คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : บทที่สิบสี่ ... (รีไรท์)
นทีธัชช์โล่งใจ ยามเปิดประตูออกมาจากห้องแล้วกลิ่นหอมแตะจมูกเขา
ได้เห็นเจ้าของเรือนกายสันทัดที่หันมามองกันเพียงแวบหนึ่งก่อนกลับไปสนใจซุปในหม้อ ไม่ได้คิดมีใจจะทักทายอรุณสวัสดิ์กันเลยสักนิด
แน่ล่ะ คงเพราะเคืองที่เมื่อคืนเขา…จูบ
อันที่จริงมันไม่ควรเรียกว่าจูบเลยด้วยซ้ำ
ในเมื่อนทีธัชช์มีโอกาสแค่โฉบริมฝีปากลงไป แตะกับเนื้อนิ่มได้แค่วินาทีเดียวก็ถูกผลักหน้าออก
พอจะก้มลงไปหาใหม่ก็เลยถูกตบเบา ๆ ที่แก้มสากแทนการดัน มองมือที่เงื้อง่าขึ้นแล้วนทีธัชช์ก็ทั้งเคืองทั้งขำ
คนอะไร...ยอมให้เขาฟัดคอจนกลิ่นติดจมูกไปถึงใจขนาดนั้นแล้วแต่ปากกลับไม่ยอมให้จูบเสียได้
แถมยังเป็นจูบที่เขาหมายมาดจะให้เป็นจูบราตรีสวัสดิ์ส่งเข้านอนเสียด้วยสิ
หากที่ทำให้เขาโล่งใจ ก็เป็นเพราะบนข้อมือขาวยังมีสร้อยข้อมือที่เขาสวมให้เมื่อคืนอยู่
ของตีตราจองในความสัมพันธ์ของเขาสองคน
เอาล่ะ ถ้ายังไม่ยอมให้เขาจูบปาก เขาก็จะไม่จูบ!
ไกรวีนิ่ง มองคนที่เข้าประชิดตัวก่อนรั้งข้อมือเขาขึ้น
มองใบหน้าคมคายที่โน้มลงแล้วประทับริมฝีปากที่ข้อมือของเขาเหนือจี้ไม้รูปดอกบัวซึ่งเป็นจุดเดียวกับชีพจร
นัยน์ตากลมโตวิบวาวยามนทีธัชช์เงยหน้าขึ้นสบตา มุมปากหยักจุดเป็นรอยยิ้มลึกที่เจ้าเล่ห์อย่างถึงที่สุด
“อรุณสวัสดิ์”
คนฟังคำทักทายนิ่งไปอึดใจจึงค่อยระบายลมหายใจยาวแล้วจุดยิ้ม “จูบปากไม่ได้ก็ขอตรงอื่นก็ยังดีใช่ไหมครับ”
แหม…รู้ทัน
นทีธัชช์เลยจัดการให้รางวัลคนรู้ใจด้วยกอดจากด้านหลัง วางคางลงกับบ่าลาดแล้วมองซุปในหม้อ
“นี่ซุปอะไร หอมดีจัง”
“ซุปหัวหอมครับ”
อ้อ เมนูใหม่นี่เอง “แล้วนี่ใครครับ หอมจัง”
ไม่พูดเปล่า จมูกโด่งสันยังไล่แตะไปทั่วเรียวคอขาว
ก่อนหยุดลงยังหลังใบหูที่กำลังระบายสีแดงจางจากการถูกสัมผัส แล้วก็หอมเข้าไปฟอดใหญ่จนทัพพีในมือขาวสั่นริก
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะโอนอ่อนไปตามการรุกเร้า
แต่เป็นเพราะไกรวีที่กำไว้จนแน่นเพื่อเตรียมตัวจะเขกกะโหลกคนเจ้าแผนการนี่แหละ!
“นับหนึ่งถึงสาม ถ้าไม่ถอยออกไป”
“โอเค ถอยครับ”
ไม่ทันได้นับหนึ่งเลยนะนั่น…ไกรวีมองคนที่คลายกอดแล้วถอยห่างจากกัน เลือกที่จะยืนพิงเคาน์เตอน์ทำครัวเพื่อมองเขาปรุงอาหารอย่างเงียบ
ๆ จนใกล้เสร็จแล้วถึงหมุนตัวไปจัดเตรียมชามมาวางไว้ข้างเตา ก่อนจะผละออกไปจัดโต๊ะรอกันเหมือนเป็นเรื่องปกติ
แต่ไกรวีรู้ดีว่าไม่มีอะไรปกติเลย
บางที…คงเพราะความสัมพันธ์ของเขาสองคนที่ชัดเจนขึ้นมาแล้ว
“วันนี้น่าจะมีเด็กมาฝึกงานนะครับ
กรรับหน้าที่เป็นครูพี่เลี้ยงได้ไหม”
คำถามของนทีธัชช์ทำชายหนุ่มนิ่งไปนิด “นักศึกษาเหรอครับ ให้คุณเก้าดูแลดีกว่าไหม ผมไม่ได้มีความรู้เรื่องเกษตรขนาดนั้นนะครับ”
“เปล่า ไม่ใช่นักศึกษาหรอก”
นทีธัชช์เอ่ยเรียบ ๆ ตักซุปหัวหอมเข้าปากไปคำหนึ่ง ดวงตาเป็นประกายอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วพี่ก็ไม่ได้อยากให้กรดูแลในเรื่องของลงภาคสนาม แต่จะให้คอยดูความประพฤติระหว่างฝึกงานน่ะ”
นั่นไม่ได้ทำให้ไกรวีเข้าใจเลยสักนิด “ทำไมครับ”
นทีธัชช์ทำเหมือนคำถามนั้นลอยผ่านหู เขาให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้าอยู่อีกพักหนึ่ง
ซึ่งไกรวีเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ติดจะหมั่นไส้คนที่ได้ชื่อว่ารักกันอยู่หน่อย ๆ ด้วยซ้ำ
ท่าทีลีลาเล่นลิ้นอย่างนี้ไม่ใช่ว่าได้เห็นบ่อยนัก หรือถ้าบ่อย…ก็คงเป็นเพราะเขาที่ไม่รู้ตัวหรือไล่ตามไม่ทันมากกว่า
กว่าชายหนุ่มจะส่งเสียงออกมาได้ก็ตอนที่ซุปในถ้วยใกล้หมด
ขนมปังกระเทียมเหลืออยู่หนึ่งคำเท่านั้น
“เด็กที่มาฝึกงานมีองค์ความรู้ดีอยู่แล้วน่ะ
แค่มาฝึกที่นี่เพื่อเตรียมตัวเป็นนายเล็กเฉย ๆ”
“นายเล็กเหรอครับ”
นทีธัชช์จุดยิ้ม นัยน์ตาคู่คมมีแววมาดร้าย “เดี๋ยวกรก็รู้เอง”
‘ว่าที่นายเล็ก’
ที่นทีธัชช์เอ่ยถึงเมื่อช่วงเช้า เดินทางมาถึงสำนักงานของรินทร์ธาราก็ตอนใกล้พักเที่ยง
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาดูอ่อนล้าเล็กน้อย หากลูกแก้วกลมใสก็ยังทอประกายแรงกล้าของความขยันขันแข็ง
เขายื่นเอกสารที่มีทั้งประวัติที่ยืนยันตัวตนและเอกสารมอบตัวฝึกงานให้นทีธัชช์รับไว้
นั่งอยู่เงียบ ๆ รอผู้เป็นนายของรินทร์ธาราอ่านเอกสารราวกับตั้งใจ กระทั่งผู้ชายอีกคนเดินเข้ามาพร้อมน้ำกับขนมห่อหนึ่ง
ว่าที่นายเล็กถึงหันไปหา แย้มยิ้มพร้อมเอ่ยคำ
“ขอบคุณนะครับ ผมเป็นแค่เด็กฝึกงานแท้
ๆ บริการดีจัง”
ไกรวียิ้ม ไม่ทันได้ตอบอะไรเสียงทุ้มลึกของนทีธัชช์ก็ดังขึ้น “ดูแลไม่ดีเดี๋ยวเจ้าของหมอกรักษ์จะว่าเอา”
“โหย คุณทีคิดว่าผมจะฟ้องพี่ธารเหรอครับ”
“ฉันหมายถึงคุณศุภางค์”
นทีธัชช์ส่ายหน้าอ่อนใจ “นายไม่ฟ้องก็มีสายไปรายงานอยู่ดี
หรือไม่จริง”
ข้อนั้นคนฟังก็เถียงไม่ออก เลยหยิบแก้วน้ำเย็น
ๆ ขึ้นดื่มให้ชื่นใจ แกะห่อขนมที่บรรจุคุกกี้หลากรส กำลังจะหยิบเข้าปากนทีธัชช์ก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“กรครับ มาทางนี้หน่อย”
หืม...คนฟังที่ไม่ใช่ไกรวีมองเจ้าของหน้าคมคายที่มีร่องรอยร้ายลึกในแววตาอย่างไม่เชื่อหู
เขาไม่เคยได้ยินเสียงนทีธัชช์นุ่มนวลเหมือนที่คีรินทร์พูด ไม่นึกไม่ฝันด้วยซ้ำว่าจะมีวันนั้น
นั่นหมายความว่าคนที่ชื่อกรต้องมีความสำคัญอยู่มาก...ใช่หรือเปล่าหนอ
“นี่คณพัฒน์ เรียกว่าไอ้เจ้าครามก็ได้
ส่วนนี่ก็ไกรวี เรียกคุณกรแล้วกัน”
คณพัฒน์ตวัดตามองคนกลางที่แนะนำตัวทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน
นึกรู้ขึ้นมาว่าสำคัญคงไม่พอ แต่น่าจะใหญ่คับนทีธัชช์ด้วยแน่ ๆ แบบนี้
เรื่องนี้ต้องถึงหูคนที่หมอกรักษ์แน่!
“ว่าที่นายเล็กของหมอกรักษ์เขาจะมาฝึกงานที่นี่ระยะสั้นหนึ่งเดือน
พี่วางตารางงานไว้แล้ว” นทีธัชช์หยิบแฟ้มออกมา เปิดหาตารางฝึกงานที่เอาไว้ใช้กับคณพัฒน์โดยเฉพาะก่อนจะเอาออกมาวางตรงหน้า
“พี่ฝากกรจัดการดูแลด้วยแล้วกัน อ้อ แล้วก็ให้ว่าที่นายเล็กเขานอนที่เรือนพักคนงานนะ
จะได้กลมกลืนกับคนงานดี”
ไกรวีรับตารางการฝึกงานของคนที่นั่งเบิกตาโตมาไล่ดู
เห็นแล้วว่าหนักใช่เล่นก็อดจะเหลียวมองไม่ได้
คณพัฒน์ไม่ใช่คนไร้ชื่อ ไกรวีรู้จักอีกฝ่ายผ่านภาพที่เห็นทางจอโทรทัศน์มาก็หลายปี
หนำซ้ำคณพัฒน์ยังเคยรับบทเด่นของละครที่แปลงจากบทนวนิยายชื่อดังของสำนักพิมพ์เรือนกระดาษก็หลายเรื่อง
มีโอกาสได้เจออยู่ครั้งสองครั้งหากก็เพียงผิวเผิน แต่จากการได้รู้จักผ่านสื่อบันเทิงอย่างนั้น
การที่ได้รู้ว่าคณพัฒน์คือว่าที่นายเล็กของบ้านหมอกรักษ์ซึ่งเป็นรีสอร์ทและเกษตรผสมผสานของญาติสองฝาแฝดก็ทำให้เขาประหลาดใจ
ที่แน่ ๆ คือไม่คิดว่านักแสดงหนุ่มชื่อดังจะผันตัวมาทางสายเกษตร
“พักอยู่ที่เรือนพักนักท่องเที่ยวก็ได้นี่ครับ
ยังไงก็เป็นว่าที่นายเล็กด้วย”
“ถึงจะเป็นว่าที่นายเล็ก
ก็ใช่ว่าจะต้องมีอภิสิทธิ์ชนเหนือคนอื่นเขานี่ ดีเท่าไหร่แล้วที่พี่ไม่ได้ให้พักที่หอพักคนงาน
อยู่บ้านหลังเล็กก็เป็นส่วนตัวดีออก หรือนายว่ายังไงล่ะคราม”
“เอ่อ…” คนกลางส่งเสียงขึ้นมา มองไกรวีพร้อมรอยยิ้มแหยค่อยหันมาทางนทีธัชช์
“ว่าที่นายเล็กอะไรครับ ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“อ้าว ก็ผูกข้อมือไปแล้วนี่
หรืออยากจะเป็นแค่คนสวนล่ะ”
พลันใบหน้ากลม ๆ ก็ปั้นยาก ไกรวีมองไม่ออกนักว่าคณพัฒน์กำลังโมโหหรือเขินอายกันแน่
แต่ที่แน่ ๆ ชายหนุ่มอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาก็หยุดอาการสับสนนั้นได้ดี เจ้าของผิวคร้ามเข้มจุดยิ้มทักทายไกรวี
ก่อนหันมาหานทีธัชช์ ไถ่ถาม
“เรียบร้อยดีรึยังครับ ผมจะได้พาครามไปเก็บของก่อน”
คนฟังถอนหายใจเฮือก ยกแขนกอดอก “แล้วทำไมไม่เตรียมมาเลย ไป ๆ มา ๆ ทำไม”
เป็นคณพัฒน์ที่ตอบเอง “ผมยังไม่ได้กลับหมอกรักษ์เลยครับ ลงเครื่องแล้วก็ตรงมาที่นี่เลย”
“แล้วจะเริ่มงานเมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้ครับ”
นทีธัชช์นิ่งคิด เคาะปลายนิ้วลงกับโต๊ะทำงานก่อนกวาดตามองทีละคนอย่างใจเย็น
ที่สุดจึงเอ่ยออกมา “กรยังไม่เคยไปหมอกรักษ์เลยใช่ไหม งั้นขับรถไปกับครามสิ
ส่วนธารอยู่นี่ พี่มีเรื่องจะคุยด้วย”
“จะดีเหรอครับพี่ที ผมได้ยินมาว่าคุณกรเพิ่งเกิดอุบัติเหตุ”
หรืออีกนัยที่ธายุกรได้รู้ข่าวผ่านคีรินทร์ คือการจงใจฆ่าเลยด้วยซ้ำไป
ระยะหลังมานี้ ธายุกรกับทางหมอกรักษ์ไม่ค่อยได้ติดต่อมาทางรินทร์ธารามากนัก
อาจจะตั้งแต่ที่มีเรื่องของเพชรพริ้งเมื่อต้นปีใหม่ ชายหนุ่มได้รับรู้ถึงเหตุการณ์และแผนทั้งหมด
แม้เขายินดีเต็มใจช่วยเหลือ แต่ก็กลับเป็นนทีธัชช์เองที่ไม่อยากให้อันตรายตีวงล้อมไปถึงบ้านหมอกรักษ์
เพราะอย่างนั้นที่ผ่านมาเขาถึงรับข่าวผ่านทางสองฝาแฝดอย่างเงียบ
ๆ ไม่ปริปาก ยังไม่ยื่นมือเข้ามาแม้จะรู้ดีว่าเหตุการณ์เริ่มรุนแรงมากขึ้นทุกที
ในเมื่อนทีธัชช์ยังไม่ออกปากขอกำลังเสริมจากเขา
ธายุกรก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอเวลา
“เอารถนายไป ครามคุ้นทางแล้วละมั้ง
ไปสิ อย่าเสียเวลา ไปตอนนี้เลย”
คณพัฒน์ฟังคำสั่งจากคนกุมอำนาจแล้วก็ได้แต่ส่งเสียงตอบรับ
ยื่นมือรับกุญแจรถมาจากธายุกร หันมองไกรวีที่ทอดสายตามองนทีธัชช์อยู่เงียบ ๆ ก็ยกยิ้มเป็นมิตร
เอ่ยบอกให้ดวงตากลมสวยเหลียวมามองกัน
“ไปกันครับคุณกร ใกล้เที่ยงแล้วด้วย
เดี๋ยวผมพาคุณกรไปกินข้าวอร่อย ๆ ฝีมือแม่ศุดีกว่า…แล้วจะให้ผมแนะนำคุณกรกับพ่อกับแม่ว่ายังไงครับคุณที”
นทีธัชช์หรี่เรียวตา รู้ว่าคำถามนั้นไม่ใช่คำถามไร้เดียงสาไม่รู้ความ
หากก็ยังตอบออกไป “คนสำคัญ”
“ครับ คนสำคัญของคุณที…เนอะครับ”
คณพัฒน์ตีหน้าซื่อ ขณะที่นายใหญ่ของหมอกรักษ์อย่างธายุกรจุดยิ้มเงียบเชียบ
นทีธัชช์เองแม้ไม่ตอบโต้อะไรหากก็ยังมีสายตาคาดโทษส่งไปให้ จะมีก็แต่ไกรวีนี่ล่ะที่ได้แต่ทอดถอนใจ
พยักหน้ากับคนที่ดวงตาแวววาวเหมือนพอใจที่กลั่นแกล้งนทีธัชช์ได้ให้ออกเดิน
“แม่ศุต้องชอบเรื่องนี้มากแน่
ๆ ครับคุณที”
คณพัฒน์ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนประตูห้องจะปิดลง
สองหนุ่มในห้องทำงานเลยได้แต่มองตามร่างสองร่างที่เดินห่างออกไปทุกที กระทั่งลับสายตาแล้วจึงเป็นธายุกรที่หันมามองพี่ชายก่อน
ได้เห็นว่ายังมองตามแม้จะไร้ร่างสองคนนั้นแล้วก็เลยได้จุดยิ้ม เอ่ยถาม
“คงเป็นคนที่สำคัญจริง ๆ
ใช่รึเปล่าครับ”
นั่นทำให้นทีธัชช์ละสายตาจากความว่างเปล่ากลับมาที่น้องชาย
พยักหน้าน้อย ๆ แล้วตอบกลับด้วยเสียงทุ้มลึกจริงจัง “ใช่ สำคัญมากในทุก ๆ ความหมาย...นั่งลงเถอะ คงมีเรื่องต้องคุยกันยาว กินอะไรเลยไหม
จะได้โทรไปสั่งที่โรงอาหาร”
นี่คงเป็นเรื่องที่จริงจังเกินกว่าจะสละเวลาทำอย่างอื่น
ธายุกรคิดเท่านั้นก็พยักหน้า เอ่ยปากถึงเมนูง่าย ๆ ที่อยากกินเป็นมื้อเที่ยง รอให้นทีธัชช์ต่อสายถึงวิรงรองจึงค่อยกลับมาสบตากันอีกครั้ง
และเรื่องราวหลังจากนั้น เขาสองคนไม่แน่ใจเลยจริง
ๆ ว่าทำไมถึงยังคุยไปกินข้าวไปได้เหมือนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ
ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย ไม่ใช่สักนิดเดียว
“ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากอยู่ฝึกงานที่นี่เกินหนึ่งเดือนแหละครับพี่กร
แต่พอดีติดถ่ายละครต่อสามเดือน จะให้ไป ๆ มา ๆ ไม่ต่อเนื่องคุณทีเขาไม่เห็นด้วย เลยลงมติมาว่าให้เวลาแค่เดือนเดียว”
ไกรวีนั่งเงียบรับฟัง พยักหน้าอย่างเห็นด้วยเมื่อได้รู้ถึงเหตุผลของระยะเวลาการฝึกงานที่น้อยเกินไปในความคิดเขา
และเพราะเวลามีน้อย นทีธัชช์ผู้ไม่เคยปรานีใครจึงวางแผนงานให้คณพัฒน์กรำงานอย่างหนักหน่วง
คราวแรกก็แปลกใจที่คณพัฒน์บอกเขาก่อนลงรถเมื่อถึงบ้านไม้หลังใหญ่ในหมอกรักษ์ว่าอย่าพูดถึงแผนการฝึกงานที่รินทร์ธาราให้ผู้สูงวัยฟังเป็นอันขาด
แต่พอได้เข้าไปหา ทำความรู้จักกับปพนและศุภางค์จึงเข้าใจ คร่าว ๆ ที่รู้จากปากคณพัฒน์ที่เล่าเรื่องตัวเองให้ฟังระหว่างเดินทางไปหมอกรักษ์ก็คิดแล้วว่าคณพัฒน์คงเป็นที่รักไม่เบา
ครั้นได้เห็นกับตา…ก็รู้แล้วล่ะว่าทำไมจึงไม่ควรพูดถึงแผนงานอันหนักหนาสาหัสให้ศุภางค์ฟัง
“ถ้าไม่ไหวก็บอกพี่แล้วกัน
งานหนักมากไปจริง ๆ แหละคราม”
“สบายครับ ผมเคยต้องขุดดินจนเป็นลมมาแล้ว
เคยมาดูงานที่รินทร์ธาราก็สองครั้ง คุณทีเล่นผมใช่ย่อยเลย ครั้งนี้ผมเลยเตรียมรับมือมาแล้วล่ะครับ”
ไกรวียิ้มขำ ถ้าพูดถึงเรื่องรับน้องอันแสนจะโหดร้ายซ้ำยังกวนประสาทล่ะนทีธัชช์ถนัดนัก “ครามเคยโดนอะไรบ้าง”
“ให้ร่อนไข่ไส้เดือนด้วยมือตัวเองน่ะครับ
แกล้งกันว่าเครื่องร่อนมันแยกได้แค่มูล มือแทบแตกแน่ะวันนั้น” คณพัฒน์ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ก็นึกครึ้มอกครึ้มใจ ถึงจะจอดรถที่หน้าสำนักงานรินทร์ธาราแล้วก็ยังถาม
“พี่กรต้องเคยเจอเหมือนกันแน่ ๆ”
“ใช่ครับ เคยเจอ”
คนฟังรีบลงจากรถ สาวเท้ามาหยุดข้างตัวไกรวีแล้วถามต่อ “โดนอะไรบ้างครับเนี่ย”
“ให้พี่อยู่ที่นี่แบบไม่มีไฟฟ้าใช้สามวัน”
“โห”
“ระหว่างนั้นก็ให้พี่ปั่นจักรยานทำสมูทตี้ด้วยน่ะ”
“ใจร้ายมากกก คนสำคัญขนาดนี้ยังใจโหดใจเหี้ยมได้ลง
คุณทีนี่เป็นคนยังไงครับ”
“เป็นคนที่ถ้าได้ฟังตัวเองถูกนินทาอีกนิด
คนนินทาก็อาจจะไม่ได้ลายเซ็นอนุมัติผ่านฝึกงานน่ะ”
คณพัฒน์แทบสำลักน้ำลาย เพราะคำตอบนั้นไม่ได้ดังมาจากปากไกรวี
แต่เป็นตัวบุคคลในบทสนทนานี่ต่างหากเล่า!
พอจะหันไปขอความช่วยเหลือจากธายุกร คนนั้นก็เอาแต่ยิ้มขำ
จะสบตากันก็ดันเสมองไปทางอื่นอย่างจงใจ ให้รู้ว่าเรื่องนี้จะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
เพราะเขาทำตัวของเขาเอง
“สวัสดีครับคุณกร”
ไกรวียกยิ้ม มองเห็นคนมาใหม่ที่เพิ่งเดินออกมาจากสำนักงานก็พยักหน้ารับการทักทาย “ครับคุณราม”
“เดี๋ยวพี่กับรามจะเอาก้อนดินหมักออกไปแจกจ่ายให้เกษตรกรรายย่อยรอบ
ๆ พื้นที่นะ กรไปเอากุญแจกับคุณมลแล้วพาเด็กฝึกงานไปบ้านพักหลังที่ว่างแล้วกัน เดี๋ยวคุณมลจะนำทางไปเอง”
ไกรวีพิจารณาเพียงอึดใจหนึ่งก็พยักหน้า
หันไปทางธายุกรบ้าง “คุณธารล่ะครับ ไปกับพี่ทีไหม”
“ไม่ครับ ผมจะไปกับคุณกรกับคราม
จะได้ดูที่หลับนอนของเด็กฝึกงานเขาเสียหน่อย”
“งั้นแยกย้ายกันตรงนี้เลยแล้วกัน
ไป ราม จะได้เสร็จงานก่อนตะวันตกดิน”
นทีธัชช์กับเมืองรามแยกไปอีกทางแล้ว ขณะที่ไกรวียังคงมองตามไม่วางตา
หากเมื่อพบว่าคงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมองทั้งสองคนจนลับตาอย่างนั้น จึงหันกลับมามองสองคนจากหมอกรักษ์แล้วยกยิ้มให้
เดินนำไปหาณกมล เจ้าหน้าที่ดูแลหอพักซึ่งตัวตึกอยู่ถัดเข้าไปจากสำนักงานพอควร
ระหว่างนั้นเองที่เขาครุ่นคิดถึงเรื่องบางเรื่องอย่างเงียบ
ๆ คนเดียว
“คุณกรดูสบายใจดีแล้วนะครับพี่ที”
เมืองรามเปิดปากขึ้นหลังจากมองเห็นสีหน้าสีตาของไกรวีที่สดชื่นห่างไกลจากรอยตระหนกที่เขาพบเมื่อหลายวันก่อน
หากคนฟังกลับไม่พูดอะไรในคราวแรก เขาเปิดประตูขึ้นรถได้ก็สตาร์ตเครื่อง รอจนเมืองรามคาดเข็มขัดนิรภัยจึงเคลื่อนล้อแล้วค่อยตอบคำ
“ใช่ กรเขาเข้มแข็งกว่าที่เห็นน่ะ
วันต่อมาก็เป็นปกติแล้ว มีแค่ร่างกายที่ปวดระบมบ้างจากแรงกระแทก”
“แรงกระแทกเหรอครับ”
นทีธัชช์นิ่งไปนิด “ใช่ แรงกระแทก”
“ดูจากรอยยุบของด้านหลังแล้วก็น่าจะกระแทกแรงอยู่ใช่ไหมครับ
ผมเข้าใจ อย่างน้อยก็คงปวดแขนอยู่บ้าง”
เมืองรามระบายลมหายใจยาว นิ่งเพื่อรอฟังการตอบกลับจากนทีธัชช์ทว่าไม่มี
หากนั่นก็ยังเป็นเรื่องที่เคยชินสำหรับเขา นทีธัชช์วางใจให้เขาเป็นน้องชายคนหนึ่ง แต่ยังคงมีกำแพงตั้งชันเพื่อแบ่งเขตของความสนิทสนมอยู่ดี
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และเมืองรามก็ไม่คิดอะไร
“พี่ไม่คิดว่ามันจะเป็นอุบัติเหตุ”
ทว่าจู่ ๆ ถ้อยคำที่ดังขึ้นจากนทีธัชช์ก็ทำให้ชายหนุ่มหันมอง
เรียวคิ้วได้รูปขมวดเข้าหากัน สีหน้าทั้งงุนงงและแปลกใจ “หมายความว่ายังไงครับ”
“มีคนจงใจทำร้ายกร”
ลำคอของเมืองรามแห้งผาก การได้รับรู้สัญญาณอันตรายที่นทีธัชช์ได้เจอทำเขาใจหล่นวูบ
ชายหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าควรรู้สึกอย่างไรในตอนที่เรียวตาคมกริบเสมองมา แม้จะเป็นวินาทีแสนสั้นหากก็ยังมีอิทธิพลมากพอจะทำให้ชายหนุ่มมือเย็น
“ตกใจเหรอราม”
“ครับ” ชายหนุ่มตอบไปตามความจริง “ถ้าวันนั้นผมขับรถออกจากนาเร็วกว่านั้นหน่อย
ผมอาจจะพอช่วยอะไรคุณกรได้”
“กรเขาดวงแข็งน่ะ”
นทีธัชช์จุดยิ้ม ไม่รู้ว่าเป็นยิ้มขำหรือยิ้มเย็นกันแน่ “พี่ไม่ยอมให้ใครทำอะไรกรได้อยู่แล้ว นายไม่ต้องห่วงนะราม”
ไม่ยอมให้ใครทำอะไรไกรวีอย่างนั้นหรือ…เมืองรามนิ่งคิด ก่อนค่อย ๆ คลายริมฝีปากเป็นรอยยิ้มล้อเลียน “คนสำคัญของพี่ทีใช่รึเปล่าครับ”
ตามปกติ นทีธัชช์คงแค่หัวเราะหึแล้วเบี่ยงไปประเด็นอื่น
ทว่าคราวนี้ชายหนุ่มกลับจุดยิ้มลึก ไม่ปฏิเสธหรือเลี่ยงคำถามที่ได้รับอีกแล้ว เขาซึมซับถ้อยคำถามจากหนุ่มรุ่นน้อง
นัยน์ตาคล้ายเป็นประกายแวววาวยามทอดมองถนนเบื้องหน้า อีกครู่หนึ่งหลังจากปล่อยให้ภายในรถเงียบสนิทถึงเอ่ยออกไป
เป็นคำตอบเดียวกับที่มีให้ธายุกร
“สำคัญมาก ในทุก ๆ ความหมายของพี่”
ในทุก ๆ ความหมาย เพราะอย่างนั้นถึงสามารถแตะต้องต้นนางพญาเสือโคร่งสีขาวที่นทีธัชช์หวงแหนได้
ถึงได้ร่วมเดินทางและมีส่วนร่วมในการทำงานทุกอย่างของนทีธัชช์ได้ ทั้งยังได้อยู่ร่วมบ้าน
ได้ความห่วงหาอาทรจากนทีธัชช์อย่างที่เมืองรามไม่เคยเห็นชายหนุ่มมอบมันให้กับใคร
ไกรวีช่างเป็นคนสำคัญที่น่าร่วมแสดงความยินดีด้วยจริง
ๆ
“เอาละลายทิ้งไว้ก่อนนะครับลุง
พอมันแตกตัวจะส่งกลิ่นหน่อย ลุงค่อยตักไปผสมกับน้ำที่จะใช้รดดินตามอัตราส่วนที่ผมเขียนไว้ให้ในนี้”
นทีธัชช์ส่งกระดาษที่บ่งบอกวิธีใช้ดินดีหมักเพื่อฟื้นฟูสภาพดินแห้งแตกขาดสารอาหารให้เกษตรกรรายหนึ่งซึ่งอยู่ในเครือข่ายของรินทร์ธารา
มองเมืองรามที่ยกกระสอบบรรจุดินดีหมักเป็นก้อนกลมอยู่ครึ่งกระสอบ ซึ่งเป็นปริมาณที่นทีธัชช์จะส่งต่อมอบให้เกษตรกรแต่ละรายอย่างเท่าเทียมกัน
เห็นเมืองรามวางกระสอบลงเรียบร้อยแล้วก็หันไปรับฟังปัญหาจากคุณลุงเกษตรกรต่อ
“ปีนี้แล้งพอควรเลยนะคุณที
ลุงว่าที่ดินแห้งก็เพราะน้ำมันเลี้ยงไม่พอด้วยนี่แหละ น้ำที่มันไหลผ่านหนองมาก็แห้งกว่าเดิม”
“อีกหน่อยเราจะมีน้ำใช้มากกว่านี้ครับลุง
ผมกับธารขุดคลองไว้แล้ว ถ้าปีนี้ฝนดี ต่อไปถ้าแห้งมากก็จะยังมีคลองตรงนั้นไว้เป็นที่เก็บน้ำ
ใครน้ำไม่พอใช้ก็ไปเอาได้ ถ้ามีความคืบหน้ายังไงผมจะเล่าให้ฟังตอนประชุมใหญ่อีกทีนะครับ”
เกษตรกรสูงวัยคลายยิ้มอย่างเบาใจ ยกมือขึ้นไหว้จนนทีธัชช์ที่กำลังจะหมุนตัวเดินไปที่รถยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน
ได้รับคำขอบคุณอีกหลายครั้งก็ให้จุดยิ้ม พยักหน้าให้เมืองรามก้าวเดินไปที่รถ กระทั่งนั่งลงยังตำแหน่งของตัวเองได้ก็ถอนหายใจยาว
“หมดแล้วนะ เหลือที่เดียวคือสวนของนาย
ไปกันเลยไหม”
เมืองรามนิ่วหน้า ปฏิเสธเสียงเกรงใจ “อย่าดีกว่าครับพี่ที ยังไงผมก็ขับรถใหญ่ทิ้งไว้ที่รินทร์ธาราอยู่แล้ว เดี๋ยวผมเอากลับเองดีกว่า
นี่ก็ใกล้ค่ำแล้วด้วย”
“อย่างนั้นก็ได้”
นทีธัชช์ไม่ใช่คนชอบต่อความยาวสาวความยืด ดังนั้นจึงตอบกลับไปง่าย ๆ
อย่างไม่ได้สนใจอะไร ชายหนุ่มเคลื่อนล้อไปตามเส้นทางที่จะกลับเข้ารินทร์ธารา เห็นชาวนาบางคนยังอยู่ที่ที่ดินของตัวเองก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ที่จริง…พี่ไม่ได้ไปดูสวนของนายตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วนะราม”
คนได้รับคำถามนิ่งไปอีกครู่หนึ่ง “น่าจะเกือบปีได้แล้วมั้งครับ”
“นานขนาดนั้นเลยเหรอ ขอโทษทีนะ”
“ผมเองต่างหากที่บอกพี่ทีว่าไม่ต้องไป
พี่ทีอย่าขอโทษผมเลยครับ”
นทีธัชช์เลยยกยิ้ม หันมองหนุ่มรุ่นน้องแล้วอดชมไม่ได้ “นายเก่งมากนะราม เรียนรู้งานจากพี่ได้ไว เห็นจัดการพื้นที่ตัวเองได้ดีขนาดนี้พี่ก็เบาใจ”
“ต้องขอบคุณพี่ทีครับ”
คนฟังเลยส่ายหน้า เพราะว่ากันตามตรง ถึงเขาจะเป็นคนมอบวิชา
แต่ถ้าลูกศิษย์ไม่คิดรับความรู้ก็คงไปไม่รอด กับเมืองรามเองที่แสดงให้เขาได้เห็นว่าทุกอย่างเป็นไปได้ดี
นั่นต่างหากที่ดีที่สุดแล้วในฐานะคนที่มอบความรู้ให้
และมันจะดีมากกว่านี้ หากเขาได้รู้ว่าเมืองรามนำเอาความรู้ไปใช้ในทางที่ถูกที่ควร
“มีอะไรกินบ้าง”
คำถามดังขึ้นที่ด้านหลัง ให้ไกรวีที่นั่งทำงานอยู่ชานเรือนหลังบ้านเงยหน้าขึ้นจากจอส่องสว่าง
ยกยิ้มเมื่อเห็นดวงตาคมกริบเป็นประกายยามทอดมองมา
“อาบน้ำก่อนไหมครับ เดี๋ยวผมเตรียมให้”
“ขอชื่นใจก่อน”
ไม่พูดเปล่า นทีธัชช์ยังทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน
รั้งร่างสันทัดให้เข้าสู่อ้อมแขน กดจมูกลงกับแก้มขาวที่ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ให้ได้รู้ว่าเจ้าตัวจัดการตัวเองเรียบร้อยดีแล้ว
และนั่นก็ทำให้ปมที่ขมวดในอกคลายออก ชายหนุ่มหอมแก้มไกรวีซ้ำ ๆ อยู่สี่หน และอาจจะครบห้าถ้าไม่ใช่ว่าคนถูกกอดถูกหอมจะเอี้ยวตัวหลบเสียก่อน
“พอแล้วครับ”
“ทำไมล่ะ หรือกรคิดว่าตัวเองเสียเปรียบ”
นทีธัชช์ถามอย่างนั้นก่อนจะหันแก้มให้ไกรวีมอง “พี่ให้หอมคืน”
คนได้รับโอกาสที่จะไม่เสียเปรียบเลยส่ายหน้า
ขยับตัวหมายจะออกจากวงล้อมอ้อมกอด แต่นทีธัชช์ก็ยังรั้งไว้ ทั้งยังแน่นกว่าเก่าจนแผ่นหลังไกรวีแทบฝังกับอกเขา
ชายหนุ่มจุดยิ้มพึงใจเมื่อที่สุดไกรวีก็หยุดนิ่ง ฉวยความหอมจากแก้มขาวอีกครั้ง วางคางเกยไหล่ลาดแล้วหยุดคิดถึงบางสิ่งอย่างเงียบ
ๆ
อีกพักถึงทอดถอนลมหายใจยาว เอ่ยคำใกล้
ๆ หูคนในอ้อมแขน
“พี่คิดว่าพลอยพร้อมแล้วนะ”
เพชรพริ้งอย่างนั้นหรือ…ไกรวีเงียบ ทอดสายตามองดอกนางพญาเสือโคร่งที่พลิ้วระริ่วตามกระแสลม อีกครู่ถึงหลับตาลง
นิ่งคิด ก่อนเอ่ยตอบในที่สุด
“ผมก็พร้อมแล้วเหมือนกันครับ”
สองสายตาสบสาน หากการที่ใบหน้าของนทีธัชช์ขยับโน้มเข้าใกล้ไม่ใช่ด้วยบรรยากาศเป็นใจ
แต่เพราะนัยน์ตาคู่กลมที่บอกชัดถึงความต้องการที่จะหยัดยืนอยู่ที่ตรงนี้โดยที่จะไม่หนีหายไปไหนแม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่นทีธัชช์ต้องการ
เปลือกตาบางปิดสนิทยามริมฝีปากหยักประทับลงมายังกลีบปากของเขา
ไกรวีรับสัมผัสอุ่นอ่อนนั้นด้วยหัวใจอันมั่นคง ตอบกลับด้วยความวูบไหวที่เป็นดั่งกลีบดอกสีขาวนวลของนางพญาเสือโคร่งที่ลอยละล่องอยู่ในอก
และทั้งสองต่างรู้ดี ว่าจุมพิตที่มอบให้กันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ณ ที่แห่งนี้ จะโอบกอดและดูแลหัวใจของพวกเขา...ไม่ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
โปรดติดตามตอนต่อไป
ธายุกรกับคณพัฒน์จาก "พระพายพรางเดือน" นะคะ
ใครยังไม่เคยอ่านลองไปอ่านกันได้น้าาา
ห่างหายจากการเขียนธาราไปนานเพราะไปเขียนพระพายก่อนค่ะ :)
ทางนั้นจบแล้ว ก็คงเป็นเรื่องของทางนี้ที่ต้องสะสางให้เรียบร้อย
พี่ทีวางแผนอะไรไว้อีกน้อออ รู้แต่ว่าพี่ทีข่นบว้าจูบคุณกรไปแล้วค่ะ
กิ๊ดดดดดดดดดดดดด
#ธาราโอบจันทร์ หรือ คอมเมนต์ หรือ กดให้กำลังใจ นะคะน้าาน้าน้าน้า
ขอบคุณค่าา
ความคิดเห็น