มิตรภาพบนความวุ่นวาย - มิตรภาพบนความวุ่นวาย นิยาย มิตรภาพบนความวุ่นวาย : Dek-D.com - Writer

มิตรภาพบนความวุ่นวาย

โดย ryoshin

ณ เซ็นทรัลเวิร์ล

ผู้เข้าชมรวม

1,016

ผู้เข้าชมเดือนนี้

2

ผู้เข้าชมรวม


1.01K

ความคิดเห็น


3

คนติดตาม


0
เรื่องสั้น
อัปเดตล่าสุด :  12 มิ.ย. 51 / 18:59 น.


ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ


    มิตรภาพบนความวุ่นวาย



    คิดซะว่าเป็นไดอีกชิ้นถัดจากพารากอนละกันนะคะ
    ^ ^ ที่เขียนคงไม่เมนที่บรรยากาศในงานเพราะน่าจะได้อ่านที่คนอื่นเขียนกันเยอะแล้ว แต่คงเป็นความรู้สึกอีกมุมที่ต่างจากพารากอน อ่านแล้วถ้าว่างก็มาแชร์ความรู้สึกกันนะ

    8/6/2008

    7:00

    เดินทางมาถึงเซ็นทรัลเวิร์ลพร้อมเพื่อน เพื่อนเราได้บัตรสื่อแล้วแต่ก็ยังเป็นต้นคิดในการชวนและกำหนดเวลามาจองที่ด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าชั้นไม่ทำพวกแกก็ทำอะไรไม่ถูกกันน่ะสิ!นี่เราควรจะซาบซึ้งในน้ำใจเพื่อนที่แอบเหน็บนิดๆ ด้วยใช่มั้ยเนี่ย - -*

    เจ็ดโมงที่นั่งด้านข้างเต็ม ที่ๆ เพื่อนเรามาสแกนเล็งเอาไว้ก็เต็ม นี่พวกเค้าตื่นกันตั้งแต่กี่โมงกัน? แล้วคำตอบก็มารู้ทีหลังว่ามีคนมาจองตั้งแต่สองทุ่มของเมื่อวาน แอบทึ่งปนเข้าใจนิดๆ เลยล่ะ

    9:00

    ที่นั่งเริ่มเต็มกันเมื่อทุกคนเริ่มมากันเยอะขึ้น อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ เมฆครึ้มๆ บนหัวบอกได้เลยว่าฝนใกล้จะตกและมันก็ตกจริงๆ แต่ก็ตกแค่นิดเดียวพอให้รู้สึกและก็ยังนับว่าอากาศโดยรวมดีกว่าพารากอนเยอะ พารากอนคือที่สุดของความร้อนเปรี้ยงและฝนที่กระหน่ำแต่ถ้าที่นี่จะมีก็คงเป็นอากาศที่นิ่งจนอบอ้าวเพราะลมที่แทบไม่พัดเลยซึ่งเจ้าความนิ่งนี่ล่ะที่มันจะทำให้หลายๆ คนอึดอัดสะสมจนเป็นลมกันในตอนช่วงพีคสุดๆ นั่น

    12:00

    ร้อน...แต่ก็ยังไม่ทรมานมากเนื่องจากที่ๆ เรานั่งมีหลังคาอยู่บนหัว แดดที่ส่องลงมาก็หายไปแล้วเมื่อดวงอาทิตย์มันเคลื่อนที่ผ่านเลยหลังคาไป เช่นเดียวกับพารากอน....บรรยากาศในงานไม่ได้น่าเบื่อนักเมื่อแฟนๆ หลายคนอุตส่าห์ประดิดประดอยทำนั่นทำนี่ให้ดู แต่ที่เด่นสุดๆ นอกจากหน้ายุนแจแล้วขอยกให้มิคกี้ในรายการแฮปปี้ทูเกตเตอร์เถอะ ถ้าใครได้ดูคงจำมิคตอนแต่งหน้าเป็นตาแก่และเป่าแป้งได้ ลองคิดภาพหน้านั้นลอยไปลอยมาทั้งบนหัวและแทรกอยู่กับหน้าแฟนๆ สิ

    เราหัวเราะไม่หยุดเอาซะเลยจริงๆ

    16:00

    พารากอนสอนบทเรียนให้คนจัดงานพอควรเมื่อไม่มีการแสดงอะไรเลยบนเวที เพราะการที่มีอะไรนิดหน่อยก็จะทำให้ทุกคนที่รอด้วยความอดทนต่างลุกฮือกันซึ่งนั่นยิ่งจะทำให้เบียดเสียดกันมากขึ้นและนั่งไม่ลงกันด้วย การลุกฮือมีขึ้นจริงๆ แต่นั่นก็เพราะกระแสกรี๊ดจากกลุ่มแฟนคลับด้วยกันเอง บรรยากาศเริ่มแย่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเลยหกโมงเย็นไป แถบอื่นแทบนั่งกันไม่ได้แต่ก็มีโซนที่เรานั่งที่พอนั่งกันได้นั่นเพราะมีน้องๆ ช่วยกันจัดและแคสที่เข้าใจอะไรๆ ก็มีอยู่เยอะ เมื่อข้างหน้าช่วยกันนั่งเพื่อที่ข้างหลังจะได้นั่งกันบ้าง

    ทะเลเพลิงลูกโป่งสีแดง

    โปรเจคที่คิดและแจกลูกโป่งโดยบอร์ดมิราเคิลคือสาเหตุหลักที่ทำให้เราและหลายๆ คนอดทนรอต่อไป น้องที่มากับเราก็ยังคงทนนั่งต่อไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลเพียงแค่

    อยากร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้มิคกี้

    ถามว่าอยากเห็นมั้ยน่ะอยาก...แต่ที่มากกว่านั้นคือการได้ร่วมร้องเพลงอวยพรวันเกิดและส่งลูกโป่งไปให้เจ้าไก่เถิกนั่นได้อ่าน ดังนั้นเวลาว่างๆ หรือภาพที่เห็นได้คือหลายคนก้มหน้าก้มตาเขียนข้อความลงบนลูกโป่ง เชื่อมั้ย...ประโยคไม่กี่ประโยคบนลูกโป่งสีแดงกลับแลกมาด้วยเวลาในการเขียนหลายสิบนาที หลายๆ คนพยายามจะเขียนภาษาอังกฤษไม่ก็เกาหลีเพื่อให้มิคกี้หรือสมาชิกคนอื่นอ่านออก ท่อนไหนที่เขียนไม่ได้ต่างก็ชะโงกหน้าไปซักถามเพื่อนข้างๆ คอร์สเรียนภาษาเกาหลีก็เลยถูกจัดย่อยๆ ขึ้นในงานนั่นล่ะ

    ก็แค่อยากส่งความรู้สึกให้เค้ารับรู้บ้าง..หลายคนคิดอย่างนั้น..แค่นั้นเอง

    เหตุการณ์สงบสุขนี่มันเดินไปได้ไม่นานหรอกเมื่อมันใกล้จะสองทุ่มเข้าไปทุกที ขอชื่นชมอีกครั้งจริงๆ กับการที่ไม่มีอะไรเลยบนเวทีเพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่ต้องเบียดเสียดกันมาก แต่ก็นั่นล่ะ...มันคงเป็นอย่างนั้นไม่ได้ถึงที่สุดหรอกเมื่อยิ่งใกล้เวลาก็ยิ่งวุ่นวาย

    จนท้ายที่สุดดงบังก็มา!

    เหตุการณ์วุ่นวายสุดๆ เมื่อตรงที่ๆ เราอยู่มันมีที่นั่งเป็นปูนหล่อยาวที่ทุกคนพยายามจะขึ้นไปยืนให้ได้ ผลที่ตามมาก็คือมันบังคนข้างหลังได้มิดไงล่ะ และน้องที่มาด้วยพยายามมากที่จะนั่งกันไม่ให้คนขึ้นไปแต่มันพลาดตรงที่เรานั่งอยู่โซนหลัง ดังนั้นพอคนข้างหน้าขึ้นไปยืนแล้วมันก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย หลายคนด่าทอกันและพยายามที่จะดึงคนที่ยืนอยู่ลงมา ก่อนหน้าดงบังมามีน้องคนนึงเป็นหอบแต่ก็ยังไม่ยอมออกไปยังพยายามยืนให้ได้ แม้บุรุษพยาบาลจะมาแต่เธอก็ยังกอดแขนเพื่อนไว้และยื้อยุดสุดแรงเพื่อนที่ตอนแรกช่วยก็เริ่มไม่แน่ใจเพราะพยาบาลก็บอกว่าน้องรับผิดชอบชีวิตเพื่อนไหวเหรอ? ซึ่งนั่นก็ถูก เวลาเหตุการณ์วิกฤตมีใครรับประกันได้มั้ยว่าน้องคนนั้นจะไม่โดนเหยียบ? เพื่อนจะคอยช่วยได้ตลอดมั้ย? สรุปคือน้องคนนั้นก็ต้องถูกพยาบาลลากออกไปทั้งๆ ที่เธอดิ้นรนจะอยู่และคว้าแขนเพื่อนเอาไว้สุดกำลัง แต่ท้ายที่สุดเธอก็ต้องออกไปทั้งๆ ที่รอมาหลายชั่วโมง

    พี่บุรุษพยาบาลพวกนั้นเป็นญาติหรือรู้จักกับเธอมั้ย?

    เปล่าเลย แต่พี่เค้าก็ต้องทำเป็นดุและใช้เวลาหลายนาทีในการพยายามจะดึงเธอลงมาจากยกพื้น ทำไมเค้าต้องลำบากลำบนมาเบียดเสียดแฟนคลับเพื่อพยายามจะลากเธอออกไป? พี่เค้าทิ้งเธอเอาไว้อย่างนี้แล้วก็เดินออกไปเลยไม่ง่ายและสบายกว่าเหรอ?

    ดังนั้นเราไม่คิดว่าสิ่งที่พี่เค้าทำมันผิดหรอก ในความดุของเค้าคือน้ำใจที่ถ้ามองดีๆ ก็จะเห็น ดงบังสำคัญก็จริงแต่ชีวิตที่พ่อแม่ให้มามันไม่สำคัญกว่าเหรอ?

    น้องที่มากับเราตัวเล็กมาก ถึงเธอจะพยายามเบียดเสียดขึ้นไปยืนบนนั้นได้แต่ก็ยังมองไม่เห็นอยู่ดีเมื่อคนที่ยืนข้างหน้าบัง เราพยายามจะขึ้นไปยืนและประคองเธอไว้แต่แรงจากรอบทิศทำให้พวกเราเอนไปทางนั้นทีทางนี้ทีและคิดว่าอยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัยแน่ๆ เราเลยพยายามจะกล่อมให้เธอลงมาและแยกออกไปจากฝูงชนนี่ซะ แต่เธอก็บอกว่าถึงอยู่ที่อื่นก็มองไม่เห็นอยู่ดี น้องชอบมิคกี้ และก็พยายามจะเขย่งมองให้เห็นให้ได้ด้วยความสูง 150 เซ็นติเมตร ซึ่งถึงยังไงก็มองไม่เห็นจริงๆ นั่นล่ะ

    เราก็เลยตัดสินใจลงจากยกพื้นและพยายามดันเธอไว้ เราเป็นคนตัวสูงมาก จะอยู่ตรงไหนก็มองเห็นอยู่แล้วแต่น้องไม่ได้เหมือนเรา จนท้ายที่สุดเธอก็หลงเข้าไปในกลุ่มคนที่ยืนอยู่นั้นและก็มีน้องคนนึงออกมาเพราะกำลังจะเป็นลมแทน!

    การเป็นลมท่ามกลางฝูงชนที่กำลังคลั่งนี่น่ากลัวเหลือเกินเมื่อไม่รู้ว่าจะถูกเหยียบเมื่อไหร่เพราะช่วยตัวเองไม่ได้ แต่เชื่ออะไรมั้ย ในความวุ่นวายนี้ก็ยังมีหลายคนละจากหน้าดงบังบนเวทีมาช่วยพัดน้องที่นั่งแหมะอยู่บนพื้น กันที่ให้กว้างและเอายาดมมาให้ แต่เราคิดว่าที่ๆ กันเอาไว้นี่ไม่น่าอยู่นานเราเลยพยายามแหวกคนเพื่อจะเรียกการ์ดที่ยืนอยู่ในโซนกั้นของวีไอพีให้เค้ารับน้องออกไป กว่าเค้าจะเห็นมือที่เราโบกและกว่าเค้าจะเข้าใจก็กินเวลานานพอดูแต่พอเรากลับมาที่ๆ น้องนั่งอยู่ น้องก็หายไปแล้ว คงมีพยาบาลมาพาออกไปแล้วนั่นเอง

    สุขสันต์วันเกิดปาร์คยูซอน

    น้องเราและหลายคนร้องเพลงสุดสันต์วันเกิดทั้งๆ ที่มองไม่เห็นหน้าเจ้าของวันเกิด แต่นี่คือสิ่งที่เราและอีกหลายคนมา นี่คือสิ่งที่เราอยากทำอะไรให้ใครสักคนโดยไม่หวังอะไร บรรยากาศวุ่นวายและเสียงกรี๊ดหายไปเมื่อเสียงเพลงที่ทุกคนช่วยกันร้องอวยพรมิคกี้ดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ มันเหมือนเวลาและบรรยากาศรอบข้างหยุดชะงักไปชั่วขณะเมื่อเสียงเพลงนั้นถูกร้องโดยเหล่าแคสสิโอเปีย

    รับรู้เถอะ...ความรู้สึกของพวกเราช่วยรับรู้มันด้วยเถอะ

    ไม่รู้ว่าเราเข้าข้างตัวเองมั้ยแต่เราเชื่อว่ามิคกี้กำลังซึ้ง อย่างที่บอก ...เราตัวสูงพอที่จะยืนตำแหน่งไหนก็มองเห็น เราเชื่อว่าตัวเองเห็นมิคกี้เม้มปากนิดๆ และเงยหน้าหน่อยๆ พร้อมกระพริบตา คนอื่นอาจจะคิดอย่างอื่นแต่โดยส่วนตัวเราเชื่อว่าเค้ารับรู้มันแล้ว..

    และยิ่งสายตาที่แสดงถึงความเป็นห่วงสุดๆ จากหัวหน้าวง

    ดงบังไม่ค่อยยิ้ม..หลายๆ คนเห็นอย่างนั้นแต่ในความไม่ยิ้มต่างหากที่ทำให้เราซึ้งใจ เค้าไม่ได้แปะหน้ากากยิ้มเสมอไว้บนหน้าเพื่อมาพบพวกเรา เค้าไม่ได้ใส่หน้ากากทางการพวกนั้นเพื่อมาเจอเรา แต่บนหน้าดงบังทุกคนที่มองรอบๆ เราเชื่อว่าทุกคนมองออกว่าดงบังห่วงมาก คนที่แสดงออกทางสีหน้าสุดๆ คือยุนโฮ ยุนโฮกวาดตามองรอบๆ พร้อมกับขมวดคิ้วตลอดในช่วงที่เค้าไม่ได้ตอบคำถาม เราเชื่อว่าความรู้สึกของพวกเค้าตอนนั้นคือมาเจอแฟนคลับไม่ได้มาปั้นหน้ายิ้มออกรายการทีวี เราเชื่อว่าตัวเค้าที่ยืนอยู่บนเวทีคือตัวตนของเค้าจริงๆ

    ถ้าการที่ยิ้มได้ทุกสถานการณ์แสดงถึงความเป็นมืออาชีพ...เรากลับชอบดงบังที่ทำหน้าอย่างนี้มากกว่า ความเป็นห่วงมันทำให้พวกเค้าไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรจะทำแต่กลับหลุดสีหน้าในสิ่งที่เราอยากจะเห็น

    มีอะไรที่ไม่น่าดีใจอีก?

    แล้วในท้ายที่สุดดงบังก็ลากลับ น้องอีกคนที่มากับเราโซซัดโซเซลงจากยกพื้นเราเลยช่วยพาน้องนอนลงที่ยกพื้นนั่นล่ะ และไม่ใช่แค่เราด้วย หลายๆ คนที่ยืนอยู่รอบๆ ก็ยังไม่กลับเมื่อมาช่วยปฐมพยาบาลเท่าที่ทำได้ทั้งที่ไม่ได้รู้จักกันเลย จนซักพักน้องก็เริ่มรู้สึกตัวแต่กลับเปลี่ยนจากการหน้ามืดมาเป็นร้องไห้อย่างหนักแทน ความลำบากทั้งหมดถูกปล่อยออกมาผ่านสายน้ำตา น้องร้องไห้ไม่หยุดแม้แต่ตอนบุรุษพยาบาลมาถึงและจะพาไปห้องพยาบาล แล้วตอนนั้นน้องเราที่หลงหายไปก็กลับมา

    เธอร้องไห้....เธอกอดเราแล้วก็ร้องไห้อย่างหนัก จากสิ่งที่เธอเล่าคือเธอมองไม่เห็นเอาซะเลยทั้งตัวเล็กแล้วเสาก็บังตรงตำแหน่งนั้นพอดี แล้วเธอก็เลยแต่พร่ำว่ามองไม่เห็นมิคกี้ๆๆ คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าคงได้ยินเสียงสั่นเครือของเธอเมื่อดึงเธอเบี่ยงไปยืนข้างๆ ตัวเอง มองไม่เห็นใช่มั้ยงั้นก็มานี่นี่คือน้ำใจในความวุ่นวาย ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันแต่น้องเรากลับได้เห็นคนที่เธอชอบเพราะแคสคนนั้น และไม่ใช่แค่คนนั้นด้วย น้องที่เป็นลมนั่นล่ะที่ทำให้น้องเราร้องไห้

    ทั้งๆ ที่น้องกำลังจะเป็นลมแต่ก็เค้าก็กอดเฟิร์นไว้ตลอดไม่ให้ตก ทั้งๆ เฟิร์นเป็นพี่แต่กลับต้องให้น้องมาดูแลทั้งๆ ที่น้องก็กำลังแย่!

    สิ่งไม่ดีมีเยอะก็จริงแต่เรากลับเห็นว่าสิ่งที่ดีที่มีเพียงน้อยนิดนั่นกลับเป็นความทรงจำที่มีค่าแบบหาอะไรมาแลกไม่ได้ น้ำใจจะเห็นได้ชัดเจนก็จากเวลาที่ลำบากอย่างนี้ไงล่ะ

    แล้วหลังจากนั้นเราก็ตามบุรุษพยาบาลที่พาน้องไปที่ห้องพยาบาล และนี่ก็คืออีกหนึ่งความทรงจำที่เราบอกว่ามันแตกต่างจากพารากอน

    ที่พารากอนเราตามไปรอดงบังที่ทางออกแต่ที่นี่เรากลับได้เห็นอีกส่วนหนึ่งที่วันนั้นเราไม่ได้เห็น

    เด็กผู้หญิงหลายกำลังเป็นลมและร้องไห้ มีน้องคนหนึ่งที่หลายคนน่าจะรู้จักเพราะเป็นนักแต่งฟิคที่ดังพอควร และเรารู้จักเธอเพราะเธออ่านฟิคเราและก็คุยเอ็มกันบ้าง ตอนที่นั่งรอก็รอใกล้ๆ กัน เรารู้จักหน้าน้องเพราะตอนคุยน้องเคยเอาหน้าตัวเองขึ้นแต่น้องคงไม่รู้จักหน้าเราและก็คงแปลกใจแน่ๆ เพราะเราเรียกชื่อน้องตั้งแต่ตอนช่วงชุลมุนจนมาที่ห้องพยาบาลที่เธอกำลังกอดเพื่อนร้องไห้

    เพื่อน..ที่มีฝาครอบปิดจมูกเอาไว้

    อาจจะเพราะมีอยู่ช่วงที่คุยกันบ่อยทำให้เรารู้สึกว่าสนิทกับเธอแม้เราจะไม่ได้บอกเธอว่าเราเป็นใครก็ตาม เราเดินเข้าไปถามว่าน้องคนที่นอนอยู่บนเตียงเป็นไงบ้างก็เห็นเธอร้องไห้จนตาแดงช้ำไปหมด ทั้งๆที่คิดว่าวันนี้น้ำตาคงจะไม่ไหลเหมือนวันนั้นแล้วแต่เสียงร้องไห้ไม่หยุดของเธอกลับทำให้เราเริ่มน้ำตาซึมตาม เด็กที่นอนอยู่บนเตียงแทบไม่รับรู้อะไรเลยแม้เพื่อนจะกอดและร้องไห้อยู่ตรงหน้าตัวเองก็ตาม ที่เราทำได้ตอนนั้นก็แค่ช่วยกอดปลอบเบาๆ และก็ทันเห็นน้องที่อยู่อีกเตียงที่ไม่มีใครอยู่ข้างเตียงแทน

    ตอนแรกเราเข้าใจผิดว่าเค้าเป็นเพื่อนกันเพราะตอนนั่งรอก็นั่งรอใกล้ๆ กัน เราเลยทิ้งน้องเราไว้ให้อยู่เป็นเพื่อนคนนั้นเพราะตอนนั้นพยาบาลกำลังเข็นเธอไปอีกห้องแทน อย่างน้อยเราก็จะได้โทรบอกน้องเราให้บอกเพื่อนเค้าได้ว่าตอนนี้เค้าอยู่ตรงไหน

    ในห้องพยาบาลอีกห้องมีอีกหลายคนที่ยังนอนอยู่บนพื้น บางคนอาการหนักมากซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร พี่พยาบาลก็ใจดีเมื่อยอมให้เราเข้าไปด้วยและก็ยังช่วยไปหาแก้วน้ำมาให้ด้วย น้องคนที่เราตามมาเป็นเพื่อนเค้าเริ่มอาการดีขึ้นและเริ่มนั่งได้ เธอบอกว่ามือเธอสั่นเราเลยช่วยจับเอาไว้ เธอเงยหน้าขึ้นมาเล่าเหตุการณ์ให้เราฟังด้วยรอยยิ้มที่สวยมากๆ ทั้งๆ ที่ยังหายใจไม่ถนัด คนที่เธอชอบคือยุนโฮและเธอก็บอกว่ายุนโฮน่ารักมาก เธอเล่าว่าเธอมารอตั้งแต่กี่โมงและอีกหลายอย่างที่เราได้ยินบ้างและไม่ยินบ้างเนื่องจากเสียงเธอเบามาก

    ถึงเธอจะเจ็บ...แต่เราเชื่อว่ารอยยิ้มที่เราเห็นเมื่อเธอพยายามจะบอกเล่าความรู้สึกให้เราฟังน่าจะบอกได้ดีว่าเธอคงไม่เสียใจหรอกที่ไปรอวันนั้น

    แล้วพอเธอเริ่มดีขึ้นเราก็ขอผละไปก่อนเพราะเราเอากระเป๋าของน้องที่เป็นลมติดตัวมาด้วย พอเราคืนกระเป๋าเสร็จก็วิ่งกลับมาที่ห้องพยาบาลนั้นอีกครั้งและตอนนั้นน้องคนนั้นก็หายไปแล้วแต่เรากลับเห็นน้องเรามาอยู่ที่นี่แทน

    คนที่มีฝาครอบจมูกหายแล้วแต่ตอนนี้ทุกคนกลับไปนั่งเฝ้าเด็กคนหนึ่งที่ร้องไห้ไม่หยุด เพื่อนแต่ละคนช่วยกันกุมมือและเอ่ยปลอบน้องที่ดูจะหายใจอย่างทรมานมากเมื่อนอนไปร้องไห้สะอึกสะอื้นไป ตาที่ยังแดงช้ำของน้องที่รู้จักกันทางเอ็มทำให้เราเดินเข้าไปปลอบแต่เธอก็ทำหน้าแปลกใจนิดๆ ว่าเรารู้จักชื่อเธอได้ยังไงและเราก็คิดว่าเวลานั้นไม่ใช่เวลาที่จะมาแนะนำตัวเลยลากลับออกมาก่อนเพราะเท่าที่เห็นเค้าก็มีเพื่อนมาเยอะแล้วและห้องพยาบาลก็เล็กเกินไปที่จะจุคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปแย่งอากาศคนป่วย

    ถ้าคราวหน้าเป็นแบบนี้อีกเฟิร์นจะไม่มาอีกแล้ว

    นั่นคือคำพูดของน้องเราตอนที่เราเดินออกมาจากห้องพยาบาลด้วยกัน หลายสิ่งที่เธอเห็นและได้รับในวันนั้นคงทำให้เธอรู้สึกไม่ดี เราในตอนนั้นก็ไม่รู้จะเอ่ยบอกอะไรเธอไปเช่นกันเพราะต่างก็เดินเงียบๆ กลับขึ้นไปข้างบน

    ผู้คนเริ่มบางตา

    ลานข้างนอกที่เคยมีแคสยืนกันอย่างแออัดกลับดูว่างเปล่าเมื่อคนสลายตัวไปนานแล้ว ความรู้สึกตอนเดินกลับไปที่ลานนั่นมันเบาหวิวเมื่อคิดว่าไม่กี่นาทีก่อนยังมีคลื่นแฟนคลับอยู่ตรงนี้ บางส่วนน่าจะกลับบ้านและบางส่วนน่าจะตามดงบังต่อไป แต่พอเดินผ่านซุ้มฮอนด้ามาได้พวกเราก็กลับเจอบางสิ่งที่ทำให้น้องเราเหมือนมีรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง

    ชิ้นส่วนเค้กวันเกิดของมิคกี้!

    มันคือเศษเค้กบนกระดาษที่มีแฟนสี่ห้าคนมายืนรุมดูและกรี๊ดปนหัวเราะเบาๆ เชื่อมั้ยว่าสิ่งนี้ที่ทีมงานที่กำลังเก็บเวทีเดินเอามาให้กลับทำให้รอยยิ้มสว่างจ้ามันเกิดบนหน้าน้องเราอีกครั้ง เธอเดินเข้าไปดูเค้กกับกลุ่มนั้นด้วยตาที่เป็นประกายมากๆ และก็ยังได้ส่วนแบ่งมาเป็นครีมขาวที่เธอจิ้มนิ้วแตะๆ มาด้วย เธอถ่ายรูปเค้กที่เปื้อนนิ้วและเอาครีมนั่นมาแตะแก้มตัวเองพร้อมกับถ่ายรูปและยิ้มมีความสุขอยู่คนเดียว

    ถ้ารักเจ้าไก่เถิกนั่นมากขนาดนี้ล่ะก็คราวหน้าเราว่าเธอก็คงเริ่มคิดหนักแล้วล่ะว่าไม่มาจะดีมั้ย

    สมาคมคนรักปาร์คยูซอนเล็กๆ ที่สนิทกันได้ภายในเวลาอันรวดเร็วเมื่อต่างหัวเราะให้กันทั้งที่เพิ่งรู้จักทำให้อะไรๆ มันเริ่มสว่างไสวขึ้น เราเดินแยกกับกลุ่มนั้นก็มาเจอกลุ่มน้องที่มารอด้วยกันกำลังช่วยทีมงานเก็บขยะพอดี น้องที่เป็นลมก็ช่วยเก็บขยะบางชิ้นไปให้ทีมงาน

    หากเราเปลี่ยนสายตาที่จะมอง...อะไรๆ รอบตัวก็มีจุดดีที่ไม่ควรมองข้ามเยอะแยะมากมายจริงๆ

    เราเอ่ยลากับน้องกลุ่มนั้นแล้วเมื่อคุยกันได้ซักพักและก็คิดว่าจะเดินกลับไปที่รถไฟฟ้ากันสองคน แต่สิ่งที่ทำให้เราช้ากลับเป็นฟิวเจอร์บอร์ดที่ถูกพับและยัดในถุงขยะดำ

    ยูซู

    มันคือฟิวเจอร์บอร์ดของคนรักยูซู รูปเซียะที่น่ารักทำให้เราเดินผ่านไม่ลงเมื่อมองสบตากับน้องและตัดสินใจเดินไปหยิบฟิวเจอร์บอร์ดนั้นออกมาจากถุงขยะ รูปยูซูหลายรูปที่ติดแปะนั้นคนทำคงใส่ใจมากเมื่อเลือกมาแต่ภาพที่สวยๆ แต่ตอนที่วุ่นวายเธอก็คงไม่สามารถจะรักษาไว้ได้เพราะแม้แต่ตัวเองยังแทบเอาตัวไม่รอด การรื้อขยะครั้งแรกในชีวิตทำให้เรากับน้องหัวเราะให้กันอย่างขำๆ เมื่อช่วยกันแกะรูปที่ยับย่นพวกนั้นออกมา(ดังนั้นถ้าเจ้าของกำลังอ่านอยู่ก็ขอบอกว่าภาพของคุณอยู่กับเรานะคะ มันไม่ได้หายไปไหนหรอก ถ้าอยากได้คืนก็บอกเน้อ ^ ^)

    ไม่ใช่อยากได้...เพราะถ้าเอาภาพที่มีอยู่ไปอัดมันก็ไม่แพงเลย...แต่สิ่งที่ทำให้เราสองคนนั่งช่วยกันแกะรูปคือเราทำใจไม่ได้จริงๆ ที่จะเดินผ่านไปแล้วปล่อยให้รูปเซียะกะมิคกองอยู่ในถุงขยะ!

    เสียงลูกโป่งที่ถูกเหยียบแตกเพราะทีมงานต้องเคลียร์พื้นที่ทำให้เราใจหายนิดๆ สิ่งเดียวที่เสียดายในงานนี้คือเจ้าลูกโป่งสีแดงพวกนี้...ลูกโป่งที่มันไปไม่ถึงมือคนที่อยากให้ ตรงที่เรายืนตอนดงบังอยู่ไม่มีใครมีลูกโป่งในมือแล้วเพราะแค่เอาตัวรอดก็ลำบาก แต่ที่เราเสียดายคือโซนวีวีไอพีต่างหาก แคสที่นั่งอยู่ตรงโซนนั้นยังอยู่ในสภาพที่ดีทุกอย่างและแต่ละคนก็มีลูกโป่งในมือ แต่ที่เราไม่เข้าใจคือเค้าเก็บเอาไว้กับตัวทำไม ถ้อยคำที่เขียนควรจะให้คนที่ชอบห้าคนนั่นได้อ่าน สละเวลานิดหน่อยที่จะไม่ได้มองหน้าชัดๆ และโยนลูกโป่งตรงหน้าตัวเองไปข้างหน้าก็จะทำให้โปรเจคนี้เสร็จสมบูรณ์ แต่ลูกโป่งพวกนั้นกลับไปไม่ถึงและต้องถูกทำให้แตกเพื่อที่ทีมงานจะได้เอาไปทิ้งลงถังขยะ

    ความรู้สึกของคนที่เขียนก็ลงไปอยู่ในถุงดำทั้งๆ ที่คนที่เค้าให้กลับไม่ได้อ่าน สิ่งเดียวที่เสียดายคือเรื่องนี้ล่ะ

    แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังไม่รู้สึกเกลียดงานนี้ เช่นเดียวกับพารากอน...เรายังประทับใจในน้ำใจของแคสหลายคน ถ้าเลือกที่จะจำก็มีสิ่งดีๆ มากมายที่น่าจดจำ บทเรียนที่เกิดมันถูกสอนต่อเนื่องมาตั้งแต่พารากอนจนถึงเซ็นทรัลเวิร์ลและยังรวมไปถึงที่โรงแรมพลาซ่าแอทธินีในวันต่อมาด้วย

    ทำไมน่ะเหรอ? เพราะในวันนั้นทำให้เราประทับใจแคสไทยมากไงล่ะ

    สิ่งที่เลวร้ายมันคือบทเรียนที่มีค่าและเราคิดว่าทุกคนก็เริ่มเรียนรู้แล้วเมื่อวันนั้นแทบไม่มีใครลุกขึ้นยืนเลย!

    เพื่อนเราและหลายคนไปรอที่โรงแรมตั้งแต่ช่วงเช้าเราตามไปสมทบตอนราวๆ หกโมง ไม่นานหลังจากนั้นการ์ดก็บอกแฟนคลับว่าดงบังจะออกประตูหน้าของตึกใหม่(ใหม่ไหนก็ไม่รู้เหมือนกันรู้แต่เดินตามชาวบ้านเอา) หลายคนยังกลัวว่าการ์ดหลอกแต่เราก็ตัดสินใจที่จะเชื่อเมื่อพากันไปนั่งเรียบร้อยในโรงแรมตรงที่การ์ดกันเอาไว้ให้นั่ง บรรยากาศในโรงแรมสนุกมากเมื่อแฟนคลับก็คงน่ารักล่ะเพราะพวกพี่การ์ดหลายคนเค้าก็คุยด้วยหัวเราะด้วยและยังมีน้ำดื่มมาแจกให้อีกต่างหาก นั่นทำให้เราทั้งแปลกใจและดีใจ ถึงแม้เค้าจะบอกว่ากำหนดการเปลี่ยนจากสองทุ่มเป็นสี่ทุ่มก็ตามแต่คนที่ควรจะน้อยลงกลับมีเพิ่มมากขึ้นและตอนราวๆ สี่ทุ่มนั่นก็ยืนยันได้ว่าสิ่งที่เราเชื่อมันไม่ได้ผิด

    เพราะดงบังออกมาทางนี้จริง!

    เช่นเคย...สิ่งที่ทำให้เราประทับใจยังไม่ใช่ดงบังที่เป็นอันดับหนึ่งหากแต่เป็นแฟนคลับที่เรียนรู้จากเมื่อวานและเลือกที่จะนั่งต่างหาก แถวที่นั่งไม่ใช่สองสามแถวแต่แถวที่ยาวที่สุดน่าจะเกินสิบ! แต่ถึงอย่างนั้นคนเกือบทั้งหมดที่อยู่ข้างหน้าก็ยังนั่งกันไม่ลุกเพื่อให้คนข้างหลังได้เห็นกันบ้าง

    ถ้าจะตามมิคกี้ก็อย่าได้คาดหวังมาก มิคจะชอบใส่หมวกใส่แว่นปิดและไม่ค่อยทักทายแฟนคลับอยู่แล้ว

    นั่นคือประโยคเมื่อนานแล้วที่เพื่อนเราเคยเตือนคนที่ชอบมิคกี้ให้ทำใจเอาไว้แต่เชื่อมั้ยว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น

    มิคกี้ยิ้ม!

    ยิ้มตั้งแต่ลงบันไดเลื่อนจนถึงทางออก ไม่ใช่ยิ้มนิดๆ แต่เป็นยิ้มกว้างหวานๆ ในแบบของเค้าที่จะหาดูได้ยากในเวลาส่วนตัวแบบนี้ และถ้าภาพที่เราชินตาคือท่านหัวหน้าวงที่ยิ้มโบกมือทักทายแฟนคลับแต่เรากลับว่าวันนั้นคนที่เซอร์วิสมากที่สุดคือท่านชายปาร์คยูซอนนี่ล่ะ เพราะไม่ใช่แค่ยิ้ม...แต่มือขาวๆ นั่นโบกให้แฟนคลับตั้งแต่บันไดเลื่อนยันประตูทางออก!

    อาจจะเพราะอยู่ในช่วงวันเกิด อาจจะเพราะแฟนคลับเรียบร้อย หรืออาจจะเพราะหลายๆ อย่างที่เราไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เราเชื่อว่าความรู้สึกของพวกเราและหลายสิ่งหลายอย่างที่แคสไทยอดทนร่วมกันมันไม่ได้สูญเปล่า

    เพราะอย่างน้อยที่สุดเราเชื่อว่าเค้ารับรู้มันแล้ว!

    แล้วเทพก็จากไป เราเจอหลายคนที่กอดเพื่อนร้องไห้ แต่น้ำตาที่รินไหลมันคงแตกต่างจากที่เซ็นทรัลเวิร์ลโดยสิ้นเชิงเมื่อสายน้ำพวกนั้นมันหลั่งรินเพราะความตื้นตัน มันคือการรอที่ไม่ต้องยากลำบากและอดทนดังเช่นเมื่อวานแต่กลับได้เห็นชัดกว่า หลายๆ กลุ่มที่เดินไปด้วยกันเราได้ยินเสียงพูดคุยอย่างสนุกสนานปนดีใจสุดๆ เราหลงกับเพื่อนช่วงที่ทุกคนวิ่งตามไปที่ทางออก แต่พอกำลังจะเดินหาเพื่อนกลับมีรถตู้คันหนึ่งที่น่าจะถูกเหมาโดยแฟนคลับเพื่อตามดงบังต่อก็จอดตรงหน้าเราตรงหน้าโรงแรม

    พี่จะตามต่อมั้ยคะ หรือกลับเลย?”

    นั่นคือประโยคที่คนที่นั่งหลังสุดเลื่อนกระจกออกมาคุยกับเรา เราในตอนนั้นตอบไปแบบไม่รู้ตัวทั้งที่จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าน้องเป็นใคร น้องยังคงยิ้มให้และคุยกันอีกสองสามประโยคเราถึงเพิ่งจำได้ว่าเธอก็คือคนที่เป็นลมและกุมมือเราในห้องพยาบาลนั่นเอง

    เห็นมั้ย...มิตรภาพระหว่างแคสเกิดขึ้นได้ง่ายเหลือเกิน

    ถึงแม้ประสบการณ์ที่เซ็นทรัลเวิร์ลจะทำให้หลายคนไม่อยากจดจำแต่สำหรับเรากลับเป็นความทรงจำที่มีค่ามากเกินกว่าที่อยากจะลืม เราไม่อยากให้แคสทะเลาะกันเองถึงเขียนไดนี้ขึ้นมาอีกเพราะวันนั้นเราเจออะไรหลายๆ อย่างที่ไม่ใช่สิ่งที่จะเจอได้ง่ายๆ มีแคสที่ไหนที่ทนนั่งรอดงบังท่ามกลางแดดเปรี้ยงของเมืองไทยและสายฝนได้ถึงสองครั้งสองคราเหมือนพวกเรา เราเชื่อว่าถ้าคนที่ไปรอตรงนั้นลองคิดย้อนดูต้องมีซักครั้งล่ะที่คุณได้สัมผัสกับน้ำใจจากแคสด้วยกันเอง

    นี่คือสิ่งที่คนได้มีตไม่ได้สัมผัส

    นี่คือสิ่งที่คนได้นั่งโซนวีวีไอพีไม่ได้สัมผัส

    การอดทนอย่างนั้นทำให้เราภูมิใจในตัวเองมาก การลุกและเดินออกไปเป็นสิ่งที่ง่ายดายเหลือเกินแต่การทนนั่งรอเป็นสิบชั่วโมงตรงนั้นต่างหากที่เราภูมิใจที่สามารถเอาชนะใจตัวเองได้แถมยังได้ของแถมเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมที่หยิบยื่นน้ำใจให้กันทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อนเลยนี่ต่างหาก ประสบการณ์อย่างนี้มันหาได้ง่ายเหรอ?

    จะมีแฟนคลับที่ไหนยิ่งใหญ่เท่าแคสไทยอีกเหรอ?

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น

    ×