คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : DON'T TRUST ME , CHU~♥ 0 2
DON’T TRUST ME , CHU~♥
0 2
รถคันใหญ่เคลื่อนออกไปจากหน้าบ้านแล้ว ทิ้งเอาไว้ให้ผมยืนส่งมองตามจนกระทั่งลับตาไป ผมพรูลมหายใจเพื่อผ่อนคลายตัวเอง หันหน้ากลับเข้าบ้านเพื่อผจญกับอีกหนึ่งสายตาที่มองมาทางผมอย่างมีเลศนัย
“มองอย่างนั้นทำไมเนี่ย?”
ผมถามออกไปอย่างนั้น และแน่นอนว่ายิ่งทำให้ได้รับรอยยิ้มกว้างขวางจากเจ้าของโครงหน้าคมเข้ม คิม จงอินส่ายหน้าไปมาไม่ตอบอะไร เหมือนจะเรียกร้องให้ผมยิ้มตอบกลับไปเช่นเดียวกัน และใช่ ผมค่อย ๆ คลี่ยิ้มขึ้นจนมุมปากที่เหมือนยกยิ้มตลอดเวลาอยู่แล้วของผมกลายเป็นยิ้มกว้างขวาง
ยิ้ม...ที่พี่มินซอกบอกว่าน่ารักนักน่ารักหนา
อืมใช่ ผม คิม จงแด คนน่ารักของพี่มินซอกไงล่ะครับ
น่ารักเหรอ? ให้ตายเหอะ!
“คืนนี้ผมค้างบ้านพี่นะ”
จงอินบอกผมเหมือนขออนุญาต แต่ที่จริงผมรับรู้ตั้งแต่ไปรับหมอนี่มาถึงบ้านแล้ว เพราะจงอินหอบกระเป๋าเป้ใบตุงที่คาดว่าน่าจะมีของใช้อย่างอื่นเกินความจำเป็นใส่มาด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ ไม่ต้องขอก็คงต้องจำใจรับ ผมได้แต่พยักหน้าให้กับคำขอนั้น ส่วนจงอินก็ยักไหล่อย่างไม่แยแสในกระแสสายตาของผมที่จ้องมองไปหมายจะเอ็ดตะโร
ความจริงจงอินกับผมอายุห่างกันแค่หนึ่งปีเท่านั้นเอง อันที่จริงไม่ถึงปีดีด้วยซ้ำละมั้ง แต่ยังไงผมก็มีศักดิ์เป็นพี่ แต่ในความเข้าใจของเราทั้งสองคนก็ไม่ต่างอะไรจากเพื่อนสนิทกันนักหรอก
อาจจะเหมือนพี่มินซอกกับพี่จุนมยอน ประมาณนั้น
“ถามจริงเหอะ นึกไงมานั่งตักตั้งนานสองนาน คิดว่าผมเอ็นดูพี่มากสินะ?”
ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพียงแต่หันไปยกยิ้มมุมปากให้ก็เท่านั้น จงอินรู้ดีว่าทำไมผมถึงทำ และคำถามนั้นก็ไม่ได้ทำให้ใจผมระแคะระคายสักเท่าไหร่ คำว่าเอ็นดูของจงอินเป็นคำโดยทั่วไปในการแสดงออกถึงความรักอย่างหนึ่ง ผมรู้ดีว่าหมอนี่ขยาดผมแทบตายที่ขึ้นไปนั่งบนตักมัน
แต่ขอหน่อยเถอะ ไม่รู้เลยหรือว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองผมแทบจะตลอดเวลา หึหึ
“พิซซ่ายังเหลือตั้งเยอะแน่ะ”
“เก็บไว้กินมื้อค่ำ”
ผมทำหน้าเหม็นเบื่อใส่เจ้าน้องเล็กของตระกูล “เบื่อจะตายอยู่แล้ว แกคิดว่าฉันกินพิซซ่ามากี่มื้อแล้ววะ!”
“เอ๊า~” จงอินแสร้งขึ้นเสียงสูงราวกับประหลาดใจนักหนา “แล้วใครบอกให้พี่เสนอเมนูพิซซ่าล่ะครับหืม?”
ผมเหยียดมุมปากมากขึ้นจนกลายเป็นยิ้มร้าย ใช่แล้วล่ะ ยิ้มร้าย ยิ้มแบบที่พี่มินซอกจะไม่มีวันได้เห็น ผมยินดีที่จะเปิดเผยเพียงด้านน่ารัก ๆ ใส ๆ เหมือนน้องจงแดคนน่ารักเมื่อครั้งในอดีต บางทีพี่มินซอกอาจจะหลงลืมไปว่าตอนนี้ผมโตขึ้นมากแล้ว อายุที่เพิ่มขึ้นและสังคมที่เริ่มเปิดกว้างทำให้ผมเปิดหูเปิดตา ผมไม่ได้ทิ้งความเป็นคนเดิมให้หายไปไหน เพียงแต่เพิ่มเติมในบางสิ่งที่คิดว่าใช่สำหรับตัวเองเข้ามาด้วย แต่ถึงอย่างนั้นในตอนที่ผมเจอพี่ ๆ และรวมไปถึงบรรดาญาติพี่น้อง ผมก็ยังคงแสดงออกว่าเป็นเด็กสดใสร่าเริงน่ารักน่าชังเหมือนเดิม
ผมฉลาดพอที่จะรู้ว่าควรแสดงออกแบบไหนกับใครบ้าง
ไม่ใช่การใส่หน้ากาก ก็แค่รู้กาลเทศะเท่านั้นเอง
ว่าแต่เมื่อกี้จงอินถามผมว่ายังไงนะ?
“ก็พี่มินซอกชอบนี่”
ผมตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ต่างจากรอยยิ้มร้ายที่มันยังเปื้อนใบหน้าของผมอยู่ จงอินเหลียวสายตามองมาที่ผมพลางทิ้งตัวลงนั่งบนฟูกนอน พาตัวลงนอนจมหมอนใบนุ่มแล้วกดแน่นอยู่อย่างนั้น ตอนแรกผมค่อนข้างประหลาดใจกับการกระทำของมัน แต่พอได้ยินเสียงสูดหายใจเฮือกใหญ่ตอนที่ค่อย ๆ ผละใบหน้าเข้ม ๆ ของมันออกห่าง เท่านั้นก็ชี้ชัดได้ในทันทีว่าจงอินทำไปเพื่ออะไร
“หอมเป็นบ้า”
มันกำลังกวนประสาทผม “จงอิน”
“กลิ่นพี่มินซอกว่ะพี่จงแด โอ้โห หอมมาก...”
จงอินส่งเสียงลากยาว ให้ผมแทบจะปาค้อนเล็กที่ยังวางค้างอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือใส่มัน บางทีจงอินก็ชอบยั่วผมให้อารมณ์เสียด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ใครจะรู้ว่าทุกความเป็นไปของพี่มินซอกในการแสดงออกอย่างออกหน้าออกตาของทุกคนเป็นเรื่องใหญ่ของผมเสมอ
ใช่ ผมหวง และหวงมาก หวงจนคิดว่าหากมีใครมากอดรัดพี่มินซอกแน่น ๆ ต่อหน้าต่อตา บางทีความเป็นผมในอดีตที่ยังแสดงออกต่อพี่มินซอกจะหายไป และมันจะกลายเป็นคิม จงแดคนปัจจุบันเต็มตัว
“ถอย จะเอาหมอนใบอื่นมาให้”
ผมว่าอย่างนั้นด้วยท่าทีเคือง ๆ ยังผลให้จงอินหัวเราะชอบใจแต่ก็ยอมขยับลงจากฟูก ด้วยเพราะความจริงแล้วจงอินไม่มีสิทธิ์นอนบนฟูกของผม ว่ากันตามจริงก็ไม่มีใครมีสิทธิ์ทั้งนั้นนั่นแหละ ยกเว้นคิม มินซอกคนนั้น คนที่ผมสามารถออดอ้อนถูไหน้ากับแขนได้ตลอดเวลา
รู้ไหมว่าเวลาที่ผมเข้าใกล้แล้วไอร้อนแผ่กระจายจากร่างของคนที่ผมมั่นใจว่าอีกไม่นานผมจะสูงมากกว่า ผมนี่...อื้อหือ...ไอร้อน ๆ กับดวงตากลม ๆ เป็นประกายที่พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกนั่น
น่าจับมาเอ็นดูเป็นบ้า!
“เอาจริง พี่คิดว่าพี่มินซอกกำลังคิดอะไรอยู่”
หืม? “ก็คง...หวงฉันตามประสาน้องที่รักที่สุดมั้ง”
ผมไม่มั่นใจเลย ผมพยายามอยู่หลายครั้งที่จะมองให้ออกว่า ณ เวลานั้นพี่มินซอกคิดอะไรอยู่ แต่พอผมกำลังจะดึงตัวตนของความคิดที่หลบลึกนั่นได้ พี่มินซอกที่สุขุมก็จะพาความรู้สึกให้จมลึกลงไป
มีหลายครั้งที่จงอินบอกผมว่าพี่มินซอกก็คงคิดไม่ต่างจากผม แต่ขอโทษเถอะ ท่าทางนิ่ง ๆ ดูอ่อนโยนเป็นสุภาพบุรุษแบบนั้นน่ะนะจะคิดอะไรที่เหมือนกับผม
มา ผมจะสาธยายให้รู้ว่าผมคิดยังไงกับคิม มินซอก
ข้อที่ 1 พี่มินซอกเป็นผู้ชายตัวอวบอ้วนในอดีตที่ตอนนี้ผันแปรมาเป็นผอมแต่ไม่แห้ง ยังดูมีน้ำมีนวลซึ่งอาจจะเกี่ยวเนื่องมาจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ที่แน่ ๆ ผมจำได้ว่าตัวเองเคยงอแงกับพี่เขาว่าไม่อยากให้พี่มินซอกผอมมากจนเกินไป ซึ่งไม่ว่าจะเพราะอะไรก็เถอะ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั่นน่ะ น่ากอดรัดแน่น ๆ มาก ๆ
ข้อที่ 2 ใบหน้าของพี่มินซอกค่อนข้างกลมกว่าในบรรดาลูกพี่ลูกน้องทั้งหมด และน่าแปลกที่แก้มของพี่มินซอกไม่ได้ซูบผอมลงตามร่างกาย มันยังกลมดิกแถมยังเปล่งปลั่งเวลาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี น่าหยิกน่าดึงเป็นอย่างมาก
ข้อที่ 3 เสียงทุ้มต่ำของพี่มินซอกที่บางทีผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงได้นุ่มนวลนัก ไม่แน่ชัดว่าเป็นเฉพาะเวลาคุยกับผมรึเปล่า เพราะเท่าที่สังเกตแล้วเสียงของพี่มินซอกค่อนข้างดุเวลาคุยกับจงอิน แต่ก็นั่นแหละ เพราะเสียงอย่างนั้นนั่นแหละ น่าทำให้ร้องครางเป็นบ้า
ข้อที่ 4 ด้วยสรีระของพี่มินซอกที่ดูเหมือนจะเริ่มหยุดสูง และเพราะร่างที่ผอมลงจากเมื่อก่อนมากโข แต่ถึงอย่างนั้นแขนของพี่มินซอกก็ยังมีกล้ามเนื้อเป็นมัดพอประมาณดูแข็งแรง แต่รู้อะไรไหม เพราะร่างกายที่ดูประเปรียวสันทัดแต่ก็มีกล้ามเนื้อนั่นแหละ น่าทำให้ดิ้นรนใต้ร่างผมชะมัด
ที่จริงยังมีข้อ 5 , 6 , 7 , 8 และไปเรื่อย ๆ อีกเยอะแยะ แต่ถ้าผมสาธยายซะหมด อย่างนั้นเรื่องคงจบไม่สวยแน่
เอาเป็นว่าผมคิดกับพี่มินซอกแบบไม่บริสุทธิ์ใจเท่าไหร่ อา...ต้องบอกว่าไม่บริสุทธิ์ใจอย่างมาก น่าจะเข้าท่ากว่า
ถ้าพี่มินซอกเป็นคนอื่นผมอาจจะพุ่งเข้าหาพร้อมจับล็อกตัวแล้วกดลงฟูกในทันทีที่มีโอกาส...ซึ่งโอกาสมีบ่อยมากสำหรับผม แต่เพราะพี่มินซอกคือพี่ชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้อง จะว่ามีสายเลือดเดียวกันหนึ่งทางก็ว่าได้ ถึงแม้จะไม่ได้เต็มแน่นทุกสายแบบพวกเลือดบริสุทธิ์จากแฮร์รี่ พอตเตอร์ก็เถอะ แต่คำว่าลูกพี่ลูกน้อง ญาติ และลุงป้าน้าอาปู่ทวดย่าทวดต้นตระกูลก็ค้ำคอให้ผมไม่สามารถกระทำอย่างที่ใจคิดได้
แต่ก็ยังดีที่พี่เขายังไม่รู้ธาตุแท้ของผม ได้เต๊าะพี่เขาเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านการเป็นน้องจงแดคนน่ารักขี้ออดขี้อ้อนก็ยังดี
สรุปคือผมอยากจะจับพี่มินซอกกิน ซึ่งนั่น...ถ้าพี่มินซอกคิดเหมือนกัน ผมคงไม่เห็นดีด้วย
เพราะผมจะไม่ยอมให้พี่มินซอกจับผมกินอย่างแน่นอน
“ตาพี่มินซอกตอนมองเราสองคนวินาทีแรกนี่แทบจะกินผมหมดตัวแล้วมั้ง กินในที่นี้คือทำให้หายไปจากโลก โคตรน่ากลัว”
คำพูดของจงอินทำให้ผมหัวเราะเสียงดังลั่นห้อง ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเพื่อยับยั้งไม่ให้ตัวเองขำขันไปมากกว่านี้ ก็เพราะผมไม่รู้นี่ไงว่าจริง ๆ แล้วพี่มินซอกคิดยังไง เพราะอย่างนั้นเวลาแอบยั่วให้พี่มินซอกโกรธแบบนี้ถึงเป็นเรื่องสนุกมาก อันที่จริงก็อยากรู้นักเชียวว่าถ้าพี่มินซอกไม่ได้หวงผมแบบน้องชายสุดรัก แล้วพี่มินซอกจะหวงในรูปแบบไหนกัน?
และยังคงยืนยันว่าผมไม่ต้องการให้พี่มินซอกจับผมกิน
“น่าเอ็นดูว่ะ”
“พี่มินซอกน่ะนะ?” จงอินถาม กระตุกยิ้มมุมปากข้างหนึ่งอย่างยียวน ให้ผมพยักหน้ารับคำถามนั้นก่อนจะปาหมอนใส่มันให้ยกมือขึ้นรับได้ทันท่วงที “น่าเอ็นดูแบบไหนน้า~”
“อ๋อ แบบไหนน่ะเหรอครับคุณ จงอิน”
ผมเดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้า เปิดตู้ขึ้นแล้วไล่กวาดสายตามองหาชุดที่จะผลัดเปลี่ยน ทำทีเหมือนไม่ได้สนใจจะตอบคำถามที่ก็รู้คำตอบดีอยู่แล้วสักเท่าไหร่ ก่อนจะเอื้อมมือหยิบไม้แขวนเสื้อซึ่งแขวนชุดนอนลายทางทั้งเสื้อและกางเกงออกมาแขวนกับที่จับประตูตู้ จัดการดึงเสื้อยืดสีชมพูอ่อนดูน่ารักให้ขึ้นเหนือศีรษะตัวเอง ก่อนจะหยุดชะงักแล้วเหลียวสายตาไปทางจงอิน กระตุกยิ้มร้ายแล้วตอบกลับไป
“แบบที่จะทำให้พี่มินซอกถูกกลืนกินไปทั้งร่างแล้วหลอมละลายด้วยฝีมือผมยังไงล่ะครับ”
ได้ยินเสียงผิวปากจากเจ้าจงอิน หากผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอก ก็แค่สะบัดเสื้อทิ้งลงพื้นแล้วหยิบเสื้อนอนมาสวม ติดเม็ดกระดุมอย่างใจเย็นจนกระทั่งเหลือไว้สองเม็ดด้านบนสุดแล้วค่อยถอดทั้งกางเกงและบ็อกเซอร์ออกแล้วผลัดเปลี่ยนเป็นกางเกงนอน หันไปยักคิ้วให้จงอินอีกรอบแล้วเดินออกมาจากห้อง
ดื่มนมสักหน่อยดีกว่า สุขภาพจะได้แข็งแรง ได้สูงกว่าพี่มินซอกอีกนิด...เมื่อนั้นก็คงถึงเวลาที่ผมจะจู่โจมพี่เขาได้แล้วล่ะ หึหึหึ
~
ไม่คิดว่าพี่มินซอกจะทำอย่างที่ว่าไว้จริง ๆ
ทั้ง ๆ ที่เราเพิ่งจะเจอกันเมื่อสองวันก่อน และทั้ง ๆ ที่วันนี้ผมจำได้ว่าพี่เขามีเรียนจนถึงช่วงค่ำที่คณะ แต่ทำไมตอนนี้ถึงมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผมพร้อมรถคันสวยที่หน้าโรงเรียนได้? นั่นก็เพราะพี่มินซอกจะพาผมไปขุนอย่างที่พี่เขาบอกไว้ไงล่ะ
ไว้เราเจอกันบ่อยขึ้นดีไหม แล้วพี่จะเลี้ยงข้าวจงแดบ่อย ๆ เอง
ผมคลี่ยิ้มสดใสแลดูน่ารักน่าชังส่งไปให้ ไม่ถามถึงจุดประสงค์ที่มารับกันเลยสักคำ ในตอนที่ผมยกมือขึ้นเกาแก้มเบา ๆ เมื่อพี่มินซอกส่งยิ้มสุขุมลุ่มลึกมาให้ ผมรับรู้ได้ถึงกระแสสายตาพรั่นพรึงจากคนในโรงเรียนที่มองเห็นการกระทำของผม การกระทำของเด็กผู้ชายขี้อายดูน่ารัก ซึ่งนั่นนับว่าผิดแปลกไปจากคิม จงแดที่โรงเรียนอย่างชัดเจน
ดูขัดแย้งและปรับเปลี่ยนเร็วรี่เพียงไม่ถึงห้าวินาที ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าผมมีความสามารถพิเศษอย่างนี้ เหอะ ๆ ๆ
“อยากกินอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า?”
“ไปรับจงอินด้วยดีไหมครับ?”
พี่มินซอกชะงักไปเล็กน้อย หากก็ยังส่งยิ้มใจดีมาให้ผมพร้อมกับเคลื่อนรถไปยังอีกเส้นทางที่ไม่ใช่ทางไปโรงเรียนของจงอิน ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจนิดหน่อย แต่เขาก็คลายความสงสัยของเขาด้วยการเอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยค “พี่โทรหาจงอินแล้วน่ะ เห็นว่าไม่ว่าง”
อ้อ...
ว่าแต่ไอ้จงอินเนี่ยนะไม่ว่าง? แปลก ๆ นะ
“งั้นกินอะไรก็ได้ครับ” จะดีที่สุดถ้าได้กินพี่มินซอกครับ
ผมเผลอกลืนน้ำลายลงคอ แต่โชคดีนักที่พี่มินซอกคิดว่าผมเพียงกระหายน้ำเท่านั้น ผมหันไปที่เบาะหลังแล้วหยิบขวดน้ำมาหนึ่งขวดตามคำบอกของพี่มินซอกที่แสนจะห่วงใยผม เปิดฝาแล้วยกขวดขึ้นเหนือริมฝีปากหมายจะลำเลียงนั้นโดยไม่ให้ปากขวดแตะปากผม แต่มันก็เป็นเรื่องยากเพราะรถยังขับเคลื่อนอยู่ เพราะอย่างนั้นแล้วผมจึงถือวิสาสะแตะปากกับปากขวดแล้วลำเลียงน้ำลงคอซะเลย
น้ำแร่ของพี่มินซอกนี่อร่อยดี ไม่รู้รสชาติของเจ้าของจะเป็นยังไง
อ่า...ผมคิดว่ายิ่งโตผมก็ยิ่งหื่นนะ? หรือมันจะเป็นเรื่องปกติของวัยรุ่นเลือดร้อนรึเปล่า?
ผมดื่มน้ำจนเหลือครึ่งขวดในตอนที่พี่มินซอกหยุดรถตามสัญญาณไฟจราจรพอดี คำสุดท้ายผมอมมันไว้จนแก้มตุง ปิดฝาขวดขณะไล่สายตามองไปยังทางเบื้องหน้าเรื่อยเปื่อย แต่ก็กลับต้องสะดุดกับสายตาของพี่มินซอกที่จ้องมองมา สายตาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกบางอย่างทำให้ผมกลืนน้ำลงคออึกใหญ่แล้วแลบลิ้นเลียกลีบปาก พี่มินซอกเม้มปากแน่นก่อนหันหน้ากลับไป
หือ?
“มีอะไรรึเปล่าครับพี่มินซอก?”
“เปล่าครับ”
ค่อนข้างน่าเชื่อถือเพราะเสียงพี่มินซอกราบเรียบเป็นปกติ แต่สายตาเมื่อครู่ยังคงติดตรึงในความคิดผม ผมทำอะไรผิด? หรือพี่มินซอกจะหันมาเห็นตอนปากผมแตะทาบกับปากขวด? “อ่า...ผมดื่มน้ำไม่หมด เดี๋ยวผม...”
“ไม่เป็นไร ๆ เอามันไปไว้ที่เดิมก็ได้ ไม่ต้องคิดมากหรอก”
อืม...
ที่จริงก็ไม่มีอะไรให้ต้องคิดมากอยู่แล้วรึเปล่า หือ ก็เราเป็นพี่น้องกัน การดื่มน้ำจากขวดเดียวกันด้วยปากที่แตะปากขวดเหมือนกันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรตรงไหน แต่เอาเข้าจริง ๆ ถึงพี่มินซอกจะเอ็นดูผมมากแค่ไหน ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเส้นกรอบที่พี่มินซอกขีดไว้เป็นส่วนตัวจะเป็นยังไง จะว่าไปตลอดมาพี่มินซอกไม่ค่อยขัดใจอะไรผมเท่าไหร่เลยนี่นะ ให้ความรู้สึกเหมือนพี่มินซอกยอมรับให้ผมเป็นส่วนหนึ่งที่มากกว่าลูกพี่ลูกน้อง อาจจะเอ็นดูผมมากจนคิดจะให้เป็นน้องชายแท้ ๆ
แต่ขอร้องเลยนะครับ ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นด้วยเลยสักนิด!
“ง่วงจังเลย...”
“นอนสักงีบก็ได้นะ”
“ไม่ดีกว่าครับ” ผมส่ายหน้าพลางคลายยิ้มอ่อน ๆ ขณะหันไปมองพี่มินซอก “นั่งรถเป็นเพื่อนพี่มินซอกดีกว่าหลับแล้วให้พี่มินซอกขับรถคนเดียวเงียบ ๆ มีผมคุยเป็นเพื่อน พี่มินซอกจะได้ไม่เหงาไง เนอะ”
ผมยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้นจนดวงตาแทบปิดเมื่อพี่มินซอกหันมามองเล็กน้อย เมื่อหันหน้ากลับไปยังเบื้องหน้าตามเดิม พี่มุมปากกดมุมปากเป็นรอยยิ้มราบเรียบแต่ก็ดูออกว่าพอใจมากแค่ไหน กิริยาเช่นนั้นของพี่มินซอกทำให้ผมคลายยิ้มน่ารักเพิ่มมากขึ้น ซึ่งตรงข้ามกับในใจของผมเป็นอย่างมาก
เพราะผมมีแต่ความคิดที่ว่า...สักวันหนึ่งผมจะทำให้ความสุขุมแบบบุรุษของพี่มินซอกเปลี่ยนไป ด้วยผมเอง
ฮ้า! แค่คิดก็โคตรจะตื่นเต้นละ!!
“ขอบคุณมาก ๆ นะครับพี่มินซอก อิ่มมาก ๆ เลยครับ”
ผมว่าอย่างนั้นในตอนที่ก้าวเท้าลงรถมาแล้ว และพี่มินซอกก็ลงรถมาด้วยเช่นเดียวกัน ตามปกติแล้วเวลาที่เราออกไปไหนด้วยกันข้างนอกและพี่มินซอกเป็นคนมาส่ง แม้จะไม่ได้เอ่ยเชิญอะไรแต่พี่เขาก็จะลงมาด้วย เพราะเหตุผลง่าย ๆ ที่จะเข้าไปทักทายคุณแม่กับคุณพ่อของผม ซึ่งส่วนใหญ่จะเจอคุณแม่ซะมากกว่า อย่างวันนี้ที่พอผมเปิดประตูบ้านก็คิดว่าจะเห็นคุณแม่นั่งอยู่ที่โซฟา
แต่...คุณแม่ผมหายไปไหนก็ไม่รู้
“พักก่อนไหมครับพี่มินซอก?”
ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแสนห่วงใย กะพริบตาปริบ ๆ อย่างเว้าวอนให้พี่เขารับความห่วงใยจากผม พี่มินซอกคล้ายจะนิ่งไปชั่วครู่ ไม่รู้แน่ชัดว่ากำลังตัดสินใจหรืออย่างไร แต่ที่แน่ ๆ สุดท้ายแล้วก็พยักหน้ารับเรียบ ๆ หากก็แต้มประดับด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ ดูสุขุม ให้ผมยิ้มกว้างด้วยความยินดีแล้วเดินตรงเข้าไปในห้องครัว จัดการชงกาแฟรสโปรดของพี่มินซอกพร้อมกับจัดคุกกี้ที่คุณแม่เป็นคนอบเองใส่จานกระเบื้องเคลือบสีน้ำเงินเข้ม เดินออกมาอีกทีก็เห็นว่าพี่มินซอกนั่งบนโซฟาแล้วพร้อมกับเสื้อเชิ้ตที่ปล่อยให้เป็นอิสระจากขอบกางเกง
โห...ปลายเสื้อยับ ๆ กับกระดุมเชิ้ตที่ปลดออกหนึ่งเม็ดนี่มัน…
“กาแฟครับ”
“ขอบใจมากครับจงแด”
ผมยังคงยิ้มน่ารักส่งไปให้ แล้วก็นั่งแหมะลงที่พื้นตรงหน้าพี่มินซอก ยกมือขึ้นเกาะแก้วกระจกโต๊ะเตี้ยเอาไว้ ช้อนดวงตาขึ้นมองพี่มินซอกที่ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบขณะทอดสายตาจ้องลงมามองผม แต่ก็เพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นพี่มินซอกก็เสสายตาไปทางอื่นโดยที่แทบจะไม่หันกลับมามองอีกเลย
กว่าจะมองกลับมาอีกทีก็ตอนที่วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะแล้วหยิบคุกกี้ขึ้นงับหนึ่งชิ้น
“แจกันอันนี้ไม่เคยเห็นเลย คุณน้าซื้อมาใหม่อีกแล้วหรือจงแด?”
อ้อ...ที่แท้ก็สนใจแจกันนี่เอง ผมพยักหน้ารับแล้วทำหน้าเนือย ๆ “ของเก่าแทบจะไม่มีที่เก็บแล้วครับพี่มินซอก”
พี่มินซอกกลั้วหัวเราะเบา ๆ ยังคงไว้ซึ่งกิริยาทุ้มนุ่มสุขุมลึกดุจความเวิ้งกว้างของหลุมอากาศ แต่ก็น่าแปลกที่มันยิ่งเป็นการกระตุ้นให้ผมอยากจะฉุดดึงสิ่งนั้นให้พ้นไป อยากจะเปลี่ยนแปลงให้พี่มินซอกเป็นคนใหม่ ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนของผม...นั่นแหละถึงจะดี
ผมฉีกยิ้มอารมณ์พลางเอื้อมมือหยิบคุกกี้บนจาน และเผอิ๊ญเผอิญว่านิ้วของเราสองคนแตะชนกัน ราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านปราดนิ้วของผม แต่ผมก็ยังคงปั้นยิ้มไร้เดียงสาสดใสอยู่เช่นนั้น
ทั้ง ๆ ที่ในใจนั่นน่ะ...
นิ้วชนกันหรือครับ? หึหึหึ ผมตั้งใจล้วน ๆ เลยล่ะครับ เรื่องบังเอิญอะไรนั่น โกหกทั้งเพ
To be continued
โอ้โห วันนี้เห็นดิสเพลย์ไอจีมินซอกแล้วเกิดอาการครั่นไม้ครั่นมือเลยค่ะ
นั่นมันพี่มินซอกผู้อยากจะกินน้องจงแดชัด ๆ !!
น่าเสียดายที่ในตอนนี้เราเขียนในมุมมองของน้องจงแด
อะ บอกแล้วไงว่าอย่าเพิ่งตัดสินไปก่อนว่าใครจะได้กินใคร คึคึคึ
คือ...จะมีคนอ่านมั้ยคะเรื่องนี้ ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
เราจะแต่งสลับมุมมองกันระหว่างพี่มินซอกกับน้องจงแดแบบนี้นะคะ
สลับตอนกันไป สบาย ๆ เรื่อย ๆ สดใสมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งนะ~
เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ ทวิตติดแท็ก #DTMCHU ได้น้า ถ้าชอบก็กดโหวตได้น้า~
ความคิดเห็น