ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ↕ DIAMOND HEART ↕

    ลำดับตอนที่ #7 : [6] Behind Story :: ZhūYuèqín

    • อัปเดตล่าสุด 2 ต.ค. 61


    S U N S H I N E
    { my little son }



    [ BEHIND STORY ]
               
     " กระดาษสมุดที่เก่ากรุ ปลายขอบของมันเหลืองกรอบ
    ไร้กลิ่นหมึกหอม ไร้ซึ่งความสวยงามดั่งที่เคยเป็น
    เพียงตัวอักษรที่เลือนราง มิต่างอะไรจากความทรงจำที่อยู่ภายใน "
    _____________________________________

    [ ภาพฝัน และห้วงคะนึง. ]
               
               มันเหมือนกับเป็นฝันที่ยาวนาน
               ห้วงความคิดดังเอ่ยขึ้นแผ่วเบาเมื่อความมืดเริ่มถูกรุกรานด้วยเเสงสว่าง ร่างกายที่อ่อนเพลียและปวดร้าวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อขยับริมฝีปากเอื้อนเอ่ยเสียงครวญคราง น้ำเสียงแหบพร่าระโรยราดั่งคนเจ็บไข้มิปาน
               ดวงตาทั้งสองข้างยังคงพร่ามัว แสงแดดที่สาดทิ่มแทงเข้ามาในดวงตาสร้างความระคายเคือง หากร่างกายกลับนิ่งงัน นานนักเกินกว่านาทีจะขยับได้ กระทั่งเมื่อหยัดลุกนั่ง จึงรู้ว่าตัวเองนอนอยู่เตียงนอนในห้องๆ หนึ่ง
               ปลายนิ้ววางทาบลงบนขอบหน้าต่าง ทอดสายตามองออกไปด้านนอก
               สวนดอกเหมยงดงามสะท้อนภายในแก้วตาทั้งสองข้าง
               หากแต่โลงศพที่ตั้งตระหง่านกลางสวน กลับสะดุดสายตาจนไม่อาจละออกได้

               สถานที่แห่งนี้นั้นว่างเปล่า
               ไร้ผู้ใดอื่น ไม่มีกระทั่งแมลง สัตว์น้อย หรือเรไรสักตัว
               ปลายเท้าเล็กผอมย่างก้าวครูดเดินไปตามทางชานบ้านของเรือนไม้ขนาดกลาง เสาะแสวงหาบางสิ่งเพื่อกลบทับความรู้สึกกลวงโบ๋ที่เกาะกุมไปทั่วหัว
               ไม่เพียงแต่สถานที่ที่ว่างเปล่า เขาหมายถึง---ความทรงจำ.
               ใช่..กระทั่งความทรงจำ..ยังคงว่างเปล่า

               ร่างผอมทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าสวนแห่งหนึ่ง
               จดจ้องต้นเหมยงดงาม ผลิบานแย้มกลีบอวดโฉมสีชมพูหวานของดอกเหมยสะพรั่งเต็มกิ่งก้าน สายลมพัดโบกนำพากลีบใบให้หลุดลอยออกจากกิ่งก้านนั้น ส่งกลิ่นหอมหวานตลบอบอวลไปทั่ว
               เด็กชายยื่นมือออกไป รับเอากลีบดอกไม้มาถือไว้ จ้องมองมันด้วยสีหน้าเรียบสนิท หากแต่ใครจะรู้ ว่าห้วงความคิดของเขามันซับซ้อนทบทับกันไปมามากขนาดไหน
               เขาจำได้ว่าตัวเองเคยเห็นต้นไม้ต้นนี้อยู่บ่อย ๆ
               แต่เขาจำไม่ได้เเล้วว่ามันเมื่อไหร่กันแน่?
               
               เด็กชายไม่เจอใครเลยในบ้านไม้หลังนั้น
               เขาเดินวนไปวนมา สำรวจเสาะส่องไปทั่ว ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม..เหมือนกับว่า โลกทั้งใบเหลือแค่เขาตัวคนเดียว เสียงของสายลมกรีดผ่าน เด็กชายไม่เคยรู้สึกแย่ได้มากเท่ากับตอนนั้น ตอนที่ระลึกว่าตัวเองไม่มีความทรงจำอะไรอยู่ในหัวเลย
               ในช่วงกลางดึก เขายังคงลากเท้าเดินต่อไป
               ภายในบ้านหลังใหญ่ มีแค่เสียงฝีเท้าของเขาที่กระทบกับชานไม้ที่ดังอยู่ในความมืด
               กระทั่งเสียงวูบไหวของสายลมยังเงียบสงัด เขาอยู่ตัวคนเดียวโดยสมบูรณ์

               เช้าวันต่อเขาเจอกับห้องๆ หนึ่ง
               อยู่ลึกลงไป เหมือนกับว่าเป็นห้องใต้บันได ในนั้นมีโต๊ะเล็กๆ ใบหนึ่ง กลิ่นหมึกตลบอบอวลภายในห้องกับสมุดจดบันทึกมากมายที่วองกองเกลื่อนกลาด
               สมุดบันทึกเล่มหนึ่งถูกหยิบออกมา เปิดออกดู ก่อนเด็กชายจะนิ่งงันไป
               เขาเห็นภาพตัวเองยิ้มแย้มอยู่ในนั้นกับใครคนหนึ่ง
               ใบหน้าคมสัน ดวงตาอ่อนโยน รอยยิ้มที่นุ่มนวลดั่งปุยนุ่น เขาจำไม่ได้..จำไม่ได้เลยว่าเจ้าของใบหน้าและรอยยิ้มนี้คือใคร ถึงยังไง หัวใจกลับเต้นกระหน่ำ บีบรั้งและปวดหนึบ
               ปลายนิ้วค่อยๆ กรีดเปิดหน้ากระดาษเปิดอ่าน พึมพำอ่านตัวอักษรที่ดูเป็นดั่งไดอารี่ของชายคนหนึ่ง


    [ 03.07.2004 ]
    "ผมได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไปอย่างไม่สามารถทวงคืนกลับมาได้อีก"
    _____________________________________
               ทัสซาร์ รูบี้ไม่ได้กลับบ้านมานานมากเเล้ว
               และในรอบหลายสิบปีนี้ เขากลับไปยังบ้านที่ตัวเองจากมาพร้อมกับความตกตะลึงคนในบ้าน

               "เด็กนั่น.." เขาจำได้ดีว่าเเม่ของเขาเอ่ยด้วยเสียงที่แผ่วเบาขนาดไหน
               ทัสซาร์ก้มมองเจ้าตัวน้อยในอ้อมกอด ใบหน้าซื่อใส เหมือนกับใครอีกคนที่ไม่รู้ตอนนี้อยู่ที่ไหน..เส้นผมของเด็กน้อยยุ่งเหยิง เขาอมยิ้มบางกับภาพที่แสนน่ารัก หากแต่กลับทำให้รู้ปวดหัวใจอย่างน่าประหลาด
               "ลูก.." เสียงที่แหบแห้งพึมพำ สั่นเครือราวกับจะร้องไห้ "เขาเป็นลูกของผม"

               ไม่มีใครถามทัสซาร์เกี่ยวกับเรื่องของเด็กคนนั้น ไม่แม้กระทั่งจะคัดค้าน
               อาจเป็นเพราะ เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวที่พ่อและแม่รักเหลือเกิน..เป็นคนที่พวกท่านเว้าวอนเเทบตายให้กลับบ้าน เป็นคนที่ท่านทั้งสองเฝ้ารอมาตลอดว่าเขาจะกลับมาหา
               บางทีวันนั้นอาจจะมาไม่ถึง หากเจ้าตัวน้อยไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา
               "แอ้.."
               เสียงอ้อแอ้ดังออกมา มือเล็กน่ารัก กอบกุมปลายนิ้วของผู้เป็นย่าเอาไว้
               ลูกของเขาเป็นเด็กน่ารัก..ยิ้มสวย ดวงตาเป็นประกาย..หัวเราะสดใสเหมือนกับเเม่ของเจ้าตัวน้อย ใครคนนั้นที่อยู่ห่างไกลออกไปในที่ใดสักที่บนโลกนี้
               "ชื่อของเจ้าหนูล่ะ"
               ทัสซาร์กะพริบตาเบาๆ เขาก้มมองใบหน้าจิ้มลิ้มหลังจากได้ยินผู้เป็นพ่อเอ่ยถาม
               "..เยว่ฉิน.."
               ภาษาที่ออกเสียงยากเย็น ชื่อที่ฟังดูไพเราะรื่นหูหากไม่คุ้นเคย
               "เขาชื่อจูเยว่ฉิน"
               ชื่อที่แม่ของเด็กน้อยมอบให้ไว้เพื่อเป็นของขวัญชิ้นแรกและชิ้นสุดท้ายเมื่อเด็กชายลืมตาตื่นขึ้นดูโลก..


    [ 18.12.2008 ]
    "บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนว่าโลกของผมไม่มีความสุขเลย"
    _____________________________________
               "พ่อฮะ"
               วันหนึ่งผมได้ยินเสียงเล็กๆ เอ่ยเจื้อยเเจ้วขึ้นมาในขณะที่เขานั่งเหม่อลอยอยู่คนเดียว
               เด็กชายวัยเพียงสี่ขวบ หน้าตาจิ้มลิ้ม ย้ำเท้าเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับหอบกระดาษใบใหญ่เอาไว้ในอ้อมแขน รอยยิ้มของเด็กชายแย้มกว้างเห็นฟันน้ำนมที่ขึ้นมาบ้างแล้ว
               ทัสซาร์ดึงเด็กชายเข้ามากอด กดจูบลงบนกลุ่มผมหอมๆ นั่น "ว่าไงครับ?" เอ่ยถามออกไปเสียงแผ่วเบา
               "ผมวาดรูปมาด้วยล่ะ"
               "หืม? ไหน ขอพ่อดูหน่อยซิคนเก่ง"
               เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กชายก็กะตือรือร้น ดิ้นขลุกขลักออกจากอ้อมกอดของเขา ก่อนกางกระดาษใบโตออกเผยให้เห็นภาพวาดจากสีเทียนของเขา แวบแรก ทัสซาร์ยิ้มแย้มกับความเดียงสานั้น แต่เมื่อเขาได้เห็นภาพนั้นอย่างเต็มตา รอยยิ้มกลับมหลายเหือดไปหมด
               "นี่คือผม แล้วนี่ก็พ่อ" นิ้วเล็กชี้ลงไปที่ภาพที่เหมือนจะเป็นรูปคน คนหนึ่งสูงใหญ่ โอบกอดอีกคนไว้ในอ้อมกอด รอยยิ้มประดับกว้างบนใบหน้า ในขณะที่มือของชายหนุ่มกอบกุมไว้กับมือของใครอีกคน "ส่วนนี่ก็แม่"
               ทัสซาร์ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำสีหน้ายังไงอยู่
               "คุณย่าบอกว่าแม่อยู่ในที่ๆ ไกลมากก บางทีอาจจะอยู่บนโน้น"
               เสียงเล็กเอ่ยออกมาพลางยิ้มแย้มเเจ่มชัด เขาดูภูมิใจกับภาพที่เหมือนกับหญิงสาวสักคน ด้านหลังของเธอมีปีกอยู่คู่หนึ่ง แย้มรอยยิ้มบางๆ และกำลังจะจากเขาไป
               "แต่คุณย่าบอกว่าคุณแม่ไม่อยู่เเล้ว.."  
               เด็กชายเอ่ย เสียงของเขายังคงร่าเริง แต่ เมื่อเสียงสะอึกสะอื้นแผ่วเบาดังขึ้น ถ้อยคำทั้งหมดกลับกลืนหายไปในลำคอ ดวงตาใสแจ๋วเบิกกว้างมองตรงมา 
               "คุณพ่อ?"
               ทัสซาร์จำไม่ได้ว่าตอนนั้นเด็กชายทำหน้าแบบไหนอยู่
               เพราะเขาเอาก้มหน้าซบลงกับฝ่า มันสั่นสะท้านไปทั้งร่างยามที่เขาพยายามกดกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเอง

               เขาไม่สามารถตอบเสียงเอ่ยถามห่วงใยของบุตรชายได้
               ไม่สามารถเเม้กระทั่งจะเฝ้ามองใบหน้านั้น

               เพราะเพียงได้สบมองดวงตาที่งดงามเหมือนกับเเม่ของเขา ทัสซาร์ก็รู้สึกเหมือนกับว่าโลกของเขาพังทลายลงจนหมด..

               "ผมคิดถึงคุณ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ผมก็ยังคิดถึงคุณ"
               ข้อความเขียนเอาไว้ตรงปลายกระดาษ
               ตัวอักษรของมันเลือนราง เปื้อนออกและซึมลงบนเนื้อกระดาษ
               ราวกับว่ายามที่เจ้าของสมุดนี้ขีดเขียนข้อความ หยดน้ำตาได้ซึมหายไปใต้ผืนกระดาษนั้น..


    [ 07.05.2011 ]
    "เพราะผมเกลียดชังทุกอย่างเกินกว่าจะเอาชนะมันได้"
    _____________________________________
               สิ่งที่ทำให้ทัสซาร์เกลียดตัวเองที่สุดนั่นคือความรู้สึกของเขาตอนที่มองไปที่ลูก
               เพราะมันไม่มีอะไรนอกจากความรู้สึกเจ็บปวดที่ได้มองภาพเหมือนของเธอคนนั้น
               
               ไม่ว่าเมื่อไหร่..ไม่ว่านานแค่ไหน..ทุกครั้งที่ทัสซาร์มองไปยังเด็กชาย สิ่งที่เขาเห็นกลับมีเพียงภาพสะท้อนของหญิงสาวอีกคนหนึ่ง มีเพียงแค่ภาพของเธอเท่านั้นที่แจ่มชัดอยู่ในหัวสมอง
               ทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์
               ทุกอย่างเหมือนกับเธอ..แต่ก็ไม่ใช่

               ตอนที่เขามองไปยังเด็กชาย ทัสซาร์มักคิดอยู่เสมอว่าทำไม?
               ทำไมถึงเป็นเด็กคนนี้? ทำไมถึงเป็นเธอไม่ได้ที่อยู่ข้างเขา?
               ทำไมเขาถึงจะต้องเสียเธอไปเพื่อรักษาชีวิตน้อยๆ นี้..?

               "เด็กคนนี้เป็นลูกของลูกนะ"
               แม่ของเขาบอกแบบนั้น
               แต่ทัสซาร์ไม่เคยมองจูเยว่ฉินเป็นบุตรชายของตัวเองเลยสักครั้งเดียว

               "พ่อรักผมรึเปล่าครับ?"
               วันหนึ่งเด็กชายเอ่ยถาม ดวงตาใสซื่อจ้องมองมาที่เขา
               ทัสซาร์ทำได้เพียงแค่ยิ้มตอบกลับไปโดยไม่สามารถตอบสิ่งใด

               ความรักของเขาไม่เคยมีให้กับเด็กชายตัวน้อย
               เขาไม่เคยปรารถนาให้เด็กคนนี้เกิดมา..ไม่เคย..แม้กระทั่งตอนที่แม่ของเด็กชายบอกว่ากำลังตั้งครรภ์
               และเขาเหนื่อยเหลือเกินที่ต้องเสแสร้งยิ้มอยู่ทุกวันแบบนี้..

               วันหนึ่งทัสซาร์ได้ยินเสียงกรีดร้องของมารดา
               ดวงตาของเขาหลุบต่ำ เฝ้ามองร่างเล็กของบุตรชายที่เฝ้าดูแลมาหลายต่อหลายปี
               ร่างของจูเยว่ฉินห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ..ร่วงหล่น..และตกกระแทก
               พลั่ก!!
               หยดเลือดสีแดงอาบย้อมร่างเล็กนั้นจนไม่เหลือสีสันอื่นใดอีก เมื่อเขาถูกพ่อแท้ๆ โยนลงมาจากชั้นสองของบ้านที่เคยรักแสนรักในที่แห่งนั้น..



               ตึ๋ง..
               เสียงของหยดน้ำสีใสไหลเกลือกกลิ้งกระทบลงบนหน้ากระดาษ มันดังขึ้นแผ่วเบา ก่อนจะซัดเอาคราบน้ำหมึกให้ซึมหายไปพร้อมหยดน้ำสีใส เปรอะเปรื้อนหน้ากระดาษจนดูไม่ได้ ลบล้างตัวอักษรพวกนั้นไปทีละส่วน
               ดวงตาสีรวงข้าวคลอหน่วงไปด้วยน้ำตา มันมองลอดผ่านม่านน้ำตาไปยังกระจกบานโตที่แขวนเอาไว้ตรงหน้า จ้องมองภาพสะท้อนที่แม้จะพร่าเบลอ แต่กลับไม่แตกต่างอะไรจากเด็กชายในรูปภาพนั้นเลย
               มือเล็กผลิกรูปกระดาษดู จ้องมองตัวอักษรที่เขียนเอาไว้สั้นๆ ว่า 'จูเยว่ฉิน 8ขวบ'
               ร่างของเขาสโลสเล หยัดตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เดินออกมาจากห้องใต้บันได้นั้นพร้อมกับสมุดบันทึกเล่มหนาเก่ากรุ กอดมันเอาไว้ตลอดทาง ก่อนจะเดินไปยังสถานที่ที่เขาเห็นมันจากหน้าต่างห้องนอน
               สวนดอกเหมยในวันนี้ยังงดงามเหมือนกับวันก่อน
               หากแต่ดอกไม้ในโลงศพกลับแห้งกรอบ บิดปลิวว่อนไปกับสายลม

               เด็กชายไล้ฝ่ามือกับโลงศพที่ดูใหญ่กว่าร่างกายของเขา ผลักมันออก ก่อนจะเริ่มขุดหน้าดินด้านล่างนั้น
               ฝ่ามือของเขาเเดงเถือก ถึงอย่างนั้นจูเยว่ฉินกลับไม่ยอมหยุด
               กระทั่งสัมผัสได้ถึงความเย็นและเเข็ง เขาจึงหยุด เด็กชายนิ่งงัน เฝ้ามองกะโหลกศีรษะที่ผุพังไปตามกาลเวลา
               สมุดบันทึกบนตักตกกระแทกลงกับพื้น หน้ากระดาษถูกพัดเปิดด้วยสายลมกรรโชก เผยให้เห็นลายมือที่แตกต่างไปจากเดิมซึ่งเขียนเอาไว้อย่างสั้น ๆ

               "หากฉันไม่พบสมุดบันทึกเล่มนี้ ฉันคงไม่รู้ว่าลูกชายของฉันเจ็บปวดมากแค่ไหน"
               หยดหมึกยังคงเลือนราง ซึมไปด้วยคราบของน้ำตา
               "แม้กระทั่งวันที่เขาฆ่าตัวตาย ฉันก็ยังคงไม่รู้อะไรเลยอยู่ดี"

               ที่อยู่ตรงหน้านี้คือพ่อของเขา
               กะโหลกที่ไร้วิญญาณ เบ้าตากลวงโบ๋ ไร้ซึ่งรอยยิ้ม เย็นเฉียบ ผุและพังลง..ไม่เหลือไออุ่นอะไรอีกแล้วให้โอบกอดแล้วเฝ้านึกได้ว่าครั้งหนึ่งมันเป็นเช่นไร
               จูเยว่ฉินจำไม่ได้แล้วว่าพ่อของเขาหน้าตาเป็นยังไง
               เขาจำไม่ได้กระทั่งเสียงของท่านที่เอ่ยเรียกชื่อตัวเอง
               สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็มีแค่ความเกลียดชังที่อัดแน่นอยู่ภายในสมุดบันทึกเล่มนั้น หัวกะโหลกที่ไร้ความอบอุ่น และความเจ็บปวดราวกับถูกทิ่มแทงด้วยเข็มนับหมื่นพันที่ทิ่มแทงลงมาในจิตวิญญาณของเขา..

    [Code -  02 / 10 / 2018]


    T
    B
     
    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×