ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) DON'T TRUST ME , CHU~♥ (ChenMin or XiuChen ?)

    ลำดับตอนที่ #5 : DON'T TRUST ME , CHU~♥ 0 4

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 233
      1
      7 ก.พ. 58

      

     

     

    DON’T TRUST ME , CHU~

    0 4

     

     

     

     

     

                ผมกะพริบตาปริบ 3 ครั้ง เม้มปากทำแก้มป่องพร้อมส่งประกายออดอ้อนไปยังคงที่ยืนค้างอยู่ตรงหน้า ทว่าในตอนที่ผมลุ้นในใจขณะที่พี่มินซอกเปิดปากจะตอบกลับนั่นเอง

     

     

                เสียงโทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดังขึ้น...ขัดจังหวะจริง ๆ ให้ตาย!

     

                ผมลอบถอนลมหายใจในตอนที่ก้มหน้าลงล้วงหยิบโทรศัพท์ที่สอดไว้ในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง แต่ก็เผลอถอนหายใจเฮือกต่อหน้าต่อตาพี่มินซอกเมื่อชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอนั่นน่ะ...

     

                “ใครโทรมาหรือ?

     

                พี่มินซอกถามผมในขณะที่เสียงริงโทนยังแผดลั่นราวกับตะโกนขู่ให้ผมกดรับ แต่ผมก็แค่กดปุ่มลดเสียงเพื่อให้เสียงริงโทนเงียบไป คงไว้เพียงการสั่นสะเทือนที่ยังเตือนผมทุกวินาที พี่มินซอกเลิกคิ้วมองผมเมื่อไม่ได้รับคำตอบ แถมกิริยาของผมที่มีต่อโทรศัพท์นั่นก็ออกจะดูเสียมารยาทนิดหน่อย เมื่อสุดท้ายสุดจะทนผมก็กดตัดสายไป แต่แทนที่อีกฟากฝั่งจะสังเกตเห็นถึงการไม่ต้อนรับของผม ไม่เกินห้าวินาทีเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้พี่มินซอกพยักพเยิดหน้าเหมือนบังคับให้ผมรับโทรศัพท์นั่นเสียที

     

                “พี่ไม่อยากให้จงแดใจร้ายกับคนที่โทรหานะ โทรมาสองรอบติดกันอย่างนี้ คงมีธุระจริง ๆ นั่นแหละ”

     

                “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับพี่มินซอก”

     

                ผมโอดเสียงแผ่ว แล้วจึงยกโทรศัพท์หันหน้าจอให้พี่มินซอกมองเห็น เท่านั้นริมฝีปากที่เผยอน้อย ๆ น่าลิ้มชิมก็ผุดหัวเราะในทันที ดูเหมือนว่าพี่มินซอกจะเข้าใจผมมากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังส่งสัญญาณให้ผมรับโทรศัพท์อยู่ดี

     

                ผมยู่หน้าอย่างขัดเขืองใจแต่ก็กดรับสาย “ว่าไ...”

     

                [พี่จงแด! ผมน่ะ ผม!!]

     

                คิม จงอิน...

     

                ผมกัดฟันข่มความเบื่อหน่ายบวกรำคาญ เจ้าหมอนี่ไม่ฟังผมส่งเสียงให้จบคำเลยด้วยซ้ำ ฮึ่ม! “อะไรของนาย”

     

                [ผมจะไปค้างกับพี่ที่บ้านนะ]

     

                “อารมณ์ไหนเนี่ย!? ไม่เอานะเว้ย คืนนี้...”

     

                ผมชะงักคำพูดไป ช้อนดวงตามองพี่มินซอกที่ยืนมองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยหากก็ติดแววขบขันหน่อย ๆ กับจงอินผมสามารถโวยวายได้ด้วยเสมอ ๆ คลับคล้ายคลับคลาว่าพี่มินซอกจะเคยบอกอยู่เหมือนกันว่าชอบที่ผมโวยวายเป็นเด็กแบบนี้ มันทำให้พี่เขารู้สึกว่าผมยังเป็นเด็กของพี่ตลอดเวลา

     

                แหม...ผมก็อยากให้พี่มาเป็นของผมเหมือนกันล่ะครับ ไม่อยากจะบอกเลย

     

                [คืองี้...คยองซู...]

     

                “โอเค จะมาก็มา ตอนนี้อยู่ไหน?

     

                แค่ได้ยินชื่อของอีกคนโผล่เข้ามาในการตอบโต้ผมก็ยอมจำนน ไม่ใช่เพราะชื่อของคน ๆ นั้นมีอิทธิพลอะไรกับผม แต่ส่งผลเป็นอย่างมากกับจงอินต่างหาก ยิ่งฟังเสียงสั่น ๆ ของจงอินก็พอจะรู้ว่าอาจเกิดเรื่องอะไรขึ้น และผมก็ใจอ่อนทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแบบนั้นเลยน่ะสิ ให้ตาย แต่เอาเหอะ ถ้ามันมาถึงค่อยจัดการมันที่ขัดจังหวะแล้วกัน

     

                จงอินไม่ได้ตอบคำถามของผม มันแค่ร้องขึ้นด้วยความดีใจก่อนจะตัดสายโทรศัพท์ไป ให้ผมนิ่งค้างอยู่สองวินาทีก่อนเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า มองหน้าพี่มินซอกที่อมยิ้มนิด ๆ ด้วยความเอ็นดูในตัวผม ให้ผมยิ้มแห้งตอบกลับไปแล้วบอกกล่าว

     

                “เดี๋ยวจงอินจะมาครับ”

     

                “รู้แล้วล่ะ จงอินเสียงดังขนาดนั้น”

     

                พี่มินซอกพยักหน้าตอบรับ ดูท่าแล้วก็น่าจะรู้คำตอบที่กำลังรอได้ไม่ยากเย็นนัก ถึงอย่างนั้นผมก็อยากลองพยายามดู ผมเตรียมจะเข้าประเด็นที่ทิ้งค้างไว้อีกครั้ง ขยับเข้าหาพี่มินซอกนิดหน่อย ประกายตาที่ส่งไปก็ออดอ้อนเต็มกำลัง มันทำให้พี่มินซอกคลายยิ้มอ่อนใจก่อนอ้าปากเตรียมเปล่งคำ

     

                ถ้าไม่ติดว่ามีเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นที่ด้านหลัง...

     

                พร้อมกับ...

     

                “นี่โทรมาตอนอยู่ส่วนไหนของโลกกัน?

     

                ผมอดไม่ได้ที่จะค่อนแคะ จงอินอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์กับรองเท้าผ้าใบใหม่เอี่ยม แจ็กเก็ตหนังสีดำรับกับหมวกกันน็อคแบบโมดูลาสีดำมัน ใบหน้าแดงเรื่อโดยเฉพาะที่ปลายจมูกและดวงตาดูขัดกับรถ Hyosung รุ่น XRX 125 สีส้มแซมดำโดยสิ้นเชิง

     

                พอเห็นเจ้ารถมอเตอร์ไซค์คันเท่ของจงอินแล้ว ผมก็อดจะสงสัยไม่ได้ว่ามีรถเท่ ๆ แบบนี้แล้วทำไมถึงได้ขี้คร้านจะขี่นัก ปกติส่วนมากจงอินชอบที่จะโทรมาเรียกผมให้ไปรับมากกว่า

     

                อ้อลืมไป...วันนี้ไปหาคนที่ทำให้ตาแดงจมูกแดงมานี่นะ

     

                “สวัสดีครับพี่มินซอก”

     

                พี่มินซอกดูเคร่งขรึมขึ้นในทันทีที่เห็นสภาพดูไม่ได้ของจงอิน สายตาของพี่เขามีความเป็นห่วงเจ้าน้องเล็กเสียหลายส่วน บางทีผมอาจจะเอาความสงสารนั้นมาอ้อนให้พี่มินซอกค้างคืนด้วยกันที่นี่ก็ได้ และถ้าถามถึงจงอินล่ะก็นะ...ช่างหัวมันเป็นไรปะล่ะ!?

     

                “เห็นสภาพจงอินแล้ว...สนใจอยู่เป็นเพื่อนผมไหมครับพี่มินซอก”

     

                ผมกระซิบถามเมื่อจงอินจูงฮโยซองคู่ใจเข้าไปจอดในลานจอดรถ พี่มินซอกเองก็ดูท่าจะลังเลใจไม่น้อย ความเป็นไปได้ที่จะตอบรับผมมีถึงเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์เลยเชียวนะ! พี่มินซอกที่ห่วงน้อง ๆ ทุกคนนะ!

     

                “ไม่ดีกว่าจงแด พี่ว่าได้อยู่กับจงแด จงอินอาจจะระบายเรื่องในใจได้สบายใจมากกว่ามีพี่อยู่นะ”

     

                ผมอ้าปากค้าง ห้าเปอร์เซ็นต์ที่น่าจะลอยหายไปกลับปรากฏขึ้นตรงหน้า ผมหันไปยู่หน้าใส่พี่มินซอกในทันที เตรียมจะงอแงแล้วล่ะ แต่พี่เขาก็ดันส่ายหน้าไปมาด้วยรอยยิ้มนุ่มลึกตามแบบฉบับเสียก่อน

     

                “บางทีมีพี่มินซอกอยู่ จงอินอาจจะอุ่นใจขึ้นนะครับ”

     

                พี่มินซอกทำหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อในคำพูดของผม และใช่ ถูกต้องแล้ว เจ้าจงอินจะไม่มีวันเผยความในออกมาหากมีพี่ใหญ่ของตระกูลอยู่ด้วย มีผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ล่วงรู้ความลับภายในโรงเรียนของมัน ซึ่งเอาจริง ๆ ผมก็ไม่ได้อยากจะรู้อะไรนักหรอกนะ แต่ในเมื่อจงอินรู้ว่าผมรู้สึกนึกคิดยังไง มันก็ต้องบอกในส่วนของมันเพื่อแลกเปลี่ยนกันด้วยก็เท่านั้นเอง

     

                “ไว้พี่จะมาหาใหม่แล้วกัน จงอิน โอเคนะ?

     

                คำถามหลังส่งตรงไปยังไอ้ผิวเข้มที่ยืนเกาะประตูรั้วแบบคนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง จงอินพยักหน้ารับทั้งที่สูดน้ำมูกหนึ่งกึก ให้พี่มินซอกเดินตรงเข้าไปหาแล้วยกมือขึ้นลูบผมนั่นเบา ๆ แล้วถอยกลับ หันมาบอกลาผมอีกครั้ง แล้วก็ขึ้นรถขับออกจากหน้าบ้านผมไปซะอย่างนั้นเลย

     

                หมดกันแผนผม!?

     

                “เพราะแกคนเดียวเลยไอ้ห่-าเอ๊ย!

     

                จงอินอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำสบถของผม ไม่บ่อยนักที่ผมจะเอ่ยวาจาหยาบโลนแบบนี้ ยกเว้นก็แต่ถ้าผมกำลังอยู่ในช่วงหงุดหงิดมากและให้คำปรึกษาจงอินนั่นแหละ

     

                “นายกำลังทำอะไร?

     

                “กำลังอ้อนให้พี่มินซอกค้างด้วย”

     

                ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แต่จงอินกลับอ้าปากกว้างแล้วหัวเราะเสียงดังลั่นบ้าน ผมตวัดสายตามองมันอย่างขุ่นเคือง ให้จงอินยกมือขึ้นอย่างขอโทษขอโพยแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา แหงนศีรษะซบลงกับพนักอย่างไร้เรี่ยวแรง พ่นลมหายใจยาวเหยียดแล้วหลับตาลง

     

                ผมเดินเข้ามาในห้องครัว เปิดตู้เย็นหยิบกระป๋องน้ำอัดลมติดมือแล้วกลับมาที่ห้องรับแขกอีกครั้ง ร่างสูงประเปรียวของเจ้าจงอินไถลลงเป็นนอนซุกกับเบาะโซฟา แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนจากนอนตะแคงเป็นนอนคว่ำหน้า มีเพียงลมหายใจที่ทำให้ร่างกายขยับขึ้นลงเบา ๆ เท่านั้น

     

                ผมกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย อิหรอบนี้คงไม่พ้นทะเลาะกันมาแหง ๆ

     

                “เอ้า ลุกขึ้นมา แล้วเล่าให้ฟังซิว่าเกิดอะไรขึ้น”

     

                ได้ยินจงอินครางต่ำในลำคอ ยังคงนอนคว่ำแน่นิ่งอยู่เช่นนั้นหากก็ส่งเสียงให้ได้ยิน ผมแทบจะปากระป๋องน้ำอัดลมใส่มันให้ลุกขึ้นนั่งเสียที มันพูดพึมพำอะไรของมันเนี่ยผมไม่ได้ยินเลย!

     

                แต่ถึงอย่างนั้นสุดท้ายแล้วผมก็แค่หย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาเดี่ยว ยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิแล้วค้ำศอกลงกับต้นขา ยกมือขึ้นค้ำคางเอาไว้พลางอ้าปากหาวหวอดใหญ่ขณะที่จงอินยังสวดพึมพำไปเรื่อย มีบางครั้งที่ส่งเสียงตอบรับในลำคอเบา ๆ ประหนึ่งเข้าใจที่จงอินพูด แต่ความจริงแล้วตาของผมกำลังจดจ้องอยู่ที่โทรทัศน์จอแบนซึ่งปิดเสียงเงียบสนิทเอาไว้ นานพอดูกว่าจงอินจะสวดจบ และพอเขาพลิกตัวนอนตะแคงเผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำไร้น้ำตา จงอินก็เหมือนจะนิ่งไปชั่วครู่เพื่อประเมินปฏิกิริยาของผม

     

                และใช่ ผมหันไปพยักหน้าให้มันแล้วพูดขึ้นว่า “เอาใหม่อีกรอบ เมื่อกี้ฟังไม่รู้เรื่อง”

     

                ศิริรวมแล้วเกือบยี่สิบนาที...

     

                จงอินอ้าปากค้าง สบถใส่ผมคำหนึ่งซึ่งก็ไม่ได้กระเทือนผมสักเท่าไหร่ ก่อนมันจะพาตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิเหมือนกับผม เพราะอย่างนั้นผมก็เลยเปลี่ยนท่าเป็นยกเข่าข้างขวาขึ้นแล้วใช้แขนกอดเอาไว้

     

                “คืองี้...วันนี้ไปเดทกับคยองซูมา แต่มึงรู้ไรปะ? กูทำผิดตรงไหน กูก็แค่เผลอมองเด็กผู้ชายคนนึงที่ผิวขาวมาก ๆ ก็แค่นั้น คยองซูก็เลยโกรธ และโกรธมากถึงขนาดบอกเลิก!!

     

                โอ้โห...ขั้นนั้นเลย แต่ฟังแล้วดูไม่น่าจะมีอะไรมาก แล้วที่มันสวดบ่นคนเดียวเมื่อกี้นี่บ่นอะไรบ้างตั้งเกือบยี่สิบนาที “บอกเลิกเลยรึ มึงนี่มันเลวจริง ๆ คิมจงอิน”

     

                มันเป็นปกติธรรมดาระหว่างผมกับจงอิน เวลาที่เราปรึกษาอะไรกัน ไม่ว่าเรื่องจะขี้ปะติ๋วหรือซีเรียสมากแค่ไหน สรรพนามระหว่างกันที่อาจจะเป็น พี่กับน้องหรือ ฉันกับนายจะลอยหายไปและแทนที่ด้วย กูกับมึงในทันที มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร แต่เราสองคนก็ไม่เคยหยาบคายใส่กันต่อหน้าพี่มินซอกหรือพี่จุนมยอง เรายังเว้นช่องว่างเอาไว้ให้สองคนนั้นมองไม่เห็นความสนิทใจอย่างสุดซึ้งระหว่างเราทั้งสอง ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดี เพราะผมเชื่อเลยว่าถ้าพี่มินซอกได้ยินผมพูดแบบนี้ มีหวังคงรู้สึกแย่เป็นแน่

     

                “กูเลวตรงไหน? เหล่มอง แต่ไม่ได้คิดอะไรนะ”

     

                “เพราะมันไม่ใช่ครั้งหรือสองครั้ง มึงก็น่าจะรู้ว่าผลหลังจากนั้นจะเป็นยังไง ต่อให้มองโดยไม่คิดอะไร แต่มึงไม่คิดรึไงว่าคยองซูจะเกิดระแวง”

     

                จงอินไม่ใช่คนที่แสดงออกในความรักมากนัก คนทื่อ ๆ ที่ทำไปตามความรู้สึกล้วน ๆ แต่ไร้ความหวานสิ้นดี อันที่จริงผมก็อดจะสงสัยไม่ได้ว่าโด คยองซูอดทนคบมันมาถึงสามปีได้ยังไง วันครบรอบคบกันก็แค่ไปนั่งกินป็อปคอร์นในสวนสาธารณะโดยที่ไม่มีแต่ของขวัญหรือคำพูดหวาน ๆ เออ...ถ้าผมเป็นคยองซู ผมอาจจะชิ่งหนีมันตั้งแต่ปีแรกแล้วก็ได้

     

                ผมยักไหล่เมื่อจงอินมองมาด้วยแววตาระริกไหว ดูก็รู้ว่าอยากจะร้องไห้เต็มแก่แต่ก็ยังเก็บซ่อนไว้ จงอินเป็นลูกผู้ชายพอที่จะไม่เสียน้ำตาให้กับใคร และใช่...อาจจะมีเพียงแค่หนึ่งคนที่ทำให้น้ำตามันร่วงเผาะ ๆ ๆ ในวินาทีนี้ได้ นั่นก็คือโด คยองซู

     

                “ฮึก...ก...กูควรทำ...ยังไงวะ.....”

     

                โอ๊ย ไอ้บื้อเอ๊ย “มึงก็ไปง้อเขาสิ ไม่ต้องพูดคำสัญญาว่าจะไม่ทำ แต่แค่อธิบายให้เข้าใจ แล้วบอกว่าจะพยายามทำให้ได้ ไม่รับปาก แต่จะพยายาม มันดีกว่าสัญญาปากเปล่าอีก”

     

                “แล้วเมื่อกี้มึงจะชวนพี่มินซอกมานอนบ้าน..ฮ...ฮึก...มึง....คิดจะทำอะไร?

     

                ผมเพิ่งจะได้มีโอกาสปากระป๋องน้ำอัดลมก็คราวนี้แหละ “อย่ารู้เลย เดี๋ยวมึงจะรู้สึกผิด”

     

                “มึงกะจะเคลมพี่เขาคืนนี้หรอ!?

     

                “จงอิน เชิญพูดเรื่องของมึง อย่า ยุ่ง กับ กู”

     

                คิดแล้วก็ยังหงุดหงิดอยู่ ผมเชื่อแน่ว่าอีกนิดเดียวเท่านั้น อีกนิดเดียวที่พี่มินซอกมองเห็นสายตาที่แสนจะออดอ้อนของผม พี่เขาต้องทนไม่ได้และตอบรับคำขอในที่สุด ถ้าไม่มีไอ้ตัวแทรกกลางอย่างคิม จงอิน

     

                แค้น แค้น แค้น แค้น แค้น!

     

                “...ฮึก...กูขาด...ขาดคยองซูไม่...ได้....”

     

                “มึงนี่น่าสมเพชจริง ๆ”

     

                “กูมาให้มึงปลอบนะ ไม่ใช่มาให้ซ้ำเติม”

     

                “ขืนปลอบมึงก็เป็นลูกแหง่อะดิ”

     

                น้ำตาหยดน้อยร่วงเผาะจากดวงตา กระทบลงกับผิวแก้มขึ้นสี ผมได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเหน็ดเหนื่อยใจ แต่ก็เลือกที่จะไม่ต่อว่าซ้ำเติมอะไรมากไปกว่านี้ ผมเพียงแต่พยักพเยิดหน้าให้จงอินขึ้นห้องไป อาบน้ำเพิ่มความสดชื่นให้ตัวเองสักหน่อย นอนพักสักอึดใจจะได้มีแรงระดมความคิดในสมองไปง้อคยองซู

     

                ผมมองจงอินเดินไปทางบันได ได้ยินเสียงทิ้งจังหวะเท้าก้าวไปตามพื้นของชั้นบนจนกระทั่งเสียงเปิดปิดประตูแว่วมา เมื่อนั้นผมจึงเป็นฝ่ายพาตัวไปนอนคว่ำบนโซฟาตัวยาวบ้าง นิ่งงันอยู่อย่างนั้นหมายจะให้ตัวเองหลับมันเสียตรงนี้นี่แหละ

     

                ทว่าไม่แน่ชัดถึงระยะเวลาที่ผ่านไป ความเงียบงันกลับถูกปลุกขึ้นด้วยเสียงปิดประตูบ้านซึ่งผมทึกทักเอาเองว่าคงเป็นจงอินมาปิดประตูให้ แต่ไออุ่นจากนิ้วทั้งห้าที่แตะลงมายังแขนของผมนั่นสิที่แปลกไป ระดับอุณหภูมินิ้วแบบนี้ไม่ใช่ของจงอินแน่ ๆ

     

                และใช่เลย ไม่ใช่จงอิน แต่เป็น... “พี่มินซอก?

     

                พ...พี่มินซอกอยู่ตรงหน้าผม!? สีหน้าของพี่มินซอกไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก หากก็มีแววขึงเครียดอยู่ในกระแสสายตาที่จ้องมองมาด้วย ผมผุดลุกขึ้นนั่งในทันที ยังคงงงงวยถึงการมาเยือนอีกครั้งของพี่มินซอก ส่วนพี่เขากลับมองไปรอบ ๆ บ้านแล้วตรงไปยังด้านหลัง ได้ยินเสียงประตูปิดแผ่วก่อนพี่มินซอกจะกลับมาที่ห้องรับแขกอีกครั้ง

     

                “อยู่กันแค่สองคน ทำไมไม่ปิดประตูบ้านให้ดีหืมจงแด?

     

                คำถามเหมือนจะเป็นห่วง แต่เสียงที่ดังขึ้นเป็นรูปประโยคนั่นกลับเคร่งขรึมลงไปอีกหลายส่วน ผมขนลุกขึ้นมาในทันที แต่ก็ยังเงยหน้าขึ้นมองพี่มินซอกที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้วตอบกลับเสียงงัวเงีย...ซึ่งแน่นอนว่าหลอก

     

                “ผมเผลอหลับไปน่ะครับก็เลยไม่ทันจะได้ตรวจประตูบ้าน”

     

                ผมไม่ใช่คนคิดมากคิดมายอะไรนัก ปกติถึงคุณพ่อคุณแม่จะไม่อยู่บ้าน ผมก็ไม่ได้ใส่ใจจะปิดประตูอะไรสักเท่าไหร่หรอก ย่านนี้ไม่ใช่ย่านที่จะมีโจรขโมยปีนรั้วเข้าบ้าน ไม่เคยมีประวัติว่าบ้านในละแวกใกล้ ๆ เคยโดนขโมยขึ้นบ้านด้วย อีกอย่างนี่ก็เพิ่งจะหัวค่ำเอง ยังไม่ดึก ยังไม่ถึงเวลานอนเลยนะ

     

                “เป็นห่วงหรือครับ?

     

                “ก็ใช่สิ”

     

                ผมทำหน้าสำนึกผิด รวบเอวพี่มินซอกให้เข้าใกล้แล้วกอดไว้หลวม ๆ ซบหน้าตัวเองลงกับหน้าท้องของพี่มินซอกแล้วไถไปไซ้มาเบา ๆ พลางส่งเสียงงุ้งงิ้ง ๆ น่ารัก ๆ ในลำคอ “ขอโทษนะครับ คราวหลังจะระวังมากกว่านี้”

     

                แว่วเสียงลมหายใจจะพรูยาวก่อนมืออุ่นจะวางทาบลงที่ศีรษะของผมแล้วยีเบา ๆ พี่มินซอกพึมพำให้ผมปล่อยพี่เขา ดังนั้นผมจึงอิดออดที่จะปล่อยแขนออกจากเอวให้พี่มินซอกเป็นอิสระในที่สุด ใบหน้าเรียบขรึมปรากฏรอยยิ้มนุ่มลึกเจือจาง เหลียวหันมองไปทั่วบ้านอีกรอบก่อนจะถามขึ้น

     

                “จงอินล่ะ?

     

                “จงอินนอนอยู่บนห้องครับ” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า ให้พี่มินซอกที่มองมาฉายแววเห็นใจอย่างเห็นได้ชัด “พี่มินซอกกลับมาอีกรอบมีอะไรรึเปล่าครับ หรือว่า...ตัดสินใจจะมาค้างด้วยกันแล้ว?

     

                ภายในใจแทบจะเต้นสตรีทแดนซ์เลยครับให้ตาย! ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเก็บซ่อนความลิงโลดเอาไว้และรอคอยคำตอบ ซึ่งเมื่อได้รับคำตอบจากปากของพี่มินซอกแล้ว ก็นึกดีใจไม่เบาที่ตัวเองไม่แสดงออกมากจนเกินไป

     

                “เปล่าครับ แต่พี่เป็นห่วง เห็นท่าจงอินจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เลยกลับมาหาทั้งสองคนแล้วจะชวนไปกินข้าวกันน่ะ”

     

                อ้อ...ใช่สิ...ใช่...ช่าย~ พี่มินซอกที่แสนดีของน้อง ๆ เฮอะ! “น่าจะหลับไปแล้วล่ะครับรายนั้น”

     

                “อืม...ยังไงดีล่ะทีนี้?

     

                ผมลุกขึ้นยืน ช้อนดวงตาขึ้นมองพี่มินซอกนิดหน่อยแล้วเอ่ยคำ “งั้นเราไปกินกันสองคนนะครับ”

     

                ไม่ได้กินอย่างอื่นด้วยกัน กินมื้อค่ำด้วยกันก็ยังดี...มั้ง

     

                “เอางั้นเหรอ? จงแดลองไปปลุกจงอินก่อนไหม?

     

                “คงหลับสนิทหลับลึกแน่ ๆ ครับ เพราะก่อนจะขึ้นไปนอนก็ร้องไห้ซะยกใหญ่เลย”

     

                พี่มินซอกฉายแววความตกใจผ่านทั้งใบหน้าและดวงตาอย่างชัดเจน แน่ล่ะ ในสายตาของพี่ ๆ แล้วจงอินคือเด็กหนุ่มเข้มแข็ง ไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็น แน่นอนว่าไม่เคยมีเรื่องราวลำบากใจที่ทำให้พี่ ๆ ต้องเป็นห่วง ต่างจากผมที่ดูจะบอบบางอยู่สักหน่อย ใครก็ห่วงมากกว่า ทั้ง ๆ ที่ผมกลับมองว่าผมดูแลตัวเองได้ดีและเข้มแข็งมากกว่าไอ้จงอินซะอีก

     

                แต่ก็เอาเถอะ ใครใช้ให้ตอนเด็ก ๆ เป็นเด็กร่าเริงสดใสเกินเหตุล่ะคิม จงแด

     

                “งั้นพี่ขึ้นไปดูจงอินหน่อยดีกว่า”

     

                พี่มินซอกว่าขึ้นอย่างนั้นและเดินขึ้นบันไดไปในทันทีโดยไม่รอฟังผมห้ามปรามอะไร และผมก็ทำได้แค่กลับไปนั่งนิ่ง ๆ บนโซฟา ภาวนาให้จงอินมันหลับลึกอย่างที่ผมบอกพี่มินซอกไป เพราะยังไงผมก็ไม่อยากให้มันเป็นก้างขวางคอผม ในเวลาแบบนี้ที่มันอกหักกึ่งหนึ่ง มีหวังความสนใจจากพี่มินซอกคงเทไปที่มันเก้าสิบแปดเปอร์เซ็นต์แน่ ๆ

     

                แต่ที่สุดแล้วเมื่อผมนั่งตัวตรงอย่างรอคอยไม่ถึงสามนาที พี่มินซอกก็กลับลงมาอีกครั้งแล้วคลายยิ้มจาง ๆ ส่งมาให้ผม

     

                “หลับสนิทจริง ๆ ด้วยล่ะ”

     

                ผมถอนลมหายใจอย่างโล่งอก และก่อนที่พี่มินซอกจะเข้าใจผิดไป ผมจึงรีบเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีผ่อนคลายลง “ดีแล้วล่ะครับที่หลับสนิท ผมอยากให้จงอินได้พักผ่อนนะ”

     

                “อืม...นั่นสินะ”

     

                พี่มินซอกพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย สีหน้าของพี่เขามีแววครุ่นคิดเล็กน้อย แต่ก็เพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้นก่อนจะคลายยิ้มมากขึ้น เอ่ยคำสั่งให้ผมเช็กประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย แล้วก็พาผมขึ้นรถออกจากบ้านเพื่อไปกินอาหารค่ำกันโดยที่ไม่มีคิม จงอิน

     

                ขอโทษว่ะไอ้น้อง แต่แกมันไม่สมควรจะเป็นก้างขวางคอของฉันกับพี่มินซอก

     

                เพราะงั้นก็จงหลับลึกต่อไป และตื่นขึ้นมากลางดึกอย่างคนที่หิวโซในอาหารเถอะนะ!

     

     

     

     

     

    To be continued

     

     

     

    ทวิตติดแท็ก #DTMCHU ได้นะคะ เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ;D



     

                

    。SYDNEY♔
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×