าคงเสียเวลาที่จะเสียน้ำลาย จึงบอกกฎออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ยิ้มแค่มุมปาก แต่ไม่ใช่กับดวงตา

    ตอนนี้เกือบห้าทุ่มแล้ว คุณกำลังทำผิดกฎของที่พักเราอยู่นะครับ เพราะฉะนั้นผมขอความร่วมมือให้พวกคุณหยุด

    เฮ้ย! ไม่เอาน่าคุณเจ้าของไร่ ไม่เห็นเหรอว่าพวกผมกำลังสนุกกันอยู่ อย่ามาทำให้เสียบรรยากาศเลยน่ะ ผมเป็นลูกค้า ผมจ่ายเงินให้คุณนะ

    ถึงอย่างนั้นนทีธัชช์ก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้าตอนที่ออกคำสั่งเสียงเฉียบถ้าอย่างนั้นก็กรุณาออกไปจากไร่ของเราครับ ตอนนี้เลย

    เท่านั้นทุกคนก็เงียบเสียง ก่อนทั้งหมดจะลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับนทีธัชช์ ดวงตาคู่คมไร้ประกายใดนอกเสียจากการแสดงอำนาจ แต่ไกรวีที่ยืนเยื้องกันยังมองออกว่ามีความรำคาญใจอยู่มาก นึกรู้ว่าหลังจากวินาทีนี้อาจมีเรื่องที่ทำให้ลามไปใหญ่โต แต่เขาก็ยังยืนเฉย พิจารณาแต่ละคนอย่างเงียบเชียบไม่คิดห่างจากนทีธัชช์

    เฮ้ย นี่กูเสียเงินเข้ามา ไม่ได้เข้ามาฟรี ๆ นะเว้ย!”

    เสียงเข้มโวยวาย และมันน่าจะดังมากพอให้นักท่องเที่ยวที่พักในเต็นท์หลังอื่นรวมถึงเรือนไม้เยี่ยมหน้าออกมามองความเป็นไป แขกของรินทร์ธาราอย่างสหรัถกับรดิศเองก็ด้วย

    กฎมีไว้แหก แล้วกูก็ไม่เห็นจะมีใครหน้าไหนออกมามีปัญหาสักคน หรือมึงจะเอา!”

    ครับ ผมเอาแน่ คุณอยากทำยังไงกับทางผมล่ะนทีธัชช์ถาม ไม่ได้ท้าทาย แค่ส่งเสริมให้กลุ่มนักท่องเที่ยวเจ้าปัญหาแสดงออกเชิงอารมณ์มากขึ้น เพื่อที่หากเกิดอะไรขึ้นมาจริงเขาเองก็จะได้มีเหตุผลเพียงพอที่ต้องใช้กำลังมากกว่าเสวนา

    แน่ล่ะว่ามันจะเป็นทางเลือกสุดท้ายในการเจรจา แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ เพราะทันทีที่เขาถาม เลือดก็กลับขึ้นหน้าจนราวจะไร้สติอยู่รอมร่อ คำตอบที่ได้รับจึงเป็นหมัดที่ซัดเข้ามาหมายทำร้ายร่างกายกัน หากนทีธัชช์กลับรับหมัดนั้นไว้ด้วยการรวบข้อมือแกร่ง ก่อนปัดออกห่างอย่างรวดเร็วไม่ไยดี

    และด้วยท่าทีสบาย ๆ ที่ทำให้ไกรวีที่มองอยู่อย่างเคร่งเครียดเสียวสันหลังวูบอีกด้วย

    คิดดูดี ๆ นะครับถ้าจะใช้กำลังนทีธัชช์เอ่ยนิ่ง ๆ ดูไม่ทุกข์ร้อนกับหมัดหนัก ๆ เมื่อครู่ที่รับได้ กฎของโลกอาจมีไว้แหกสำหรับพวกคุณ แต่กฎของที่นี่เราไม่ยินยอมให้คุณแหกได้นะครับ เพราะอย่างนั้นผมคงต้องขอเชิญพวกคุณออกจากไร่ของผมโดยทางเรายินดีที่จะคืนค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ แต่ถ้ายังไม่ออกไปผมคงต้องแจ้งตำรวจให้เข้ามาเคลียร์พวกคุณ

    นทีธัชช์จุดยิ้มเย็น เลือกเอาแล้วกันครับ

    เพียงได้ยินคำว่าตำรวจเลือดที่ขึ้นหน้าก็คล้ายจะเผือดสีไปในทันที ทั้งหมดมองตากันอย่างถามความเห็น ก่อนพยักหน้าให้กันเมื่อตัดสินใจได้ว่าจะไปจากที่นี่ เพราะไม่เพียงแต่ไม่อยากให้เรื่องถึงตำรวจเท่านั้น ท่าทางนิ่งสงบของนทีธัชช์ก็ยังสร้างให้เกิดความหวั่นหวาดอยู่มากทีเดียว

    เพียงครู่เดียวเท่านั้นกลุ่มนักท่องเที่ยวเจ้าปัญหาก็เก็บของเรียบร้อย ไม่แม้แต่จะรอรับเงินคืนด้วยซ้ำก็พากันเดินไปขึ้นรถขับออกไป ให้นทีธัชช์มองกองขยะที่ไม่ยักจะคิดเก็บไปด้วยอย่างเซ็ง ๆ ก่อนหันไปหาเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ยืนอย่างเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ออกคำสั่งเสียงเรียบ

    คุณช่วยเก็บขยะตรงนี้ให้ผมด้วยนะครับ ส่วนคุณนทีธัชช์หันไปทางอีกคนตามรถคันนั้นไป

    เท่านั้นเจ้าหน้าที่ก็เข้าใจ กระโดดขึ้นจักรยานยนต์แล้วพุ่งฉิวทะยานตามออกไปทันที ส่วนเขาก็หันไปยกมือไหว้พร้อมขอโทษนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นที่อยู่ใกล้ โชคยังดีที่มีแต่คนเข้าใจ จึงได้รับรอยยิ้มพร้อมคำชื่นชมตอบกลับมาก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามเดิม

    นทีธัชช์ดูกังวลเล็กน้อยยามมองไปทางเรือนพร่างดาวแล้วเห็นว่าแขกของเขายังคงยืนอยู่ จึงหันไปมองไกรวี พยักหน้าเงียบ ๆ ให้เดินตามมา กระทั่งถึงเรือนพร่างดาวจึงจุดยิ้มน้อย ๆ เอ่ยปากทันที

    ขอโทษด้วยนะครับที่ต้องมาเจอเรื่องวุ่นวายอย่างนี้

    ไม่เป็นไรครับสหรัถส่ายหน้ายิ้ม ๆแต่ทุกอย่างโอเคใช่ไหมครับ

    ครับ เรียบร้อยดีแล้ว แต่ยังไงพรุ่งนี้ผมคงต้องชดเชยที่รบกวนทุกคน พรุ่งนี้คุณโชนคุณมีนอย่ารีบกลับแล้วกันนะครับ

    ผมกะว่าจะเที่ยวสวนอีกหน่อยครับ เที่ยง ๆ ถึงกลับรดิศว่าอย่างนั้น เขาเพิ่งปิดงานเสร็จเรียบร้อยก่อนจะเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นไม่กี่นาที ยังคิดอยู่เลยว่าถ้างานยังไม่เสร็จดี เขาคงได้มีไปร่วมวงกับกลุ่มนั้นบ้างล่ะประชดน่ะ

    พรุ่งนี้มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับคุณที

    นทีธัชช์นิ่ง อยากปฏิเสธแต่ก็รู้ดีว่าคำถามนั้นจริงใจ จึงครุ่นคิดอยู่ครู่ค่อยพยักหน้าถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณโชนเป็นพ่อครัว ทำอเมริกันเบรคฟาสต์ได้รึเปล่าครับ ผมยินดีจ่ายค่าตัวให้นะ

    หากสหรัถกลับหัวเราะเบา ๆอย่าเลยครับ ถือว่าผมตอบแทนที่ได้พักฟรีดีกว่า

    นทีธัชช์อยากปฏิเสธ แต่ไม่ทันได้ขัดอะไรโทรศัพท์มือถือเขาก็ดังขึ้น พบเป็นเจ้าหน้าที่ที่ให้ออกตามกลุ่มนักท่องเที่ยวเจ้าปัญหาไป จึงจำต้องตัดบทกับสหรัถด้วยการยินยอม

    ยังไงถ้าพรุ่งนี้ต้องเตรียมอะไรบ้างโทรบอกผมได้เลยนะครับ ผมต้องขอตัวก่อน

    ครัวเปิดกี่โมงครับ

    ตีสี่ครับนทีธัชช์ตอบ หันไปพยักหน้าให้คนข้างกันก่อนหมุนตัวเดินไปก่อน

    ไกรวีบอกลาคนทั้งสองแล้วเดินตามนทีธัชช์กลับมาที่รถ เป็นคนขับเองเพื่อให้นทีธัชช์ได้พูดคุยอย่างสะดวก ชายหนุ่มไม่รู้ว่าคนที่ติดต่อมาพูดเรื่องอะไร รู้แต่นทีธัชช์ตอบรับบ้างด้วยเสียงทุ้มขรึมจริงจัง

    อีกครู่จึงค่อยวางสาย หันมองไกรวีที่ขับรถแล้วอมยิ้มน้อย ๆง่วงเหรอ

    ครับ?”

    เห็นเงียบเชียว

    อ้าวไกรวีร้องอย่างงุนงง ก่อนหัวเราะออกมาแล้วไม่พูดอะไร จนรถจอดเทียบที่ลานจอด ก้าวลงจากรถแล้วค่อยเอ่ยคำก็เห็นคุยโทรศัพท์ จะให้ผมขัดเหรอครับ

    ไม่ พี่แค่อยากรู้ว่ากลัวไหม

    กลัวอะไรครับ

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    เท่านั้นไกรวีก็ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายขบขันอย่างที่ทำให้คนมองอ่อนใจไม่มีอะไรน่ากลัวนี่ครับ

    ไม่กลัวพี่สักหน่อยเลยเหรอ

    ต้องกลัวเหรอครับ

    นทีธัชช์หรี่เรียวตา มองคนที่เดินออกไปหลังบ้านแล้วกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมโน้ตบุ๊ก ไม่ได้มีท่าทีสนใจกันด้วยการเดินไปทางห้องตัวเอง ให้นทีธัชช์เดินตาม ยกแขนดันประตูที่เกือบจะปิดใส่หน้าเอาไว้แล้วมองตาไกรวีนิ่ง

    เขามีคำพูดมากมายที่อยากจะพูด อยากถามว่ากลัวไหมที่เขานิ่งเกินไปยามมีเรื่องมีราว รู้สึกยังไงที่ต้องเผชิญกับปัญหาภายในไร่ที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก นทีธัชช์รู้ดีว่าเขากำลังให้ความใส่ใจกับทุกความรู้สึกนึกคิดของไกรวี และเขาอยากรู้ทุก ๆ สิ่งที่อยู่ในใจของอีกฝ่าย

    หากที่สุดนทีธัชช์ก็เพียงแต่จุดยิ้ม เอ่ยด้วยเสียงที่เบาและทุ้มนุ่มกว่าเคย

    ฝันดีนะ

    ไกรวีนิ่ง ลูกแก้วกลมวาวเป็นประกายน่ามอง ยกยิ้มขอบคุณก่อนตอบกลับด้วยเสียงที่เบาลงเช่นกันฝันดีครับ

    แล้วประตูก็ปิดลง

    หากนทีธัชช์ยังยืนนิ่ง มองบานประตูที่ไม่รู้ว่าคนข้างในจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วหรือยัง ส่วนเขาก็ยังติดค้างอยู่ที่ตรงนี้ พร้อมความคิดที่ว่าดีแล้ว ดีแล้วที่ไกรวีปิดประตูทันทีหลังตอบรับกัน เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงจะทำอย่างที่ตั้งใจจะทำก่อนต้องออกไปสะสางเรื่องแน่ ๆ เขามั่นใจ

    และใช่ ตอนนี้นทีธัชช์คิดว่ายังไม่ถึงเวลา ไม่ใช่เวลาสำหรับเขา แต่เป็นสำหรับไกรวีต่างหากล่ะ

     

    วันนี้บ้านสวนรินทร์ธาราสงบเงียบผิดปกติ

    ไม่สิ อันที่จริงบ้านสวนสงบมากกว่าฝั่งไร่เป็นไหน ๆ แต่ปกติต้องมีคนออกมาต้อนรับกันให้ได้ชื่นใจ ทว่าวันนี้กลับไม่มี

    ไกรวีเองก็ดูจะเห็นถึงความผิดปกติอย่างที่นทีธัชช์เห็น ดวงตาคู่วาวเหลียวมองมาอย่างต้องการถามความเห็น หากชายหนุ่มก็ยังส่งเพียงการทอดถอนใจไปให้ เอ่ยปากบอกเสียงเรียบไปเถอะ

    นทีธัชช์ออกเดินนำก่อน มีความระแวดระวังยามก้าวเท้า ก่อนชะงักนิ่งอยู่ตรงกรอบประตูด้วยใบหน้าที่แสดงความตกใจอย่างที่พยายามซุกซ่อนเอาไว้แล้วแต่ไม่สำเร็จ นั่นทำให้ไกรวีสาวเท้าเร็วรี่ แล้วได้ชะงักค้างอยู่ข้าง ๆ กัน

    สองสายตามองไปยังตั่งไม้ในห้องโถงนั่งเล่น เห็นนภางค์นั่งอ่านหนังสืออย่างเงียบ ๆ อยู่บนนั้น เงยหน้าขึ้นมามองเพียงชั่วแวบแล้วก็กลับไปสนใจหนังสือต่อ ถัดมาเป็นเพชรพริ้งที่เอนหลังกอดหมอนอิงพิงพนัก ปิดเปลือกตาลงเหมือนคนกำลังหลับ ส่วนคีรินทร์ รายนั้นนั่งกอดอกนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่บนเก้าอี้ไม้เดี่ยวใกล้กับเพชรพริ้ง สีหน้ายามมองน้องชายฝาแฝดกับไกรวีเรียบเฉยคล้ายคุกรุ่นนิด ๆ แต่สายตาที่สบกันกับนทีธัชช์ก็บ่งบอกได้ดีว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในสถานะจำยอมมากแค่ไหน หากเทียบกับอีกสองคนที่อยู่ในท่าทีสบาย ๆ อย่างนั้น

    นทีธัชช์เม้มปาก มองไปที่แม่ เพชรพริ้ง และกลับมาหยุดที่คีรินทร์อีกครั้ง ก่อนจะหัวเราะพรืดอย่างที่ไม่สามารถกลั้นไว้ได้อีกต่อไปแล้ว

    ก็จะไม่ให้เขาหัวเราะได้ยังไง เขาน่ะนึกว่ามีเรื่องมีราวอะไรเกิดขึ้นกันหรือเปล่าถึงไม่ออกไปต้อนรับ ที่แท้ก็กำลังพอกหน้ากันอยู่นี่เอง แถมยังทาด้วยครีมสีชาเขียวอีกด้วย!

    เสียงของนทีธัชช์ทำให้เพชรพริ้งลืมตา ขณะที่คนนั่งกอดอกชี้นิ้วส่งมาอย่างคาดโทษ นั่นทำให้นทีธัชช์กลั้นขำจนตัวกระเพื่อม เกือบหลุดเสียงหัวเราะอีกรอบเมื่อว่าที่คุณแม่ท้องอ่อนกวักมือเรียกน้องชายก่อนหันไปหยิบกระปุกครีมมาไว้กับมือ

    มาเลยเราน่ะ ตากแดดตากลมทุกวัน มาบำรุงเลยนะ

    เพชรพริ้งบอกเสียงในลำคอ พยายามไม่เปิดปากมาก ให้น้องชายอมยิ้มน้อย ๆ ตั้งใจจะเดินเข้าไปหา เขาน่ะไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะตั้งแต่เพชรพริ้งเริ่มโตเป็นสาว ก็เขานี่แหละที่โดนเธอจับทาครีมบำรุงด้วยเสมอ เป็นผลให้วิรงรอง สาวแคชเชียร์ส่วนร้านอาหารชมไม่ขาดปากไงล่ะ

    แต่ช้าก่อน คีรินทร์ยังโดน แล้วแฝดคนน้องเล่าจะยืนเฉยกลั้นขำตัวกระเพื่อมได้อย่างไร

    พี่ที

    เสียงเรียบเย็นขัดดวงตาแวววาวทำให้นทีธัชช์กลืนน้ำลายลงคอ เขาส่ายหน้า ตั้งท่าจะหันหนีก็ถูกรวบแขนแล้วรั้งให้ก้าวเดินไปยังตั่งไม้ ไกรวียื่นมือเป็นสัญญาณให้พี่สาวส่งกระปุกครีมพอกหน้ามา ยิ้มเย็นแล้วเอ่ยบอกเสียงนุ่มไปล้างหน้าสิครับ เดี๋ยวผมทาให้ ห้ามหนีด้วย พี่ทีคงไม่คิดว่าผมจะปล่อยพี่ทีไปใช่ไหม

    นทีธัชช์หน้าเหวอ หันมองฝาแฝดก็เห็นว่ากำลังจุดยิ้มเยาะมองมา พอกลับมาสบตาเห็นแววจริงจังเลยทำอะไรไม่ถูก อยากปฏิเสธใจแทบขาด แต่ติดที่ไกรวีไม่เสียเวลารอแล้ว ชายหนุ่มละมือจากแขนเขาไปหยิบห่อทิชชูเปียก แล้วก็ยืนเช็ดหน้าให้กันอย่างนั้นเลย

    ลีลาอยู่ได้ เสียเวลากันพอดี

    แม้จะเป็นการเช็ดหน้าให้เฉย ๆ แต่นทีธัชช์ยังรู้ว่าไกรวีมือเบาแค่ไหน หากนั่นกลับไม่ได้ทำให้เขาสงบนักหรอก ยิ่งโดยเฉพาะตอนที่เพชรพริ้งส่งกิ๊บสีดำมาให้ไกรวี เขารู้แล้วว่าชะตากรรมตัวเองต้องไม่ต่างจากคีรินทร์แน่!

    ชายหนุ่มส่งสายตาขอความช่วยเหลือ คีรินทร์ส่งเสียงหึเหอะในลำคอ เย้ยหยันกันเต็มกำลัง ก่อนจะเป็นเพชรพริ้งที่ขยับตัวแล้วแตะมือน้องชายที่กำลังจะปาดครีมลงมาบนหน้าเขา

    กร เดี๋ยวก่อน

    นทีธัชช์ถอนหายใจเฮือก คิดว่าเพชรพริ้งอาจเห็นใจและบอกให้ไกรวีหยุด แต่กลายเป็นว่าใช้มือเลยเหรอ มีไม้พายครีมนะ

    ไม่เป็นไรครับ มือก็ได้

    เพชรพริ้งเลยพยักหน้า เกือบหลุดหัวเราะเมื่อนทีธัชช์ถลึงตามองมา แต่ก่อนจะได้ทำอะไรมากกว่านั้น เสียงนาฬิกาปลุกก็ดังขึ้นให้คีรินทร์รีบเอื้อมมือไปกดปิด ผุดลุกขึ้นทันทีโดยไม่ลืมเข้าประคองร่างภรรยา ก่อนประคองผู้เป็นแม่ให้หยัดยืนแล้วผละตัวพุ่งเข้าห้องน้ำไปเป็นคนแรก

    ยี่สิบนาทีก็พอนะ

    เพชรพริ้งส่งท้าย ก่อนเดินหายไปทางห้องน้ำกับนภางค์ที่มองลูกชายราวกับจะเยาะหยันอีกคน ไกรวีเองก็ได้แต่พยักหน้า ก้มหน้าปาดครีมมาติดนิ้วแล้วเอื้อมไปหมายจะแตะต้องใบหน้าคมคร้าม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อนทีธัชช์ยกมือขึ้นรั้งข้อมือขาวไว้เสียก่อน

    ไม่พอกไม่ได้เหรอ

    ไกรวีไม่ตอบ แต่มองตานิ่ง นั่นล่ะถึงเป็นคำตอบที่ทำให้นทีธัชช์ปล่อยวาง ถอนใจอีกหนแล้วปล่อยให้ไกรวีละเลงหน้าเขาด้วยครีมพอก จนครบทุกอณูผิวจึงห่างออกไป เช็ดหน้าเช็ดตาติดกิ๊บแล้วเริ่มทาหน้าให้ตัวเองบ้าง

    นทีธัชช์อยากถอนหายใจอีกรอบ เพียงแต่คราวนี้กลับเป็นเพราะความเสียดาย ไกรวีปาดครีมได้คล่องแคล่วรวดเร็วและด้วยสัมผัสที่เบาให้นทีธัชช์รู้สึกเหมือนมีปุยนุ่นแต้มหน้า และมันเร็วเกินไปเร็วไปจนเขาไม่ทันได้พิจารณาดวงตาคู่นั้นได้อย่างลึกซึ้ง

    และแม้จะชั่วแวบไม่ถึงนาที แต่นทีธัชช์กลับคล้ายถูกมนตร์สะกดเป็นชั่วโมง

     

    นทีธัชช์แยกไม่ออกว่าล้างหน้าธรรมดากับการต้องมาพอกหน้าอย่างนี้มันต่างกันตรงไหน เพราะหลังจากที่ต้องทนทรมานนั่งเงียบ ๆ ไปยี่สิบนาที การพอกหน้าครีมชาเขียวก็ไม่เห็นจะเกิดผลใดต่อเขา ไกรวีให้ความเห็นว่าเพราะหน้าเขาหนาเกินไป ถ้าบำรุงบ่อย ๆ ก็จะเห็นผลเอง

    โดนหลอกด่าว่าหน้าหนายังไม่เท่าไหร่ แต่จะให้บำรุงบ่อย ๆ งั้นหรือฝันไปเถอะ!

    หลังจากหาเหตุผลในการพอกหน้าไม่ได้แล้วและรู้ว่าต่อไปอาจต้องหาทางหนีทีไล่มากกว่าต้องจำยอมเหมือนแฝดคนพี่ นทีธัชช์ก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ในห้องทำงานที่เปิดโล่ง มีเพียงเขากับฝาแฝด เมื่อสบตาที่ยังมีรอยขบขันนทีธัชช์ก็เอ่ยปากทันที เข้าเรื่องเลยได้ไหม

    ที่เขามาบ้านสวนวันนี้ก็เพียงเพื่อรับฟังข่าวความคืบหน้าจากคีรินทร์ แฝดผู้พี่พยักหน้า มองไปทางเพชรพริ้งที่กำลังตัดเล็มผมให้น้องชายอยู่ทางห้องโถงจึงค่อยเอ่ยคำ

    คนที่ผลักพลอยตกผาชื่อน้อย เป็นคนพิษณุโลก ที่สำคัญคือน้อยไม่ใช่คนงานของเคียงผกายมาหลายเดือนแล้ว

    นทีธัชช์นิ่ง กอดอกครุ่นคิดหลายเดือนนี่กี่เดือน ออกก่อนที่จะเกิดเรื่องไหม

    ใช่คีรินทร์มีสีหน้าจริงจังขึ้นก่อนกลับมาที่นี่ ฉันลองไปตามหาน้อยที่พิษณุโลกมา

    เจอไหม

    เจออีกครั้งที่คีรินทร์มองผ่านแฝดผู้น้องไปทางภรรยา ก่อนกลับมาสบตาแล้วพูดต่อเจอแต่รูปติดหน้าเจดีย์เก็บอัฐ

    นทีธัชช์ขมวดคิ้ว รู้สึกติดขัดในใจอย่างบอกไม่ถูก ถ้อยคำนั้นบอกเขาได้ดีแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากได้รับการยืนยันอีกครั้งจากคีรินทร์

    คนที่เพียงมองตากันก็รู้ใจมีหรือจะมองไม่ออก เขาทอดถอนลมหายใจ เอ่ยด้วยเสียงเข้มขรึมจริงจังน้อยตายแล้ว ฆ่าตัวตายที่บ้านตัวเอง แล้วถ้านายอยากรู้ว่าตายวันไหนน้อยตายหลังฉันไปกรุงเทพหนึ่งวัน

    แปลก แต่นทีธัชช์ยังสรุปไม่ได้ว่าแปลกที่ตรงไหน ชายหนุ่มหยุดความสงสัยไว้เพียงเท่านั้น ก่อนบอกเล่าถึงเรื่องที่เจอมาในคืนก่อนให้คีรินทร์รับฟัง เขาข้ามขั้นตอนการจัดการของตัวเองไป รู้ดีว่าหากเป็นคีรินทร์คงใช้วิธีที่ละมุนละม่อมมากกว่านี้ มาชัดเจนจริงจังก็ตอนที่เล่าว่าได้ข่าวจากการติดตามนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นว่าเป็นอย่างไร

    มันเป็นคนของเคียงผกายนทีธัชช์สรุปอย่างนั้นแต่ฉันจำหนึ่งในหกคนนั้นได้ มันถูกไล่ออกแล้ว นานแล้วด้วย ไม่แน่ใจว่าเพราะเรื่องอะไร แต่ก็หนักพอที่ไอ้ฐานจะไม่ให้กลับเข้าเคียงผกายอีก

    คีรินทร์ถอนหายใจพลางครุ่นคิด เงียบกันไปอีกพักกว่าจะเอ่ยต่อได้ฐานต้องการอะไร

    เสียงหัวเราะของนภางค์กับเพชรพริ้งดังเข้ามา ให้คีรินทร์ทอดสายตามองไปแล้วยิ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาครุ่นคิดอย่างหนักหลังพบน้อยที่เหลือเพียงชื่ออยู่บนโลกเท่านั้น สังหรณ์บางอย่างบอกเขาว่าเรื่องที่เกิดขึ้นรุนแรงกว่าที่คิด และเขาไม่อาจยอมเสี่ยงให้เพชรพริ้งต้องมีส่วนเกี่ยวข้องมากไปกว่านี้อีกแล้ว

    นทีธัชช์เห็นแววตาที่แฝดของตนมองภรรยาก็เข้าใจ และคิดว่าคีรินทร์คงมีเรื่องที่ตัดสินใจได้แล้ว

    เมื่อคืน…” ชายหนุ่มเปรยขึ้น เสียงแผ่วลงฉันถามพลอยว่าถ้าฉันให้กลับไปอยู่บ้านที่กรุงเทพจะยอมไหม พลอยไม่ยอม

    ก็คิดว่าอย่างนั้นนทีธัชช์จุดยิ้มเมียนายแกร่งขนาดนั้น คิดว่าเขาจะทิ้งปัญหาหนีเอาตัวรอดรึไง

    แต่ตอนนี้พลอยอุ้มท้อง...คีรินทร์เคาะนิ้วกับผิวโต๊ะอย่างคิดถึงเรื่องที่ตัดสินใจไว้ก่อนแล้วเป็นครั้งสุดท้ายจากนี้ไป เราจะคุยกันโดยไม่มีพลอยเข้ามาเกี่ยวข้อง

    ถ้าคิดว่าทำได้

    ต้องทำได้

    เสียงคีรินทร์จริงจังจนนทีธัชช์เลิกคิ้ว อดยิ้มไม่ได้แม้จะอยู่ในสภาวะตึงเครียดนายเป็นสามีที่ดีว่ะคี และนายก็จะเป็นพ่อที่ดี

    นายก็เหมือนกัน

    อะไร

    คนของนาย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงนายก็คงไม่ให้เขาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้วใช่ไหม

    นทีธัชช์ถอนหายใจ และ… “ใช่

    ระหว่างนี้ก็ระวังตัวให้ดี ฉันคิดว่าทางนั้นกำลังกลับมาเล่นงานคนใกล้ตัวเราอีกแล้ว

    จะเริ่มที่ใคร

    เมืองรามคำของคีรินทร์ทำให้นทีธัชช์หน้านิ่วรามเพิ่งโดนไปไม่ใช่เหรอ ใครก็รู้ว่ารามค่อนข้างสนิทกับนาย อย่างน้อยก็ในฐานะคนที่นับถือนาย

    ก็ใช่ นั่นจริง เขาตกใจและค่อนข้างครุ่นคิดถึงเรื่องที่เมืองรามเจอ และอดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าอีกไม่นานภัยร้ายจะยิ่งใกล้ตัวมากขึ้น หากเขากลับยังไม่สามารถละทิ้งหรือกระทั่งสะบัดคนใกล้ตัวที่เสี่ยงต่ออันตรายให้ออกห่างได้ ชายหนุ่มยังมั่นใจว่าตัวเองจะปกป้องดูแล จะเป็นโล่กำบังไม่ให้คนสำคัญได้รับอันตราย

    เพราะหากเขาทำไม่ได้ เขาก็คงไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้เช่นกัน

    ฐานมันทำแปลก ๆนทีธัชช์ออกความเห็นในที่สุดทำเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายมาครั้งหนึ่ง แล้วอยู่ ๆ ก็กลับมาลอบกัดเหมือนเด็ก ๆ ฉันมองไม่ออกว่ามันคิดอะไร

    ชายหนุ่มนิ่งไปอีกอึดใจจึงเอ่ยต่อหรือบางทีคนที่สั่งการน้อยจะไม่ใช่มัน

    แล้วใคร

    นทีธัชช์กลอกตาเมื่อได้ยินคำถาม และปฏิกิริยานั้นก็ทำให้คีรินทร์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ เขารู้ว่าแฝดผู้น้องคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีหลายอย่างที่กำลังทำให้ความมั่นใจเกี่ยวกับฐานัสซวนเซ แม้แต่เขาเองก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าคนที่เคยเห็นกันมาตั้งแต่เด็กไม่น่าจะทำอย่างนั้นได้ลง แม้ฐานัสจะค่อนข้างนิสัยร้าย เจ้าคิดเจ้าแค้น แต่ความร้ายกาจของชายหนุ่มไม่เคยทำอันตรายใครถึงชีวิตมาก่อน

    หรือเขาสองคนกำลังถูกหลอกให้หลงทาง

    คีรินทร์สบตากับนทีธัชช์ รับรู้ได้ในทันทีว่าคนที่มีพิมพ์หน้าเดียวกันกำลังคิดเหมือนกัน หากแต่ในขณะที่เขาอยู่ในท่าทีสงบ นทีธัชช์กลับกำลังขบกรามแน่น

    ใครก็ตาม…”

    นทีธัชช์เว้นคำเพียงเท่านั้นเมื่อไกรวีเดินมาหยุดที่ประตูแล้วเคาะเบา ๆ พอหันไปมอง ก็เลยได้เห็นว่าผมของอีกฝ่ายสั้นลงเล็กน้อยแต่ก็ยังรับกับกรอบหน้าได้พอดี ไกรวีมองตาเขาแล้วอมยิ้ม ออกปากถามให้นทีธัชช์หันมองแฝดตน

    ป้านภางค์เรียกทานขนมครับ คุยงานกันเสร็จรึยัง

    คุยงานอ้อ ใช่สิ คีรินทร์บอกว่ามีเรื่องงานจะคุยกับเขาเพื่อกันไม่ให้เพชรพริ้งเข้ามาคุยด้วย และเขาdHสมทบเพิ่มเติมว่าไม่ใช่งานในส่วนที่ไกรวีเคยเรียนรู้ ดังนั้นจึงไม่ต้องเข้ามาคุยด้วยก็ได้

    นี่เขากำลังกันไกรวีออกห่างจากเรื่องนี้อยู่งั้นหรือ

    ไม่ใช่เพราะคิดได้ว่าตนสมทบพี่ชายฝาแฝดไป แต่เป็นเพราะอยู่ ๆ ก็คิดว่าจะไม่เล่าเรื่องที่เพิ่งคุยกับคีรินทร์ให้ไกรวีฟัง เพราะรู้ดีว่าไกรวีจะไม่ถาม และเขาก็ยืนกรานอยู่ในใจว่าจะไม่พูด

    ครับ คุยเสร็จพอดี มีชาไหมครับกร

    มีครับ พี่พลอยชงไว้

    คีรินทร์ยกยิ้ม มองไกรวีที่หมุนตัวเดินห่างไปแล้วจึงกลับมามองนทีธัชช์ เห็นม่านตาคมที่สงบนิ่งอย่างนั้นก็เข้าใจ เขาคิดว่าน้องชายฝาแฝดก็คงตัดสินใจได้แล้วเหมือนกัน

    ไปเถอะ อย่าให้กรรอ

    ถึงอย่างนั้นก็ยังเอ่ยเย้าแหย่ให้ได้รับสายตาคาดโทษ คีรินทร์หัวเราะเบา ๆ หยัดกายขึ้นยืนแล้วเดินออกไปก่อน นั่งนิ่งอีกครู่นทีธัชช์จึงค่อยลุกออกมาบ้าง เขามองใบหน้าเปื้อนยิ้มของไกรวี พลันความรู้สึกหนึ่งกลับแล่นลิ่วอยู่ในอก

    เขากังวล

    กังวลว่าหนึ่งในคนสำคัญจะถูกทำร้ายไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง และหนึ่งในคนสำคัญนั้นจะเป็นไกรวี

    และไม่ เขาจะไม่มีวันยอม!



    โปรดติดตามตอนต่อไป



    #ธาราโอบจันทร์ หรือ คอมเมนต์ หรือ กดให้กำลังใจ นะคะน้าาน้าน้าน้า

    ขอบคุณค่าา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×