คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Ichos of Olympus บทเพลงแห่งทวยเทพ [ดิสซูเดอร์ เกรนเวอร์น่า]
Application Géfyra
"จะคาดหวังไปทำไมกัน สุดท้ายแล้ว..ทุกอย่างก็ต้องสูญสลายไปอยู่ดี..ไม่ใช่รึไง?"
บทตัวละคร
:: ตัวร้าย
สลักที่ถือครอง::
สลักแห่งความสิ้นหวัง ไซเรน
ชื่อ-นามสกุล :: ดิสซูเดอร์
เกรนเวอร์น่า [Diszuder Gainverna] *ดิสซูเดอร์ในภาษาฝรั่งเศสแแปลว่าสูญสลาย
อายุ
:: 29 ปี
เพศ
:: ชาย
รูปร่างหน้าตา
:: ดวงตาสีดำขลับเรียวสวยแฝงไว้ด้วยประกายความสิ้นหวังตลอดเวลา
เส้นผมสีดำเช่นเดียวกับดวงตายาวละเอว รูปร่างสูงโปร่งดูผอมแห้ง
แต่ความจริงแล้วมีร่างกายที่สมส่วน และมัดกล้ามที่เรียงตัวสวยอย่างพองาม
ใบหน้าคมแบบบุรุษ ริมฝีปากหยักได้รูปสีซีด คิ้วโก่งสีดำขลับ จมูกโด่งเป็นสัน
เครื่องหน้าได้รูป ผิวขาวซีดเผือดราวกับศพ
ยกเว้นแต่บริเวณหัวไหล่ซ้ายที่มีรอยแผลเป็นไฟไหม้ขนาดใหญ่
น่าเกลียดน่ากลัวปรากฏอยู่อย่างเด่นชัด
ส่วนสูง/น้ำหนัก
:: 189 / 66
ลักษณะนิสัย :: ดิสซูเดอร์นั้นมีนิสัยที่ผิดเพี้ยนและบิดเบี้ยวอันเป็นผลพวงมาจากเหตุการณ์ในอดีตของเขา ภายนอกเขาไม่มีอะไรโดดเด่นเลยแม้แต่น้อย
เรียกได้ว่าแทบจะกลืนหายไปกับอากาศเสียด้วยซ้ำ เขาเหมือนกับคนจืดจางธรรมดาๆ ที่ไม่ชอบเข้าสังคม
และรักสันโดษแบบพวกนักเร่ร่อน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยสักนิดเดียว
แท้จริงแล้วจิตใจของเขามันบิดเบี้ยวกว่าที่เห็นมากนัก ดิสซูเดอร์นั้นมีนิสัยที่คลับคล้ายกับคนเสียสติ ที่เดี๋ยวก็หัวเราะ เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็ฉุนเฉียว อย่างไม่มีสาเหตุ
(?) แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ
ดวงตา ของเขา ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นมักฉายแววสิ้นหวังต่อทุกสิ่งอยู่ตลอดเวลา และหากมองลึกลงไปก็จะเห็นความอาฆาตแค้นอันไร้ที่มาฝังแน่นอยู่ในดวงตา
ราวกับโลกใบนี้เป็นสิ่งที่น่ารังเกลียดสำหรับเขาก็ไม่ปาน โดยปกติดิสซูเดอร์จะไม่ยุ่งย่ามเรื่องของคนอื่น
หรือเอาตัวเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายต่างๆ ที่อยู่รายล้อมรอบตน
ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะเหตุผลสองข้อหลักๆ หนึ่งคือดิสซูเดอร์พูดไม่เก่ง
เขาเหมือนเด็กน้อยหัดพูดที่มักจะพูดตะกุกตะกัก และมักจะหัวเราะหรือสะอื้นระหว่างพูดเสมอ
แม้ว่าใจความของคำพูดนั้นจะไม่ได้มีอะไรที่น่าจะทำให้เขาเป็นแบบนั้นเลยก็ตามแต่
และเหตุผลอีกข้อคือดิสซูเดอร์นั้นควบคุมนิสัยของตัวเองไม่ค่อยได้
เขามักจะคุมสติเวลาอยู่กับคนเยอะๆ (กรณีนี้คือ3คนขึ้นไป) ไม่ได้ และอาจแสดงด้านเสียๆ ของตนออกไปอยู่บ่อยครั้ง และถ้าใครไปพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับ
ความหวัง การรอคอย และความนิรันดร มันก็จะเป็นการไปจี้จุดเขาอย่างจัง
ดิสซูเดอร์จะแสดงอารมณ์รังเกลียดเดียดฉันท์ออกมาอย่างชัดเจน แม้ว่าคนพูดจะไม่ได้ผิดอะไรเลยก็ตาม เขาจะหัวเราะใส่อีกฝ่ายราวกับกำลังเยาะเย้ย รวมถึงด่าใส่ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง
และเขาก็จะเดินหนีออกไปจากคนๆ นั้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิด
แต่หากคู่กรณีคิดจะเอาเรื่องเขา
ชายหนุ่มก็พร้อมจะจัดการให้อีกฝ่ายสิ้นน้ำยาได้ตลอดเวลา
อีกมุมหนึ่งนอกจากนิสัยประหลาดๆ
จนคล้ายกับคนเสียสติของเขานั้น ยังมีความอ่อนโยนต่อ พวกสัตว์น้ำ แฝงเอาไว้อยู่บ้าง
(แม้จะอยู่ลึกจนแทบขุดไม่เจอเลยก็ตามที) เขารักสายน้ำและเหล่าสัตว์น้ำ ยามใดที่อารมณ์เสียหรือเกิดเศร้าหมองจนอยากจะร้องไห้ เขาก็จะไปที่แม่น้ำหรือทะเล หรือไม่ก็แหล่งน้ำกว้างแถวๆ นั้น นั่งมองเงาสะท้อนของตัวเองแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ
หรือไม่เขาก็จะร้องเพลงออกมา..แต่น่าเศร้าที่เสียงของเขาทั้งบาดหูและไม่มีความไพเราะเลยแม้แต่น้อย
ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังรักการร้องเพลงอยู่ดี
เขาชอบที่จะร้อง และชอบที่ฟังเสียงเพลงเพราะๆ มากพอๆ กับการที่เขาชอบดูพวกสัตว์น้ำและชอบสายน้ำ
เพราะมันทำให้จิตใจของเขาผ่อนคลายลง และสามารถกันตัวเองออกจากโลกภายนอกและความเป็นจริง
จมจ่อมกับความสุขที่แสนเรียบง่ายของตนได้เรื่อยๆ
..แม้จะเป็นแค่เวลาชั่วครู่ก็ตามที แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าช่วงเวลาเหล่านั้นคงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด รองลงมาจากเวลากินของเขาแล้วล่ะ อีกเรื่องที่ทำให้ดิสซูเดอร์ดูเหมือนเด็กน้อย เขาเป็นคนกินเก่งและชอบกินมาก หากมีคนเอาของกินมาล่อ
(?) เขาจะเกิดอาการโลเลน้ำลายหกอย่างชัดเจน
และบางทีเขาก็อาจตกหลุมพรางของอีกฝ่ายโดยเจตนา เพื่อของกินเหล่านั้นได้เลยด้วยซ้ำ
ผิดจากปกติที่ไม่เชื่อใจใครง่ายๆ หรือยอมอ่อนข้อให้ใครคนไหนง่ายๆ โดยสิ้นเชิง..---
ลักษณะการพูดจา
:: แทนตนว่าข้า
เรียกคนอื่นว่าเจ้าเสมอ มักพูดเสียงงึมงำพึมพำอยู่ในปาก
ถ้าโดนจี้จุดจะพูดเสียงเย็นแถมรัวและเร็วมาก มีบ้างที่ตะกุกตะกักออกเสียงไม่ชัด
และบางทีก็อาจะหัวเราะในตอนที่กำลังเล่าเรื่องผี (?)
หรือร้องไห้ออกมาตอนกำลังคุยเรื่องตลก สรุปง่ายๆ
คือเป็นปฏิกริยาอัตโนมัติที่เกิดจากการที่สมองได้รับการกระทบกระเทือน
จนทำให้มีนิสัยเพี้ยนๆ อย่างการที่อยู่ๆ ก็ร้องไห้หรือหัวเราะขึ้นมาเสียดื้อๆ-----
เวลาคุยกับคนแปลกหน้า : “ไม่..ไม่เป็นไร ขะ
ข้า..ไม่มีปัญ..หา” //แล้วก็กลอกตาไปมาคล้ายจะทบทวนศัพท์ในหัว---//
เวลาหิว (?) : “หิวแล้ว..อยากกิน
ฮะๆ..หิวจัง..หากินอะไรกินดีกว่าเรา ฮะ ฮึก..” //จู่ๆ ก็สะอื้นขึ้นมาซะดื้อๆ
ก่อนจะไปเดินหาของกินตามคำสั่งบัญชาจากท้อง//
เวลาโดนจี้จุด : “ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะเชื่อเรื่องไร้สาระงมงายนั่น
ก็นะ..ตัวเจ้ามันก็ไร้สาระพอๆ กับเรื่องบ้าๆ นั่นเหมือนกันนั่นแหละ”
//พูดพร้อมมองด้วยสายตารังเกลียด แล้วเดินหนีออกไปเลย----?//
ประวัติ
:: แต่ก่อนดิสซูเดอร์ป่วยเป็นโรคๆ
หนึ่ง ทำให้ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลเสมอ และพ่อแม่ของเขาก็จะมาเยี่ยมเขาบ้างนานๆ
ทีสักครั้งหนึ่งในรอบปี ในตอนแรกเขาเหงาและน้อยใจพ่อแม่อยู่ไม่น้อย
ที่ไม่มาเยี่ยมตนบ่อยๆ แต่เมื่อเข้าปีที่3ที่เขาต้องอาศัยอยู่ในโรงพยาบาล
เขาก็ได้รู้จักกับนางพยาบาลคนหนึ่ง และดิสซูเดอร์ก็หลงรักเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
เธอและดิสซูเดอร์สนิทกันได้อย่างง่ายดาย ทุกๆ
วันอีกฝ่ายจะเล่าเรื่องราวมากมายในเขาฟัง และดิสซูเดอร์ก็จะรับฟังอย่างสงบ ซึ่งช่วงเวลาของเขาและเธอนั้นคือช่วงประมาณบ่ายสามโมงจนถึงห้าโมง
และดิสซูเดอร์ก็เฝ้ารอช่วงเวลานั้นอย่างใจจดใจจ่อเสมอ
เขาหวังว่าช่วงเวลาของตนกับผู้หญิงที่เขา หลงรัก นั้นจะยาวนานไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดสิ้นสุด
ยิ่งเวลาผ่านไป เขายิ่งรู้สึกผูกผันกับเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
วันหนึ่งเขาได้บอกความรู้สึกของตนออกไป แต่พยาบาลคนนั้นก็ไม่ได้ให้คำตอบในทันที
เธอบอกว่าให้เขารอเธอในวันพรุ่งนี้ ห้ามไปไหน
ให้อยู่แต่เพียงในห้องพักห้องนี้เท่านั้น แล้วเธอจะมาให้คำตอบเขา
ซึ่งดิสซูเดอร์ก็ตอบรับอย่างกระตือรือร้น และเฝ้ารอวันรุ่งขึ้นด้วยความคาดหวังในคำตอบที่งดงามอย่างที่วาดฝันไว้
โดยไม่ได้สังเกตเห็นถึงดวงแสนเศร้าของหญิงสาวที่ตนหลงรักเลยแม้แต่น้อย
วันรุ่งขึ้นมาถึงแล้ว
ดิสซูเดอร์อยู่ไม่สุขและรู้สึกกระอักกระอ่วนในใจ เขารู้สึกไม่ดีอยู่ในอก
แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน
ตัวเขาในตอนนั้นเฝ้ารอเวลาที่นางพยาบาลคนนั้นจะมาหาด้วยความหวัง
แต่ว่า..แม้เวลาจะผ่านเลยไปไม่เหมือนดั่งทุกครั้ง หญิงสาวคนนั้นก็ยังไม่มา
ถึงอย่างนั้นดิสซูเดอร์ก็ไม่ได้ออกจากห้องเพื่อไปตามหาเธอเหมือนบางครั้งที่เขาทำตอนเธอมาสายจนเกินไป
ชายหนุ่มนั่งมองท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ
และเฝ้ารออีกฝ่ายไปจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน แต่..ผู้หญิงคนนั้นก็ยังไม่มา
นั่นทำให้ดิสซูเดอร์รู้สึกกังวลใจ และในช่วงเวลานั้นประตูก็เปิดออก..แต่คนที่เข้ามาไม่ใช่เขา
แต่เป็นเพื่อนของพยาบาลสาวคนนั้น เธอเดินเข้ามาหาเขาและเอาจดหมายให้ชายหนุ่มอ่าน
ดิสซูเดอร์รับมาเปิดดูอย่างไม่คิดอะไรมาก แต่เมื่ออ่านเนื้อหาในนั้น
หัวใจเขาก็เหมือนจะหยุดเต้นเอาดื้อๆ ชายหนุ่มไม่สนอะไรอีกต่อไป
เขาวิ่งออกไปตามหาเธอทันที
จนกระทั่งไปถึงส่วนบ้านพักพยาบาลที่ด้านหลังของโรงพยาบาล
ที่นั่น..เปลวเพลิงกำลังโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง
เขาจำไม่ได้ว่าเขาทำอะไรหลังจากนั้น
แต่พอรู้สึกตัวอีกทีเขาก็ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล หมอบอกว่าศีรษะเขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก
ถือว่าปฏิหราย์มากที่เขาฟื้นขึ้นมาได้ และไหล่ซ้ายของเขาก็โดนไฟคอกจนเป็นแผลเป็นน่าเกลียดน่ากลัว
ดิสซูเดอร์ไม่รู้เลยว่าตอนนั้นเขามีปฏิกริยาตอบสนองต่อคำพูดนั้นอย่างไร
ชายหนุ่มรู้เพียงแค่ตนเองโง่เง่าเสียเหลือเกินที่คาดหวัง และรอคอยหญิงสาวคนนั้นตามที่เธอบอก
ยิ่งเขาได้เห็น จดหมายลาตาย ของเธอที่วางไว้ข้างๆ ตัวราวกับกำลังจะเยาะเย้ยกัน
ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกเกลียดความโง่เง่าไร้ปัญญาของตัวเองมากขึ้น
บวกกับสมองที่กระทบกระเทือนอย่างหนักทำให้เขาเอาแต่เฝ้าถามว่าตนเองจะไปคาดหวังและเฝ้ารอไปทำไม
ทำแบบนั้นแล้วได้อะไร? สุดท้าย..ทุกอย่างที่เขาเฝ้ารอและคาดหวังมันก็สูญสลายไปอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?..หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หนีออกจากโรงพยาบาล
ออกเดินทางเร่ร่อนไปทั่วราวกับอยากจะลืมเรื่องราวทั้งหมดเสียให้สิ้น
อาวุธ
:: มีดสั้น
ชุดประจำตัว
:: #อธิบายไม่ถูกค่ะ---แนวๆ
นี้เลยนะคะ ไม่แน่ใจว่าได้ไหม////---
พลังหลัก/พลังรอง
:: พลังหลัก = Mental Invisibility / พลังรอง = พลังกลืนความหวัง
ประเภทของพลัง
:: ระยะกลาง
ชอบ
:: สัตว์น้ำ / สายน้ำ / ของกิน
ไม่ชอบ/เกลียด
:: ความหวัง / การรอคอย / ความเป็นนิรันดร (ในกรณีของท่านเขาคือ
การที่คิดเพ้อเจ้อกันไปว่าจะได้อยู่ด้วยกันไปตลอดนั่นเองค่ะ) / การถูกขัดจังหวะเวลากิน
/ ไฟ
กลัว/แพ้
:: กลัว – ไฟ
(ทั้งเกลียดทั้งกลัว----) #เวลาเห็นจะหน้าซีดเผือดและแสดงอาการกระวนกระวายอย่างชัดเจน
และหากเป็นไฟกองใหญ่แบบขำพวกไฟไหม้ก็อาจถึงขั้นเซได้
แต่อาการทีเด่นชัดสุดวิงเวียนศีรษะและอาเจียน
แพ้ – ควันไฟ #จะเกิดอาการจุกแน่นอยู่ในอก
และมีผื่นแดงขึ้นตามตัว หนักๆ เข้าเลือดจะไหลจากจมูกและปากของเขาได้ คาดว่าเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์ในอดีตของเขา
งานอดิเรก
:: นั่งร้องเพลง
/ มองเงาสะท้อนในน้ำ / กิน / เดินทางท่องเที่ยวเร่ร่อนไปทั่ว
เพิ่มเติม :: -เวลากินอาหารห้ามชวนดิสซูเดอร์คุยเด็ดขาด
ไม่เช่นนั้นอาจโดนเขาด่าและถีบใส่ได้----
-เพราะการกระทบกระเทือนที่สมองครั้งนั้น
จึงเป็นที่มาของปฏิกิริยาพิลึกพิลัน เดี๋ยวขำ เดี๋ยวร้องของเจ้าตัวนั่นเองค่ะ
และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการออกเสียงได้อย่างตะกุกตะกักในบางครั้งด้วยค่ะ
ความคิดเห็น