ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Prison moon

    ลำดับตอนที่ #45 : monotony

    • อัปเดตล่าสุด 11 มี.ค. 63



    ll everything in my life, just like a monotony. ll

    ____________________________________________________

    APPLICATION



    "..แค่คิดว่าถ้าตอนกลางคืนยาวนานกว่านี้อีกสักหน่อยก็คงดี"

    บท:: { 1 } Hans.

    ชื่อ:: อาร์มันโด้ เทรย์เวอร์ เซน l Armando Trevor Zane

    ความหมายชื่อ:: อาร์มันโด้ - นักรบ l เทรย์เวอร์ - ฉลาด มีความรู้ l เซน - ของขวัญจากพระเจ้า l อาร์มันโด้ เทรย์เวอร์ เซน - { ของขวัญที่พระเจ้าทรงประทานแก่นักรบผู้นั้น คือปัญญาและความหลักแหลม }

    ชื่อเล่น:: 
              เทรย์ l Tre [ ทุกคนมักเรียกเขาด้วยชื่อนี้เป็นหลัก ]
              เทรย์เวอร์ l Trevor [ เหมือนกับชื่อแรก แค่บางคนอยากเรียกเขาด้วยชื่อนี้เฉย ๆ ]
              *ไม่ค่อยมีคนเรียกเขาว่า อาร์มันโด้ สักเท่าไหร่ รวมถึงครอบครัวของเขาด้วย สาเหตุนั้นก็คงเพราะว่าเจ้าตัวเองชินกับชื่อ เทรย์เวอร์ ไปแล้วซะมากกว่า นั่นทำให้เทรย์มักแนะนำตัวด้วยชื่อ เทรย์เวอร์ จนกลายเป็นทำให้ทุกคนเรียกเขาด้วยชื่อนี้ตามไปด้วยกันซะหมด*

    ชั้นปี:: 1

    อายุ:: 15 ปี

    ฝั่ง:: ครีเอ (ผู้สร้าง)

    ระดับพลังเวทย์:: สูง

    ส่วนสูง/น้ำหนัก:: 171ซม. l 59กก.

    รูปร่างลักษณะ:: 
              อาร์มันโด้ เทรย์เวอร์ เซน กับส่วนสูงและรูปร่างที่ค่อนข้างจะน้อยเกินไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับหนุ่ม ๆ รุ่นเดียวกันที่เริ่มจะโตกันเสียแล้ว เขาตัวไม่สูงเอาซะเลยถ้าวัดจากชาติพันธุ์แล้ว แต่ว่าก็ไม่ใช่คนผอมแห้งอะไรเหมือนอย่างที่ภาพลักษณ์ภายนอกดูหลอกตาให้เป็นเช่นนั้น เทรย์เป็นคนที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงกว่าที่ใครคิด อาจจะไม่ได้เห็นชัดเจนอย่างพวกนักกีฬาอะไร แต่ถ้าถอดเสื้อออก ก็จะเห็นได้ว่าเขาไม่ได้ผอมหรือนุ่มย้วยไปหมดแต่อย่างใด ทั้งนี้เขามีผิวพรรณที่ค่อนข้างสว่างตามกรรมพันธุ์ทางพ่อและแม่ของเขา ใบหน้าของเขาที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์เท่าไหร่ดูครุ่นคิดบางอย่างผ่านแววตาอยู่แทบตลอดเวลา ดวงตาสีเขียวหม่นมีช่วงหางตาที่ตกลงไปสักหน่อย สื่อถึงบุคลิกนิ่งสงบ เข้ากันได้ดีกับเส้นผมสีดำขลับนุ่มเหมือนกับขนแมวนั่น แต่ก็เป็นองค์ประกอบที่บอกได้เลยว่าธรรมดามาก ถ้าไม่ตั้งใจจะมองหาตั้งแต่แรกดี ๆ ก็คงจะมองผ่านเขาไปเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าตัวพยายามไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจแล้ว ยิ่งมองไม่เห็นหนักเข้าไปใหญ่
              เสื้อผ้าที่สวมมักเน้นเสื้อยืดไม่ก็เสื้อสเวตเตอร์หรือเสื้อแขนยาวตัวใหญ่ ๆ กับกางเกงขายาวเป็นหลัก (กางเกงผ้า, ยีนส์, วอร์ม) เรื่องสีสันเขาไม่ได้สนใจมากนัก แล้วก็ไม่ได้แต่งตัวโดดเด่นเท่าไหร่แต่ก็ไม่ใช่พวกปล่อยเนื้อปล่อยตัว เขาค่อนข้างดูแลตัวเอง ทั้งการทาครีมผิว หรือการหวีผมให้เรียบร้อย พวกเสื้อผ้าก็มักเลือกอันที่มันไม่เด่นแต่ว่าเข้ากันได้ดี ให้มันไม่ดูเหมือนลุคเด็กมหาลัยช่วงสอบที่คว้าอะไรได้ก็ใส่ประมาณนั้น ปกติแล้วเขาสวมรองเท้าผ้าใบเป็นหลักเพื่อให้สะดวกต่อการวิ่ง เทรย์แบกกระเป๋าเป้ติดหลังเอาไว้หนึ่งใบ ข้างในนั้นประกอบไปด้วยหนังสือเล่มสองเล่ม สมุดโน๊ตจดบันทึก ปากกาหลากสี กุญแจต่าง ๆ นานา โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเงิน กล่องแว่นตา และผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืน
              { Ex. - x, x, x, x, x, x, x }

    อุปนิสัย::

    S I M P L E
              หากถามถึงเด็กหนุ่มที่ชื่อ อาร์มันโด้ เทรย์เวอร์ เซน ซึ่งแรกที่ผู้คนจะแสดงออก นั่นคือการนิ่งคิดไปสักพักเพื่อทบทวนว่านั่นคือชื่อของใคร ก่อนจะได้ข้อสรุปในเวลาต่อมาว่า ธรรมดาเสียจนบางครั้งก็เผลอลืมไปซะสนิท ตัวตนของเทรย์เหมือนกับสายลมบาง ๆ ที่เดี๋ยวพัดมาเดี๋ยวก็พัดไป หากให้ไปยืนกองรวมกับคนมากมายเป็นร้อย มันก็ยากที่จะมองเห็นเขา เพราะเด็กหนุ่มคนนี้ใช้ชีวิตเฉกเช่นคนสามัญธรรมดา ที่ไม่เคยคาดหวังให้ตัวเองโดดเด่นขึ้นมาจากกลุ่มฝูงชน หรือถ้ามันสามารถเป็นไปได้ เขาก็อยากจะเป็นแค่ ตัวประกอบ C ในสายตาของชาวบ้านต่อไปเรื่อย ๆ เช่นกัน
              เทรย์เป็นมนุษย์ที่ไม่เข้าพวกกับความหวือหวาฉูดฉาด เขารักจะอยู่อย่างสงบ ใช้ชีวิตในโลกของเขา ทำกิจวัตรเดิม ๆ ต่อไปแม้ว่าจะเป็น Routine ที่ซ้ำซากและจำเจ เขามีความอดทนต่อความเบื่อหน่ายสูง เพราะอันที่จริงแล้วก็ออกจะเป็นคนที่เบื่อทุกอย่างบนโลกอยู่แต่แรกแล้ว จะเก็บความรู้สึกหรืออารมณ์ต่าง ๆ ไว้ด้านใต้เสมอ ชอบแสดงสีหน้าที่ดูครุ่นคิดอะไรก็ไม่รู้อยู่ในหัว หรือบางทีก็ดูเหนื่อยหน่าย  ดูไม่ค่อยมีอารมณ์อะไรมากนัก แต่จริง ๆ แล้วในหัวก็รู้สึกรำคาญ สนุก หงุดหงิด เศร้า หรือเก้อเขินได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเขาไม่ชอบแสดงออกก็เท่านั้นเอง ดังนั้นคนเลยดูไม่รู้เท่าไหร่น่ะสิว่าเขารู้สึกอย่างไรอยู่ในตอนนั้น
              แต่ถึงเทรย์จะพยายามแสดงออกเฉกเช่นคนธรรมดาคนหนึ่งอย่างไร มันก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าความจริงแล้วเนื้อแท้ของเขามีอะไรที่น่าสนใจอยู่อีกมาก ก็เพียงแต่การตกเป็นจุดสนใจนั้นทำให้เกิดความอึดอัดและลำบากใจ เทรย์จึงตัดปัญหาด้วยการไม่เสนอตัวหรือออกรับถ้ามันไม่ได้จำเป็น เขามักเดินหนีกลุ่มฝูงชน และส่ายหน้าการเข้าร่วมกิจกรรมสันทนาการ หรืองานเลี้ยงรื่นเริงที่ต้องพบปะกับผู้คน ไม่ใช่ว่าไร้มนุษย์สัมพันธ์หรอก อันที่จริงก็พอมีเพื่อนและสามารถคุยกับชาวบ้านชาวช่องเขาได้เหมือนกัน แค่ว่าหลัง ๆ มานี้ชักจะเหนื่อยกับการพูดอะไรที่ยาวเหยียดจนเกินไปแล้วน่ะสิ..

    A N N O Y E D
              สำหรับเทรย์ ไม่ใช่คนที่ช่างพูดเลย ค่อนข้างจะติดไปทางขี้เกียจพูดด้วยซ้ำ เอเนอร์จี้ในตัวน้อยมากในการจะแอคทีฟทำอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่หนึ่งในกิจวัตรประจำวัน เขาเลยเลือกที่จะไม่พูดและเน้นไปที่การลงมือทำมากกว่า แต่บางทีก็ทำอย่างเดียวจนคนเขางง สื่อสารกับชาวบ้านไม่รู้เรื่องไปบ้างก็มี เทรย์ติดนิสัยคุยกับคนด้วยท่าทาง ถ้าเป็นไปได้เขาจะไม่ขยับปากพูดมากนัก อาจจะส่งเสียง อือ อืม เค อะไรพวกนี้บ่อย ๆ แต่ถ้าถามว่าอยากได้อันไหน ก็จะชี้นิ้วเลือก หรือถ้าถามว่าอยากได้รึเปล่า ก็จะส่ายหัวไม่ก็พยักหน้าตกลงเอาแทน ไม่ถนัดเรื่องของการอธิบาย แต่ถ้าให้เขียนหรือวาดภาพให้ดู อันนี้น่าจะง่ายกว่าล่ะนะ
              โดยปกติแล้วเทรย์ค่อนข้างที่จะไม่หืออืออยู่พอสมควร แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสปีชี่ส์มนุษย์ เขาจะขี้รำคาญเพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัวเลยทีเดียว จะเห็นได้ว่าเขาพยายามใช้ชีวิตของเขาโดยไม่ไปข้องแวะกับใครมากเกินความจำเป็น นั่นเพราะเขามันขี้รำคาญน่ะสิ เทรย์ไม่สามารถใช้ชีวิตกับคนที่พูดมากจนเกินความจำเป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ชอบพูดจาเซ้าซี้ซักถามเรื่องส่วนตัวของเขา อย่างหลังนี่นอกจากจะรำคาญแล้วยังอาจพาลไม่ชอบหน้าไปด้วยได้เลยนะ
              ส่วนมากเวลาเจอของที่ทำให้รำคาญ เทรย์มักเลือกวิ่งหนีซะมากกว่า การถกเถียงไม่ใช่ตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะอย่างที่บอกว่าเขาขี้เกียจพูด อีกอย่าง เทรย์ไม่อยากเสียเวลากับเรื่องที่ไม่ชอบด้วย ถ้าไม่สนใจ เขาก็คิดว่าเมิน ๆ ไปแล้วไม่ต้องยุ่งด้วยยังจะดีซะกว่า แถมถ้าจะให้มานั่งใส่ใจทุกเรื่องบนโลกนี่ก็เป็นไปไม่ได้หรอก ปวดหัวจะตายชักแบบนั้น ดังนั้นถ้าอันไหนไม่สำคัญเขาก็จะตัดมันออกจากสมองซะ บวกกับมีปัญหาเกี่ยวกับศีรษะนิดหน่อย ก็เลยติดนิสัยขี้หลงขี้ลืมไปบ้าง เขาถึงต้องจดทุกอย่างลงสมุดบันทึกไว้เผื่อเผลอลืมไปอย่างไรล่ะ

    C U R I O U S
              ความอยากรู้อยากเห็นที่มีอยู่ในตัวมากกว่าที่คิด เพราะเป็นเด็กช่างสังเกต ก็เลยมักมองเห็นอะไรที่ไม่คุ้นตาหรือบางสิ่งที่ไม่เข้าใจอยู่บ่อย ๆ เขามักตั้งคำถามกับตัวเองในใจ ว่าทำไมเรื่องนี้ถึงแบบนั้น ทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้นมาได้ แล้วถ้าสมมติว่าเราลองทำอีกแบบ มันจะส่งผลกระทบอะไรรึเปล่า? เทรย์มีความสนใจในสิ่งที่เรียกว่า Butterfly Effect แต่ก็เป็นความสนใจคร่าว ๆ ที่ไม่ได้ลงลึกอะไรมากนัก เขาเพียงแต่อยากรู้ว่าการกระทำของมนุษย์มันสามารถสร้างผลกระทบได้มากน้อยแค่ไหนก็เท่านั้นเอง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาสงสัย สมุดจดของเขามักมีเรื่องพวกนั้นขีดเขียนอยู่ กล่าวว่าแม้เทรย์จะไม่พูดออกมา เขาก็จะบันทึกมันเอาไว้ นั่นเท่ากับว่าถ้าอยากรู้ว่าช่วงนั้นเทรย์กำลังกังวลเกี่ยวเรื่องอะไร ก็ลองไปเปิดสมุดเขาอ่านดูสิ แต่ว่าถ้าถูกจับได้ขึ้นมา..อันนี้ก็คงต้องตัวใครตัวมันล่ะนะ
              อีกด้านหนึ่งที่คนไม่ค่อยรู้ นั่นคือคนที่ดูทื่อ ๆ เป็นสีโมโนโทนแบบเขา กลับเป็นคนที่มีจินตนาการกว้างไกลกว่าใคร ๆ มิหนำซ้ำยังเป็นจินตนาการที่วางเอาไว้บนกรอบของความเป็นจริงอีกด้วย มีวิสัยทัศน์ที่กว้างกว่าคนวัยเดียวกัน มักคิดไปถึงสิ่งที่หลุดของความธรรมดาแต่ก็เป็นไปได้ แต่ในความเป็นไปได้ของเขา ในบางครั้งก็อาจจะยากสักหน่อยกว่าจะสามารถออกมาเป็นรูปเป็นร่างเหมือนในหัวได้ เทรย์ไม่ค่อยเผยแพร่ไอเดียของตนเท่าไหร่ เพราะเขาก็รู้ว่าบางไอเดียมันยากเกินกว่าเด็กรุ่นเราจะทำได้ เขาจึงเหมือนกับนักวิทย์ที่คิดแต่ไม่ได้ลงมือประดิษฐ์ เก็บรวบรวมความคิดมากมายเอาไว้ แล้วรอตอนที่จะมีใครสักคนสังเกตเห็น มาเลือกดูแล้วนำความคิดของเขาไปต่อยอดต่อไป นั่นเท่ากับว่าเขาเป็น แปลน ที่ต้องการ ฟันเฟือง มาเชื่อมโยงเพื่อให้เกิดกระบวนการความสำเร็จนั่นเอง
              อีกเรื่องคือ ความเจ้าสงสัยของเทรย์ค่อนข้างจะบียอนด์เหนือกว่าที่ใครคาดเดาไปสักหน่อย บางทีเห็นเมฆครึ้มแต่ฝนไม่ตก ก็สงสัยขึ้นมาว่าทำไมมันถึงไม่ตก หรือไม่ก็ไปเห็นจุดแปลก ๆ ที่ไม่เข้าใจในหนังสือ ก็จะบ่นพึมพำขึ้นมาด้วยความสงสัยว่ามันไม่มีอะไรมาซัพพอร์ตเหตุผลได้อีกแล้วรึไงนะ เอาง่าย ๆ ก็คือสงสัยมันซะทุกอย่างบนโลกนั่นแหละ ดีแค่ไหนที่ไม่ใช่ไทป์เจ้าหนูจำไม ไม่งั้นคนเขาคงรำคาญตาย..อนึ่ง ถึงแม้เทรย์จะคิดเยอะคิดแยะ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าหรอกนะ ที่เห็นว่าขมวดคิ้วอยู่นั่นน่ะ ไม่ใช่เพราะหงุดหงิดหรือคิดไม่ตกหรอก แค่ว่าสายตาสั้นเลยต้องเพ่งมองก็แค่นั้นเองแหละน่า 

    B A D  M O O D
              คนทึมทื่อบางทีก็มีช่วงที่ไม่สบอารมณ์อยู่เหมือนกัน คราวนี้ไม่ใช่แค่รำคาญแล้ว แต่เป็นถึงขั้นหงุดหงิดเลยด้วย ซึ่งไม่ค่อยมีนักหรอกที่เขาจะถึงขนาดหงุดหงิดอะไรขึ้นมาได้ ต่อให้เคืองแค่ไหน อีกแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หายอยู่ดีนั่นแหละ เว้นก็แต่ว่าจะไปจี้จุดหรือบี้จุดประสาทเขาจนเทรย์เกิดทนไม่ไหวขึ้นมา นั่นแหละจะได้เห็นคนเขาปรี๊ดแตกสมใจแน่ หลายคนชอบบอกว่าเขามันเสียงเบา ตะโกนไม่เป็นเหรอ ซึ่งอันที่จริงเทรย์ก็แหกปากร้องโวยวายกับเขาเป็นเหมือนกันนะ แค่มันจะมาเฉพาะตอนที่เส้นความอดทนมันขาด แล้วเผลอหลุดร้องว๊ากออกไป โดยอาการแบบนี้จะเห็นได้บ่อย ๆ ในตอนที่ถูกตามตื๊อวอแวอย่างรุนแรง จนไม่เป็นอันทำงานทำการ ถ้าปฏิเสธก็แล้ว วิ่งหนีก็แล้ว ยังจะมาวอแวกันไม่เลิกก็นั่นแหละ ตบะแตกแน่นอน ร้อยเปอร์เซนต์
              สีหน้าแบบนั้น ที่พออึมครึ้มเหมือนเมฆฝน ก็ชวนให้รู้สึกน่ากลัวไม่น้อย ปกติก็มีสายตาที่ค่อนข้างแข็งอยู่แล้ว การที่เทรย์เกิดอารมณ์เสียขึ้นมา เลยทำให้คนรอบตัวเขารู้สึกพลอยกังวลไปด้วย เพราะเทรย์จะชอบแผ่ไอทะมึนออกมารอบ ๆ ตัว ขมวดคิ้วเเน่นจนยับไปหมด แล้วเคาะนิ้วเป็นจังหวะไปเรื่อย ๆ เหมือนกับว่าเป็นการช่วยสงบจิตสงบใจอย่างหนึ่ง ตามปกติแล้วภาพลักษณ์ของเทรย์จะเอนไปทางคนที่ถูกแกล้งซะมากกว่า แต่ตอนที่เขาโกรธมันก็น่ากลัวมากพอสมควรเลยทีเดียว น้ำเสียงที่เย็นจัดและไม่ไว้หน้ากันซะเลย หรือจะความใจร้ายที่พุ่งทะลุติดเพดานนั่นก็ดี..แถมกว่าจะหายโกรธได้ ก็ต้องรอให้ใจเย็นลงอีกนานเลยด้วย
              เทรย์ไม่ชอบคำว่าขอโทษเลย โดยเฉพาะคำขอโทษที่พูดออกมาแค่เพราะคิดว่ามันจะทำให้เขาหายโกรธ เขาคิดว่าถ้าไม่สำนึกผิด ก็ไม่ต้องคิดอยากจะกลับมาคืนดีกันหรอก เทรย์เป็นคนที่ใจแข็งมาก ไม่ใจอ่อนกับน้ำตาหรือท่าทีหงอยเศร้าของใคร ดังนั้นถ้าเกิดเขาเริ่มทำเเข็งกระด้างใส่ใคร นั่นก็เท่ากับว่าเขาจะเป็นแบบนั้นไปเรื่อย ๆ จนกว่าอีกฝ่ายจะสำนึกผิดนั่นแหละ ในทางตรงกันข้าม เวลาที่เขาไปทำผิดอะไร เทรย์จะใช้เวลากับตัวเองสักพัก ทบทวนการกระทำของตน หาข้อผิดพลาดนั้นเเล้วพยายามปรับปรุง เขาจะพูดคำขอโทษก็ต่อเมื่อตนรู้สึกผิด และถ้าหากว่าทำผิดพลาดไปจริง ๆ เขาก็ย่อมขอโทษคุณอยู่เเล้วล่ะ

    H O N E S T
              คำพูดคำจาที่ถ่ายทอดออกมาจากความรู้สึกนั้น ไม่มีสักเสี้ยวของคำโกหก เทรย์โกหกไม่เก่ง พอพยายามจะพูดโกหก หน้าตาก็จะเหยเก สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า อ่า โกหกล่ะสินะ อย่างเช่นการกลอกสายตาหลุกหลิกไปมา หรือการพูดด้วยระดับเสียงที่เบาลงกว่าเดิม เพราะเกรงว่าพูดโกหกไปแล้วจะส่งผลเสียอะไรได้ ถ้าโดนขอร้องให้ช่วยโกหกเพื่อปกปิด เทรย์จะมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะเขาทำมันไม่ได้เลย เว้นก็แต่ว่าต้องการจะให้เขาเงียบเพื่อปกปิด อันนี้ล่ะงานถนัดเลยล่ะ ดังนั้นถ้าให้เลือกเเล้ว เทรย์ขอเลือกที่จะไม่พูดดีกว่าโกหกล่ะนะ
              มนุษย์คนนี้ อีกนิดเดียวจากคำว่าซื่อสัตย์ก็จะกลายเป็นเถรตรงได้อยู่เเล้ว เทรย์ไม่ค่อยรู้จักวิธีการพูดเพื่อถนอมน้ำจิตน้ำใจคน หรือการพูดเชิงประนีประนอมสักเท่าไหร่ เขามีปัญหากับเรื่องวาทศิลป์ในการพูดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว บวกกับสายตาเฉียบแหลม เลยสังเกตเห็นข้อผิดพลาดกับพวกจุดบอดได้ง่าย ๆ พอมีคนมาถามความคิดเห็น ก็จะออกอาการประมาณว่า 'แน่ใจนะ?' สื่อผ่านแววตาออกมาตลอด เขาก็ไม่ได้เป็นพวกที่จะสับยับ ต้องเป๊ะ เป๊ะ เป๊ะอะไรหรอก แถมความคิดเห็นก็เป็นแนวมาตรฐานด้วย แค่ว่าสรรหาคำหวานไม่ค่อยเป็น เลยกลัวคนฟังฟังเเล้วหดหู่หรืออยากต่อยเขาขึ้นมาน่ะสิ..
              การปฏิบัติตามกฎเป็นสิ่งที่เทรย์ทำจนเคยตัว เขาไม่ชอบแปลกแยก และไม่ชอบมีปัญหา ดังนั้นถ้าสั่งให้เขายืน เขาก็จะยืน แม้ว่าบางทีจะไม่ได้อยากยืนอยู่แต่แรกก็เถอะ..ต่อให้คนเกือบทั้งหมดจะอยากเเหกกฎ เขาจะยังทำตามกฎอยู่ดี เพราะคิดว่าถึงจะไม่ได้ไหลไปตามกระแส แต่ถ้าทำให้ถูกต้อง เขาก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมล่ะ? แต่ว่าก็ไม่ใช่จะโอนเอนไม่ได้เลย บางครั้งเทรย์เองก็มีกฎที่อยากแหกเหมือนกัน ถ้าโดนคนสนิทไซโคสักหน่อย เดี๋ยวสักพักก็ยอมทำตามเองนั่นแหละ..แค่ว่าหายาก (ไม่) นิดหน่อยเท่านั้นเองที่เทรย์จะแหกกฎน่ะ

    T A K E  C A R E
              ถึงคะแนนวาทศิลป์จะติดลบ แต่ถ้าเรื่องการเอาใจใส่ดูแลน่ะ มีร้อยก็ต้องให้เขาสักล้านล่ะคน ๆ นี้ เทรย์ติดนิสัยชอบดูแลคน ถ้าเดิน ๆ อยู่ด้วยกันเเล้วฝนตก เขาก็จะเป็นคนที่หยิบร่มออกมากางให้ สามารถสละคลุมกันหนาวให้ได้เวลาที่เห็นคนอื่นหนาวจนตัวสั่น เนื่องจากว่าเขาค่อนข้างจะทนร้อนทนหนาวดีอยู่เเล้ว เลยไม่รู้สึกรู้สากับสภาพอากาศมากนัก เทรย์ไม่ใช่พวกไทป์เจ้าชายที่จะเสนอตัวปกป้องทุกคน แต่เขาจะเป็นมนุษย์จำพวกที่เดินออกไปเป็นอาสาสมัครกลุ่มน้อย เขาชอบแสดงออกแบบแอบ ๆ ว่ากำลังใส่ใจอยู่ อย่างถ้าบอกว่าปวดหัว เขาก็จะไปชงชามาให้ หรือหยิบยาแก้ปวดหัวให้ ไม่ก็ถ้าต้องทำอาหารให้ เขาก็จะเลือกทำของที่อีกฝ่ายชอบ แล้วก็จะค่อนข้างพิถีพิถันเอาเรื่องเลยด้วย
              จะรู้เรื่องที่ชอบและไม่ชอบของคนสนิท และพยายามเลี่ยงที่จะทำในเรื่องที่เขาไม่ชอบ รวมถึงหาของที่ชอบมาให้อีกฝ่าย เทรย์เลือกของขวัญเก่ง เพราะเขารู้ว่าคน ๆ นั้นอยากได้อะไรน่ะสิ การอยู่ใกล้กันทำให้เขาได้มีโอกาสสังเกตอีกฝ่าย เทรย์จึงรู้เรื่องของอีกฝ่ายอยู่มากมาย ถึงขนาดที่บางทีเจ้าของเรื่องก็ยังสงสัย ว่าทำไมเขาถึงรู้เยอะขนาดนั้น แต่มันก็ไม่ได้แม่นยำไปซะหมดหรอก เพราะเรื่องพวกนี้มาจากการสังเกตและคอยมองดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ใช่การให้มานั่งกรอกแบบสอบถามอะไร เทรย์เองก็ไม่ได้จะวิ่งโร่อวดว่าเขารู้เรื่องใครต่อใครดีแค่ไหนด้วย กับเรื่องที่ส่วนตัว..ก็ให้มันเป็นแค่เรื่องของเขากับคุณก็พอแล้ว
              นอกจากเทคแคร์คนอื่นแล้ว เทรย์ยังเทคแคร์ตัวเองเก่งด้วย นอกจากเรื่องที่ชอบอยู่ดึกดื่นจนมืดค่ำทำให้เกิดอาการง่วงเหงาหาวนอนไปบ้าง เขาก็ดูแลตัวเองอย่างดี กินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ทานของกินไร้จำพวกอาหารขยะหรือขนมกรุบกรอบ เทรย์ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป มีกิจกรรมกีฬาที่ชอบทำ รวมถึงการบำรุงผิวพรรณที่ดันไปติดนิสัยมาจากพี่สาวข้างบ้าน ทำให้ก่อนนอนก็มักมานั่งทาครีมด้วยหน้าทึม ๆ และพร้อมจะเมินใส่คนที่มาแซวเขาเรื่องนี้ได้ตลอดเวลาเลยด้วย เทรย์ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ว่าจะมีคนแซวว่าเขาทำตัวเหมือนผู้หญิงไหม เขาก็แค่อยากดูแลตัวเอง บวกกับก็ชอบที่หน้ามันผ่องเนียนอยู่เเล้ว ก็เลยทาครีมบำรุง แน่นอนว่าเรื่องการแต่งตัวก็ด้วย เขาจะแต่งให้มันออกมาดูพอดีไม่มากเกินไป อย่างน้อยก็เป็นในแบบที่เห็นแล้วพอดูเป็นผู้เป็นคนได้นั่นแหละ

    F A L L  F O R
              หลายคนนึกภาพไม่ออก ว่าเทรย์ในแบบที่ตกอยู่ในห้วงของความรักนั้นมันเป็นภาพแบบไหน พวกเขาชอบคิดกันไปเองว่า ความรักน่ะไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสำหรับเทรย์หรอก แต่ถ้าสนิทกันจริง ๆ ก็จะพอรู้ได้ว่าเทรย์เองก็เป็นวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีความสนใจเรื่องรักใคร่บ้างเป็นครั้งคราวเช่นกัน ชีวิตของเขามีช่วงเวลาที่รู้สึกเกิดไปเผลอชอบใครขึ้นมาได้เหมือนกันกับที่มีสเปคในแบบที่ชอบ และเพราะเขาดูเป็นพวกที่ไม่น่าจะไปตกหลุมรักใครได้เลย คนอื่นก็เลยไม่คิดเหมือนกันว่า ความจริงเเล้วเขามีรสนิยมในแบบของ โฮโมเซ็กชวล และเพราะเขาเองก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่หรือแปลกอะไร เทรย์เลยไม่คิดจะป่าวประกาศให้ใครรู้เกี่ยวกับเรื่องความชอบพอของตัวเอง เหมือนกับที่ว่าถ้ามีแฟ เขาก็คงไม่เอาไปบอกใครไปเรื่อหรอก
              เวลาที่เทรย์ตกหลุมรัก มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับตอนปกติสักเท่าไหร่หรอก ยังคงพูดน้อยและดูครุ่นคิดเรื่องต่าง ๆ อยู่เหมือนเคย จนคนที่ถูกชอบก็คงเดาไม่ถูกหรอกว่าตกลงเเล้วเขาชอบเรารึเปล่า? แต่ว่าอันที่จริงแล้ว ถ้ารู้สึกเทรย์สักหน่อย การสังเกตเรื่องพวกนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เพราะเขาเป็นคนที่เก้อเขินได้ง่าย การเข้าใกล้คนที่ชอบเลยไม่ใช่เรื่องถนัดของเขา เทรย์มักสร้างระยะห่างกับอีกฝ่ายเพื่อให้พื้นที่ตนเองได้พักหายใจ แต่ก็ยังมีท่าทีที่เหมือนพยายามจะเข้าไปคุยด้วยถ้าเป็นไปได้ เขาไม่เก่งเรื่องการเข้าหาคนเท่าไหร่ มันเลยดูเก้กังฝืดเคืองไปซะบ้าง ถึงขนาดที่ว่าเคยลนลานทำของตกตอนจะรับมาจากมืออีกฝ่ายด้วยซ้ำ
              โดยปกติแล้วเทรย์ไม่สนสักเท่าไหร่หากตัวเองจะโดนนินทา เขาชอบเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ตลอดแหละ แต่เทรย์ไม่ชอบให้ใครมาว่าร้ายหรือทำตัวไม่ดีใส่คนที่เขาชอบ ในที่นี้ยังรวมไปถึงเพื่อนสนิท ครอบครัว และคนสำคัญอื่น ๆ อีกด้วย การที่เขาจะแสดงออกว่าสนิทใจหรือชอบใครได้ ก็แสดงว่าเขาต้องมีความรู้สึกให้กับอีกฝ่ายมาก ๆ ดังนั้นการที่คนเหล่านั้นถูกพูดถึงและกระทำไปในทางไม่ดี มันถึงทำให้เขาไม่โอเคเสมอ แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะพุ่งเข้าไปหาเรื่องทันที เว้นแต่มันจะเเย่มากจนทนฟังไม่ได้ เขาจะถึงเดินไปบอกให้อีกฝ่ายขอโทษด้วยสีหน้าที่เห็นได้ชัดว่าโกรธอยู่ แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมจนกว่าฝ่ายนั้นจะขอโทษแน่ ๆ

    • F A D E  A W A Y
              สิ่งที่หวาดกลัวที่สุดสำหรับเทรย์ นั่นคือการลืมเลือนบางอย่าง เพราะสำคัญเขาในตอนนี้ สิ่งที่มีค่ามากที่สุดก็คือความทรงจำ การจะต้องลืมเลือนสิ่งสำคัญไปนั้นย่อมทำให้เขารู้สึกทรมานอยู่แล้ว อีกทั้งความรู้สึกโหวงวูบนึกไม่ออก ก็ยังเป็นอะไรที่แย่มากถึงขนาดที่ว่าถ้าเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากจะสัมผัสมันอีกครั้ง เทรย์ย้ำเตือนตนเองอยู่เสมอในทุกวันว่าเขาเป็นใคร เขาทบทวนเฝ้ามองการกระทำต่าง ๆ เรื่องราวที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะจดจำมันเอาไว้ ม่ว่าจะเป็นเรื่องที่แย่หรือดีก็ตาม เขาอยากให้ตัวเองจำมันเอาไว้ให้ดี หากเรื่องไหนมันแย่นักก็อยากจะให้มองเป็นบทเรียน เทรย์คิดว่าความเศร้าก็เป็นลูกแบบหนึ่งของบทเรียนในชีวิต ต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจ ปรับตัว และยอมรับมัน เพราะมนุษย์จะไม่สามารถหยุดอยู่กับที่ไปได้ตลอด แม้ว่าพวกเขาจะเจ็บปวดมาก ๆ ก็ตาม
              หลายคนที่เห็นเขาฟื้นตัวได้ไวจากความเศร้า ก็พาลนึกไปว่าเพราะเขาไร้อาวรณ์ แต่ไม่เลย ตัวเทรย์เองก็สามารถเสียใจมาก ๆ จนนึกอยากร้องไห้ได้เหมือนกัน แต่เพราะเขาไม่ยอมจมปลักอยู่กับมัน เขาถึงให้เวลาตัวเองพักฟื้นเพียงครู่แล้วกลับมายืนให้มั่นคงอีกครั้ง มันก็มีบางครั้งด้วยนั่นแหละที่เหมือนกับว่าเขาจะพยายามสู้จนฝืนเกินไป แต่เทรย์ก็รู้ขีดจำกัดของตัวเองดี..ต่อให้การจมกับความทุกข์จะเป็นเรื่องที่ไม่น่าพิสมัยสำหรับเขามากสักเท่าไหร่ เขาก็จะมีช่วงเวลาที่ปล่อยใจเลยตามเลย การร้องไห้มันก็ช่วยทำให้หายเศร้าได้เหมือนกันนี่เนอะ..แต่เวลาร้องแล้วโดนถามซ่อกแซ่กหรือมีสายตาห่วงใยกันเกินเรื่องมามองตามนี่ก็รู้สึกประดักประเดิดอยู่เหมือนกันนี่สิ เพราะงั้นขอหนีไปอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ก็เเล้วนะ..

    ลักษณะการพูด:: 
              ลักษณะน้ำเสียงที่ดูเป็นไปทางเดียวกันตลอดเวลา ทั้งเจ้าตัวยังชอบปิดปากเงียบมากกว่าเอ่ยปากพูด ไม่แปลกเลยถ้าเขาจะพยายามสื่อสารออกมาให้คนอื่นรับรู้ทางอ้อม ว่าเขาไม่ต้องการบทสนทนาที่ต่อความยาวสาวความยืดอะไรทั้งนั้น เสียงของเทรย์มันค่อนข้างเบา การตะโกนนั้นทำให้เสียพลังงาน เขาเลยดูจะเหนื่อยหน่ายตลอดถ้าต้องเพิ่มระดับเสียงหรือทวนคำพูดของตัวเองอีกครั้ง เว้นก็แต่ตอนโมโหจัด ๆ ที่จะเผลอว๊ากออกไปแล้วจบด้วยการหอบแฮ่ก ปกติแล้วจะเน้นพูดจาสั้น ๆ กระชับ ๆ เข้าใจง่าย ฟังครั้งเดียวจบซะมากกว่า แต่บางทีก็เผลอพล่ามยาวไปบ้างถ้าเป็นเรื่องที่กำลังสงสัยหรือสนใจอยู่ อย่างไรก็ตาม เทรย์ชอบสื่อสารผ่านสายตาและท่าทางมากกว่า เพราะงั้นมันก็เป็นไปได้ที่เขาจะปิดปากเงียบแล้วเลือกพยักหน้าหรือส่ายหัวอะไรแบบนั้นแทนการพูดแบบคนทั่วไปเขา
              ทั้งนี้ทั้งนั้น การแทนตัวของเขาจะเป็น ผม หรือ ฉัน ซะส่วนมาก อย่างแรกใช้กับช่วงสถานการณ์ที่มันต้องคำนึงถึงกาลเทศะเป็นหลัก หรือต้องเน้นสุภาพกับพวกวุฒิสูงวัยอะไรพวกนั้นเข้าไว้ ส่วนอย่างที่สองคือสรรพนามแทนตัวที่พูดอยู่ในชีวิตประจำวันกับคนทั่วไป เรียกแทนตัวคนอื่นด้วยคำจำพวก เธอ / นาย / คุณ แล้วแต่ตัวบุคคลนั้น ๆ ไม่ค่อยเรียกชื่อใครนักเพราะจำไม่ค่อยได้ ส่วนหางเสียงนั้นก็..หายากนิดหน่อย แต่ถ้านึกขึ้นมาได้ทีหลัง เดี๋ยวเขาก็คงเติมให้เอง..ล่ะมั้ง?

    }}ตัวอย่างประโยคบทสนทนา{{

    first situation
              สถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่, เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว ร้องบอกให้กับเด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวหม่นรับทราบ ว่าตอนนี้เขากำลังจะเผชิญเข้ากับสถานการณ์ที่ตนเองไม่ชอบที่สุดเเล้ว ร่างที่ดูผอมเมื่ออยู่ใต้เสื้อตัวใหญ่ยืนนิ่งอยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาหาเขา
              "โทษทีนะพวก แต่ว่าพวกฉันหลงทางน่ะ" ใครคนหนึ่งว่าพลางแขนพาดลงมาบนไหล่เขาและหัวเราะออกมา ในขณะที่เทรย์ตัวเกร็งขึ้นกว่าเดิมโขและกำลังขยับคิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปม "นายรู้ทางไปตึกเรียนหลักปะ? น่าจะปีหนึ่งเหมือนกันใช่ไหมล่ะ ขอฉันไปด้วยสิ"
              แต่แทนที่เขาจะตอบคนพวกนั้นกลับไป เทรย์กลับส่ายหน้าพรึ่บพรั่บอย่างต่อเนื่อง สร้างความงุนงงให้กับอีกคนไม่น้อย เขาเอียงคอ เอ่ยถามกลับมาว่า "ส่ายหน้านี่หมายถึงไม่รู้ทางหรือไม่ใช่ปีหนึ่งเหรอ" และสิ้นคำถาม เทรย์ก็ถอนหายใจเฮือกออกมาทันที
              เขาตัดสินใจล้วงมือเข้าไปหยิบของในกระเป๋าออกมา ขีดเขียนอะไรสักอย่างบนหน้ากระดาษอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานก็กระชากมันออกมายื่นให้กับเด็กหนุ่มคนนั้นที่เดินเข้ามาถามทางเขา อีกฝ่ายรับไปทั้งสีหน้ามึนงง พึมพำอ่านออกมาก็ได้รู้ว่ามันเป็นเส้นทางไปยังตึกเรียนหลักที่อีกฝ่ายกำลังตามหาอยู่ ขณะเดียวกัน เขาก็ได้ยินเสียงจากคนที่ตนเข้ามาถามทางพึมพำเอ่ยขึ้นมาว่า
              "อยู่ปีหนึ่งเหมือนกับนายนั่นแหละ" 
              แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้ว, กลับไม่พบเจ้าของเสียงนั้นยื่นอยู่ในบริเวณนี้แล้วซะอย่างนั้น..

    second situation
              เวลาที่เด็กนักเรียนมารวมกลุ่มทำรายงานกัน มันก็จะมีเรื่องให้ถกเถียงข้องใจกันอยู่เสมอนั่นแหละ ยกตัวอย่างเช่นหัวข้อหลักที่เราจะทำการวิจัยกันคราวนี้ นี่ก็ผ่านมาจะสองชั่วโมงอยู่แล้ว พวกเขายังเถียงกันไม่จบสักทีเลยว่าจะเอาเรื่องอะไรกันแน่
              "อะไรเนี่ย ขนาดโหวตเสียงยังเสมอเลยเรอะ" เด็กสาวคนหนึ่งโวยวายด้วยสีหน้าอัดอั้น ลมหายใจร้อนฮึดฮัดไปมา แต่แล้วก็ดันนึกขึ้นมาได้ ว่าสมาชิกกลุ่มนี้ถ้าตัดเธอกับเจ้าของไอเดียอีกคน มันควรจะลงล็อคที่เลขคี่สิ แล้วทำไมถึงได้เสมอกันได้ล่ะ
              "เทรย์เวอร์ยังไม่โหวตเลยนี่นา" เสียงของเพื่อนคนหนึ่งดังขึ้น ทำเอาร้องอ้อออกมาเลยทีเดียว
              ทุกสายตาหันไปมอง'เทรย์เวอร์'ที่ว่านั่น พบว่าเขากำลังขีดเขียนอะไรสักอย่างอยู่ในสมุด เด็กสาวถือวิสาสะชะโงกมอง ก่อนจะพบว่ามันคือสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง..ว่าแต่ชาวบ้านเขานั่งเถียงกันแทบตาย พ่อคุณแกมานั่งเขียนบันทึกเนี่ยนะ
              "เทรย์" ริมฝีปากขยับเอ่ยเรียก เห็นดวงตาสีเขียวหม่นเหลือบมามองเล็กน้อย "หยุดเขียนบันทึกแล้วบอกความคิดเห็นนายมาซิ จะเอายังไงดี"
              เทรย์จ้องหน้าเธออยู่แวบหนึ่ง ก่อนเขาจะหันกลับไปหยิบสมุดบันทึกมาพลิกหน้ากระดาษย้อนกลับไปสักหน้าสองหน้า จากนั้นจึงค่อยยื่นมาให้เธอและเพื่อน ๆ ดู พลันทุกคนถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อพบว่ามันเป็นหัวข้อในการทำวิจัยที่น่าสนใจที่ถูกลิสต์เนื้อหาไว้อย่างดี
              "ฉันโหวตอันนี้" หรือง่าย ๆ อีกทางก็คือโหวตความเห็นตัวอย่าง --- ซึ่งพวกเขาก็ไม่เถียงหรอกว่ามันดีกว่าที่เรานั่งถกกันมาสักพัก แต่ว่านะพ่อคุณ..
              ถ้ามีไอเดียเจ๋ง ๆ แบบนี้แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะ (โว้ย) !!

    third situation
              "นายไม่คิดอยากมีแฟนใหม่บ้างเหรอ"
              เสียงเอ่ยขึ้นดังขัดการเปิดหน้าหนังสืออ่านในช่วงวันหยุดแสนสบาย อีกทั้งยังเป็นคำถามจำพวกที่ทำให้คนฟังถึงกับร้อง 'ห๊ะ' ออกมา แล้วต้องพับหนังสือปิดเก็บไปอย่างรวดเร็ว เทรย์ยันตัวขึ้นมาจากโซฟาตัวยาว เขาหันไปมองหน้าพี่สาวไม่แท้อย่างมอร์ริแกนที่กำลังจ้องเขาอยู่ไม่ต่างกัน
              "อะไรทำให้ถามแบบนั้น"
              ดวงตาสีท้องฟ้าหรี่ลงเล็กน้อย "ไม่รู้สิ" มอร์ริแกนตอบซื่อ ๆ ยกถ้วยชาขึ้นจิบโดยไม่ยอมละสายตาไปไหน "แค่คิดว่านายน่าจะพอหาได้บ้าง"
              ความยุ่งยากใจปรากฏอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่ม เขาพอเข้าใจว่ามอร์ริแกนถามเพราะสงสัยจริง ๆ ว่าใจคอเขาจะไม่มีแฟนใหม่บ้างเลยเหรอ ทั้งที่เธอก็มีแฟนใหม่ไปแล้วถึงสามคนหลังจากที่เราเลิกกันในปีนั้น แต่ว่าก็ว่าเถอะ..คนแบบเขาเนี่ย ถ้าตอนนั้นไม่ใช่มอร์ริแกนเอ่ยปากขอก่อน มันจะไปหามาจากไหนได้ล่ะ
              "ฉันไม่สนหรอก" เด็กหนุ่มว่า ถอนหายใจออกมาเฮือก "แล้วก็ขี้เกียจเข้าหาด้วย"
              "เห..งั้นแปลว่ามีคนที่อยากเข้าหาอยู่เหรอ?"
              ฝ่ามือที่กำลังหยีเส้นผมด้วยความเหนื่อยหน่ายหยุดชะงักไป เทรย์นิ่งอยู่ราวครึ่งนาที เงยหน้าขึ้นไปสบตากับคนที่ระบายยิ้มบาง พลันเด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอีกเฮือก เสตาหลบไปอีกทาง แล้วรีบคว้าหนังสือลุกเดินหนีทันทีท่ามกลางเสียงหัวเราะกลั้วเบา ๆ จากเด็กสาวมากวัยกว่า

    fourth situation
              "ตรงนี้มันแปลก ๆ นะ"
              "เอ๊ะ?"
              เด็กหนุ่มที่กำลังเคลิ้มใกล้ล้มฟุ่บใส่หนังสือถึงกับสะดุ้งตื่น เมื่ออยู่ดี ๆ คนที่ไม่ชอบพูดที่สุดในโลกคนนั้นก็ดันโพล่งขึ้นมาดื้อ ๆ ซะได้ เขาลูบหน้าลูบตาตัวเองเพื่อเรียกสติอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงชะโงกหน้าไปดูหน้าหนังสือ ที่ปลายนิ้วเรียวกำลังชี้บอกให้เขาดูบางสิ่ง ซึ่งมันก็เป็นข้อความทางประวัติศาสตร์บางอย่าง ที่อ่านแล้วชวนกะพริบตาปริบ ๆ สักสามทีเท่านั้นเอง
              "ไม่คิดว่ามันดูไม่สมเหตุสมผลบ้างเหรอ" ไม่ทันทำความเข้าใจอะไร หนังสือก็ถูกดึงกลับไป เทรย์ยกมันขึ้นแล้วหรี่ตาจ้องตัวอักษรเหล่านั้น "หลักฐานมีไม่พอเอามาอ้างอิงยืนยันแท้ ๆ แต่กลับคิดกันไปก่อนเป็นตุเป็นตะเลย อย่างน้อยมันก็น่าจะมีอธิบายสมมติฐานอะไรไว้บ้างสิ"
              ประโยคจากริมฝีปากกระจับที่เรียกได้ว่ายาวที่สุดในรอบสัปดาห์ และมันน่าเสียดายมาก ๆ ที่เพื่อนคนนี้ไม่เข้าใจอะไรที่อีกฝ่ายพูดมาเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มหัวเราะ ฮ่าฮ่าฮ่า ออกมา แล้วตัดสินใจฟุ่บลงไปนอนต่อทันที ท่ามกลางเสียงบ่นงึมงำจากคนที่เหมือนจะหลุดเข้าไปในโลกส่วนตัวเรียบร้อยแล้วในตอนนี้
              ..อีหรอบนั้นก็คงอีกสักพักนั่นแหละกว่าจะกลับไปเป็นเหมือนทุกที..

    fifth situation
              บางครั้งชีวิตก็ต้องมีเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจกันเสียบ้าง แต่ก็เป็นบางครั้งที่เทรย์อดจะถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกไม่ได้เช่นกัน ว่าทำไมเขาถึงมาเจอะเจอกับเรื่องพรรค์นี้ด้วย เด็กหนุ่มวัยสิบห้ากำลังตกอยู่ในปัญหาหนัก ช่วงเอวหนักอึ้งเพราะถูกใครสักคนกอดรั้งเอาไว้ มิหนำซ้ำหูยังรู้สึกทรมานเพราะเสียงโวยวายนี่อีก
              "น่านะ เทรย์, ไปด้วยกันเถอะนะ นะ นะ นะ" เด็กหนุ่มเพื่อนร่วมคลาสงอแงไม่สมอายุยกใหญ่ ก่อนจะเริ่มคืบคลานจากเอวขึ้นมาเกาะคอ เกาะแขน เขย่าตัวเขาโยกไปหมด พลางส่งสายตาปริบ ๆ หวังว่ามันจะน่าสงสารขึ้นมาบ้าง
              แน่ล่ะว่าเทรย์ไม่สน เขาพยายามเมินเฉยอีกฝ่าย รั้งตัวเองด้วยแรงทั้งหมดอย่างสุดกำลังเพื่อให้หลุดพ้นจากมหันตภัย (?) ในตอนนี้ ทั้งสองยื้อหยุดฉุดกระชากกันอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งความอดทนของเด็กหนุ่มผมสีดำได้หมดลง จำแหกปากตะโกนออกไปเสียงดังว่า
              "ก็บอกว่าให้พอสักทีไงเล่า!!"
              พร้อมศีรษะที่หันไปโขกใส่อีกคนเต็มแรงจนถึงขนาดได้ยินเสียงโป๊ก!ดังลั่น และร่างนั้นก็ร่วงโครมลงไปแทบจะทันทีเลยด้วย
              ลมหายใจหอบหนักทั้งสีหน้ายับยู่เเละเหงื่อที่ผลุดขึ้นมาตรงข้างขมับ เทรย์จ้องมองภาพเพื่อนร่วมคลาสของตนอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามควบคุมความหงุดหงิดของตน เเล้วสาวเท้าเดินหนีไปอีกทางทันที

    ประวัติความเป็นมา:: 


    ชอบ:: 
              • หนังสือ [ เป็นสิ่งที่ช่วยแก้เบื่อได้ดี เขาชอบหนังสือในทุก ๆ หมวดหมู่ แต่ที่ชอบที่สุดคือเรื่องของจิตวิทยา และนวนิยายสืบสวน ]
              • อาหารจำพวกไข่ [ เป็นพวก Egg-con (?) ชอบไข่มาก จะเห็นได้ว่าในหนึ่งวัน เทรย์จะมีมื้ออาหารที่ทำจากไข่ร่วมด้วยอยู่เสมอ ]
              • คาราเมล [ เป็นรสหวานเบา ๆ ที่ละลายบนลิ้นเเล้วทำให้รู้สึกดี เขามีลูกอมคาราเมลติดตัวอยู่บ้างสองสามเม็ด ]
              • กาแฟ [ ถึงจะอายุแค่นี้ก็เถอะ แต่ดันชอบดื่มกาแฟพอสมควร มันทำให้เขาตาสว่างได้ดี ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ดื่มประจำหรอก ]
              • ฤดูใบไม้ผลิ [ กลิ่นหอมของดอกไม้ สายลมเบา ๆ ทำให้รู้สึกว่าหลับสบายขึ้นอีกเป็นกอง ]
              • Broken Turlips (x) [ ดอกไม้ฤดูหนาว ความทรงจำเล็กน้อยเกี่ยวกับมารดาที่ติดอยู่ในหัว เเละเขาก็ชื่นชอบสีสันของมันมาก ]
              • กลางคืน [ มันสงบและไร้สุ่มเสียง..เขาล่ะอยากให้กลางคืนยาวนานไปเรื่อย ๆ ไม่มีจบซะจริง ]
              • การไม่เป็นจุดสนใจ [ เพราะว่ามันไม่น่ารำคาญน่ะสิ..เขามักจะทำตัวกลมกลืนกับฉากหลังตลอดเลยล่ะ ]
              • สถานที่เงียบ ๆ [ มันสงบดี แล้วก็ไม่มีอะไรมารบกวนชวนให้เสียพลังงานด้วย ]

    ไม่ชอบ:: 
              • คนที่พูดมากจนเกินไป [ มันหมายความว่าเขาจะต้องเสียพลังงานในการพูดคุยด้วยเพิ่มขึ้นน่ะสิ..ถ้าเจอเทรย์ก็จะเดินหนีทันทีเลยล่ะ ]
              • เสียงดังจัด [ หูของเขาค่อนข้างดี และเสียงที่ดังเกินไปจะทำให้ปวดหูได้ง่าย มักแสดงสีหน้าหงิกงอ และยกมือปิดหูเมื่อเจอกับเสียงที่ดังเกินไป ]
              • อาหารเผ็ด [ แสบปาก..เคยกินไปครั้งหนึ่ง แล้วก็ไม่ยอมกินอีกเลย ]
              • โดนเเซวส่วนสูง [ เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่มาแต่เด็กแล้ว มันถึงได้น่าหงุดหงิดน่ะสิเวลาที่ต้องพูดเรื่องนี้ ]
              • การถูกฝูงชนรุมล้อม [ หายใจไม่ออกแล้วหนึ่ง อึดอัดอีกสอง น่ารำคาญอีกสาม ถ้าหนีได้เขาก็จะเผ่นแน่บเลยล่ะ ]
              • แครอท [ ผักสีส้มรสชาติห่วยแตก แค่เห็นอยู่ในจานก็ดันจานออกแล้ว ]

    เกลียด::
              • โดนถามเรื่องส่วนตัว [ เขาเป็นพวกที่อะไรที่เป็นส่วนตัวก็คือส่วนตัว ถ้าไม่ได้สนิทกันมาก ๆ ก็ไม่ชอบให้มาถามเรื่องส่วนตัวของตัวเองหรอก พอโดนเซ้าซี้ถามเข้าก็จะมีสายตาหงุดหงิดขึ้นมา ไม่ได้แสดงออกมากนัก นอกจากจะเดิน (หรือถึงขั้นวิ่ง---) หนีคนถามเข้าให้ ]
              • ฝน [ รู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่ฝนตก คงเพราะวันที่พ่อแม่เขาตาย ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักเช่นกัน ]

    กลัว:: 
              • ปลวก [ เรียกว่าทั้งกลัวและขยะเเขยงกันไปเสียครึ่ง ๆ น่าจะถูกกว่า..แต่ไม่ว่าจะอาการแบบไหน ถ้าหันไปเจอ เทรย์ก็พร้อมจะหน้าซีดเผือด แล้วเป็นลมสลบล้มตึงลงไปได้ทุกเมื่อนั่นแหละ เรียกได้ว่าช็อกจัดจนน้ำลายแทบฝูมปากเลยก็ว่าได้ ส่วนสาเหตุนั้น, เป็นเพราะว่าเคยไปค้นคลังหนังสือเก่าเเล้วเจอรังปลวกจู่โจมไต่มือเข้าฉับพลันน่ะสิ..สยองจัดถึงขั้นฝังหัวเลยเชียว ]
              • การลืมเลือน [ เพราะความรู้สึกของการลืมทุก ๆ อย่างไป เหลือไว้เเค่เศษเสี้ยวเล็กน้อยที่ไม่สามารถประติดประต่อได้นั้น เป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างมากสำหรับเขา และเทรย์ไม่ต้องการจะสัมผัสกับมันอีก ความทรงจำจึงเป็นสิ่งที่เขาพยายามรักษาไว้อย่างมาก โดยการบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เอาไว้นั่นเอง ]

    แพ้::
              • นมวัว [ บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่เขาตัวไม่สูงสักที..เทรย์แพ้นมวัว ถ้าเกิดเผลอดื่มนมวัวหรือกินอาหารที่มีส่วนผสมของนมวัวเข้าไป จะเกิดอาการท้องร่วงอย่างหนัก วิธีรักษาก็ง่าย ๆ ดื่มเกลือแร่แล้วนอนพักสักหน่อยก็พอ แต่มันก็ทรมานอยู่นะ ไอ้อาการท้องร่วงเนี่ย.. ]

    งานอดิเรก::
              • อ่านหนังสือ [ จะนิยาย วรรณกรรม สารคดี หรือหนังสือความรู้อะไรก็เถอะ..เขาอ่านได้หมดนั่นแหละ ว่าง ๆ ก็เดินไปค้นมาอ่านเรื่อย ๆ ยิ่งพวกตำราเวทย์ที่มีอยู่ในบ้านเขามาตั้งแต่รุ่นทวดเขาแล้วนั่นยิ่งแล้วใหญ่ เรียกได้ว่าอ่านบ่อยซ้ำ ๆ จนเเทบจะท่องปากเปล่าได้เลยล่ะ ]
              • ฝึกฟรีรันนิ่ง [ ความจริงแล้วอย่าเรียกว่าฝึกเลย..เรียกว่าวิ่งหนีชาวบ้านเขาน่าจะเข้าใจง่ายกว่าเยอะ.. ]
              • จดบันทึก [ สมัยก่อนที่เริ่มจดบันทึกเป็นเพราะเขากลัวว่าตนจะเผลอลืมอะไรไปอีก เลยจดมันเอาไว้ หลัง ๆ มาเริ่มสนุกกับการเขียนอะไรต่อมิอะไรลงบันทึก ทั้งเรื่องที่เจอ องค์ความรู้ใหม่ ๆ หรือความรู้สึกในวันนี้ ก็เลยกลายเป็นว่าเผลอหยิบสมุดขึ้นมาเขียนแทบทั้งวันไปแล้ว ]
              • วาดรูป [ เป็นพวกภาพวาดกระปุ๊กกระปิ๊ก ลายเส้นน่ารัก ไม่ได้หวือหวาอะไร ส่วนมากมักจะวาดใส่พวกสมุดโน๊ต หรือหนังสือเรียนเวลาที่เกิดว่างขึ้นมา บางทีก็ช็อตโน๊ตด้วยภาพวาดก็มี ]
              • ภาษา [ การอ่านอย่างหลากหลายทำให้เขาซึมซับการใช้ภาษามาได้อย่างมากมาย บวกกับเป็นคนที่เขียนอยู่ตลอด จึงทำให้เขามีสกิลภาษาด้านการเขียนที่ดีถึงดีมาก ทั้งในเรื่องการเขียนเชิงวิชาการ หรือกระทั่งการเขียนเรื่องสั้นสักเรื่องก็ตามแต่ ]

    ชมรมที่สังกัด:: ห้องสมุด

    ความสามารถพิเศษ:: 
              • Free - Running / Parkour [ เป็นกีฬาประเภทหนึ่งที่เน้นไปทางการเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อเคลื่อนย้ายจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่ ด้วยท่วงท่าที่สวยงามและคล่องแคล่วว่องไว ยกตัวอย่างเช่นการปืนป่ายกำแพง หรือการกระโดดจากที่สูงด้วยการตีลังกา เน้นไปที่ความรวดเร็วคล่องตัวเป็นหลัก เทรย์ได้รับการสั่งสอนในเทคนิคมาตั้งแต่สมัยเด็ก และแม้ว่าเขาจะความจำเสื่อม ก็ไม่ได้ลืมทักษะส่วนนี้ไปแต่อย่างใด เพราะเขามักใช้มันวิ่งหนีชาวบ้านเป็นประจำเลยน่ะสิ.. ]
              • วิ่งเร็วมาก [ อาจจะเพราะฝึกฟรีรันนิ่งตลอดเวลา บวกกับต้องไปเป็นคู่ฝึกซ้อมวิ่งให้กับมอร์ริแกนประจำนั่นล่ะนะ เผลอ ๆ เขาจะวิ่งไวกว่านักกีฬาอีกนั่น ]
              • จินตนาการ [ มีทักษะการจินตนาการที่ดีและสูงมาก สามารถคิดในเรื่องที่คนอื่นคิดไม่ออกออกมาได้ง่าย ๆ ด้วยกระบวนความคิดที่ล้ำกว่าคนอื่นสักหน่อย แต่ก็นั่นแหละ..คิดเสร็จก็เก็บเงียบไว้คนเดียว นาทีปีหนถึงจะกระตือรือร้นเดินไปบอกความคิดตัวเองกับชาวบ้านเขาได้ ถ้าอีกฝ่ายไม่ถามก่อนน่ะ ]
              • ทักษะการอ่าน [ เป็นพวกอ่านจับใจความเก่ง และอ่านหนังสือได้ไวมาก เพราะชอบไปหมกอยู่กับกองหนังสือด้วยล่ะนะ ]
              • Headbutt (?) [ เทรย์มีศีรษะที่เเข็งและทนกว่าชาวบ้าน เวลาเขาโขกหัวใส่ใคร ก็มักทำคน ๆ นั้นดาวขึ้นวิ้งวั้บขึ้นมาได้ทุกที ถือเป็นท่าไม้ตายสุดท้ายของเขาเลยก็ว่าได้ล่ะนะ ]

    อาวุธ:: -

    เพิ่มเติม:: 
    - ช่วงหลังจากประสบอุบัติเหตุ เขาหยุดเรียนไปเลยเกือบ ๆ หนึ่งปี ระหว่างนั้นก็พักฟื้นตัวไป อ่านหนังสือไป จดบันทึกไปพลาง พออายุได้สิบห้า ก็ไปสอบเทียบวุฒิเพื่อเอาใบจบการศึกษา จากนั้นไม่นานเขาก็ได้รับคำเชิญจากโรงเรียน แปง เด ปีส และตัดสินใจเข้าเรียนด้วยคำเเนะนำ (ยุยง?) จากครอบครัวลอว์สัน 
    - อันที่จริงแล้วลายมือห่วยแตกมาก ชอบเขียนแบบไม่ยกปากกา เลยเหมือนลายเซนต์ อ่านยากระดับลาสบอสเลยล่ะ
    - ภาพวาดของเทรย์ไม่ได้สวยอะไรมากหรอก เรียกว่าน่ารักเข้าใจง่ายเพราะการสื่อสารน่าจะถูกกว่าเยอะเลย
    - เทรย์จะปรับเสื้อผ้าไปตามช่วงอากาศ วันไหนอากาศเย็นหน่อยจะสวมเสื้อแขนยาว ส่วนวันไหนอากาศร้อนก็จะสวมเสื้อยืด 
    - อันที่จริงสายตาสั้นนิดหน่อย แต่ไม่ชอบสวมเเว่น เลยเน้นเพ่งเอามากกว่า เลยจะดูเหมือนขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา (แต่ตอนอ่านหนังสือก็ใส่แว่นอ่านปกตินะ)
    - ไม่มีญาติคนอื่นแล้ว ปัจจุบันอาศัยอยู่กับครอบครัวของมอร์ริแกน ส่วนเงินในบัญชีของพ่อแม่รวมถึงเงินประกันทั้งหมด เขาเก็บมันฝากไว้ธนาคาร ไม่สามารถใช้ทำธุรกรรมใด ๆ ได้เนื่องจากอายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ
    - ปัจจุบันความสัมพันธ์กับมอร์ริแกนคือพี่น้องที่คอยช่วยเหลือกัน ไม่มีความสัมพันธ์ทางใจหลงเหลือแต่อย่างใด
    - เวลาอยู่ใกล้ผู้หญิงคนอื่นนอกจากมอร์ริแกนและคุณนายลอว์สันจะมีอาการเก้กังฝืดเคือง เหมือนกับหุ่นยนต์สนิมเกาะ
    - ชอบเขียนบันทึกลงในสมุดมากกว่าการพิมพ์ เพราะสัมผัสจากกระดาษ กับเสียงขีดเขียนของปากกามันให้ความรู้สึกดีกว่า
    - จริง ๆ แล้วอ่อนเทคโนโลยีพอสมควร ใช้ไม่ค่อยจะเป็น โดนมอร์ริแกนบ่นเรื่องนี้อยู่พอสมควร (เขาไม่เล่นพวกโซเชียลด้วยซ้ำ เหมือนว่ามีไว้ประดับเฉย ๆ ด้วย)
    - เทรย์นอนที่ห้องใต้หลังคาที่เขาเลือกเองภายในบ้านลอว์สัน ส่วนบ้านหลังเดิมของเขา มันกลายเป็นคลังเก็บหนังสือของเขา และเป็นพื้นที่ปลูกดอกไม้ของมอร์ริแกนไปแล้ว สองหนุ่มสาวชอบพากันไปนอนกลิ้งอยู่ในโซนของตัวเองภายในบ้านบ่อย ๆ ช่วงวันหยุด เป็นงานอดิเรกที่ร่มรื่นย์แบบสุด ๆ ไปเลย
    - ถึงจะมีนิสัยแบบนี้ แต่ก็มีเพื่อนที่พอสนิทกันบ้างในคลาสเรียนเหมือนกัน แค่ว่าไม่ได้ซี้กันมากเพราะยังไม่ได้รู้จักกันนานขนาดนั้นเท่านั้นเอง อันที่จริง ตอนนี้คนที่ถ้าพูดแบบไม่นับอายุแล้วดูเป็นเพื่อนสนิทรู้ใจกันมากที่สุด ก็มีแต่มอร์ริแกน ลอว์สันเท่านั้นนั่นแหละ แต่ก็ใช่ว่าในอนาคตจะมีเพิ่มขึ้นจากนี้ไม่ได้หรอกนะ

    - Zen Family'
              •Farther: Blake Zen (Deceased) - นักวิจารณ์บทความ
              •Mother: Dorothy Zen (Deceased) - ผู้ให้คำปรึกษาด้านธุรกิจ

    ______________________________________________
    O T H E R  P R O F I L E

    ______________________________________________


    Morrigan Lawson [17 yrs.]
    Status :: Alive
    { อดีตพี่สาวข้างบ้าน อดีตแฟนสาวคนแรกและคนสุดท้าย
    ค่อนข้างตามใจเทรย์ แต่ก็รู้จักเทรย์ดีมากซะจนทำให้เขาเชื่อฟังเธอได้ง่าย ๆ เช่นกัน }

    ______________________________________________________________________________
    R O L E P L A Y

    ไม่ทราบว่าคุณรู้สึกอย่างไรที่ได้เข้ามาในรั้วโรงเรียน แปง เด ปีส คะ?
    :: เด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีเขียวหม่นนั่งนิ่งไปหลังจากได้ยินคำถามนั้น เขากำลังครุ่นคิดสงสัยว่าสมควรจะตอบสิ่งใดออกไปดี..การได้เข้ามาเรียนใน แปง เด ปีส นั้นทำให้รู้สึกอย่างไร? อ่า, ถ้าตอบไปตามตรงว่าชวนให้รู้สึกเหนื่อยเพราะต้องมาเจอสังคมใหม่นี่จะโดนด่าไหมนะ.. "ก็ดีใจที่เขาเชิญมา" แต่สุดท้ายเเล้วริมฝีปากหยักกลับเลือกตอบถ้อยคำที่ตรงกันข้ามออกไป เด็กหนุ่มเสตาหลบไปอีกทางตามความเคยชินของร่างกาย ก่อนจะชะงักกึก นึกขึ้นมาได้ว่าตนลืมอะไรบางอย่าง แล้วจึงหันกลับมา พึมพำต่อเบา ๆ ว่า "..ครับ"

    มีความเห็นอย่างไรกับฝั่งตรงกันข้ามกับตนเองคะ?
    :: "เอ่อ..น่ารำคาญนิดหน่อย?" ฝ่ามือยกขึ้นลูบท้ายทอยขณะที่กลอกตาไปมา นึกถึงนักเรียนจากอีกกลุ่มหนึ่งที่ดูจะเข้ากับตัวเองไม่ได้แบบสุด ๆ เพราะแค่เขาเผลอเดินผ่านเข้าไปในกรอบสายตา ก็เหมือนจะโดนเขม่นแบบออกนอกหน้าซะแล้ว..ทั้งที่ยังไม่ทันทำอะไรด้วยซ้ำ อีกอย่าง ก็ใช่ว่าเขาจะอยากไปยุ่งเกี่ยววุ่นวายอะไรกับใครทั้งกับฝั่งนี้หรือฝั่งโน้นสักหน่อยนี่นา จะมาหาเรื่องกันทำไมเล่า..

    ไม่ทราบว่าคุณได้คาดหวังอะไรจากการเข้ามาศึกษาหรือเข้ามาสอนในโรงเรียนแห่งนี้รึเปล่าคะ?
    :: "ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก.." เทรย์พึมพำด้วยสีหน้าที่ดูเหนื่อยเล็กน้อย เขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มใช้เอเนอร์จี้ในการพูดเยอะเกินไปแล้ว "แต่ถ้าได้ความรู้ใหม่ ๆ กลับไปบ้างก็ดี ตั้งเจ็ดปีเชียวนะ..ถ้าไม่ได้อะไรบ้างเลยมีหวังได้อยากวิ่งไปกระโดดลงเหวสักทีกันพอดี.." แต่ก็ดันไม่วายลืมตัวเผลอบ่นออกมาเป็นพรืดซะอย่างนั้นนี่สิ

    คำถามสุดท้ายแล้วนะคะ คุณคิดว่าตนเองเป็นคนอย่างไรคะ?
    :: คำถามสุดท้ายที่จะว่าตอบง่ายก็ง่าย แต่ก็แอบตอบยากไปในที เทรย์นิ่งคิดไปสักพัก เขาพยายามประมวลผลออกมาว่าเขาเป็นคนอย่างไรเพื่อตอบคำถามข้อสุดท้ายนี้ หากสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้นึกอะไรออกมาเป็นพิเศษ แค่หยักไหล่เบา ๆ แล้วตอบกลับไปด้วยสีน้ำเสียงเรียบเฉยว่า "ก็คนธรรมดา ๆ คนหนึ่งนั่นแหละ..ครับ" และมันเป็นอีกครั้งที่เขาดันนึกขึ้นมาได้ ว่าเขาลืมใส่หางเสียงอีกแล้วสิ..ให้ตายสิน่า

    ______________________________________________________________________________
    P A R E N T   M E E T I N G

    สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ทางนี้ชื่อเครสค่ะ ขอทราบชื่อคุณผู้ปกครองหน่อยนะคะ
    :: รันรันค่า ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะคะคุณเครส

    เรื่องนี้ค่อนข้างดาร์กแต่ก็มีโรแมนซ์บ้างเล็กน้อย ไม่ทราบว่าคุณผู้ปกครองโอเคกับพวก LGBT+ มั๊ยคะ? ถ้าน้องที่ส่งมาไม่มีคู่หรือไม่ได้เป็นนอร์มอลจะพอรับได้มั๊ยคะ?
    :: แน่นอนว่าไม่มีปัญหาค่ะ ส่วนตัวเราเองก็มีรสนิยมในเชิงนี้อยู่แล้วด้วย แหะ

    ข้อนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องโรแมนซ์เล็กๆน้อยๆในเรื่องอยู่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณผู้ปกครองอยากให้น้องมีคู่หรือโสดคะ?
    :: เราไม่ค่อยซีเรียสเรื่องนี้เท่าไหร่ เลยคิดว่าตามแต่คุณเครสเห็นสมควรดีกว่าค่ะ

    ถ้าลูกคุณติดเข้าไปในเรื่องก็มีโอกาสที่จะตายหรือเสียชีวิตอยู่นะ โอเคกับแบบนั้นรึเปล่าคะ? (แต่ถ้ารับไม่ได้ก็คงต้องรับให้ได้อยู่แล้วน่ะนะ //เหงื่อตก)
    :: รับได้แน่นอนร้อยเปอร์เซนต์เลยค่ะ <3

    ขอบคุณสำหรับตัวละครนะคะ ขอให้โชคดีติดบทกันนะ! ไว้เจอกันในคอมเม้นท์ค่ะ <3

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×