คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่เจ็ด ... (รีไรท์)
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน…นทีธัชช์ขมวดคิ้ว
มองที่นาผืนกว้างของชาวนารอบนอกที่นับว่าอยู่ในระบบการจัดการของไร่รินทร์ธาราเพราะทางไร่รับซื้อข้าวจากชาวนาที่ไม่ได้เป็นคนงานโดยตรง
ก็เพียงเพื่อช่วยเป็นตัวกลางการค้าที่จะทำให้ชาวนารอบนอกได้กำไรจากการขายมากกว่าที่เคยถูกกดราคาอย่างไม่เป็นธรรม
ช่วงนี้แม้จะรู้กันว่าแปลงนาทุกผืนอยู่ในระยะปรับสภาพให้สารดิน แต่ก็ใช่ว่าจะมีใครละเลยผืนนาของตัวเอง
ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นจึงทำให้เจ้าของผืนนารับรู้ได้เร็ว และส่งข่าวต่อมายังนทีธัชช์ให้เร่งมาดูความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที
ไม่ถึงเดือนมานี้ ผืนนาของชาวบ้านในการจัดการของเขาถูกสารเคมีปนเปื้อนจนต้องทำการแก้ไขกันมาแล้วหลายราย
หากจะนับดูแล้ว ที่ดินแปลงนาของบุญเป็งก็นับเป็นรายที่ห้าที่มีสารเคมีรั่วไหลจนระบบดินเสียหาย
สารเคมี…แค่คิดถึงตรงนี้นทีธัชช์ก็ได้แต่ขบกรามแน่น หากจะมีใครที่เล่นไม่ซื่อลอบกัดแบบนี้ได้
ก็เห็นจะมีแต่ไร่เคียงผกายเท่านั้น
“แก้ได้ไหมครับคุณที”
นทีธัชช์พิจารณาเนื้อดินแล้วพยักหน้า “แก้ได้ครับ แต่ยังไงหลังจากนี้ผมอยากให้ลุงเป็งตรวจดินดูหน่อย แล้วแยกกันไปเลยระหว่างพื้นที่ที่โดนเคมีกับยังเป็นปกติอยู่
แล้วก็ลองคิดดูว่าหลังปรับสภาพดินเรียบร้อยแล้วลุงจะทำอะไร เพราะดูแล้วฝั่งดินที่ถูกเคมีก็คงต้องใช้ระยะเวลาอยู่เหมือนกัน”
“ลุงก็พอคิด ๆ ไว้บ้างแล้วล่ะคุณที
ใจลุงทีแรกว่าจะแบ่งที่สักสองสามงานปลูกพืชหมุนเวียนแทนข้าวไปเลยด้วยซ้ำ พอมาเจอแบบนี้คงต้องดูอีกทีว่าจะปลูกอะไรได้บ้าง”
“ยังไงก็ได้ครับ ให้ลุงมีทางไปต่อได้ก็พอ
ส่วนทางฝั่งดินที่โดนเคมี เดี๋ยวผมจะให้คนในไร่มาช่วยลุงปรับฟื้นสภาพมันด้วยแล้วกัน”
“ขอบใจคุณทีมากจริง ๆ เฮ้อ
ลุงก็นึกว่าจะไม่รอดแล้ว ถ้ามันทำอะไรไม่ได้ก็ต้องขายที่ให้คนอื่นเขา”
นทีธัชช์เข้าใจ สองในห้ารายที่ถูกเคมีเข้าทำลายยอมแพ้ทั้งที่ยังไม่ทันได้แก้ไข
ขายที่ให้คนอื่นไปก็มี ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ซื้อที่ต่อคือไร่เคียงผกายที่ดูเหมือนจะตั้งตารอผลประโยชน์จากตรงนี้อยู่แล้ว
“อย่างนี้นาลุงจะมีปัญหาอะไรไหมคุณที
ถ้าที่ดินข้าง ๆ กันกลายเป็นเกษตรเคมีไปอย่างนั้น”
นทีธัชช์จุดยิ้ม ส่ายหน้าเชิงบอกว่าไม่เป็นอะไร
และเพียงเท่านั้นเองก็กลับทำให้บุญเป็งมั่นใจและอุ่นใจว่าเขาจะยังมีที่ทางทำมาหากินต่อไปได้
โดยไม่ต้องทิ้งที่ทางของตัวเองไปทำงานอย่างอื่นที่ไม่ถนัดเอาเสียเลย
“เดี๋ยวผมให้เก้าช่วยวางผังให้
ยังไงก็ไม่มีปัญหาหรอกครับลุง”
บุญเป็งยิ้มได้บ้างแล้วหลังจากหน้าเครียดตั้งแต่เจอกัน
นทีธัชช์เองแม้จะยังมีความคุกรุ่นอยู่ในใจ แต่หากเขายังเครียดขึงให้ผู้สูงอายุเห็นก็คงยิ่งทำให้ขวัญหนีหาย
ชายหนุ่มมองแปลงนาที่ถูกทำลายอีกครั้งแล้วทอดถอนใจ เอ่ยปากขอตัวกับบุญเป็ง ตั้งใจจะกลับเข้าไร่ก็พอดีที่สายตาไปสะดุดกับใครคนหนึ่งเข้าเสียก่อน
“พี่ที สวัสดีครับ มีเรื่องอะไรกันรึเปล่าครับ”
“ราม” ชายหนุ่มทักทายตอบกลับแล้วเอ่ยคำ “มีปัญหานิดหน่อย ช่วงนี้มีสารเคมีเข้ามาอาบที่ดินของชาวนาเขา
เลยต้องมาดูแล้วหาทางแก้ไขน่ะ”
เมืองรามทอดมองไปทางที่นทีธัชช์เดินห่างมา
ยังเห็นบุญเป็งนั่งจับดินดูก็ถอนหายใจ เอ่ยปากบอกเรื่องที่ตัวเองเพิ่งเจอมาเหมือนกัน
“ที่ดินข้างผมก็ปรับเป็นเคมีเต็มตัวไปแล้ว
ไม่รู้ทำไมอยู่ ๆ ถึงเปลี่ยนใจ”
นทีธัชช์แค่นยิ้ม ไม่เอ่ยอะไรมากกว่านั้น
ชายหนุ่มเพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อยก่อนออกเดินอีกครั้ง จนออกมายังถนนที่มีรถจอดชิดริมทางจึงค่อยไถ่ถามเมืองรามที่ยังเดินตามมาอยู่
“แล้วนี่มีอะไรหรือเปล่า”
เมืองรามส่ายหน้า “เปล่าครับ พอดีผมขี่รถผ่านมา เห็นลุงกับพี่ทียืนหน้าเครียดกันอยู่เลยแวะดูหน่อย”
นทีธัชช์เข้าใจ เมืองรามอายุน้อยกว่าเขาสักสี่ปีได้
เป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ที่กลับมาอยู่บ้านเกิด หมายจะทำสวนในที่ดินของตัวเองให้เป็นเกษตรอินทรีย์โดยแท้
แรก ๆ ที่กลับมา ชายหนุ่มกล้าที่จะเดินเข้ามาหานทีธัชช์เพื่อขอความรู้อย่างไม่อายใคร
กัดฟันสู้รบกับความคิดแบบดั้งเดิมของครอบครัวที่ยังเคยชินและฝังแน่นกับวิถีเกษตรเคมี
จนในที่สุดกว่าทุกอย่างจะลงตัวก็เมื่อปีที่แล้วนี่เอง
เมืองรามเคยบอกว่าเขาเป็นดั่งครู เป็นผู้มีพระคุณที่ทำให้เมืองรามมีวันที่ดีกับครอบครัวได้
แม้ใจนทีธัชช์จะปฏิเสธคำเยินยอนั้น แต่เขาก็ยังเอ่ยปากฝากฝังให้เมืองรามมีใจตั้งมั่น
เพียงไม่คิดละโมบโลภมาก การทำเกษตรอินทรีย์แม้ได้ผลช้าทว่าจะยั่งยืนแน่นอน
“แล้วพี่พลอยเป็นยังไงบ้างครับ
อาการดีขึ้นบ้างรึยัง”
เป็นนทีธัชช์ที่นิ่งไปบ้าง เขามองตาชายหนุ่มรุ่นน้องคล้ายค้นหาอะไรสักอย่าง
แต่พอเจอเพียงสายตาทอความห่วงใยและกังวลจึงยกยิ้มเล็กน้อย “ยังทรงตัวอยู่ อาจต้องส่งตัวไปรักษาต่อที่กรุงเทพน่ะ”
เมืองรามตกใจไม่น้อย “หนักมากเลยเหรอครับพี่ที นี่ก็ผ่านมาหลายอาทิตย์แล้ว”
เกือบสามอาทิตย์ ไม่แปลกถ้าเมืองรามจะตกใจที่ได้รู้ว่าไม่มีอะไรดีขึ้นเลย “ทางบ้านพลอยอยากดูแลอย่างเต็มที่น่ะ”
“แล้วอย่างนี้พี่คี…”
เมืองรามเปรย ก่อนชะงักเมื่อพบว่าสายตาที่มองกันนิ่งสงบมากเพียงใด และเพราะมันนิ่งเย็นอย่างนั้นเขาถึงรู้ว่านทีธัชช์กำลังเตือนกัน
รู้แล้วว่าตัวเองคงล้ำเส้นมากเกินไปจึงเลือกที่จะถอยห่างจากสิ่งที่พูด “ขอโทษครับพี่ที”
หากนทีธัชช์กลับแสดงออกว่าไม่ติดใจเอาความอะไรด้วยการตัดบทเสีย
“พี่ต้องไปก่อน ถ้าสวนของนายมีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้ตลอดเหมือนเดิมนะ”
“ขอบคุณครับพี่”
นทีธัชช์ตบบ่าชายหนุ่มที่ยกมือไหว้เขา
จุดยิ้มน้อย ๆ ก่อนขึ้นรถมา เคลื่อนล้อไปตามเส้นทางจนกระทั่งกลับเข้าสู่เขตของรินทร์ธาราอีกครั้ง
นัยน์ตาคู่คมทอดมองไปยังตึกสำนักงาน เห็นไกรวียืนคุยโทรศัพท์ใกล้ประตูด้วยสีหน้าเครียดเคร่งจึงเลือกที่จะลงรถปิดประตู
ทันทีที่ไกรวีมองมาเห็นเขา ชายหนุ่มกลับหยุดยืนนิ่งขณะที่ริมฝีปากก็ขยับคุย ไม่ได้มีท่าทีปิดบังอะไรกัน
“ผมจะไม่ซ้ำเติมพี่ก้อยแล้วกัน
แล้วยังไงเดี๋ยวผมลองติดต่อหานักออกแบบให้…อืม แค่นี้นะครับ”
ไกรวีกดตัดสายแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า คิ้วยังขมวดมุ่นตอนมองนทีธัชช์ที่หนุดอยู่ใกล้
ๆ
“มีเรื่องเหรอ”
ไกรวีถอนหายใจ แสดงความเบื่อหน่ายออกมาเต็มที่ก่อนตอบ “หนังสือเรื่องใหม่ที่ใกล้จะต้องเปิดตัวแล้วมีปัญหาน่ะครับ คนออกแบบปกอยู่ ๆ
ก็ชิ่งไปเลย งานไม่ยอมส่ง ได้เงินไปแล้วแท้ ๆ แล้วคนนี้ก็เคยสร้างปัญหาแบบนี้ พี่ก้อยยังจ้างทำอยู่ได้”
“แล้วกรจะทำยังไง”
“เดี๋ยวผมจะลองติดต่อคุณมีนดู
เผื่อว่าเขาจะช่วยทำให้ได้”
คราวแรกนทีธัชช์นิ่งไป ก่อนนึกขึ้นได้ว่าคุณมีนที่ว่าคงหมายถึงรดิศ
คนรักของเจ้าของ Relieve Café ที่เจอกันเมื่อตอนลงไปเมืองหลวง เขากับไกรวีได้นามบัตรคนละใบ
แต่เป็นไกรวีที่คุยถูกคอกับฝ่ายนั้นมากกว่า ด้วยคงเพราะมีสายงานทางเดียวกัน
“ไปเถอะ”
“ไปไหนครับ”
นทีธัชช์ไม่ตอบคำถามแต่ก้าวเดินไปที่รถ
และดูเหมือนว่าปีกของไกรวีจะแข็งแรงขึ้นแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่ยอมเดินตามง่าย ๆ เขาหยุดนิ่งอยู่กับที่
ทอดมองคนที่มักออกคำสั่งเป็นประจำอย่างเงียบ ๆ รอดูท่าทีว่านทีธัชช์จะทำอย่างไรต่อไป
กลายเป็นว่าไม่มีการหมุนตัวกลับมาบังคับกัน
นทีธัชช์ขึ้นนั่งบนรถ สตาร์ตได้ก็เหยียบคันเร่งจนรถมาหยุดอยู่พอดีกับที่ไกรวียืนอยู่
พอเห็นไกรวียังนิ่ง ชายหนุ่มจึงจุดยิ้มแล้วอัดแตรเสียงดังไปหนสั้น ๆ ราวกับเป็นจดหมายท้ารบต่อไกรวี
มีคนงานที่อยู่บริเวณนั้นหันมองมา ไม่เว้นแม้กระทั่งจอมทัพที่เอี้ยวหน้ามาจากด้านใน
เห็นแววตาสงสัยของแต่ละคนไกรวีก็เลยกัดปากล่าง เอื้อมมือเปิดประตูขึ้นรถ…เป็นอันรู้กันว่าศึกครั้งนี้ไกรวีแพ้อีกตามเคย
หากมิวายยังปิดประตูด้วยแรงที่มากพอจะทำให้เกิดเสียงดังจนรถสะเทือน
“โทษทีครับ ลืมเบาแรง”
นทีธัชช์เหลียวมองคนข้างกาย พอเห็นว่ารัดเข็มขัดเรียบร้อยจึงค่อยออกรถ
ยังไม่พูดอะไรจนเป็นไกรวีที่ต้องส่งเสียงเอง “สรุปจะไปไหนครับ”
“บ้านสวน”
“บ้านสวน?”
“มีคนอยากเจอ”
ไกรวีแปลกใจ แต่เมื่อมองจ้องแล้วนทีธัชช์ก็ยังไม่มีวี่แววจะพูดอะไรต่อเลยนิ่งเสีย
เขาทำเหมือนนทีธัชช์ไร้ตัวตนไปโดยฉับพลัน กลับมาอยู่กับตัวเองเพื่อสะสางงานที่วุ่นวายด้วยการค้นนามบัตรของรดิศที่อยู่ในกระเป๋าใส่บัตร
กดหมายเลขได้ก็ยกโทรศัพท์ขึ้นทาบหู และหลังจากนั้นโลกทั้งใบของไกรวีก็ทิ้งคนขับรถให้อยู่นอกกรอบตลอดการเดินทาง
‘บ้านสวน’ ที่นทีธัชช์บอกไว้ไม่ได้ไกลจากรินทร์ธารานัก ดูเหมือนจะเป็นพื้นที่ของรินทร์ธาราที่แยกห่างออกมาจากความวุ่นวายเสียมากกว่าด้วยป้ายที่ปักไว้หน้าทางเข้าว่า
‘บ้านสวนรินทร์ธารา’ ไกรวีทอดสายตามองต้นไม้ที่ปลูกเป็นทิวแถวสองข้างทางขณะที่รถเคลื่อนผ่านกรอบรั้วไม้ที่กั้นเป็นอาณาเขตชัดเจน
ขับต่อมาได้ไม่ถึงสิบนาทีก็พบกับบ้านไม้หลังใหญ่ที่มีต้นไม้และไม้ดอกไม้ประดับล้อมรอบ
เป็นภาพที่ราวกับหลุดมาจากภาพจิ๊กซอว์ที่ชายหนุ่มเคยต่อเล่นกับเพชรพริ้งเมื่อเยาว์วัย
รถจอดใกล้ ๆ ทางเดินที่ปูยาวด้วยหินกรวด
ไกรวีลงจากรถพร้อม ๆ กับนทีธัชช์ กวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนสะดุดที่ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนรอต้อนรับเขาสองคนอยู่ที่ชานเรือน
ไกรวีพินิจเพียงครู่ก็จำได้ ผู้หญิงที่หยุดยืนอยู่ตรงนั้น
มองมาที่เขาและมอบรอยยิ้มให้แก่กันคือนภางค์ มารดาของฝาแฝดคีรินทร์นทีธัชช์ เพื่อนรักของแม่ของเขาเอง
“ป้านภางค์” ไกรวีจุดยิ้ม ก้าวตรงเข้าไปหาแล้วยกมือไหว้ทำความเคารพอย่างนอบน้อม เป็นนภางค์ที่เข้ามาโอบกอด
ลูบหัวลูบไหล่พลางพิจารณาชายหนุ่มตรงหน้า
“หนุ่มน้อยของป้าโตขึ้นมากเลยนะ”
ชายหนุ่มหัวเราะ จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ มีโอกาสได้เจอกับเธอบ่อย
ๆ หากแต่เมื่อสามีของเธอและพ่อของเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ร่วมกันจนเสียชีวิต ไกรวีจึงไม่เคยเห็นนภางค์อีกเลย
หรือถ้านภางค์ลงไปเยี่ยมที่บ้านก็จะเป็นช่วงที่เขาไม่ว่างและไม่อยู่บ้านอีกด้วย
ครั้งสุดท้ายที่เจอกันคืองานมงคลสมรสของคีรินทร์กับเพชรพริ้งซึ่งเป็นพิธีช่วงเช้าที่จะมีแต่ญาติมิตร
ได้พบได้ทักทายกันเพียงครู่ไกรวีก็ออกจากงานมา
ใช่ เพราะเขาออกจากงานมาก่อนทั้งยังไม่เข้าร่วมงานฉลองที่จัดขึ้นที่รินทร์ธารา
จึงไม่ได้รู้เลยสักนิดว่าคีรินทร์มีฝาแฝด
“แม่เราเป็นยังไงบ้าง”
“แม่สบายดีครับ แต่ช่วงนี้ท่านมีปัญหาเรื่องหัวเข่า
ผมเลยไม่ให้ท่านตามมาที่นี่”
“ป้าก็คุยกับพิมพ์เขาอยู่
บ่น ๆ ว่าเราน่ะใจแข็งเกินไป ไม่อย่างนั้นคงนั่งเครื่องมาถึงนี่แล้วล่ะ”
ไกรวียิ้ม โอบเธอหลวม ๆ ขณะก้าวเท้าเข้าบ้าน
ก่อนต้องแปลกใจที่เห็นเพชรพริ้งอยู่ที่นี่ด้วย แน่ล่ะว่าถ้ามีเพชรพริ้งก็ต้องมีคีรินทร์
แล้วนั่นไงล่ะ กำลังยืนคุยกับนทีธัชช์กันสองคนซึ่งก็คงเป็นเรื่องงานอีกตามเคย
“มีอะไรรึเปล่าครับ อยู่กันพร้อมหน้าเลย”
ไกรวีถามอย่างที่ไม่ได้ต้องการคำตอบนัก
และเพชรพริ้งก็เพียงแต่อมยิ้ม หันไปมองสามีที่ยืนคุยกับฝาแฝดอยู่ห่าง ๆ จึงค่อยกลับมามองน้องชายอีกครั้ง
“มีเรื่องที่ต้องบอกน่ะ”
เรียวคิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดฉับ พลันคิดไปถึงว่าอาจเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนักหรือไม่ “เคียงผกายเหรอครับ”
“ไม่ใช่หรอก ไม่เกี่ยวเลย”
“หรือ…รินทร์ธารามีปัญหาอะไร มีศัตรูเพิ่มเหรอครับ”
เท่านั้นนภางค์ก็หัวเราะร่วน เธอรู้สึกเอ็นดูยามจับต้องถึงความกังวลและห่วงใยต่อไร่รินทร์ธาราที่เธอสร้างมาเองกับมือจากไกรวี
หากชายหนุ่มกลับยิ่งรู้สึกคลางแคลงใจ เหลียวมองไปทางฝาแฝดก็เห็นพูดคุยกันราวกับกลัวใครจะแอบฟัง
มองกลับมาที่เพชรพริ้งก็เหมือนเธอจะรอสามีก่อนจะบอกเรื่องที่ว่ามา ไกรวีจึงทำใจเย็น
นั่งเงียบ ๆ อย่างรอคอย
ไม่นานคีรินทร์กับนทีธัชช์ก็ผละห่างจากกัน
คีรินทร์เดินตรงมานั่งลงข้างเพชรพริ้ง ส่วนนทีธัชช์ยืนกอดอกอิงกรอบหน้าต่าง ภาพที่มองเห็นเหมือนวันแรกที่เขามาที่นี่
นั่นทำให้ยิ่งแคลงใจมากกว่าเดิมเสียอีก
แต่เพชรพริ้งกลับยิ้มกว้าง มองคีรินทร์ที
มองนภางค์ที ก่อนจะจ้องตากับเขา เงียบเสียงอีกครู่ก่อนขยับปากบอกกล่าว
“กรกำลังจะมีหลานแล้วนะ”
ไกรวีรู้สึกราวกับโลกหยุดหมุน ความเปรมปรีดิ์โลดแล่นในอกอย่างที่ทำให้ยิ้มกว้าง
ทว่าวินาทีหนึ่งเรื่องราวที่ทำให้เขามาที่นี่ก็กลับชะงักความรู้สึกนั้นลงฉับพลัน ชายหนุ่มผันหน้าจากยิ้มเป็นตึงเครียด
มองไปยังส่วนของหน้าท้องของพี่สาวแล้วขมวดคิ้ว
“งั้นกลับบ้านไหมพี่พลอย”
“เดี๋ยวก่อน อีกแล้วนะกร”
เพชรพริ้งร้องขึ้นอย่างอ่อนใจ เธอคิดไว้อยู่แล้วว่าไกรวีคงเสนอหนทางที่จะทำให้เธอปลอดภัยที่สุด
และบ้านที่กรุงเทพก็เป็นที่แรกและที่เดียวที่ไกรวีจะคิดถึง “พี่ไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละกร
เรานี่ยังไง เอะอะจะให้พี่กลับบ้านเรื่อยเลย”
“อ้าว” เขาร้องบ้าง ก่อนนิ่งคิด
คราวก่อนเพชรพริ้งบอกเขาว่าไปไหนไม่ได้เพราะหัวใจอย่างคีรินทร์อยู่ที่นี่
คราวนี้นอกจากจะมีหัวใจดวงโตแล้วยังมีดวงน้อย ๆ ที่ฝากฝังรากชีวิตอยู่ในท้องของเธอ
ไกรวีเข้าใจแล้วว่าพี่สาวคงไม่อยากไปไหน และเขาคิดว่าการที่ตามตัวเขาให้มาที่บ้านสวนคงมีอะไรมากกว่านั้น
หรือบางทีเขาอาจเพียงแค่มาเพื่อรับรู้สิ่งที่พี่สาวตัดสินใจไว้แล้ว
“พี่จะมาอยู่ที่นี่กับแม่นภางค์
กรไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
ไกรวีถอนใจยาว ที่สุดก็คลายยิ้ม เขาเคารพในการตัดสินใจของพี่มาโดยตลอด
และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
คีรินทร์มองตรงมา ยกยิ้มขอบคุณที่เขาไม่เสนอหนทางไหนให้อีกแล้ว
ทั้งยังยอมรับอย่างง่าย ๆ อีกด้วย
“อยู่กับแม่น่ะไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก
แม่จะช่วยดูแลพลอยให้เอง”
นภางค์ว่าอย่างนั้น แต่กลับทำให้ไกรวีฉุกใจคิดสงสัย
เพราะถ้อยคำของเธอเหมือนไม่ได้ส่งตรงถึงเขาเพียงคนเดียว แต่เหมือนรวมถึงคนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงนี้ด้วย
นทีธัชช์เห็นความสงสัยในแววตาของเขาจึงเอ่ยขึ้น “หลังจากนี้คีจะกลับไปช่วยงานในสำนักงาน แต่คงไม่ได้ไปทุกวัน”
คีรินทร์พยักหน้า “ถ้าพลอยอยู่กับแม่พี่ก็ไม่ห่วงอะไรแล้ว แล้วพี่ก็ต้องกลับไปเสียที ก่อนที่เคียงผกายจะดึงคนของเราไปได้มากกว่านี้”
ได้ยินเสียงเหอะดังมาจากนทีธัชช์
ก่อนเขาจะแค่นยิ้มแล้วเอ่ยบ้าง “บางทีเรื่องนี้เราอาจต้องขอบคุณเคียงผกาย”
“พอเลย” คีรินทร์ปรามทันที
“อย่างน้อยมันก็ช่วยเรากำจัดคนที่ไม่ซื่อสัตย์ออกไปนี่”
นทีธัชช์ต่อให้จบบท และก็ใช่ การที่มีใครสักคนเลือกจะไปอยู่ไร่คู่ตรงข้ามล้วนมีจุดประสงค์
รินทร์ธาราที่ดูแลกันอย่างเป็นครอบครัว มีระบบระเบียบที่รัดกุมดีพอ สวัสดิการที่จะว่าไปก็ให้กันด้วยใจทั้งนั้น
หากวันหนึ่งมีใครคิดคดด้วยการย้ายฐานไปอยู่กับอีกฝ่าย เวลานั้นก็จะได้รู้ว่าความซื่อสัตย์ที่มอบให้ต่อกันได้มลายลง
นทีธัชช์ไม่เคยคิดแง่ลบหากใครจะย้ายถิ่นไปที่อื่น
ต่างจังหวัด กลับบ้าน หรือแม้แต่แยกตัวไปมีธุรกิจการเกษตรของตัวเองเขายังพร้อมสนับสนุน
แต่ต้องไม่ใช่การเข้ากลุ่มกับเคียงผกาย ไม่ใช่!
“ถ้าอย่างนั้น นายจะบอกว่าการที่มีคนออกเรื่อย
ๆ อย่างนี้ไม่เป็นปัญหาน่ะเหรอ”
“ใช่”
“งั้นฉันก็ยังไม่ต้องกลับไป
นายจะยังดูแลงานเอกสารคนเดียวต่อไปใช่ไหม”
คีรินทร์ใช้มีดจี้จุดอ่อนของฝาแฝดได้ตรงจุด
ใช่ นทีธัชช์ไม่ถนัดงานเอกสารเอาเสียเลย หากเป็นงานออกพื้นที่ จะตากแดดตากลมเป็นสิบชั่วโมงยังทำได้
เขาชอบที่จะได้ลงแรงกายมากกว่านั่งจับเจ่าอยู่ในสำนักงาน ที่ผ่านมาตั้งแต่คีรินทร์ไม่อยู่
เขายังมอบหมายให้จอมทัพจัดการเป็นส่วนใหญ่เลยด้วยซ้ำ ยิ่งมีไกรวีมาช่วยก็ยิ่งง่ายขึ้น
แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าคงทนอยู่กับงานที่มีแผ่นกระดาษเป็นปึกได้อีกไม่นาน
สุดท้ายนทีธัชช์เลยขบกรามราวแค้นเคืองนัก
แล้วเอ่ยคำที่ทำให้คีรินทร์จุดยิ้มพึงใจ “ฆ่ากันให้ตายเลยก็ได้”
“เดี๋ยวกลับไปช่วย ไม่ต้องห่วงหรอก”
นทีธัชช์ร้องเหอะอยู่ในลำคอ “ไว้ฉันจะหาเรื่องหายไปจากไร่ให้นายคุมคนงานบ้างแล้วกัน”
แม้จะด้วยท่าทีสบาย ๆ อย่างนั้นก็ยังรู้ว่านทีธัชช์พูดจริง
คีรินทร์เลยยกยิ้มมากขึ้น เอ่ยแซวอย่างที่ทำให้แม้แต่นภางค์ยังหัวเราะ “นายน่ะเหรอจะออกจากไร่ คงต้องรอแต่งเมียก่อนมั้ง แถมยังไม่มีวี่แววนั้นอีกต่างหาก”
“คี พอเลยนะ อย่าแหย่น้อง”
ไกรวีเลยพลอยยิ้มไปด้วยอีกคน เพราะทั้ง
ๆ ที่นภางค์บอกอย่างนั้น แต่กลับเป็นเธอที่หัวเราะดังกว่าใครเพื่อน แต่ไกรวีดูแล้วกลับคิดว่าปัญหาไม่น่าจะอยู่ที่นทีธัชช์จะมีภรรยาเมื่อไร
แต่ดูเหมือนผู้ชายหน้าคมคร้ามคนนี้น่าจะไม่เลือกใครเลยมากกว่า
วัน ๆ เห็นขลุกอยู่กับชาวสวนชาวนา เลิกงานก็กลับบ้าน
จะเอาเวลาไหนไปหาชมสาวงามมาให้ครองใจตัวเองได้เล่า
“ยิ้มอะไร”
นทีธัชช์เห็นไกรวีอมยิ้ม พยายามที่จะไม่ขำไปกับเสียงหัวเราะของนภางค์ก็อดถามไม่ได้
และน้ำเสียงของเขาหาเรื่องชัดเจน ให้ไกรวีทำลอยหน้าลอยตาไม่รับรู้ ด้วยเชื่อว่าต้องมีคนอีกสองคนที่พร้อมจะปรามนทีธัชช์หากจะหาเรื่องกัน
“ยิ้มเฉย ๆ ทำไมพี่ทีชอบมีปัญหากับผมนัก”
“เดี๋ยวจะให้เดินกลับไร่เสียให้เข็ด”
“พาลใส่กันนี่ แล้วไง ผมกลับพร้อมพี่คีพี่พลอยก็ได้”
แต่เพชรพริ้งกลับมองมาด้วยสายตาอ่อนใจ
คีรินทร์ก็มองมาด้วยสายตาขอโทษขอโพย ก่อนเสียงทุ้มโทนนุ่มจะดังมาให้เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจ
“พี่กับพลอยจะค้างกันที่นี่
คงไม่ได้กลับเข้าไร่แล้วครับกร”
พอมองไปทางนทีธัชช์ ก็เห็นว่ายกยิ้มมองมาก่อนแล้ว
แถมเป็นยิ้มที่ร้ายกาจมากเสียด้วยสิ
ดังนั้นจึงต้องเป็นนภางค์ที่สงบศึก เพราะดูแล้วคีรินทร์กับเพชรพริ้งก็กำลังสนุกกับการตามมองศึกครั้งนี้อยู่
“พอแล้ว ไม่ตีกันแล้วนะสองคนนี้
ไปที พาน้องไปเดินเล่นในสวนก่อนเถอะไป เดี๋ยวแม่กับพลอยจะเตรียมมื้อเย็น เสร็จแล้วจะได้กลับเข้าไร่กัน
จะได้ไม่ค่ำเกินไป อันตราย”
“ครับแม่” นทีธัชช์ตอบรับ เดินเข้ามาใกล้ไกรวีที่ลุกขึ้นยืนแล้วโน้มหน้าเข้าหา พูดเสียงเบาพอที่จะได้ยินกันแค่สองคน
“ตะวันตกดินทางก็มืดแล้ว เดินระวัง ๆ หน่อยแล้วกันนะกร”
ไกรวีแค่นยิ้ม “จะขู่ผมรึไง”
“ไม่ขู่หรอกครับ”
นทีธัชช์หัวเราะเบา ๆ “แต่จะทำจริง”
สังเกตปฏิกิริยาก็เห็นว่าไกรวีหรี่ตาลง
จึงสำทับไปเพิ่ม “ถ้าไม่อยากให้พี่ปล่อยทิ้งข้างทาง ก็ทำตัวดี ๆ กับพี่สิ
พี่อาจเปลี่ยนใจ”
“ทำยังไงดีล่ะครับ”
“อย่างเช่น…ประจบพี่หน่อย อ้อนพี่ด้วย หรือจะทำอาหารที่พี่ชอบสักสามมื้อ เพราะบอกตรง ๆ
ว่าเริ่มเบื่อต้ม ๆ แกง ๆ กับข้าวต้มมื้อเช้าแล้วล่ะ”
ว่าจบก็เดินผ่านกันไปเลย แถมพอไปถึงประตูบ้านแล้วยังมองกลับมาพร้อมรอยยิ้มขบขันอีกต่างหาก
ไกรวีส่งเสียงเหอะในลำคอ ก้าวเท้าเดินตามพลางคิดในใจ หากนทีธัชช์อยากให้เขาเอาใจบ้างก็คงทำได้
แต่จะให้ทำเมนูอื่น ๆ ที่เขาทำไม่เป็นทำไม่ถนัดล่ะก็…คืนนี้เขาคงต้องได้เดินเท้ากลับไร่เสียแล้วล่ะ!
โปรดติดตามตอนต่อไป
ทวีตติดแท็ก #ธาราโอบจันทร์
คอมเมนต์ กดให้กำลังใจ หรือยังไงก็ตามที่สะดวกเลยนะคะ
เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^ ^
ความคิดเห็น