ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวใจอุ่นรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 28 มิ.ย. 51


    หัวใจอุ่นรัก

    บทที่ 1

     

                    " ว่าไงนะ ได้บรรจุที่ยอดดอยเลยเหรอ " เสียงหวานใสดังมาตามสาย เมื่อชลลดาโทรศัพท์ไปรายงานผลให้เพื่อนซี้ได้ทราบว่า เธอได้เลือกบรรจุเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนใด

                    " ใช่ " หญิงสาวเดินไปหยิบหนังสือนิยายรักหวานแหววที่เรียงรายอยู่บนชั้นวางหนังสือออกมาดูทีละเล่มๆ ก่อนจะตัดสินใจเลือกมาหนึ่งเล่มแล้วเดินไปที่เตียงนอนของตัวเอง พลางโถมเข้าใส่อย่างไม่กลัวเจ็บ

                    " ไกลมากไหม " ภาสิณีถามด้วยความเป็นห่วง จริงอยู่ที่ชลลดาจะเคยไปทำงานไกลถึงกรุงเทพมหานคร แต่ว่ากรุงเทพฯกับดอย มันไม่เหมือนกันนี่

                    " ก็คงไกลมั้ง เห็นว่าห่างจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาไปตั้ง 75 กิโลเมตรเชียว "

                    " 75 กิโลเมตรเหรอ ไกลมากเลยนี่ " เพื่อนพยักหน้าส่งเสียงอื้อฮึไปตามสาย ทำให้ภาสิณีรู้สึกหมั่นไส้

                    " เหมือนเธอจะไม่สนใจเรื่องนี้เลยนะชาร์ม ฉันว่ามันไกลมากเลยนะ ไหนบ้านเธอจะอยู่ตั้งไกล "

                    " ก็ทำยังไงได้ล่ะเฟิร์น ก็มันเหลือโรงเรียนเดียวให้ฉันเลือกนี่นา ถ้าไม่เลือกโรงนี้ ฉันก็คงต้องสละสิทธิ์แล้วล่ะ " คำตอบนั้นทำให้ปลายสายทางโน้นถึงบางอ้อทันที หญิงสาวพึมพำมิน่าล่ะออกมาก่อนจะเงียบเสียงไป

                    " แน่ใจแล้วจริงๆหรือ ที่เธอจะไปเป็นครูดอยน่ะ " ภาสิณีถามย้ำอีกครั้ง คราวนี้ชลลดาไม่ได้ตอบทันทีเหมือนทุกครั้ง หากแต่หญิงสาวกลับนิ่งเงียบไปจนเพื่อนต้องส่งคำถามย้ำมาอีก

                    " ก็...อย่างที่บอก ถ้าไม่เลือกงานนี้ ฉันก็คงไม่รู้จะไปทำงานอะไรแล้วล่ะเฟิร์น สองปีที่ไปคลุกฝุ่นอยู่ที่กรุงเทพฯ มันไม่ได้ทำให้ฉันมีชีวิตที่ดีขึ้นเลยนะ ตรงกันข้ามฉันกลับแย่ลงในสายตาของพ่อแม่พี่น้องของฉันเลยด้วยซ้ำ " ชลลดานึกถึงช่วงที่เธอเรียนจบใหม่ๆ ทั้งๆที่งานค่อนข้างดี แต่ว่าด้วยบุคลิกที่ไม่ยอมใครและออกจะชอบเถียง ทำให้เป็นที่เขม่นจากทั้งเพื่อนร่วมงานและนายจ้าง ดังนั้นไม่ว่าจะทำงานที่ไหนหญิงสาวก็อยู่ได้ไม่ถึงสามเดือนด้วยซ้ำ ก็ต้องเปลี่ยนงานใหม่ ทำให้รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ต้องขอเงินพ่อกับแม่เพิ่มเสมอๆ

                    " ก็เปิดร้านของตัวเอง อยากทำร้านหนังสือไม่ใช่หรือไง " ภาสิณีย้อนไปถึงความฝันของเพื่อนที่บอกเธออยู่เสมอๆว่า อยากทำ

                    " เอาเงินที่ไหนมาล่ะจ๊ะเฟิร์น บ้านฉันไม่ได้รวยเป็นถุงเป็นถังเหมือนบ้านหล่อนนะยะ ที่จะมาเปิดร้านขายหนังสือของตัวเองได้น่ะ "

                    " ตกลงจะเป็นครูแน่ๆว่างั้นเถอะ " ชลลดารับคำกลับมา

                    " โอเค แล้วไปรายงานตัวเมื่อไหร่ล่ะ "

                    " ปลายเดือน เกือบๆสิ้นเดือนโน่นแหละ ตอนนี้ก็เลยเก็บของแล้วก็นอนอ่านนิยายสบายแฮ "

                    " เออ...จะไปเมื่อไหร่ก็ค่อยบอกฉันก็แล้วกัน ถ้าว่างจะไปส่ง "

                    " ชวนคุณพี่มอสไปด้วยนะ จะร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่พี่เขาจะแต่งงาน " บอกทีเล่นทีจริงทำให้ปลายสายตอบรับเสียงยานด้วยความหมั่นไส้ ด้วยรู้ว่าชลลดาพูดไปอย่างนั้นเอง เพราะเพื่อนของเธอไม่มีพี่ชายก็เลยรักและห่วงสหภาพเหมือนพี่ชายแท้ๆของตัวเอง

     

                    เมื่อชลลดากดวางสายโทรศัพท์ หญิงสาวก็ล้มตัวลงนอนพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก่อนที่เธอจะได้ไปรายงานตัวที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา

                    ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มีตัวอักษรสีดำเรียงรายอยู่เต็มจอ ซึ่งเป็นรายชื่อของผู้ที่เข้ารับการสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการครู ซึ่งจากรายชื่อของโรงเรียนที่แนบมาพร้อมกับเอกสารประกอบการสมัครนั้น ก็พอจะรู้ว่าโรงเรียนเหล่านั้นอยู่ที่ใด

                    ชื่อของเธอ นางสาวชลลดา  ชินทวี ได้ลำดับที่ 15 เป็นลำดับสุดท้ายที่ต้องการในการบรรจุครั้งนี้ คะแนนที่ได้ค่อนข้างจะสูสีกัน ต่างกันก็เพียงแค่จุดทศนิยมด้านหลังเท่านั้น หลายคนต่างก็ดีใจเป็นหนักหนาที่ได้ทราบข่าวว่าเธอสามารถสอบบรรจุได้ในครั้งนี้เลย ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนๆรุ่นเดียวกันที่ไปสอบพร้อมกันอย่าง จิรัชญา หรือปารุดา หากแต่ความเป็นจริงแล้ว ชลลดามิได้อยากเข้าร่วมในการสอบแข่งขันครั้งนี้มากนัก เพราะเธอไม่ได้ต้องการจะรับราชการเป็นครูเหมือนกับทางบ้าน แต่จะทำอย่างไรได้ เมื่อทางบ้านยื่นคำขาดว่า จะไม่ให้ความช่วยเหลือกับเธอใดทั้งสิ้น หากเธอไม่กลับมาสอบครู

     

                    ตอนนั้นชลลดากำลังเดินหางานทำอยู่ที่กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรที่มีแต่ความสับสนวุ่นวาย และมลพิษที่ทำให้เธอมีโรคภูมิแพ้อากาศกลับมาด้วย

                    หญิงสาวแทบจะรู้สึกเหมือนกับโดนฟ้าถล่ม เพราะเธอกำลังจะได้งานทำเกี่ยวกับงานหนังสือที่เธอรักพอดี แต่...คำสั่งประกาศิตของครูนราผู้เป็นมารดา ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเจ้าบ้านอย่างนายทองเปลวผู้เป็นบิดา ทำให้เธอไม่สามารถขัดใจได้ เธอจึงต้องกลับมาที่นี่ ที่บ้านที่เชียงรายเพื่อทำความฝันที่พ่อกับแม่ต้องการให้เสร็จลุล่วงไปตามความต้องการของพวกท่าน

                    หญิงสาวพยายามไม่ตั้งใจอ่านหนังสือ ตอนที่ไปสอบก็ทำมั่วๆไปอย่างนั้น แต่ผลสอบที่ออกมา ดันบอกว่าเธอสามารถทำได้ และไม่ใช่ทำได้แบบธรรมดาๆ เธอยังเข้ารับการบรรจุในการเรียกตัวครั้งแรกนี้อีกต่างหาก ทั้งๆที่ตั้งใจไว้แล้วว่า หากไม่ได้บรรจุครั้งแรกนี้ เธอจะไปหางานทำที่กรุงเทพฯอีก

     

                    หญิงสาวถอนหายใจออกมา นึกถึงเรื่องเมื่อวันวาน วันที่เธอไปรายงานตัวที่สำนักงานเขตพื้นที่ฯพร้อมๆกับเพื่อนร่วมรุ่นอีกเกือบสองร้อยชีวิต ที่บรรจุพร้อมกัน!

                    ต่างคนต่างก็ตื่นเต้นที่ได้รับการบรรจุ แต่ชลลดากลับทำท่าเหมือนจะตายเสียให้ได้ ยิ่งรู้ว่าโรงเรียนที่ตัวเองจะต้องไปสอนนั้น อยู่ไกลโพ้นถึงยอดดอย ซึ่งไม่มีใครคิดจะเลือกและเหลือมาให้เธอกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ยิ่งทำให้เธอรู้สึกหดหู่ใจ

                    จากนี้ไปเธอคงไม่ได้เห็นแสงสีที่โสภาสดใสอีกแล้ว...

                    หญิงสาวเกลือกตัวกลิ้งไปมาบนเตียงนอนนุ่มนั้น ก่อนจะลุกขึ้นมาสลัดความคิดที่อยู่ในหัวนี้ออกไป แล้วก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้มาอ่านต่อให้จบ และพยายามไม่คิดถึงอนาคตข้างหน้าว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

                    เอาเถอะนะ...อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด จริงไหม...

     

                เส้นทางคดเคี้ยวที่ชลลดาและสมาชิกในครอบครัวกำลังเผชิญอยู่นั้น ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวแทบไม่มีสีเลือด แค่เป็นทางสูงชัน เธอก็แทบจะบ้าตายอยู่แล้ว นี่มันคืออะไรกันนะ เป็นทางคดเคี้ยวยังไม่พอ ยังจะเป็นถนนลูกรังอีกอย่างนั้นหรือ!

                    หญิงสาวนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนสายๆ หลังจากที่พบเพื่อนๆร่วมอุดมการณ์กันแล้ว ชลลดาก็ตัดสินใจออกเดินทางพร้อมกับเพื่อนๆทันที

                    เส้นทางที่ตอนแรกเป็นถนนลาดยางเดินทางยังคงสะดวกสบาย แต่เมื่อใกล้จะถึงที่ตั้งของโรงเรียนมากเท่าไหร่ สภาพถนนหนทางยิ่งทวีความเลวร้ายมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเป็นช่วงที่เรียกว่า ปลายฝนต้นหนาว ซึ่งนั่นก็หมายความว่า อาจจะมีฝนตกลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ ใครจะไปรู้

                    ถนนดินแดงที่เต็มไปด้วยฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว ผู้คนภายในห้องโดยสารของรถยนต์กระบะสีบรอนซ์เงิน ที่ด้านหลังบรรทุกสัมภาระมาเต็มเหยียด ไม่ว่าจะเป็นตู้เสื้อผ้า กระเป๋าเดินทาง กระทะไฟฟ้า หม้อหุงข้าว และเครื่องใช้อื่นๆที่จำเป็นอีกมากมาย ต่างก็พากันวิตกกังวลว่า ครูใหม่ที่นั่งหน้าซีดอยู่นี้จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ไหม เพราะเธอไม่เคยเดินทางมาที่ทุรกันดารเช่นนี้มาก่อน

                    " ทางไกลจริงๆเลยนะ ป่านนี้ยังไม่ถึงอีก สองชั่วโมงเข้าไปแล้วนะเนี่ย " ชลลดาบนเสียงแผ่ว มองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตัวเองด้วยสายตาพร่ามัว เพราะอาการวิงเวียนศีรษะที่เกิดจากอาการเมารถเพราะเจอทั้งเส้นทางที่คดเคี้ยวและดอยสูงชัน

                    " ไหวไหมพี่ชาร์ม " เสียงนุ่มของสตรีอาวุโสเอ่ยถาม เมื่อสังเกตเห็นได้ว่าบุตรสาวกำลังจะตายเพราะเมารถ พี่ชาร์มส่ายหน้าช้าๆ

                    " ถ้าจอดรถให้พี่ลงไปอาเจียนจะดีมากเลยนะครูนา " ถึงแม้จะหน้าซีดแค่ไหน แต่หญิงสาวก็ยังไม่วายเอ่ยแซวมารดาด้วยการเรียกชื่อจริงพร้อมด้วยคำนำหน้าที่เพื่อนครูของแม่มักใช้เรียกกัน ครูนราหันไปพยักพเยิดให้กับสามีที่รับหน้าที่เป็นสารถีให้ ซึ่งคุณทองเปลวก็เลี้ยวเข้าจอดที่ข้างทาง เพื่อให้ลูกสาวได้ปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นออกไปให้หมด

                    " หมดกระเพาะเลยแม่ สงสัยพอไปถึงโรงเรียน ชาร์มต้องหาเรื่องกินก่อนไปประชุมแน่ๆเลย หรือไม่ก็นอนเอาแรงก่อน " ท่าทีอ่อนระโหยของบุตรสาวคนโต ทำให้ผู้เป็นมารดารู้สึกสงสารจับใจ

                    เอ...นี่เธอคิดถูกหรือคิดผิดนะ ที่ให้ลูกสาวผู้บอบบางคนนี้มาเป็นครูอยู่ที่นี่น่ะ

                    " ถึงแล้วๆ นั่นป้ายชื่อโรงเรียนนี่ ใช่ไหมพี่ชาร์ม " เสียงห้าวๆของพ่อร้องขึ้น เมื่อเห็นป้ายสีน้ำเงินตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ตัวอักษรสีขาวที่เขียนไว้อย่างสวยงามว่า โรงเรียนยอดดอย ปรากฏเด่นชัด ชลลดารีบพยุงตัวเองขึ้นมาดู ก่อนจะรีบบอกให้บิดาขับรถตามคันอื่นๆที่นำหน้าขบวนไปทางด้านหลัง ที่เธอเองก็ไม่ได้รู้ว่ามันจะเป็นทางไปที่ส่วนไหนของโรงเรียนกันแน่

     

                    สนามบาสเกตบอลของโรงเรียน ที่บัดนี้กลายเป็นลานจอดรถชั่วคราวสำหรับครูใหม่ที่เข้ามาบรรจุที่นี่กว่าสิบชีวิต ร่างโปร่งบางของชลลดาเดินโซซัดโซเซใบหน้าซีดเผือด มือบางเกาะที่กระบะท้ายรถ หญิงสาวหันซ้ายหันขวาก่อนจะรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด

                    ทางด้านพ่อกับแม่ของหญิงสาวก็หันไปทักทายบรรดาญาติๆที่มาส่งลูกหลานที่ได้เป็นครูน้องใหม่ด้วยเช่นกัน

                    ชลลดาเดินอ่อนระโหยออกมาจากห้องน้ำ ตรงดิ่งมาหาพ่อกับแม่ที่กำลังทักทายคนอื่นๆอย่างร่าเริง เสียงใสๆที่แหบแห้งนั้นเรียกมารดาเพื่อขอน้ำดื่ม หากแต่ไม่ทันที่มารดาของเธอจะเสาะหาให้ ก็มีขวดน้ำดื่มที่มีหยดน้ำเกาะพราวยื่นมาตรงหน้าเสียก่อน

                    " ดื่มน้ำเย็นๆก่อนก็แล้วกัน ท่าทางจะไม่ค่อยไหวเลยนะเราน่ะ " เสียงทุ้มของชายหนุ่มทำให้ชลลดาต้องเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะยื่นมือไปรับน้ำพลางกล่าวขอบคุณ

                    " ครูใหม่สินะ ชื่ออะไรล่ะเราน่ะ ผมชื่อ ภวัต เรียกว่าพัดก็ได้ "

                    " ค่ะ ชื่อชลลดาค่ะ เรียกว่า ชาร์มก็ได้ " หญิงสาวตอบกลับไปหลังจากที่ดื่มน้ำหมดไปแล้วครึ่งขวด ชายหนุ่มขมวดคิ้ว

                    " ชาม...ชามใส่ข้าวน่ะหรือ ชื่อประหลาด "

                    " ใครบอก ชาร์มมิ่ง ที่แปลว่าน่ารักต่างหากเล่า จะมีใครบ้านไหนตั้งชื่อลูกว่าถ้วยโถโอชามกันล่ะ " หญิงสาวส่งเสียงตวาดแหวด้วยความลืมตัว ก่อนจะเอ่ยขอโทษเสียงเบาเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตกใจของชายหนุ่ม

                    " เอ่อ...ขอโทษค่ะ เสียงดังไปหน่อย " ภวัตหัวเราะออกมาเบาๆพลางบอกไม่เป็นไร

                    " เดี๋ยวยังไงถ้ารับประทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว เชิญที่ห้องประชุมตรงอาคารด้านโน้นด้วยนะครับ " ชายหนุ่มชี้มือไปที่อาคารหลังยาวที่ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่ง ก่อนจะผละจากไปหาคนอื่นๆต่อ

                    " ใครน่ะลูก " เสียงของมารดาเอ่ยถามด้วยความสงสัย ชลลดาส่ายหน้า

                    " คงเป็นครูเก่าที่อยู่ที่นี่มั้งคะ "

     

                    " ขอต้อนรับครูใหม่ทุกคนเข้าสู่ โรงเรียนยอดดอย ของเรานะคะ " เสียงหวานใสดังกังวานไปทั่วห้องประชุม ชลลดาละสายตาจากเพื่อนครูใหม่ที่นั่งอยู่ข้างๆหันไปทางเจ้าของเสียงทันที

                    " พี่ชื่อ นันทิกา เรียกว่าพี่ติ๋ว ก็ได้ค่ะ " หญิงสาวคนนั้นแนะนำตัวเองให้ทุกคนได้รู้จัก

                    " พี่ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปรับน้องๆทุกคนที่สำนักงานเขตฯ เพราะพี่ขึ้นมาเตรียมงานข้างบนนี่แหละค่ะ " เสียงพึมพำบอกไม่เป็นไรดังขึ้นมา ทำให้นันทิกายิ้มออกมาได้

                    " ก่อนอื่นขอแนะนำครูท่านอื่นๆให้ได้รู้จักกันก่อนนะคะ อ้อ! พอดีวันนี้ท่านผู้อำนวยการยังติดภารกิจสำคัญอยู่ ไม่สามารถมาพบปะกับน้องๆได้ อีกประมาณสามวันท่านจะกลับมาค่ะ ยังไงก็ให้น้องๆทำความรู้จักกับคณะครูท่านอื่นๆไปก่อนก็แล้วกันนะคะ " ทุกคนพยักหน้าพร้อมกับส่งเสียงรับ แน่นอนถึงแม้ว่าอาจจะมีบางคนไม่พอใจอยู่บ้างที่วันสำคัญแบบนี้ ไม่มีผู้บริหารมาปรากฏให้เห็น แต่ในเมื่อเป็นเหตุสุดวิสัย ก็คงจะไปต่อว่าไม่ได้

                    จากนั้นการแนะนำตัวอย่างไม่เป็นทางการก็เริ่มต้นขึ้น จากชายหนุ่มร่างท้วมที่นั่งถัดจากนันทิกามาเรื่อยๆจนถึงชายหนุ่มร่างสูงที่ชลลดาเพิ่งได้พบเมื่อสักครู่

                    " ผมชื่อ ภวัต ครับ สอนวิทยาศาสตร์ เรียกง่ายๆว่า พัด ก็ได้ครับ อายุ 27 ปี ก็คงจะรุ่นๆเดียวกันกับพวกคุณ " เมื่อเสร็จสิ้นการแนะนำตัวของครูรุ่นพี่แล้ว ต่อไปก็เป็นการแนะนำตัวของครูใหม่ทั้ง 10 คน ซึ่งเริ่มจากคนที่นั่งใกล้กับนันทิกามากที่สุด

                    ชายร่างท้วมผิวคล้ำลุกขึ้นแนะนำตัวเอง เสียงดังฟังชัด

                    " ผมชื่อ กุญชร ชื่อเล่นชื่อ ช้างครับ เอกภาษาไทย เป็นรุ่นพี่ของครูพัดหนึ่งปีครับ " คนต่อไปก็เป็นหญิงสาวรุ่นราวคงพอๆกับชลลดา

                    " ชื่อ วินิตาค่ะ ชื่อเล่น วิว จบการศึกษาปฐมวัยค่ะ อายุ 25 ปี " ทุกคนมองหน้าวินิตาไม่วางตา เพราะเธอเป็นคนสวย ผิวขาวอมชมพู ผมหยักเป็นลอนสวยสีน้ำตาลอ่อน ทำให้ในดวงตาของแต่ละมีคำถามที่ว่า เป็นลูกครึ่งหรือเปล่า ดูเหมือนว่าวินิตาจะอ่านสายตาของทุกคนออก หญิงสาวชี้แจงเสียงใส

                    " อ๊ะ! สงสัยเรื่องสีผมหรือคะ วิวเป็นไทยแท้ คนเมืองเต็มขั้นแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้มีเชื้อสายชาวต่างชาติแม้แต่นิดเดียวค่ะ " ได้ยินคำยืนยันแล้วทุกคนก็ร้องอ้อออกมา แล้วทุกคนก็ไม่สนใจเธออีก แต่ย้ายสายตาไปที่ชายหนุ่มร่างสูงผอมอีกคนหนึ่งแทน

                    " ชื่อ ดนัย ครับชื่อเล่นโจ้ เอกคอมพิวเตอร์ศึกษาครับ อายุ 24 ปี " การทักทายเรียบง่ายไม่ค่อยเป็นจุดเด่นสักเท่าไรนัก คนอื่นก็ปรบมือต้อนรับเหมือนเช่นคนอื่นๆที่ผ่านมา ถัดมาก็เป็นชายหนุ่มร่างท้วมที่สวมแว่นตาเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาครูทั้งหมด

                    " สวัสดีครับ ชื่อ ธนพล ชื่อเล่น ก้อง เอกสังคมครับ อายุ 26 ปี " เมื่อธนพลแนะนำตัวเองจบ ก็ถึงคิวของหญิงสาวร่างสูงโปร่ง ที่ชลลดานึกประทับใจตั้งแต่เมื่อครั้งที่ได้พบกันครั้งแรกเมื่อวันปฐมนิเทศน์แล้ว

                    " สวัสดีค่ะ นภัสสรค่ะ เรียกว่า นัด เฉยๆก็ได้ พี่คงจะเป็นรุ่นพี่ที่สุดของน้องๆนะคะ เพราะดูจากครูโก้แล้ว พี่อายุมากกว่าครูโก้ 1 ปีค่ะ " หญิงสาวอ้างอายุของครูโก้ หรือครูปารเมศ ที่รับตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการแทนเจ้าตัวที่ยังติดภารกิจอยู่ แล้วหญิงสาวอีกคนหนึ่งก็ลุกขึ้นแนะนำตัวเอง

                    " สวัสดีค่ะ ชื่อเพียงหทัย ชื่อเล่นชื่อเพี่ยงค่ะ เอกภาษาอังกฤษ อายุ 25 ปี "

                    " ชื่อ กนกวรรณ ค่ะ ชื่อเล่นชื่อ นก เอกภาษาไทยค่ะ อายุ 27 ปี " ทุกคนต่างก็แนะนำตัวเองจนกระทั่งเวียนมาถึงชลลดา ที่นั่งอยู่เป็นคนสุดท้าย

                    " ชื่อชลลดาค่ะ ชื่อเล่น ชาร์ม เอกภาษาอังกฤษเหมือนคุณเพียงหทัย  อายุ 24 ปีค่ะ " เสียงปรบมือดังกึกก้องเพราะเธอเป็นคนสุดท้ายแล้วที่ได้แนะนำตัว

                    " เอาล่ะค่ะ วันนี้เราจะไม่มีการแนะนำอะไรมากไปกว่านี้ เนื่องจากแต่ละคนก็เดินทางมาเหนื่อยๆ เดี๋ยวก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนจัดห้องหับกันได้เลยนะคะ พรุ่งนี้เจอกันที่นี่ตอน 9 โมงเช้านะคะ " ทุกคนรับคำก่อนจะพากันลุกขึ้นและแยกย้ายกันเดินออกจากห้องประชุมไป

                    " เพี่ยง ชาร์ม " เสียงใสๆจากวินิตาเรียกให้ชลลดาต้องหยุดเดินและหันไปมอง

                    " รอด้วยสิ เดี๋ยวเราสามคนต้องช่วยกันทำความสะอาดห้องพักกันยกใหญ่เชียวล่ะ " ชลลดาขมวดคิ้วในขณะที่เพียงหทัยนั้นพยักหน้ารับกับความพูดนั้น

                    " ไม่ต้องทำหน้างงไปหรอกน่า ก็ห้องนั้นน่ะ ฝุ่นเยอะจะตาย ไหนจะห้องน้ำอีก เหมือนไม่มีคนมาใช้เป็นแรมปีเชียว "

                    " แต่ฉันว่า เราไปหาพ่อแม่เรากันก่อนไหม ป่านนี้ท่านคงอยากจะกลับบ้านกันแย่แล้วล่ะ " ชลลดาพยักหน้าแสดงความเข้าใจ ก่อนจะชวนเพื่อนๆไปหาผู้ปกครองญาติพี่น้องที่แห่ขบวนกันมาส่ง

                    " พ่อกับแม่ของฉันกลับไปแล้วล่ะ เดี๋ยวฉันไปทำก่อนก็แล้วกันนะ "

                    เมื่อทั้งสามสาวมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านพัก เพียงหทัยและชลลดาก็แยกย้ายกันไปหาพ่อกับแม่ ส่วนวินิตานั้น ก็เดินเข้าไปในบ้านเพื่อจัดการทำความสะอาดรอเพื่อนร่วมห้องก่อน

     

                    " ท่าทางก็ไม่น่าจะเลวร้ายอะไรเลยนี่ พี่ชาร์มคงอยู่ได้นะ " ผู้เป็นพ่อถามพลางเอามือหนาลูบศีรษะของบุตรสาวเบาๆ

                    " ก็น่าจะอยู่ได้หรอกพ่อ จำไม่ได้หรือเมื่อก่อนตอนที่แม่บรรจุใหม่ๆ ลำบากยิ่งกว่านี้อีก " คุณทองเปลวพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของผู้เป็นภรรยา

                    " ที่นี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยลำบากอะไรสักเท่าไหร่นักหรอกนะพี่ชาร์ม แค่ระยะทางที่ไกลสุดกู่เท่านั้น ถ้าตัดเรื่องนี้ออกไปได้ พ่อว่าก็ไม่มีอะไรที่ต้องน่าห่วง "

                    " พ่อกับแม่ไม่คิดจะห่วงสวัสดิภาพของพี่บ้างหรือไงกันน่ะ แล้วนี่จะกลับบ้านยังไงก็ยังไม่รู้เลย " หญิงสาวทำหน้ายู่ เมื่อได้ยินพ่อกับแม่เอาเรื่องสมัยยี่สิบกว่าปีก่อนเธอเกิดมาเปรียบเทียบให้ฟัง

                    " ก็คงจะมีใครกลับบ้านบ้างหรอกน่า พี่ชาร์มก็กลับกับพวกเขาก่อนก็ได้นี่ แล้วก็ค่อยเอารถมาเอง " ผู้เป็นแม่แนะนำ ลูกสาวก็เลยได้แต่พยักหน้า

                    เธอจะได้กลับกับใครนะ ตอนนี้เธอยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าบ้านของใครอยู่ที่ไหนกันบ้าง เฮ้อ! ลำบากจริงๆ ไอ้การเป็นครูเนี่ย ใครว่าสบายฟะ! แค่การเดินทางยังลำบากขนาดนี้เลย ทำไมถึงได้อยากมีคนมาเป็นนักนะ ชลลดานึกบ่นอยู่ในใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นบอกกับพ่อและแม่

                    " พ่อกับแม่รีบกลับเถอะค่ะ เดี๋ยวจะมืดจะค่ำเสียก่อน มันอันตรายนะคะยิ่งทางมันลาดชันแล้วล่ะก็ น่ากลัวจะตาย " สองพ่อแม่พยักหน้าให้แก่กัน ก่อนจะเอ่ยลาบุตรสาว ชลลดายกมือไหว้บุพการีทั้งสองก่อนจะโบกมือลาอันเป็นกิริยาที่เธอมักจะทำเสมอๆเมื่อจะจากลาใครๆ

                    เสียงเรียกของเพื่อนร่วมห้องทำให้ชลลดาต้องรีบเดินกลับไป เพราะเธอต้องช่วยเพื่อนทำความสะอาดห้อง หากเธอไม่ช่วย น่ากลัวว่าคืนนี้อาจจะไม่มีที่นอนแน่ๆ

                    " นี่ชาร์ม เดี๋ยวทำความสะอาดห้องกันเสร็จแล้ว ไปไหว้เจ้าที่เจ้าทางกันนะ " วินิตาเอ่ยชวน หญิงสาวพยักหน้ารับ

                    " ที่ไหนล่ะวิว "

                    " ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ค่ะ " เสียงเย็นๆลอยเข้ามาทางหน้าต่างห้อง ชลลดากรีดร้องออกมาทันทีด้วยความตกใจ เมื่อหันไปมองที่ต้นทางของเสียง หญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

                    " พี่ยี่นี่เอง มาเงียบๆ ตกใจหมด " ชลลดาลูบหน้าอกตัวเองพลางเรียกขวัญซ้ำไปซ้ำมา

                    " ต้นไม้ใหญ่ ตรงไหนหรือคะ " เพียงหทัยถามขึ้นมาหลังจากที่หายจากอาการตกใจเพราะเสียงแหลมเสียดหูของเพื่อน ญิบพันไม่ตอบแต่กลับชี้มือชี้ไม้ไปยังที่ต้นไม้ ทำให้รุ่นน้องทั้งสามต้องเดินออกมาดูเอง

                    " เดี๋ยวพี่จะเตรียมธูปเทียนไว้ให้นะคะ เดี๋ยวให้คนอื่นไปไหว้ก่อน " สามสาวพยักหน้ารับ ก่อนจะหันหน้าเข้าหากันเมื่อเห็นว่าครูรุ่นพี่เดินผละจากไปแล้ว

                    " โฮ้ย! หัวใจแทบวายแน่ะ เจ้แกเล่นมาเงียบๆ ตกใจหมด นึกว่าผีดิบที่ไหน " วินิตาถอนหายใจโล่งอกตามเพื่อน

                    " ว่าไปเข้า รีบๆทำเข้าดีกว่า เดี๋ยวไม่มีที่เก็บของนะ " เพียงหทัยเร่ง

                    " ฉันจะรอดไหมนะ แค่วันแรกก็จะหัวใจวายเสียแล้ว " ชลลดาบ่นพึมพำ เห็นทีที่แห่งนี้คงไม่ธรรมดาเสียแล้ว อีก 2 ปีที่เหลือ เธอจะอยู่ได้ไหมนะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×