คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่เก้า ... (รีไรท์)
คีรินทร์สะดุดตากับแจกันทรงสูงที่วางอยู่โต๊ะหน้าโซฟาในห้องรับรองแขกเป็นลำดับแรก
พินิจดอกสีขาวนวลตาเป็นอย่างที่สอง ก่อนตวัดสายตามองฝาแฝดตนที่นั่งทำงานอยู่ในห้องติดกันอย่างไม่ทันได้รู้ว่าเขาปรากฏตัวขึ้น
กลับไปมองดอกไม้ในแจกันอีกครั้ง ก่อนผลักบานประตูเข้าห้องทำงานไป
นทีธัชช์เงยหน้าขึ้นมอง สัมผัสได้ถึงแววตาระยับพราวของคีรินทร์ยามทอดมองมา
และเขาคงจะสงสัยมากกว่านี้หากเสียงโทนเดียวกันแต่นุ่มกว่าไม่ดังขึ้นเสียก่อน
“ไม่ยักรู้ว่านายอยากแบ่งปันให้คนอื่นได้เห็นด้วยแล้ว”
ชายหนุ่มมองตากับแฝดผู้พี่ รอกระทั่งคีรินทร์หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานจึงค่อยตอบ “ไม่ใช่ฉัน”
“แล้วใคร…อ้อ ก็น่าจะมีคนเดียวนี่นะ”
คีรินทร์ยิ้ม เป็นยิ้มที่หากมองผิวเผินก็คงดูอบอุ่นอย่างผู้ชายอ่อนโยน
แต่นทีธัชช์กลับมองเห็นอีกริ้วอารมณ์ที่เจือผ่านม่านตา เขาไม่ได้ตอบกลับในทันที หากแต่พิจารณาความซุกซนบนดวงตาอ่อนแสงอีกครู่จึงค่อยหยิบยางลบปาใส่อกแล้วชี้หน้าอย่างคาดโทษ
ให้คนที่สะกดอารมณ์ก่อนหน้านี้หัวเราะหึ เก็บก้อนสีขาวเล็กเท่าข้อนิ้วมือที่แฝดผู้น้องใช้เป็นอาวุธทำร้ายกันวางลงบนโต๊ะแล้วไถ่ถามด้วยน้ำเสียงปกติ
“แล้วนี่กรไปไหน”
“ไม่รู้”
“ไม่รู้ได้ยังไง นั่งตรงนี้ต้องมองเห็นตลอดอยู่แล้วนี่”
เอาล่ะ นทีธัชช์คิดว่าคีรินทร์เริ่มเล่นมากเกินไปแล้วนะ “ผมก้มหน้าก้มตาทำแต่งานครับคุณคีรินทร์ ใครจะมีแก่ใจสอดส่องแต่เรื่องชาวบ้านเหมือนคุณครับ”
ฟังดูก็รู้ว่านทีธัชช์จงใจหลอกด่ากัน แต่คีรินทร์ก็เพียงแต่ยกยิ้ม
เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ กรุ่นอบอุ่นอย่างที่ทำให้นทีธัชช์นิ่วหน้า “รู้ไหม การได้มองคนที่ตัวเองรักตลอดเวลาถือเป็นความสุขอย่างหนึ่ง”
นทีธัชช์พ่นลมหายใจเข้าข่ม กลอกตาราวกับระอาใจที่ฝาแฝดปล่อยความหวานให้ลอยละล่องอบอวลแม้ไม่มีภรรยาอยู่ก็ตาม
หากชายหนุ่มก็เข้าใจได้ คีรินทร์เคยนั่งอยู่ตรงนี้ ลอบมองเพชรพริ้งที่ประจำการอยู่ในห้องรับรองแขกทุกครั้งที่มีโอกาส
ซึ่งในตอนนี้พื้นที่นั้นถูกไกรวียึดครองไปแล้ว แต่จะให้เขาบอกว่าเข้าใจ ให้เขายอมรับว่าทำเหมือนกัน…ก็เห็นจะเป็นการโกหกเกินไป
เพราะเขาไม่ได้ทำอย่างที่คีรินทร์เคยทำ…เรื่องอะไรจะต้องลอบมอง ถ้าอยากมองอยากเห็นก็แค่เงยหน้าแล้วจ้องไปตรง ๆ ก็จบเรื่องแล้ว
คีรินทร์อมยิ้มที่แฝดของตนใช้ความเงียบเข้าสู้
ก่อนจะได้สงบศึกชั่วคราวเมื่อมีอีกคนก้าวเข้ามาในสำนักงาน ฝาแฝดหันมองไปจังหวะเดียวกับที่คนมาใหม่ดูจะสะดุดไปทันทีเมื่อเห็นดอกนางพญาเสือโคร่งในแจกัน
เป็นการชะงักนิ่งเพียงวินาทีหนึ่ง ก่อนจะหันมองมาทางห้องทำงาน ก้าวเท้าผลักประตูตรงเข้ามาแล้วยกมือไหว้ทักทาย
“สวัสดีครับพี่คี พี่ที”
นทีธัชช์พยักหน้า ในขณะที่คีรินทร์ลุกจากเก้าอี้แล้วผลักมันให้เมืองราม
ด้วยรู้ดีว่าหากชายหนุ่มมาหาแฝดตนถึงที่นี่ ก็คงเพราะมีเรื่องให้ช่วยเหลือหรืออยากขอคำปรึกษา
แต่ก่อนจะเดินไปทางโซฟาชุดที่อยู่อีกทาง
คีรินทร์ก็ต้องหยุดยืนนิ่งเพราะเมืองรามพูดขึ้นมาเสียก่อน
“นั่นนางพญาเสือโคร่งหลังบ้านพี่ทีเหรอครับ”
“ใช่”
“หือ แปลกนะครับเนี่ยที่พี่ทีตัดกิ่งมันมาใส่แจกัน”
คีรินทร์จุดยิ้ม อยากรู้ว่าคนที่ทำหน้านิ่งจะตอบอย่างไร
และอาจเพราะได้รับทั้งคำเอ่ยดูซื่อ ๆ ของเมืองราม กับสายตาเจ้าเล่ห์สวมนวมของคีรินทร์
ชายหนุ่มเลยเกิดอาการอึดอัดขึ้นมาชั่ววูบ ตอบกลับไปเสียงเรียบทว่ากรุ่นแววหงุดหงิดอยู่ในที
“วันก่อนที่ลมแรง มีกิ่งอ่อนจะหัก
พี่เลยตัดมันออก”
เมืองรามพยักหน้าเข้าใจ แต่คีรินทร์นี่สิ “นึกว่าเพราะมีคนอยากได้ซะอีก”
นทีธัชช์เลยได้ถอนใจ ตวัดตามองแฝดผู้พี่อย่างต้องการจะปราม
แม้เขากับเมืองรามจะดูสนิทกัน แต่ก็เป็นเขาเองที่ยังสร้างระยะห่างไม่ให้หนุ่มรุ่นน้องข้ามเส้นมามากเกินไป
อะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวเขาก็ยังสงวนสิทธิ์ตัวเองไว้ ซึ่งเมืองรามก็รับรู้ได้ถึงข้อนั้นเช่นเดียวกัน
เมืองรามจุดยิ้มเมื่อได้ยินคำของคีรินทร์
ไม่ถามอะไร และนทีธัชช์ก็เหมือนอยากจะออกห่างให้ไกลจากเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน จึงถามเขาเสียงเรียบ
พเยิดหน้าให้นั่งลง “มีอะไรรึเปล่าราม”
“ครับ” เท่านั้นใบหน้าของคนจุดยิ้มก็กลายเป็นเคร่งเครียด บอกให้ฝาแฝดรู้ว่าคงมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่
“เมื่อคืนมีขโมยเข้าสวนผมครับ ของหายไปเยอะมาก ผมเลยจะมาขออีเอ็ม[1]จากรินทร์ธาราหน่อยน่ะครับ”
“ขโมยเหรอ มีอะไรมีค่าหายไปบ้างรึเปล่า”
“ครับ เงินที่เก็บไว้ที่โต๊ะในห้องทำงานหายไป
แปลงผักโดนสารเคมีทำลายไปสามงาน…แต่ที่สำคัญคือพวกปุ๋ย อีเอ็ม
แล้วก็ผักที่เตรียมส่งวันนี้ หายไปทั้งหมดเลยครับ”
นทีธัชช์ขมวดคิ้ว เหลียวสายตามองกับคีรินทร์เพียงวินาที
ไม่ทันได้ทักได้ถามอะไรเพิ่มเมืองรามก็เอ่ยต่อ “ผมกลัวว่า…บางทีอาจจะเป็นคนของเคียงผกาย”
เป็นคีรินทร์ที่ขมวดคิ้วบ้าง “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
เมืองรามนิ่งไปนิด เขาไม่แน่ใจว่าควรพูดหรือไม่
เพราะใช่จะไม่รู้ว่ารินทร์ธารากับเคียงผกายไม่ถูกกัน ถึงเขาจะไม่ได้เข้าข้างใคร แต่การที่เลือกเส้นทางอินทรีย์ในการเกษตรของครอบครัวก็เหมือนอยู่ฝั่งนี้ชัดเจนแล้ว
หากพูดอะไรไป…ก็อาจจะเป็นการปรักปรำเคียงผกายเสียเปล่า ๆ
ชายหนุ่มซึ่งนั่งไขว่ห้างกอดอกหลังโต๊ะทำงานมองเห็นรอยกังวลใจที่ฉาบเคลือบบนดวงตาคู่เรียว “พูดมาเถอะราม แต่ถ้าหากว่าไม่ไว้—”
“ไม่ครับ ไม่ ผมไว้ใจพี่ทั้งสองคน
แล้วก็รักและเคารพมากด้วย แต่ผมแค่กลัวว่าถ้าพูดออกไปจะดูอคติแล้วก็ป้ายสีทางนั้นมากไปรึเปล่า”
“เราจะรู้กันแค่สามคน เพราะงั้น…”
นทีธัชช์เว้นคำไปครู่ เขายกมือขึ้นปรามไกรวีที่กำลังจะเข้ามาข้างใน แสดงออกให้เมืองรามรู้ว่าแม้แต่คนที่กลายเป็นคนติดตามเขาไปแล้วในตอนนี้ก็จะไม่ยุ่งไม่รู้ไม่เห็น
โชคดีที่ไกรวีไม่ดื้อดึงอะไร เพียงเห็นว่ามีบุคคลที่สามอยู่ข้างในและสีหน้าของแต่ละคนก็เคร่งเครียดแบบนั้นจึงเข้าไปอยู่ในห้องรับรองแขกแทน
ทั้งยังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาให้ได้รู้ว่าไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรด้วย
“ว่ามาเถอะ”
เมืองรามพยักหน้า ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ย “วันก่อนผมเจอกับคนของเคียงผกายครับ เข้ามาก่อกวนตอนผมจะส่งผักเข้าที่ตลาด ขู่ว่าถ้ายังคิดจะเป็นปรปักษ์กับเคียงผกายจะไม่จบดีแน่
ๆ แต่ผมไม่ได้สนใจ ไม่คิดว่า…”
ชายหนุ่มทอดถอนใจอีกครั้ง ลูบหน้าลูบตาอย่างคนสิ้นหวัง
ก่อนจะได้นิ่งไปหลังฝาแฝดมองหน้ากันแล้วหันมามองเขา เป็นนทีธัชช์ที่พูดขึ้น
“พี่อยากให้รามดูรูปหน่อย”
ถึงจะยังไม่เข้าใจนักแต่ก็พยักหน้า “ครับ”
นทีธัชช์ก้มตัวลงไปใต้โต๊ะซึ่งมีลิ้นชักเอกสาร
ดึงลิ้นชักล่างสุดให้เปิดออก หยิบซองน้ำตาลซองหนึ่งออกมา ช้อนนัยน์ตามองเมืองรามที่ยังมีสีหน้ากังวลจึงค่อยดึงแผ่นกระดาษอาร์ตการ์ดออกมาวางลงตรงหน้า
“ช่วยดูให้พี่หน่อย ในกลุ่มคนที่ไปขู่นายมีคนในรูปอยู่ด้วยรึเปล่า”
ชายรุ่นน้องหยิบรูปถ่ายไปพิจารณา ก่อนขมวดคิ้วมุ่นแล้ววางกลับคืนลงโต๊ะแม้มองเห็นรูปหน้าของคนที่อยู่บนภาพพิมพ์เพียงไม่กี่วินาที
“คนนี้แหละครับหัวหน้าเลย
ออกคำสั่งให้คนอื่นพังแผงผัก แล้วก็เป็นคนขู่ผมด้วยครับพี่ที”
“แน่ใจนะ”
“ผมจำหน้ามันได้แม่น”
เมืองรามกัดฟันกรอดอย่างลืมกังวล เคียดแค้นขึ้นมาเมื่อคิดว่าบางทีผู้ชายในรูปอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับอันตรายที่ทำให้รินทร์ธาราต้องตามเก็บประวัติไว้
นทีธัชช์พอเห็นอย่างนั้นจึงพยักหน้า เก็บรูปถ่ายกลับลงซองดังเดิมแล้วเอ่ยขึ้น
“ระวังตัวเองแล้วด้วยกัน
พี่เองก็ไม่รู้ว่าทางนั้นคิดทำอะไรอยู่ แต่ถ้าเกิดมันมาวุ่นวายหรือมีปัญหาอะไรอีกก็บอกพี่ได้นะ
ไม่ต้องเกรงใจ” ถึงจะยังกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ้าง หากเมืองรามก็ยังยกยิ้มได้
เอ่ยขอบคุณแล้วหยัดกายขึ้นยืนตามนทีธัชช์ที่ลุกขึ้นอย่างเตรียมส่งแขก “ส่วนเรื่องอีเอ็ม ต้องการเท่าไหร่บอกเก้าได้เลยนะ นายได้เอารถกระบะมารึเปล่า”
“ครับ ผมเอากระบะมา”
“งั้นก็ดี ตอนขนของขึ้นรถก็ให้คนงานที่อยู่แถวนี้มาช่วยก็ได้
อยากได้อะไรเพิ่มก็บอกเก้าเขาเลยแล้วกัน เดี๋ยวพี่ฝากเรื่องไว้กับเก้าเอง”
เมืองรามพยักหน้า สะดุดใจนิดหน่อยเพราะเหมือนนทีธัชช์ออกปากสั่งงานเสียมากกว่าจะอยู่ช่วยตามงานให้เหมือนอย่างทุกที
ชายหนุ่มหันมองคีรินทร์ที่หยัดยืนเต็มความสูง ตัดสินใจถามออกไป “นี่จะไปไหนกันเหรอครับ”
“ไปสนามบินน่ะ”
คำตอบนั้นทำให้เมืองรามกะพริบตาปริบ “เอ…ที่บอกว่าจะย้ายพี่พลอยกลับบ้านที่กรุงเทพเหรอครับ”
“ครับ ใช่” คีรินทร์ไม่แปลกใจหากเมืองรามจะทราบเรื่อง เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปิดบังอะไร
ทั้งคนงานในไร่ยังได้รับรู้กันอย่างพร้อมเพรียงแล้วในที่ประชุมเมื่อวานนี้
“พี่คีจะไปอยู่ที่นั่นเลยเหรอครับ”
“ไป ๆ มา ๆ น่ะ คงไม่ได้อยู่ตลอดหรอก
ห่วงทางนี้เหมือนกัน”
แต่เอ…เมืองรามไม่เข้าใจนักว่าห่วงรินทร์ธาราแต่ทำไมถึงมองไปทางนทีธัชช์ยิ้ม
ๆ แถมคนได้รับยิ้มยังทำสีหน้ารำคาญใจอย่างถึงที่สุด ชายหนุ่มตัดทุกบทสนทนาด้วยการก้าวออกจากห้องไปยืนสั่งงานกับจอมทัพที่จดบันทึกลงสมุดไปพร้อมกับรับฟัง
ส่วนเมืองรามก็เดินตามออกมา ยืนฟังหนุ่มรุ่นพี่สั่งงานโดยมีคีรินทร์ออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย
แฝดพี่มองไปทางไกรวี เห็นว่าเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์พอดีจึงพยักหน้าเรียก
ให้คนที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วลุกขึ้นยืน เดินออกมาหาอย่างเงียบ ๆ รอจนกระทั่งนทีธัชช์สั่งงานเรียบร้อยจึงหมุนตัวตามมาสมทบกับคนที่ยืนรอ
และอาจเพราะเมืองรามกำลังพิจารณารูปหน้าของคนที่เขาไม่รู้จัก
นทีธัชช์จึงถือโอกาสนี้แนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกันเสียเลย
“กร นี่เมืองราม ส่วนนี่ก็ไกรวี
น้องชายของพลอยเขาน่ะ”
ไกรวีผงกศีรษะแล้วยกยิ้มน้อย ๆ ดูแล้วเมืองรามน่าจะอายุห่างจากเขาไม่มาก
บางทีอาจจะไล่เลี่ยกันก็ได้ ส่วนเมืองรามก็ยิ้มขึ้นอย่างยินดีที่ได้พบ เอ่ยปากให้ไกรวีหัวเราะเบา
ๆ
“ถ้าไม่บอกว่าเป็นน้อง ผมจะคิดว่าคุณไกรวีเป็นแฝดกับพี่พลอยเลยนะครับ”
“ไม่เห็นจะเหมือน”
นทีธัชช์ขัด เหล่ตามองคนที่หุบยิ้มอย่างอยากรู้ว่าจะหาเรื่องอะไรกันอีก
“พลอยเขาสวย ดูดี ส่วนกร…”
“ผมทำไม” ไกรวีเผลอถลึงตาใส่อย่างลืมไปเสียสนิทว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย
“ตาจะโปนออกจากเบ้าแล้ว
เบาหน่อยเถอะ”
นทีธัชช์เอ่ยปราม แต่คีรินทร์กับเมืองรามกลับหัวเราะออกมา
เมืองรามซึ่งเป็นคนนอกดูแล้วยังรู้ว่าสองคนนี้คงสนิทใจกันพอสมควร หรือหากไม่ใคร่พอใจกันก็คงกลายเป็นขิงก็ราข่าก็แรงที่ลงล็อกกันพอควร
จะว่าไป…เมืองรามมองผ่านไปยังแจกันพญ่าเสือโคร่งอีกครั้งแล้วเปรยขึ้น “เอ…คุณไกรวีใช่คนที่เอาพญาเสือโคร่งมาปักใส่แจกันรึเปล่าครับ”
“ครับ ใช่ ทำไมเหรอครับ”
“เปล่าครับเปล่า”
เมืองรามยกมือโบกยิ้ม ๆ แววตาเป็นประกายเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้น
ก่อนเหลียวสายตามองหนุ่มรุ่นพี่ที่ตีหน้านิ่งสนิทอย่างล้อ ๆ ค่อยกระแอมไอแล้วเอ่ยปากขอตัวแยกไปจัดการธุระของตัวเองต่อกับจอมทัพ
แต่ไกรวีนี่สิยังงุนงง เขาเห็นแววตาแปลก
ๆ ของเมืองราม เลยหันมามองฝาแฝดสองคนที่คนหนึ่งยืนปั้นหน้าตึงส่วนอีกคนกลับยิ้มนุ่ม
ไกรวีเลยเอี้ยวตัวไปทางคีรินทร์ ส่งเสียงถามเบา ๆ
“มีอะไรเหรอครับพี่คี ผมว่าแปลก
ๆ”
คีรินทร์อ้าปากจะพูด นทีธัชช์เลยแทรกขึ้นเสียงเข้มเสียก่อน “จะไปกันได้รึยัง ยืนนินทาซึ่ง ๆ หน้าเสียเวลาไปหมด”
“อ้าว ร้อนตัวซะงั้น ผมจะถามถึงคุณเมืองรามต่างหาก”
ไกรวีว่าขึ้นทั้งเลิกคิ้ว ขณะที่คีรินทร์หัวเราะพรืดก่อนต้องเก็บกลืน
แสร้งกระแอมทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้กลัวสายตาของแฝดผู้น้องเลยสักนิด คนโดนจับได้…โดนกล่าวหาว่าร้อนตัวเลยหันไปมองทางโต๊ะจอมทัพ ก็ดันกลายเป็นว่ามีแต่โต๊ะโล่ง
ๆ ไม่มีคนแล้ว
“เขาไปตั้งแต่ก่อนผมถามพี่คีอีก
จะแก้ตัวยังไงล่ะทีนี้”
นทีธัชช์อ้าปาก คิดจะตอบโต้สักหน่อยแต่ก็รู้ว่าไม่มีทางชนะ
ถึงอย่างนั้นหน้าเขาก็หนาพอจะไม่ทุกข์ร้อนกับการร้อนตัวของตัวเอง ชายหนุ่มกระตุกมุมปาก
ไกรวีก็มองจ้องมาอย่างหาเรื่องคืนเต็มที่ เลยเป็นคีรินทร์ที่ต้องตีระฆังบอกหมดเวลาในยกนี้
“ไปเถอะ เวลายังพอเหลือ
จะได้ไปนั่งกินข้าวกันในสนามบินก่อน”
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าคีรินทร์ยังมีแววล้อเลียนไม่เลิก
แต่นทีธัชช์ก็คงต้องขอบคุณที่ยุติการต่อล้อต่อเถียงนี่เสียที เพราะดูแล้วเขาคงจะแพ้อย่างหมดรูปให้ไกรวี
ถึงหน้าจะหนาแต่ก็ยังไม่อยากให้อีกคนจับได้หรอกน่าว่าเขาจนปัญญาจะเถียง
ขืนให้รู้สิ มีหวังต่อไปคงยิ่งกระหยิ่มใจต่อปากต่อคำกับเขาเป็นแน่!
นี่มันโลกกลมหรืออะไรดลให้คู่อริอย่างฐานัสอยู่ในร้านอาหารเดียวกันได้ล่ะ
คีรินทร์มองเห็นฐานัสก่อนเป็นคนแรก แต่เขาที่มักใจเย็นเสมอยามพบเจอก็ยังเป็นอย่างนั้น
ชายหนุ่มพยักหน้าให้ฐานัสที่พยักหน้าทักทายมา ก่อนจะได้จุดยิ้มมุมปากเมื่อนทีธัชช์ซึ่งนั่งกึ่งกลางระหว่างคีรินทร์กับผู้ชายอีกคนหันมองมา
ฐานัสไม่ต้องคิดอะไรด้วยซ้ำก็เดินตรงเข้าไปหา
เห็นแล้วว่าอีกคนคือไกรวีก็ยิ่งยิ้ม เขาชอบท่าทีหยิ่งผยองของไกรวีที่แสดงออกผ่านกิริยานิ่งเฉย
มันทำให้เขาเห็นภาพเพชรพริ้งซ้อนทับราวกับเป็นคนเดียวกัน
“ให้เดาล่ะก็ คงเป็นคีใช่ไหมที่จะเดินทาง”
ฐานัสถามยิ้ม ๆ ให้คีรินทร์พยักหน้าตอบยิ้ม ๆ เหมือนกัน ก่อนพิจารณาผู้มาเยือนอยู่อึดใจหนึ่งค่อยถามกลับ
“นายล่ะฐาน มาส่งใคร”
“ก็คุณนายแม่นั่นแหละจะมีใคร”
ฐานัสหัวเราะเบา ๆ มองไปทางนทีธัชช์ที่จ้องเขม็งมาก็ได้หัวเราะร่วน
“ไม่เอาน่าคุณที อยู่กันพร้อมหน้าอย่างนี้ผมจะมีแรงสู้ได้ที่ไหน”
“รู้ตัวก็ดี ออกห่างไปได้แล้วสิอย่างนี้”
“โว้ ผมไม่คิดว่านั่นจะเป็นการไล่กันที่มีมารยาทเท่าไหร่นะ”
ฐานัสยิ้มยั่ว มองคีรินทร์ที่ยังยิ้มน้อย
ๆ ก็ให้กรุ่น ๆ ในอก แต่จะหันไปสนทนากับอีกคนที่นั่งเงียบก็กลายเป็นว่าถูกนทีธัชช์ขัดแข้งด้วยการลุกขึ้นยืน
มองจ้องตากันให้รู้ว่าแม้ที่นี่จะห่างจากถิ่นของเขาสองคนก็ไม่หวั่นที่จะเอาเรื่องกัน
แต่ฐานัสไม่มีเวลามากขนาดนั้น จึงเลือกที่จะยกสองมือขึ้น หันไปมองสบกับแฝดผู้พี่เชิงบอกลา
แล้วค่อย ๆ ทอดน่องออกจากร้านอาหารไป
นทีธัชช์ทิ้งตัวลงนั่งแล้วบ่น “กวนประสาท”
“เอาเถอะ ดูก็รู้ว่าไม่ได้อยากมาหาเรื่องจริงจังหรอก”
คีรินทร์รู้ มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าฐานัสจะมาไม้ไหน
อาจเพราะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เคยเล่นซนด้วยกันก็ออกบ่อย กระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยยังได้พบปะพูดคุยกันอยู่เนือง
ๆ จะมีก็แต่ช่วงสองสามปีมานี้ที่ความสัมพันธ์ระหว่างรินทร์ธารากับเคียงผกายเสื่อมถอย
เขาเคยคิดว่ารุ่นลูกคงไม่มีเรื่องราวบาดหมางอะไรกัน แต่ในที่สุดก็มีจนได้ และก็หลายเรื่องมากพอที่จะทำให้นทีธัชช์ผูกใจเจ็บจนรักใคร่สมานสามัคคีไม่ลง
หนึ่งในนั้นคือเรื่องล่าสุดที่ลามไปยุ่งเกี่ยวกับภรรยาของเขา
และเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดตั้งแต่เคยมีมา
“ฉันลงกรุงเทพรอบนี้คงได้เบาะแสมากขึ้นแล้วล่ะ”
คีรินทร์เปรยขึ้นมา และใช่ เขาใช้ช่วงเวลาที่จะลงไปเมืองหลวงอย่างที่คนนอกรู้เพียงว่าเขาจะลงไปตามดูแลภรรยาผู้ยังมีอาการทรงตัวจากตกหน้าผา
เพื่อจัดการเรื่องที่วานให้นักสืบรวมถึงตำรวจที่รู้จักและวางใจตามสืบอยู่เงียบ ๆ ระหว่างนั้นจะได้ดูแลและจัดการเกี่ยวกับงานในบ้านที่เพชรพริ้งฝากมาด้วย
ทั้งเขายังอยากปรากฏตัวให้พิมพ์อรอุ่นใจ
ให้เธอได้คลายกังวล และบอกข่าวดีกับเธอ
“ได้เรื่องยังไงแล้วบอกด้วยล่ะ”
คีรินทร์พยักหน้ารับแฝดผู้น้อง หันมองไกรวีที่เอ่ยขึ้นหวังให้เขาสบายใจ “ยังไงช่วงที่พี่คีไม่อยู่ผมจะไปหาพี่พลอยกับป้านภางค์บ่อย ๆ แล้วกันนะครับ”
“ขอบใจกรมากเลย แต่…”
ชายหนุ่มหยุดคำไว้เท่านั้น เหลียวสบตากับนทีธัชช์เพื่อถามความเห็นว่าอยากพูดอะไรไหม
ซึ่งนทีธัชช์ก็พยักหน้าหงึกหนึ่งแล้วต่อประโยคของคีรินทร์ “เราจะยังทำเหมือนเดิม
กร เราจะไม่ไปบ้านสวนบ่อย มันจะผิดสังเกต”
“แต่…อย่างนั้นจะไม่อันตรายเหรอครับ ผู้หญิงอยู่กันแค่สองคน”
“บ้านสวนมีคนงานที่ทำงานกับแม่มาเกินยี่สิบปี
มีไม่กี่คนแต่ก็วางใจได้ทั้งหมด ไม่ต้องห่วงหรอก มีคนงานอยู่ดูแล เผลอ ๆ ยังน่าเป็นห่วงน้อยกว่าถ้ากรจะไปหาบ่อย
ๆ อีก”
เอ๊ะ นทีธัชช์นี่ยังไง ทำไมวันนี้ถึงดูกัดเขาได้กัดเขาดีแบบนี้ ไกรวีเข่นเขี้ยว
อยากปาน้ำแข็งในแก้วใส่ก็เกรงใจคีรินทร์ที่นั่งอยู่ เลยเลือกจะไม่มองหน้าคนช่างหาเรื่องแล้วมองคีรินทร์แทน
ชายหนุ่มเจ้าของยิ้มอุ่นก็เห็นแล้วว่าวันนี้ไกรวีคงจะถูกต้อนถูกกัดไปอีกระยะ ด้วยรู้ดีว่าอะไรที่ทำให้แฝดน้องหงุดหงิดกรุ่นโกรธลึก
ๆ ไม่จางแบบนี้
จะเพราะใครเสียอีกหากไม่ใช่เพราะเขาที่ล้อเจ้าตัวเรื่องกิ่งนางพญาเสือโคร่งสีขาวนั่น
หึ…ราชสีห์ของแม่นภางค์ใกล้จะกลายเป็นลูกแมวเต็มทีเสียแล้วสิ
“เถอะกร เพราะพี่ก็คิดอย่างนั้น”
คีรินทร์สำทับให้ไกรวีเบาใจ “ทำเหมือนที่ทำ จะดีกับตัวพลอยมากกว่าที่กรจะไปหาบ่อย
ๆ”
ที่สุดไกรวีจึงพยักหน้า เมินต่อสายตาที่มองมาอย่างเอาเรื่องของนทีธัชช์
ก่อนหยัดกายขึ้นยืนเมื่อคีรินทร์ออกปากว่าใกล้ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว ยืนส่งจนกระทั่งพี่เขยลับตาไปจึงหย่อนตัวลงนั่งอีกครั้ง
คราวนี้พอไม่มีคีรินทร์ไกรวีเลยไม่คิดทน
เขาขมวดคิ้วฉับมองคนไม่สบอารมณ์ทันที “มีอะไร ผมทำอะไรให้พี่ทีโกรธครับ”
“เปล่า”
“แล้วมาใส่อารมณ์กับผมทำไม”
“ก็...” จะให้พูดได้ยังไงว่าเขาหงุดหงิดที่ถูกคีรินทร์รู้ทัน ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองเก็บความรู้สึกได้ดีแล้ว
แต่อาจพลาดไปตรงที่บอกให้ไกรวีเลือกเอาว่าจะจัดการยังไงกับกิ่งดอกไม้สีขาวนั่นเอง
ใครจะไปคิดว่าไกรวีจะเอามาปักแจกันในสำนักงาน
ที่ที่ใครก็รู้ว่าเขาหวงแหนนางพญาเสือโคร่งสีขาวมากแค่ไหน กระทั่งคีรินทร์เขายังไม่ยอมให้แตะต้อง
แล้วไกรวีน่ะเป็นใคร…เป็นใคร!
“ถ้ายังจ้องผมแบบนี้เรามาต่อยกันเลยดีกว่ามา”
นี่ก็ปีกกล้าขาแข็ง ปากดีไม่รู้เวล่ำเวลา
เดี๋ยวพ่อต่อยด้วยปากแทนกำปั้นหนัก ๆ เสียเลยนี่ อารมณ์เสียโว้ย!
ฐานัสสอดตัวเข้ารถสีบลอนด์คันใหญ่ ยังไม่ได้สตาร์ตรถอย่างที่ควรทำ
แต่กลับนั่งนิ่งครุ่นคิดอีกพักหนึ่งจึงล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ต่อสายตรงถึงเลขหมายหนึ่งก่อนยกมันทาบหู
นิ่งรออยู่อึดใจปลายสายก็กดรับ เขาได้ยินเสียงวุ่นวายจากเบื้องหลัง ก่อนค่อย ๆ เบาลงจนกลายเป็นเงียบสนิทในที่สุด
“ครับคุณฐาน” อีกฝั่งตอบกลับมา เสียงเบากว่าการพูดคุยตามปกติ
“คีรินทร์จะไม่อยู่รินทร์ธาราหลายวัน”
“ครับ คุณฐานอยากให้ผมทำอะไรครับ”
ดวงตาคู่เรียวหรี่ลง ทอดมองจ้องนิ่งไปยังร่างของคนสองคนที่กำลังเดินมาทางลานจอดรถ
น่าแปลกที่ความหงุดหงิดใจต่อกันของนทีธัชช์กับไกรวีดันทำให้เขามองเห็นเส้นบาง ๆ ระหว่างความสัมพันธ์นั้นอย่างน่าขัน
ชายหนุ่มเคาะนิ้วลงพวงมาลัย ก่อนกรอกเสียงออกคำสั่งอย่างที่อยากทำ “จับตาดูให้ดี แล้วถ้ามีโอกาส…ก็จัดการ”
ฐานัสพอใจขึ้นมากเมื่อได้ยินคำตอบรับก่อนสายจะตัดไป
ชายหนุ่มสตาร์ตเครื่อง ขับออกจากซองแล้วตรงไปยังทางออกที่มีคนสองคนกำลังเดินอยู่ กดแตรทักทายไปหนึ่งหนอย่างยียวน
ให้ได้เห็นสีหน้าถมึงทึงของนทีธัชช์ก็เป็นอันพอใจ
เอาล่ะ ในเมื่อคีรินทร์ไม่อยู่ก็เหมือนจะเป็นใบเบิกทางชั้นดีให้เขาได้ทำอะไรที่อยากทำง่ายขึ้น…ง่ายขึ้นมากกว่าที่วางแผนไว้เลยทีเดียว
[1]
EM ย่อมาจาก
Effective Microorganisms หมายถึง กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ ในที่นี้คือนำมาปรับสภาพดินที่เสียจากสารเคมีได้
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามานะคะ เวิ่นเยอะไม่ได้ ปวดท้องเมนส์มากเลย ฮืออออ
#ธาราโอบจันทร์ กดให้กำลังใจ หรือคอมเมนต์ ขอบคุณทุกสิ่งเลยค่ะ
ความคิดเห็น