คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่หนึ่ง ... (รีไรท์)
ระยะทางหลังรถกระบะคันใหญ่เคลื่อนออกจากตัวเมืองไกลกว่าที่ไกรวีคิดไว้
เขาผล็อยหลับไปช่วงเวลาหนึ่ง กว่าจะตื่นมาอีกทีก็พบว่าพระอาทิตย์ใกล้ลาลับฟ้าแล้ว ทิวเขาข้างทางที่มองเห็นก่อนหลับไปกลับกลายเป็นทุ่งนาผืนกว้างสุดลูกตา
ชายหนุ่มขยับตัวนั่งหลังตรง ผ่อนลมหายใจยาวเมื่อมองไปยังเบื้องหน้าแล้วได้เห็นรั้วไม้ตั้งกรอบแสดงอาณาเขตกว้างขวาง
ใกล้กับประตูใหญ่มีป้ายไม้ตั้งไว้สลักเป็นตัวอักษรชัดเจน ‘ไร่รินทร์ธารา’
ความเงียบที่โอบล้อมตลอดการเดินทางสิ้นสุดลงเมื่อคนที่ทำหน้าที่ขับรถหันมองมา
ไกรวีไม่ทันได้เห็นว่าอีกฝ่ายจุดยิ้มหรืออย่างไร แต่ถ้อยคำถามที่ส่งมาก็คล้ายจะเป็นการทำลายความเงียบลงเสียมากกว่าจะถามจริง
“หลับสบายรึเปล่าครับ”
ไกรวีไม่ได้ตอบ เพียงแต่ทอดมองลึกเข้าไปหลังรั้วไม้
ไม่ได้หันมองยามรักษาการณ์ที่ประตูซึ่งเป็นคนเปิดต้อนรับรถที่เขาโดยสารมาให้เคลื่อนเข้าไปด้านใน
เพราะทุ่งหญ้าผืนกว้างดูจะสะกดใจเขาได้มากกว่าทุกอย่างในเวลานี้ มันดูสวยงามยามมีแสงของพระอาทิตย์อาบเคลือบ
แต่ก็ดูเวิ้งว้างราวกับพื้นที่ตรงนี้ไม่ได้ถูกใช้งาน
“ผมพาคุณเข้ามาทางด้านหลังครับ
คุณไกรวี” เสียงทุ้มลึกดังขึ้น “ที่ตรงนี้ยังไม่มีการจัดการอะไรเลยปล่อยโล่งไว้ก่อน
เห็นว่าพลอยก็คุย ๆ ไว้เหมือนกันว่าอยากจะทำเป็นสวนดอกไม้ แต่ยังไม่ได้คุยรายละเอียดลงลึกกันเท่าไหร่”
ถ้อยความยามเอ่ยถึงเพชรพริ้งดูราบเรียบสบาย
ๆ ไม่บ่งอารมณ์ใด นั่นทำให้ไกรวีแปลกใจไม่น้อย ถึงเขาจะไม่ได้คาดหวังกับปฏิกิริยาของคีรินทร์
แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดถึงภรรยาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ราวกับเวลานี้ไม่มีเหตุการณ์ใดให้หม่นหมองใจเลยสักนิด
และหากจะให้มองอย่างอคติแล้วด้วย เขามองไม่เห็นแววอาทรรักใคร่แม้แต่ปลายเสียงของอีกฝ่าย
“พี่พลอยชอบดอกไม้มากนี่ครับ”
“ครับ เห็นว่าอย่างนั้น”
เห็นว่าอย่างนั้นเนี่ยนะ? ไกรวีเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าผู้ชายคนนี้ใส่ใจพี่สาวเขาจริงหรือไม่ ถึงทำให้ถ้อยความที่เอ่ยออกมาแม้จะยังดูเรื่อย
ๆ หากก็ชัดเจนถึงความไม่มั่นใจเท่าที่ควร ไกรวีหันหน้ามอง ขมวดคิ้วอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้คนที่ถูกจ้องอยู่เหลียวสายตามามองกันชั่ววินาทีแล้วพ่นลมหายใจยาวอย่างไม่ปิดบัง
“คุณควรใส่ใจภรรยาคุณมากกว่านี้”
ไกรวีเตือน แต่อีกคนกลับจุดยิ้มน้อย ๆ
พยักพเยิดไปทางเบื้องหน้าแล้วบอกกล่าว “จะถึงแล้วนะครับ”
ห่างไปไม่ไกลนัก ไกรวีมองเห็นบ้านไม้หลังใหญ่ตั้งโดดเด่นกลางลานกว้าง
มีต้นไม้น้อยใหญ่ปลูกเป็นรั้วกั้นเขตอย่างง่าย ๆ และโดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายขยายความ ไกรวีก็พอเดาออกว่าบ้านหลังนี้คงเป็นบ้านพักส่วนตัวของเจ้าของไร่รินทร์ธารา
ด้วยรอบบริเวณที่ไม่มีความวุ่นวายใดเข้ามาใกล้ เขาเห็นก็แต่แปลงปลูกผักสวนครัวอยู่ด้านข้างตัวบ้าน
มีรถคันใหญ่อีกหนึ่งคันจอดอยู่ มองผ่านไปอีกไกลโขทีเดียวถึงจะเห็นไฟดวงกลมเป็นภาพเบลอแนวกว้างซึ่งทางฝั่งนั้นคงจะเป็นฝั่งด้านหน้าของไร่
หากในเวลานี้คงไม่มีอะไรทำให้หัวใจของไกรวีเต้นไม่เป็นส่ำได้อีกแล้ว
เว้นแต่เพียงร่างสูงเพรียวของผู้หญิงที่คุ้นตา
คราวแรกยามเห็นเพชรพริ้งยืนอยู่ที่กรอบประตูไม้คือความหนักอึ้งไปทั้งหัวใจ
ครั้นไล่สายตามองตามร่างกายเธอที่หยัดยืนมั่นคงอย่างคนที่ยังแข็งแรงดี ความรู้สึกนั้นจึงค่อย
ๆ คลายไปและถูกแทนที่ด้วยความโล่งใจเปราะหนึ่ง ไกรวีปลดเข็ดขัดนิรภัยออกในทันทีที่รถเทียบจอดหน้าบ้านไม้
พอนิ่งสนิทเขาก็เปิดประตูลงรถ เหยียบเท้าขึ้นบันไดจนกระทั่งหยุดยืนตรงหน้าหญิงสาวที่เขารักสุดชีวิตคนหนึ่ง
“พี่พลอย…” ไกรวีเอ่ยเสียงแผ่ว เป็นเพชรพริ้งที่โอบเขาเข้าสู่อ้อมกอด วินาทีนั้นเองที่ไกรวีมึนงงไปหมดกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ยิ่งได้ยินเสียงพี่สาวเรียกกันด้วยเสียงสั่นไหวก็ยิ่งมึนตื้อ
ครู่หนึ่งที่ตั้งสติได้จึงคลายกอดแล้วขยับออกห่าง
เขาจดจ้องใบหน้าของเธอ ไล่สายตามองบาดแผลที่น่าจะเป็นเพียงแผลถลอกเสียมากกว่าจะสาหัสแล้วกลับมาสบตาเธออีกครั้ง
“อะไรพี่พลอย ผมไม่เข้า—”
ไกรวีชะงัก ไม่ใช่เพราะเสียงปิดประตูรถจากด้านหลัง
แต่เป็นภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่เดินออกมาจากด้านในบ้าน ไกรวีมั่นใจว่าคนที่ปิดประตูรถนั่นคือคีรินทร์ซึ่งขับรถมาส่งเขาถึงที่นี่
แต่กับคนที่เพิ่งได้พบสบตากันเมื่อวินาทีนี้ กลับทำให้เขามึนงงไปชั่วขณะถึงหน้าตาที่ราวกับพิมพ์เดียวกัน
เพียงแต่ผู้ชายที่เดินมายืนข้างเพชรพริ้งแล้ววางมือลงบนกลุ่มผมของเธอ ยกยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับยกมืออีกข้างเกลี่ยน้ำตาให้นั้นมีผิวที่ค่อนไปทางสีแทนมากกว่าจะเข้มคร้าม
“ขอบคุณพี่ทีมากนะคะที่ไปรับกรให้”
เพชรพริ้งเอ่ยกับคนด้านหลัง และหากไกรวีจำไม่ผิด
ยามเธอบอกเล่าถึงสามีตัวเอง เธอจะเรียกเขาว่า ‘พี่คี’ ไม่ใช่ ‘พี่ที’
“ยินดีครับพลอย…นาน ๆ ทีออกจากไร่ก็สนุกดี”
ไกรวีหันขวับกลับมองในทันที ก็พบกับมุมปากที่ยกยิ้มเพียงนิดแต่แววตามีรอยขำขันอยู่มาก
นึกรู้ว่าตัวเองปล่อยไก่หน้าแตกตั้งแต่ออกจากสนามบินโดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ท้วงหรือแก้ไขความเข้าใจผิดอะไร
ปล่อยให้เขาพล่ามบ้าพล่ามบอกับคนที่ไม่ใช่ตัวเองเสียได้ตั้งหลายคำ
แล้วใครจะไปรู้ว่าคีรินทร์มีฝาแฝด!
“ไม่เป็นไรนะครับคุณกร เดี๋ยวผมเก็บเศษบนรถให้เอง”
แถมยังตอกย้ำด้วยการเย้ากันอย่างนี้อีก
เขาแน่ใจแล้วล่ะว่านี่ไม่ใช่คีรินทร์แน่ ไม่ใช่อย่างแน่นอน!
“มีอะไรกันรึเปล่า”
ชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ข้างเพชรพริ้งและเป็นสามีตัวจริงเอ่ยถาม
เขามองเห็นรอยขบขันบนแววตาของน้องชายฝาแฝดที่ไม่ได้ปิดบัง ต่างจากไกรวีที่ดูจะช็อกไปอึดใจหนึ่งเลยด้วยซ้ำตอนสบตากับเขา
และหากจะให้เดาแล้วล่ะก็ คงเกิดการเข้าใจผิดกันครั้งใหญ่ตอนอยู่บนรถ และน้องชายฝาแฝดคงไม่ได้ขัดหรือไขความเข้าใจผิดเป็นแน่
และดูเหมือนจะจริง เมื่อที่สุดนทีธัชช์หัวเราะออกมาเบา
ๆ ตั้งท่าจะอ้าปากพูด แต่ไกรวีก็รีบหันหน้ากลับมาหาเพชรพริ้งแล้วพูดขึ้นเสียก่อน
“เกิดอะไรขึ้นใช่ไหมพี่พลอย
นี่คงไม่ใช่สร้างเรื่องเล่นตลก ๆ หรอกใช่ไหม”
เพชรพริ้งหันมองหน้าสามีอย่างคิดไม่ตก
ก่อนบีบกระชับมือเรียวของน้องชายแล้วตอบคำ “พี่ตกเขาจริง แต่ไม่ได้เป็นอะไรหรอกกร
ก็อย่างที่เห็นว่าพี่ยังยืนได้อยู่ตรงนี้นี่แหละ”
“แล้วยังไง” ไกรวีขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกได้ว่านอกจากจะไม่ใช่เหตุผลที่เขาเคยภาวนาไว้รวมถึงการสร้างเรื่องเพื่อตลกโปกฮาแล้วยังมีเรื่องบางอย่างที่ซ่อนไว้อยู่ด้านหลัง
สังหรณ์ใจเขาไม่เคยพลาดนักหรอก เรื่องที่ซ่อนไว้คงไม่ใช่เรื่องดีนัก
“เดินทางมาเหนื่อย ๆ พักผ่อนก่อนไหมกร
พี่ทีคะ พลอยรบกวน—”
“ยังล่ะพี่พลอย”
ชายหนุ่มขัดขึ้นพร้อมสีหน้าจริงจัง “ผมไม่ได้เหนื่อยอะไร
แล้วผมก็อยากรู้ด้วยว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ถึงมีโทรศัพท์จากไร่รินทร์ธาราไปที่บ้านบอกว่าพี่ตกเขาอาการสาหัสปางตาย”
เสียงของไกรวีจริงจังเหมือนใบหน้า ทว่าไร้รอยขุ่นข้องโกรธเกรี้ยวอย่างที่เพชรพริ้งนึกกลัว
จังหวะที่หญิงสาวพยักหน้าอย่างจำยอม เสียงจากคนที่ยืนอยู่ตรงตีนบันไดก็ดังขึ้นให้ไกรวีหันขวับไปอีกครั้ง
“เอาเรื่องนะเนี่ย”
“คุณ – ติดบัญชีไว้ก่อน จบเรื่องพี่สาวผมคิดบัญชีกับคุณแน่”
เมื่อครู่คุยกับพี่สาวดูจริงจังมีเหตุผล
แต่พอหันมาทางนทีธัชช์กลับเต็มไปด้วยอารมณ์ล้วน ๆ ชายหนุ่มพิมพ์เดียวกับคีรินทร์เลยได้แต่ยกยิ้มมากขึ้นอีกนิด
ดูไม่ได้หวั่นใจกับโทษของการปล่อยให้ไกรวีเข้าใจผิดไปไกลโขถึงขนาดนั้น
“พาน้องเข้าบ้านก่อนเถอะพลอย”
คีรินทร์เอ่ยบอกเสียงนุ่ม พอเห็นว่าภรรยาจับจูงน้องชายตัวเองเข้าบ้านไปแล้วจึงกอดอกเล่นจ้องตากับฝาแฝดตัวเอง
ที่สุดจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่เบาลง “ไปทำอะไรเขา”
“ไม่ได้ทำอะไร” นทีธัชช์ตอบทั้งยักไหล่ ก้าวเท้าขึ้นบันไดไม้มาหยุดยืนข้างพี่ชายฝาแฝดแล้วมองเข้าไปยังห้องรับแขกที่มีสองพี่น้องนั่งอยู่
“อย่างที่พูดว่ะ เอาเรื่องพอตัวเลยนะคนนี้”
“ยังไง”
“ดุเอาเรื่อง”
นทีธัชช์ยกยิ้ม เป็นยิ้มที่ปราศจากรอยขุ่นมัว
คีรินทร์มองเห็นแต่ความพึงใจที่ทำให้เขาต้องหรี่ตา หากแต่ยังไม่คิดพูดอะไรออกไป ได้แต่ปรามน้องชายฝาแฝดว่าถ้าเขาดุก็อย่าไปแหย่เขานัก
ก่อนจะหมุนตัวก้าวเท้าเข้าไปหาอีกสองคนโดยที่นทีธัชช์เดินตามกันมาติด ๆ
ทันทีที่เพชรพริ้งมองตากับสามีที่เดินมานั่งลงข้างกันแล้ว
นทีธัชช์ก็ผ่อนยิ้มลงจนกลายเป็นใบหน้าขึงเครียด ริ้วอารมณ์หนึ่งฉายพาดบนม่านตา เขากอดอกยืนพิงกรอบหน้าต่างขณะทอดมองคนสามคนที่นั่งอยู่บนโซฟาชุดอย่างเงียบเชียบ
“ว่ามาพี่พลอย”
“คืออย่างนี้…” เพชรพริ้งถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เมื่อวานเย็นพี่ออกไปสำรวจที่ดินของไร่มา
ไปถึงจุดใกล้เชิงเขาก็เลยเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่พี่จำได้ว่าไม่คุ้นตาเลย ไม่ใช่คนของไร่แน่
พี่เลยลองมองดี ๆ จำได้ว่าเป็นคนของไร่เคียงผกาย ก็เลยโทรหาพี่คี”
เท่านั้นไกรวีก็ขมวดคิ้ว รับรู้ถึงลางอันตรายจนทำให้เผลอตีหน้าเครียดเคร่งใส่พี่สาว
“เดี๋ยวก่อน ไร่เคียงผกายคือไร่ของใคร”
“ไร่คู่ตรงข้ามของเราครับกร”
คีรินทร์ตอบบ้าง สีหน้าเข้มขึ้นยามเอ่ยถึง “ไร่เคียงผกายเขาทำเกษตรเคมี
ส่วนของเราเป็นเกษตรอินทรีย์”
ไกรวีพอเข้าใจ หากก็ยังไม่เข้าใจมากนัก
เขาคิดว่าบางทีนี่อาจเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางธุรกิจที่ไม่ลงรอยกันจนอาจทำให้เกิดปัญหาตามมา
แต่เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าเรื่องธุรกิจระหว่างไร่จะมีผลมาถึงพี่สาวของเขาได้อย่างไรบ้าง
นัยน์ตาของไกรวีคงเป็นประกายความสงสัยไม่น้อยเลย
คนที่ยืนกอดอกพิงกรอบหน้าต่างถึงได้มองออก ชายหนุ่มทอดถอนลมหายใจ เอ่ยขยายความโดยไม่รอให้ไกรวีต้องถามเพิ่ม
“หมาลอบกัด คุณเข้าใจคำนี้ใช่ไหม”
ไกรวีเหลียวมองสบตา พยักหน้ารับให้นทีธัชช์เอ่ยต่อ “เคียงผกายไม่เคยสู้กันแบบซึ่งหน้า จะมีก็แต่คิดแผนหาทางเหยียบให้รินทร์ธาราเสียระบบ
แต่แย่หน่อยที่เราจัดการแก้ไขได้ทุกครั้ง มันก็คงมองหาทางอื่นที่จะรังแกเราได้ ก็เลยเลือกพลอย”
“ทำไมต้องเป็นพี่พลอยครับ”
“เพราะพลอยเป็นหัวใจของพี่”
คีรินทร์ตอบคำนั้น มือที่กุมกันยิ่งกระชับแน่น
ไกรวีไม่แปลกใจเลยหากเพชรพริ้งจะมีความสุขมากที่ได้อยู่ที่นี่
และจากถ้อยคำที่ตอบออกมาได้ทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไร สิ่งที่เพชรพริ้งเคยบอกเขาเอาไว้ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
บุรุษที่อบอุ่นอ่อนโยน ให้ความรัก ดูแล และมอบเกียรติแก่เธอทุกวินาที
นี่สิคีรินทร์ตัวจริง
“เขาผลักพี่พลอยตกเขาเหรอครับ”
“ใช่” หญิงสาวมองหน้าน้องชาย ก่อนได้รีบเอ่ยต่อเมื่อเห็นว่าไกรวีขบกรามแน่น
“แต่โชคดีของพี่ที่ตรงนั้นเป็นปากเขาที่ถัดลงมานิดเดียวก็มีแนวหินยื่นออกมา
พอพี่ไถลลงไปเลยยึดตัวเกาะขอบแล้วปีนเข้าไปหลบน่ะ ไม่เจ็บมากเท่าไหร่หรอกกร”
“แต่มันก็อันตรายมากใช่ไหม”
เขาไม่รู้หรอกว่าพี่สาวจะเจ็บมากหรือน้อย
ที่เขารู้คือสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมเป็นอันตรายที่อาจถึงแก่ชีวิตได้
ครั้งนี้อาจเป็นความโชคดีที่ทำให้เพชรพริ้งยังอยู่ตรงนี้
แต่เขาไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่าต่อไปพี่สาวของเขาจะยังอยู่ดีได้หรือไม่
เพราะเพียงแค่ได้ยินฟังเท่านี้ก็ยังรู้ว่านี่คงเป็นสัญญาณเตือนที่อีกฝั่งหนึ่งส่งมาให้ได้รู้ว่าจะเอาจริง
ไม่ใช่ลอบกัดอย่างที่ฝาแฝดของคีรินทร์บอกมาอีกต่อไปแล้ว
“กลับบ้านเลยแล้วกัน”
“เดี๋ยวก่อน กรใจร้อนเกินไปแล้ว”
เพชรพริ้งลั่นเสียงหลง มองหน้ากับสามีอย่างลำบากใจ “พี่ยังไปไหนไม่ได้หรอกกร
พี่จะไม่ไปไหนด้วย”
“อะไรเนี่ยพี่พลอย
นี่มันอันตรายมากเลยนะ ถ้าอยู่ต่อไปแล้วพี่จะเป็นยังไง”
“แต่หัวใจของพี่อยู่ที่นี่
พี่ไปไหนไม่ได้จริง ๆ กร”
ไกรวีนิ่ง
มองหน้าพี่สาวสลับกับพี่เขยก่อนพ่นหายใจ ยิ่งเห็นว่ามือของคนสองคนกุมกันไว้ไม่ปล่อยก็เลยยิ่งคิดหนัก
หากก็ยังอดเปรยออกไปไม่ได้จริง ๆ “เวลาแบบนี้ยังจะมีอารมณ์หวานใส่กันอีก”
ไกรวีไม่ได้เอ่ยขึ้นอย่างหยอกเย้า
ไม่ได้รู้สึกยินดีปรีดาให้กับความรักของทั้งสองอย่างที่ควรเป็น
ถึงอย่างนั้นคนที่ยืนอยู่กรอบหน้าต่างก็ยังหัวเราะพรืด ครู่สั้น ๆ จึงแสร้งกระแอมไอเบา
ๆ เมื่อเรียวตาคู่กลมตวัดมองอย่างเอาเรื่องไม่น้อย ชายหนุ่มจุดยิ้ม อ้อมตัวมาทางหน้าโซฟาเบาะเดี่ยวแล้วทิ้งตัวลงนั่งก่อนเริ่มต้นเอ่ยถึงสิ่งที่ควรจะเอ่ยตั้งแต่แรกแล้ว
“ที่ทางเราโทรบอกทางบ้านคุณทั้งที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง
มันเป็นแผน” ไกรวียืดหลังตรงโดยอัตโนมัติ มองจ้องมาที่นทีธัชช์นิ่ง
ซึ่งสายตาที่มองมาทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังถูกดุแต่ก็ไม่
“ในเมื่อทางนั้นอยากให้เราเสียขวัญที่...หัวใจของไอ้คีกำลังจะหลุดลอยไป เราก็จะเล่นตามเกมของมัน”
“สร้างสถานการณ์ว่าพี่พลอยอาการสาหัสน่ะเหรอครับ”
นทีธัชช์พยักหน้า จุดยิ้มน้อย ๆ “ยิ่งให้อีกทางเห็นว่าเราอยู่ในสภาวะอ่อนแอมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงทางนั้นก็คงหาทางเข้ามารุกพื้นที่เราได้สักวัน
แล้ววันนั้นนั่นแหละ...จะเป็นวันที่พวกเรารอคอย”
บางอย่างบอกไกรวีว่านี่ไม่ใช่แผนของคีรินทร์
ไม่ใช่การเสนอความเห็นของเพชรพริ้ง
แต่เป็นความคิดของคนที่ออกปากบอกออกมาได้อย่างสบาย ๆ
ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ความจริงแล้วไกรวีไม่อยากให้พี่สาวต้องเสี่ยงอะไรอีกต่อไปแล้ว
ยิ่งกับโอกาสที่จะเกิดอันตรายได้สูงหลังจากนี้เป็นต้นไป
ทำไมทุกคนถึงได้เห็นด้วยกับแผนการที่ใช้ผู้หญิงเป็นเครื่องมืออย่างนี้กันได้เล่า!
“แล้วพี่พลอยจะทำยังไง”
“พี่จะอยู่ที่นี่
คงออกไปไหนไม่ได้ระยะหนึ่ง โดยที่จะไม่มีใครรู้ว่าพี่ยังสบายดี
ทุกคนแม้กระทั่งคนงานในไร่ก็จะเข้าใจว่าพี่ยังอาการสาหัสอยู่ พี่คีเองก็เหมือนกัน”
“พี่จะให้ทีรับหน้าแทนทุกอย่างในช่วงนี้
จะทำตัวอ่อนแออย่างที่ทางนั้นเขาอยากเห็น
ระหว่างนั้นจะเก็บข้อมูลของทางฝั่งนั้นเพื่อเล่นงานคืนบ้าง”
“ส่วนคุณ...” นทีธัชช์เอ่ยขึ้น มองตรงมาที่เจ้าของใบหน้าซึ่งมีรอยเคร่งเครียดเสียมากส่วน
“คุณจะต้องตามไปทำงานกับผม...ทุกวัน”
เดี๋ยวก่อนนะ
ไกรวีนิ่งไปอึดใจ เขาไม่คิดว่าในแผนการครั้งนี้จะมีชื่อของเขาร่วมอยู่ด้วย
และการที่ทุกคนพูดออกมาได้อย่างต่อเนื่องกันอย่างนี้ก็ให้รู้ว่านัดแนะตกลงกันเรียบร้อยแล้ว
โดยที่เขายังไม่ทันได้ตัดสินใจอะไรเลยด้วยซ้ำ “นี่มันมัดมือชกกันไม่ใช่เหรอครับ”
“ครับ ใช่ ก็ตามนั้นนั่นแหละ
คุณมีอะไรขัดข้องไหมล่ะครับ” นทีธัชช์ถาม
พอเห็นไกรวีนิ่งคิดก็เลยเสริมเพิ่มเข้าไปอีก “ผมรู้ว่าพลอยเป็นหัวใจของไอ้คี
แล้วก็เป็นหัวใจของคุณด้วย ถูกไหม”
นั่นก็ถูก ไกรวีรักครอบครัว
รักยิ่งกว่าชีวิตของตัวเองเสียด้วยซ้ำ
หากการที่เขาขบคิดไม่ใช่เพื่อปกป้องตัวเองอย่างที่อีกฝ่ายอาจกำลังมองหรือเข้าใจ
แต่เขากำลังคิดว่าการเข้าร่วมแผนการตลบหลังไร่เคียงผกายเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้วหรือไม่
และหลังจากนี้พี่สาวของเขาจะยังปลอดภัยดีไม่ถูกลอบทำร้ายอีกแล้วหรือเปล่า
ไกรวีวางใจในตัวคีรินทร์ที่จะเคียงข้างดูแลเพชรพริ้ง
แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันอนาคตได้เลยสักนิดไม่ใช่หรือ
เพราะอย่างนั้น
ที่สุดชายหนุ่มจึงพยักหน้าตอบตกลง
ไม่ใช่เพื่อใคร
แต่เพื่อพี่สาวของเขาเอง
“ผมต้องทำอะไรบ้างนอกจากตามคุณไปทำงาน”
นทีธัชช์จุดยิ้มพึงใจ
หันมองพี่ชายฝาแฝดที่ดูโล่งใจขึ้นมาในทันทีที่ไกรวีพยักหน้า
ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น
“คืนนี้ใช้เวลากับพี่สาวคุณให้เต็มที่ครับคุณกร แล้วหลังจากคืนนี้ไป
คุณจะไม่ได้พักที่นี่ แต่จะไปพักกับผมที่บ้านอีกหลังแทน ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ
เราค่อยคุยกันพรุ่งนี้ตอนกินข้าวมื้อเช้าแล้วกัน – ฉันกลับเลยนะคี ไปนะพลอย
พรุ่งนี้เจอกันครับคุณกร ฝันดี”
ไกรวีขมวดคิ้ว
ไม่ทันได้ตอบปฏิเสธหรือตกลงอะไรนทีธัชช์ก็หันหลังเดินออกจากบ้านไปแล้ว
ยังมีอีกหลายคำถามที่ดังอยู่ในหัวตั้งแต่ได้ยินถ้อยคำสรุปรวบยอดที่เหมือนจะยิ่งกว่ามัดมือชก
ทั้งพอจะหันไปถามเอาความกับพี่สาว เธอก็กลับเพียงบีบไหล่เขาเบา ๆ
เอ่ยปากขอบคุณที่ยินยอมอยู่ที่นี่ แล้วก็บอกว่าจะพาไปพักที่ห้องรับรองแขก
ในขณะที่คีรินทร์เดินออกไปด้านหน้าตรงชานเรือนเพื่อลากกระเป๋าเดินทางของเขาเข้ามา
ทุกคนทำเหมือนเขาตกลงกับทุกเรื่องเรียบร้อยแล้ว
ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่
และให้ตายสิ ดูเหมือนจะไม่มีใครใส่ใจกับสีหน้าซังกะตายของเขาที่มันชัดเจนว่าไม่ได้พอใจกับคำตัดสินรวบรัดของฝาแฝดอีกคนเลยสักนิดเดียว!
โปรดติดตามตอนต่อไป
กะว่าจะอัปทุกวันจันทร์นะคะ ถ้าทำได้นะ แฮะ ๆ
#ธาราโอบจันทร์ น้าา
ความคิดเห็น