ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Prison moon

    ลำดับตอนที่ #44 : nostalgia

    • อัปเดตล่าสุด 23 มี.ค. 62



    ll I always hope you thinking about me. ll

    __________________________________________

    Application




    เผื่อว่ายังไม่ปลื้มเมจนี้ >> [1] [2]


    “ ฉันไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่าฉันต้องเชื่อในอะไรกันแน่ ”


    รูท : metronome (Kenshi Yonezu) Yamamoto Takeshi


    ชื่อ : วาเลเรีย ฟรานเชสก้า l Valeria Francesca


    ชื่อเล่น : 

    ♠ เวลล์ l Vell ; เฉพาะเพื่อนและครอบครัวเท่านั้น

    ♠ โคโชนะ l Koshona ; ตอนที่เธอไปอยู่ญี่ปุ่นสมัยเด็กๆ นั้น เพื่อนคนแรกของเธอเรียกเธอว่า Koshona-chan (โคโชนะ) เพราะในภาษาญี่ปุ่น โคโชนะมีความหมายว่า "สูงส่ง" ซึ่งมีความหมายเดียวกับชื่อของเธออีกด้วย..

            " และฉันก็หวังว่า เขาจะยังจำชื่อที่เขาตั้งให้ฉันได้อยู่ "


    สัญชาต : Italian


    อายุ : 18 - year - old


    รูปลักษณ์ : เด็กสาวสัญชาติอิตาลีผู้มีดวงตาสีม่วงราวกับดอกลาเวนเดอร์ ความกระด้างเหลือทนภายในนั้น ช่างขัดเเย้งกับความสวยงามเป็นประกาย ผิวกายสีขาวสะอ้านหากแต่ติดซีดเซียวเล็กน้อย ขนาดเส้นผมสีดำยาวนั้นเอง ก็ไม่ได้รับการบำรุงดูแลอะไรมากมาย เธอมักจะรวบผมที่ยาวละสะบักบ่าของตนไว้เเบบลวกๆ เพื่อไม่ให้มันมาเกะกะใบหน้า รูปทรงไข่ที่ไม่ว่าใครก็คงต้องหลงใหล ริมฝีปากสีเชอร์รี่บลอสซั่มธรรมชาติ เสียก็แต่ว่ามันบึ้งตึงอยู่เเทบตลอด จมูกโด่งตามสัญชาติตะวันตก คิ้วเข้มกับขนตาหนางอน ไม่ว่าอย่างไรเครื่องหน้านี้ก็เป็นที่หนึ่ง ทว่าเธอกลับผอมกว่าที่คนอื่นคิด เมื่อได้สัมผัสก็คงได้รู้เอง ว่าใต้ท่าทีแข็งกระด้างเหล่านั้น ตอนที่คุณกอบกุมมือของเธอเอาไว้ มันจะเเสนเปราะบางแค่ไหน ( 168ซม. l 44กก. )


    อาชีพ : นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ชั้นปีที่ 3


    ลักษณะนิสัย : 


    • I M A G E

           ภาพลักษณ์ของเด็กสาวชาวอิตาลีคนนี้ ก็คือลักษณะของเด็กสาวที่เเข็งกระด้าง ไม่น่าเข้าหา เพราะมักปล่อยรังสีตุ่นๆ เเบบคนที่อยากอยู่คนเดียวออกมา ด้วยความที่ไม่ว่าไม่ได้เป็นคนอ่อนโยน หรือร่าเริงเเจ่มใส่ นั่นจึงทำให้เวลล์ดูเป็นคนที่เข้าหาได้ยาก เวลาที่มีคนเข้ามาทัก ก็มักจะตอบกลับไปบ้างไม่ตอบกลับบ้างเเล้วแต่อารมณ์ ออกแนวที่ว่า ถามคำตอบคำ ไม่น้อยเลยทีเดียว ให้พูดเเล้ว เธอก็เป็นคนที่พูดน้อยกว่าคนทั่วไปพอสมควร เเถมน้ำเสียงยังไม่ได้หวานเจี๊ยบแบบพวกเด็กสาวคนอื่นอีกต่างหาก เว้นก็แต่บางที ที่อาจจะพูดมากขึ้นมาซะแบบงงๆ ถ้าเกริ่นหัวข้อขึ้นมาเเล้วไหลรื่นไปได้เเล้วล่ะก็

           หลายคนค่อนข้างกลัวเธอเพราะสายตาที่ดูนิ่งเรียบ หรือจะเป็นส่วนสูงที่โดดเด่นกว่าเด็กสาวทั่วไปก็ตาม บวกกับการที่เจ้าตัวเอง ก็ไม่ได้มีความกระตือรือร้น อยากจะเข้าไปร่วมสนุกกับคนอื่นเท่าไหร่ มองแล้วทุกคนคงบอกว่าเธอน่ะรักสันโดษ มีโลกส่วนตัวของตัวเอง เข้าใจยาก เเถมยังไม่ชอบให้ใครมาข้ามเส้นที่เธอแบ่งกั้นเเต่ละคนเข้าไปข้างในอีกต่างหาก

           แต่คงเพราะพวกเขาไม่ได้ช่างสังเกตขนาดนั้นนั่นแหละ ถึงได้ไม่รู้ว่าความจริงแล้ว ไอ้ภาพลักษณ์แบบนี้ที่แสดงออกมา ก็เป็นแค่เพียงความเคยชินที่ผสมเข้ากับความเกร็งและความกลัวของเธอเท่านั้นนั่นเอง..


    • I N S I D E

           ใครจะไปรู้ล่ะว่าความจริงแล้ว ผู้หญิงที่ดูเหมือนมีไทป์นิสัยห้าวๆ ไม่สนใครแบบเธอคนนี้ ภายในนั้นจะเป็นแค่คนที่ไม่กล้าคุยกับคนแปลกหน้า เเละเขินอายเวลาที่จะต้องเอ่ยปากแนะนำตัวตนเองขึ้นมาได้ เวลล์ไม่ได้อยากจะอยู่คนเดียวหรอก ถ้าพูดกันตามจริงเเล้ว เธอเกลียดมันด้วยซ้ำ ความเหงาสำหรับเธอเหมือนกับยาพิษเลยนะ ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากจะมีหรอก ถึงอย่างนั้นเธอก็มักอายเกินกว่าจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากแนะนำตัว หรือต่อให้มีคนเขามาพูดด้วย สมองก็มักรันไม่ทัน เป็นเหตุให้พูดไม่ออกตลอดเลยนี่สิ

           เวลล์คิดว่าการที่คนเราจะตื่นเต้นขึ้นมาเพราะเเค่ว่ามีคนเข้ามาคุยด้วยน่ะ มันดูเหมือนเด็กน้อยชัดๆ เลย เธอก็เลยไม่อยากจะเเสดงออกไปให้ใครเห็น เลยพยายามปั้นหน้าเอาไว้เเม้ว่าความจริงในใจอาจจะกรี๊ดไปสามบ้านแปดบ้านเเล้ว แต่เพราะเเบบนั้น ก็เลยมักได้เห็นคิ้วเธอพับทบเข้ามาพันกันบ่อยๆ เป็นเหตุให้คนอื่นนึกว่าเธอไม่พอใจที่พวกเขาเข้าไปทัก เเล้วก็พาลจะถอยห่างกันหมดตลอดศก เล่นเอาเด็กสาวถึงกับเคว้งเติ่ง แทบอยากร้องไห้แล้วตะโกนว่า หน้ามันไปเองนี่นา! ออกมาดังๆ สักครั้งเลยล่ะ

           อันที่จริงเเล้ว เวลล์ค่อนข้างจะเเสดงออกทางใบหน้าออกมาอย่างชัดเจนอยู่เสมอเลยนะ เเม้ว่าจะสวนทางกับปากที่ชอบปฏิเสธบ่อยๆ แต่ถ้าสังเกตสีหน้า แววตา และน้ำเสียงของเธอ ก็จะรู้ได้เลยล่ะว่ามันแสดงทุกเรื่องราวออกมาได้ชัดเจนขนาดไหน แววตาของเธอมักเป็นประกายขึ้นมาดื้อๆ ในตอนที่มีคนเข้ามาทักทาย เเละก็มักจะหมองลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อจ้องมองเพื่อนๆ เขาคุยกันอย่างสนิทสนม เพราะเธอเองก็อยากจะอยู่ตรงนั้นบ้างเหมือนกันน่ะสิ


    • W O R D

           ปากที่ไม่ตรงกับใจเอาซะเลย จะบอกว่าเธอเป็นเด็กซึนเดเระก็ได้ เวลล์มักพูดแต่คำพูดที่มันตรงกันข้ามกับความรู้สึกของเธอออกไปเสมอเวลาที่รู้สึกอายขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่นการยอมรับว่าตอนนั้นกำลังยิ้ม หรือการยอมรับว่าเธอน่ะชอบของน่ารักๆ หรืออะไรสักอย่างที่มันไม่เข้ากับเธอ กระทั่งการยอมรับว่าตัวเองกำลังร้องไห้ ก็เป็นเรื่องน่าอายที่ทำให้เวลล์รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรจะแสดงมันออกไป ดังนั้นเธอถึงได้พยายามพูดว่าตัวเอง ไม่ได้ รู้สึกแบบนั้นๆๆๆ อยู่ตลอดเลยยังไงล่ะ

           ถ้าสนิทกันเเล้วก็จะเดาได้เองว่าอันไหนพูดจริงอันไหนแค่พูดๆ ไปเพราะว่าเธออาย เวลล์เดาได้ไม่ยากเลย เป็นเด็กที่ดูออกง่ายมากจนน่าตกใจ เพราะฉะนั้นก็เลยโกหกไม่เก่ง ถึงอย่างนั้นก็ชอบโกหกบ่อยๆ เกี่ยวกับเรื่องความรู้สึกของตนเอง เป็นเหตุให้มักถูกดุประจำ เเล้วพอโดนดุ ก็จะมีสีหน้าหงอจัดเหมือนสุนัขโดนสั่งห้ามไม่ให้กัดโซฟา (?) มองไปมองมาก็น่าสงสารเหมือนกันแฮะ..

           และต่อให้จะโดนจับได้ว่าโกหกยังไง หรือทำปากไม่ตรงกับใจขนาดไหน เจ้าตัวก็ยังจะดึงดันเเถสีข้างถลอก ไม่รับรู้ ไม่ยอมรับแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ ต่อให้หน้าเเดงเถือกเป็นลูกตำลึงตอนที่เขิน หรือน้ำตาคลอเบ้าเพราะกำลังจะร้องไห้ เเม่คุณก็จะตะโกนว่า เปล่าสักหน่อย! ออกไปได้อยู่ดีนั่นแหละน้า..

          

    • K I D

           เธอคนนี้นิสัยเหมือนกับเด็กไม่มีผิด แถมเป็นเด็กดื้อเงียบที่ไม่ยอมพูดเรื่องที่อยากได้ออกไปตรงๆ แต่ก็มักหน้าหงอเศร้าจ๋อมตลอดเวลาคนอื่นไม่เข้าใจ หรือทำอะไรไม่ถูกใจเธอ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ตามใจยากอะไรขนาดนั้น ถ้ารู้ว่าเวลล์ชอบอะไรล่ะก็ แค่นั้นก็หมดห่วงเเล้ว เป็นคนที่ถ้าชอบก็คือชอบ ถ้าเกลียดก็คือเกลียดเลย เวลล์ไม่ชอบการเปิดใจเผื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่เธอเกลียดหรอก ยกตัวอย่างเช่น เธอเกลียดปลาหมึก ถ้ามีคนมาบอกว่าลองกินดูสิ มันอร่อยนะ เธอก็ส่ายหน้าลูกเดียว แบบว่าให้ตายยังไงก็ไม่เอา เป็นคนที่บังคับไม่ได้เลย เพราะถึงแม้จะหงอเก่ง แต่ก็ดื้อเก่งมากเช่นกัน

           เวลล์มีความคิดของตัวเองเเละก็ไม่ค่อยจะมีใครที่มีความสามารถมากพอไปเปลี่ยนมันได้ เพราะเป็นพวกชอบคิดอะไรในหัวอยู่คนเดียวตลอด เลยตัดสินใจเลยอะไรแต่ละอย่างด้วยตัวเองเพียวๆ แบบยึดเอาความชอบความต้องการตัวเองเป็นหลักเลย ดังนั้นเวลล์จึงจะเป็นคนที่รู้ใจตัวเองดีที่สุด พอๆ กับเป็นคนที่หลอกหัวใจตัวเองได้เก่งที่สุดเช่นกัน ดังนั้นเเล้ว การจะเปลี่ยนเรื่องที่เธอไปตัดสินใจจึงนับได้ว่ายากมากแบบต้องปาดเหงื่อทุกสามนาทีครั้ง เวลล์ไม่ค่อยฟังใครเท่าไหร่ เว้นแต่จะสนิทกันมากๆ หรือต่อให้ฟัง ก็คงอนุมานได้ว่า เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ก็คือรับฟังนะ แต่จะปฏิบัติตามไหมนั่นก็ขอคิดดูอีกรอบก่อนเเล้วกัน

           อย่างที่บอกว่าถ้าไม่ชอบเธอก็จะไม่เอาเลย นิสัยตรงนี้คือฝังรากลึกแบบที่เเก้ไม่หาย เวลล์สามารถลุกขึ้นเเล้วสับเท้าวิ่งหนีคุณทั้งที่อยู่ในห้องประชุมได้แบบไม่สนอะไรทั้งนั้น ถ้าเกิดว่าคุณคิดจะยัดเหยียดของที่เธอเกลียดมาให้ ในขณะเดียวกัน ก็เป็นพวกเทิดทูนความชอบของตัวเองแบบมหาศาล แบบพาสต้าดีที่สุด พาสต้าอร่อยมาก พาสต้าคือของสวรรค์ จริงๆ ไม่ต้องไปเห็นด้วยกับเธอก็ได้ แต่อย่าไปเถียงว่าว่ามันไม่ดีเลย ไม่งั้นล่ะได้โดนโกรธเเน่ๆ ล่ะ..


    • O V E R T H I N K I N G

           ภายใต้สีหน้าเหมือนไม่มีอะไรนั้น ก็พูดได้เลยว่าเธอเป็นคนที่คิดมาก คิดเยอะ คิดแยะขนาดไหน เวลล์ชอบเก็บเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาใส่หัว เอามาขบคิดแล้วก็ตีโพยตีพายไปก่อน คล้ายกับพวกกระต่ายตื่นตูม อย่างถ้าเห็นคนมองมาแล้วทำสีหน้าเเปลกๆ ก็กังวลไปล้านแปดว่าผมเธอมันตลกเหรอ? หรือว่าเธอเขียนคิ้วไม่เท่ากัน เเล้วก็จะกระวนกระวายอยู่ภายในใจ สีหน้าดูสับสนมึนงงเเบบนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสามารถไขข้อข้องใจได้เลยล่ะ

           นอกจากนี้เเล้วยังเป็นพวกที่จะสะสมความคิดมากไว้เรื่อยๆ เหมือนกับว่ายกให้ตนนั้นเป็นถังขยะ เวลล์มักรับเอาคำพูดหรือสายตาไม่ดีต่างๆ มาใส่ตนไว้ เเละไม่สามารถสลัดมันทิ้งได้ การพูดหยอกแขวะเเซะกันด้วยถ้อยคำไม่น่ารัก เเล้วมาตบท้ายว่าล้อเล่นน่ะมันบ้าบอมากสำหรับเวลล์ เธอคิดเสมอว่าถึงปากจะพูดว่าล้อเล่นยังไง เสี้ยวลึกๆ ภายในจิตใจมันก็ต้องมีบ้างที่คิดนั่นแหละ ถึงทำให้พวกเขาพูดออกมาแบบนั้น ไม่อย่างนั้นเขาจะไปเอาความคิดพรรค์นั้นมาจากไหนได้ล่ะ? จริงไหม

           ไม่ชอบพูดเรื่องที่คิดอยู่ในหัวให้คนอื่นฟัง เธอกังวลเรื่องอะไร ก็จะนั่งกังวลของเธออยู่คนเดียว การเอาเรื่องหนักหัวไปปรึกษาคนอื่นมักทำให้เวลล์รู้สึกว่ามันไม่โอเคเท่าไหร่ อีกอย่าง เธอคิดว่าเธอเข้าใจตัวเองดีที่สุดเเล้ว ดังนั้นถามตัวเองนั่นแหละคงจะดีสุด ทำให้บางครั้งก็มองไม่เห็นมุมมองด้านอื่นๆ หรือมองข้ามความเป็นไปได้ต่างๆ ไป เป็นเหตุให้มักเกิดเรื่องขึ้นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการคิดไปเองขั้นแม็กซ์ ถึงขนาดทะเลาะกับเพื่อนหรือพี่ตัวเองได้เนี่ย ยิ่งเเล้วใหญ่เลย..


    • F O R G E T F U L

           ขี้หลงขี้ลืม ชอบลืมเรื่องสำคัญๆ ตลอด อย่างบางทีหมอนัดวันเสาร์ ตื่นมาด้วยอาการเบลอๆ เเล้วเห็นทีวีประกาศเปิดเทศกาลค้าขายที่ห้าง แม่คุณก็จะเเต่งตัวไปเดินห้าง แล้วลืมเรื่องนัดหมอไปได้เลยแบบน่าอัศจรรย์..แต่ส่วนมากแล้วที่ลืมก็มักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเองทั้งนั้น ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวคนอื่นน่ะเหรอ เหอะ ๆ..จำแม่นยิ่งกว่าสูตรคูณเสียอีก จะบอกให้

           บางทีก็โดนชาวบ้านบ่นว่าให้ใส่ใจตัวเองมากกว่านี้ หรือเอาความใส่ใจที่มีให้คนอื่นไปโฟกัสกับตัวเองบ้างก็ได้ เวลล์น่ะไม่ชอบให้คนอื่นมองเธอด้วยสายตาไม่ดี หรือมาโกรธมาเกลียดกัน คือยอมไร้ตัวตน ดีกว่ากลายเป็นคนไม่ดี หรือเด็กคนนั้นของป้าข้างบ้าน เธอแคร์สายตากับคำพูดรอบข้างมากเกินไป มันมีเอฟเฟคกับเธอมากเลยนะถ้าพูดกันตามตรง เวลล์ถึงได้พยายามจะโฟกัสกับเรื่องรอบตัวเธอ ทั้งคนอื่นและงานการต่างๆ เพื่อจะไม่ทำผิดพลาดไง พอพลาดไปก็ล่กเสียเป็นหนู่ติดจั่นไปเลย ให้ตายสิแม่คุณ..

           แต่ก็ใช่ว่าเวลล์จะเฉยชากับความขี้หลงขี้ลืมของตนเสียเมื่อไหร่ เธออวดครวญอยู่ทุกวันว่าทำไมอัลไซเมอร์ได้ขนาดนี้ พอนึกอะไรขึ้นมาได้ก็โพล่งเฮ้ย!เสียลั่นโลก บ่งบอกให้รู้เลยว่าซีดจริงและหน่ายจริงที่ดั๊นนน ลืมเข้าให้อีกแล้ว แต่ว่าถ้านึกขึ้นมาได้เธอก็จะรีบทำทันทีเลยนะ อย่างถ้าลืมซักผ้า ต่อให้ตอนนั้นสี่ทุ่มเเล้วเธอก็จะรีบไปซักเลย คือไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง ต่อให้เวลาเหลือเท่าเล็บแมวก็จะทำให้มันให้ได้ เวลล์ไม่ชอบการเปลี่ยนตารางงานหรือตารางชีวิตสักเท่าไหร่ มันวุ่นวายน่ะ


    • N O S T A L G I A

           แต่ก็มีอีกสิ่งที่ไม่เคยลืม นั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตกับใครอื่นอีกคน หลายๆ คนมักจะเห็นเด็กสาวคนนี้ นั่งเหม่อลอยนึกถึงเรื่องในอดีตอยู่ตลอดเวลา ต่อให้ปากพูดว่า จำไม่ได้หรอก หรือ ลืมไปหมดเเล้ว เเววตาของเธอก็ฟ้องออกมาทุกทางเสมอว่าเธอจำมันได้ดีถึงความสุขที่เคยมีในอดีต อาการนอสตัลเจียจึงเป็นกลุ่มอาการที่สามารถอธิบายลักษณะของเวลล์ได้อย่างดี เเละมันก็เป็นอาการที่รักษาไม่หาย ต่อให้ทำยังไงก็ไม่ลืมอีกด้วย

           เวลล์เป็นคนที่มูฟออนยากมาก เธอมักติดอยู่กับอดีต กลัวการก้าวไปสู่อนาคต และไม่รู้ว่าควรยังไงกับปัจจุบันของเธอ มันถึงทำให้ชีวิตไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไหร่ รอยยิ้มของเธอเหนื่อยล้ากว่าคนทั่วไป เด็กสาวสร้างความสุขขึ้นมาใหม่ไม่ได้ หรืออย่างน้อยก็ไม่สุขเทียบเท่าคืนวันที่เคยผ่านมา เพราะงั้นเธอถึงจมปลักกับมัน เเละได้รับอิทธิพลจากเรื่องราวในอดีตมากมายกว่าที่คนทั่วไปจะเป็นอย่างมหาศาล บางทีเก็บบ้านอยู่เเล้วดันเจอของเล่นสมัยเก่าๆ ก็เกิดน้ำตาซึมขึ้นมาเพราะนึกถึงช่วงชีวิตบ้าๆ บอๆ ที่ไม่ต้องไปคิดเครียดเรื่องอะไรในตอนนั้นขึ้นมา เป็นแค่เด็กน้อยไม่ประสีประสาแค่นั้นเอง..

           จะบอกว่าเธอคนนี้น่ะ ทั้งที่มีนิสัยที่เหมือนกับเด็ก แต่บางครั้งก็ดูเหนื่อยล้าและรู้สึกมากกว่าวัยไปไกลโข ถึงอย่างนั้น แม้ปากจะพูดว่าโตเเล้ว เวลาที่เสียใจมากๆ ก็ยังอยากได้คนที่ปลอบประโลมอยู่ดี อ้อมกอดจากทั้งผู้คนและเเมวตัวน้อย จึงทำให้เด็กคนนี้เยียวยาบาดแผลและรอยน้ำตาของเธอได้ดีที่สุดอย่างไรล่ะ


    • M I N D

           ถ้าไม่นับเรื่องที่ชอบคิดมากเกินเหตุ ก็เป็นคนที่ตอนนี้มีความคิดแบบผู้ใหญ่แบบที่ว่าน่าชื่นชมอยู่เหมือนกัน เวลล์มักมีคำพูดดีๆ มาพูดให้คนอื่นฟังเเล้วตาค้างได้ตลอด เหมือนกับว่าจะเข้าใจชีวิตได้ลึกซึ้งซะจนน่าเชิญไปเขียนหนังสือปรัชญา แต่เรื่องตลกคือความจริงแล้ว ไอ้ความคิดล้ำๆ พวกนี้ของเวลล์ เธอก็ได้มันมาจากหนังสือปรัชญาและความรักเช่นกันนั่นแหละหนา ชาวโลกเอ๊ย

           ถึงปากจะพูดบ่อยๆ ว่าไม่ได้อ่านหรอกของแบบนั้น เเต่ถ้าค้นห้องดูก็จะพบว่าเวลล์ซื้อหนังสือพวกนี้ไปกองไว้อยู่กองเท่าภูเขา เเถมซ้ำไปซ้ำมาเสียจนหน้ากระดาษแทบปรุ เธอซึมซับความคิดมาจากหนังสือ เรียนรู้จากพวกมันได้อย่างดี จะบอกว่าเป็นเด็กที่เรียนรู้ได้ไว เข้าใจตัวหนังสือได้ดีก็ไม่ผิดหรอก เอาตรงๆ ให้เวลล์ไปอ่านปรัชญา เวลล์ยังเข้าใจได้ดีกว่าการมานั่งฟังคนเขาถกเขาเถียงกันเลย สรุปแล้วก็คือเหมาะจะอยู่กับหนังสือมากกว่าฝูงชนก็ว่าได้ล่ะนะ..มิหนำซ้ำยังเป็นพวกสมาธิจดจ่อค่อนข้างสูงอีกด้วย ถ้าจมจ่อมไปกับอะไรเเล้ว ก็ยากที่จะหลุดออกมาจากโลกนั้นได้โดยง่าย บางทีก็เลยโดนด่าว่าจดจ่อเกินอยู่เรื่อยๆ แต่ถามว่าเเคร์ไหม? ไม่ค่อยจะแคร์สักเท่าไหร่หรอก..

           แถมเจ้าตัวยังจะแยกเขี้ยว ยกหนังสือเหมือนจะเอามาฟาดหน้าใส่คนที่เข้ามากวนตอนเธออ่านหนังสือได้เรื่อยๆ อีกต่างหาก ไม่เคยได้ยินรึไง ว่าอย่าวอแวคนง่วง อย่ากวนประสาทคนหิว และอย่ามาวุ่นวายกับคนอ่านหนังสือน่ะ! (..?)


    • A N G R Y

           หน้าตาแบบนี้ เหมือนจะใจคูลๆ ชิคๆ เท่ๆ แต่ก็นั่นแหละ..อย่าไปเชื่อภาพลักษณ์ของเธอนักเลย เวลล์หัวร้อนเก่งกว่าที่คุณคิด เธอขี้น้อยใจนะ แล้วก็ขี้หงุดหงิดด้วย พอมีคนมากวนมาวอแวก็แทบจะแยกเขี้ยวขู่ หาอะไรปาไล่ให้ได้ตลอด เป็นจำพวกที่ร้อนง่ายหายง่าย แต่ก็มาง้อด้วยไม่ใช่ว่าทำกวนเเล้วจะเผ่น เป็นงั้นจริงล่ะเเม่ได้อีโวเป็นโกรธ เเล้วปั้นบึ้งยาวครบรอบเดือนเเน่ไอ้หนุ่ม---

           ปกติเเล้วเวลล์จะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ถ้าโกรธขึ้นมาก็แหกปากโวยวายได้เหมือนกัน ไม่ค่อยแปลกนักหากจะเห็นเธอตะโกนด่าใครสักคนขึ้นมา ก็คือถึงจะกลัวคนอื่นมองไม่ดี แต่เวลาสติหลุดเวลล์ก็ไม่ค่อยต่างจากหมีกริซลีเวอร์ชั่นคนเท่าไหร่หรอก นอกจากจะด่าเปิงเเล้ว บางทีรองเท้าที่สวมอยู่อาจจะบินไปประดับศีรษะใครเข้าให้ด้วยก็ได้ แต่อาการโกรธของเวลล์คือการสะสมความหงุดหงิด หรือก็คือหัวร้อนซ้ำๆ ซากๆ หลายๆ ทีจากเรื่องเดิมๆ คนเดิมๆ จนมันระเบิดโบ้มมม! ออกมาอะไรประมาณนั้น

           อีกเรื่องคือเวลล์ไม่ได้มีความเป็นกุลสตรีสักเท่าไหร่ สนิทกันก็คงพอรู้ หรือถ้าเจอเวลล์โหมดโกรธก็จะยิ่งตรัสรู้เห็นธรรมเข้าไปใหญ่ ว่าเเท้จริงแม่นางมีความห้าวๆ แมนๆ ไม่หวานไม่สาวอะไรไว้มากมายขนาดไหน เวลล์ค่อนข้างเหมือนเด็กผู้ชายเลยล่ะถ้าเทียบกับความเป็นจริง งานบ้านงานเรือนก็ไม่ได้ทำเก่งนัก ออกจะถนัดเล่นเกมหรืออะไรที่เป็นผู้ชายๆ เว้นแต่เรื่องกีฬาที่เเย้งกับสุขภาพของเธอไว้เท่านั้นเอง แถมเวลาโกรธ ถ้าเกิดมีคนเดินมากวนประสาทใส่แล้วบอกว่าแบบ อย่าซ่าเดี๋ยวหน้ามันยุบ เส้นประสาทเธอก็คงขาดผึง เเล้วยกเท้าถีบเปรี้ยงเข้าให้สักทีจนได้นั่นแหละ..


    • D I T H E R

           ไม่สามารถเลือกของอย่างหนึ่งจากของที่ชอบสองอย่างได้ ทุกคนมักจะเห็นเวลล์ยืนหน้าเครียด คิ้วขมวด เหงื่อแตก โวยวายพึมพำงึมงำของเธออยู่คนเดียว เพราะไม่รู้จะเลือกอะไรดีอยู่เป็นประจำ เวลล์มีลักษณะข้าวของที่ชอบค่อนข้างเยอะ เเต่ดันจัดลำดับความสำคัญไม่ค่อยจะได้ อย่างถ้าถามสีที่ชอบ ก็จะตอบว่า ฟ้า ส้ม เขียว และ น้ำตาล ก็คือมีมากกว่าหนึ่ง และไม่สามารถบอกได้ว่าไอ้ที่หนึ่งนั่นน่ะเป็นอันไหน เวลาเลือกของก็เลยเครียดจัด เพราะอยากได้มันไปซะหมดเลยน่ะสิ

           ต่อให้เอ่ยปากบอกไปเเล้วว่าเอาอันนี้นะ อีกสักพักเธอก็สามารถหันมาบอกว่า เอาอันนี้แทนดีกว่า ได้ง่ายๆ เปลี่ยนใจง่ายยิ่งกว่ารถไฟหักสับรางอีก เผลอๆ ไปๆ มาๆ คิดมากปวดประสาท เหมามันหมดนั่นเลยก็มี..ก็คือไม่ค่อยจะเป็นคนประหยัดเท่าไหร่ เรื่องเผื่อเหลือไม่ค่อยอยู่ในความคิด เวลล์ใช้เงินเก่งมาก ส่วนตัวเเล้วเธอชอบคิดว่า ซื้อไปให้เงินมันหมด ดีกว่าเงินเหลือเเล้วเสียใจที่ไม่ได้ซื้อ อยู่ประจำ เป็นเหตุให้พี่ชายหัวแก้วหัวแหวนปวดประสาทเสียจนอยากจะริบกระเป๋าตังค์ แต่พอเห็นสายตาหมาหงอยก็ใจอ่อน ยอมให้เวลล์ทำตามใจได้อยู่ดีซะอย่างนั้น

           ก็อย่างว่านั่นแหละ ต่อให้เวลล์จะดื้อยังไง คนส่วนมากก็เเย้งเธอไม่ค่อยได้อยู่ดี เพราะสายตาตอนเธอเศร้ามันโคตรจะน่าสงสาร แถมพอทำสีหน้าอยากได้อะไรสักอย่าง ก็น่ารักน่าเอ็นดูเสียจนอดใจห้ามไม่ไหว ถ้าไม่นับตอนหมีกริซลีเวอร์ชั่นเเล้วล่ะก็ เวลล์ก็นับได้ว่าเป็นคนที่น่าเอ็นดูเหมือนกับเด็กน้อย ที่พวกผู้ใหญ่ไม่สามารถขัดใจได้เลยล่ะ



    ประวัติ : 

    [ my best friend.. the lonely little girl ]

    - Yamamoto Takeshi -


    " วินาทีแรกที่ผมเห็นเธอ มันก็แค่รู้สึกว่าเธอน่ะน่าสงสาร "


           วันเปิดเรียนวันแรก ในภาคเรียนการศึกษาที่1 ของชั้นประถมศึกษาปี3 มันเป็นวันที่อากาศค่อนข้างเย็นกว่าปกติจนน่าแปลกใจ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หนาวมาก มีแดดอ่อนๆ เย็นสบาย และร่มรื่น..ช่างเป็นวันที่เหมาะแก่เริ่มต้นอะไรสักอย่าง

           เช่นเดียวกับการพบพาน และเริ่มต้นความสัมพันธ์ของใครสักคน..


           เสียงขีดเขียนของชอคล์ดังอยู่ด้านหน้าชั้นเรียน ทุกสายตาจับจ้องไปทางนั้น ตัวเขาเองก็เช่นกัน ไม่ใช่ว่าเป็นชื่อภาษาอังกฤษที่เขียนเอาไว้อย่างหวัดๆ บนนั้น หรือเป็นอาจารย์ประจำหน้าตาใจดี หากแต่เป็นเธอที่ยืนก้มหน้าไม่ยอมสบตากับใครเลยสักคน

           คำกล่าวเอ่ยแนะนำตัวจากอาจารย์ประจำชั้นของพวกเรา เด็กใหม่ในปีนี้ เธอย้ายมาจากอิตาลี เป็นเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ของเรา

           

           "วาเลเรีย ฟรานเชสก้า"

           เสียงเล็กๆ เบาหวิวดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด


           พวกเราจับจ้องไปยังเธอ แต่เธอกลับไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง

           จนแล้วจนรอดสิ่งที่ทำ ก็มีเพียงแค่การเดินก้มหน้างุดๆ เข้าไปนั่งยังที่นั่งของตัวเอง ใช้เวลาตลอดคาบเรียนไปกับการขีดเขียนอะไรสักอย่างลงไปบนกระดาษสมุดของตัวเอง จากที่ดูเเล้ว เธอไม่ได้แม้แต่จะฟังอาจารย์ที่กำลังเริ่มคาบเรียนคนนั้นเอ่ยสอนเลยเสียด้วยซ้ำไป ดูท่าว่านอกจากจะเก็บตัวเเล้ว ยังไม่ใช่เด็กขยันเรียนสักเท่าไหร่

           อ๊ะ..

           แล้วทำไมเขาถึงต้องมานั่งจ้องเธอแบบนี้ด้วยนะ?


           ยามาโมโตะ ทาเคชิ เคยคิดมาตลอดว่าเขาเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย แต่เพียงเเค่เดินเข้าไปใกล้ๆ กับเด็กคนนั้น รังสีประหลาดก็เหมือนจะผลักเขาออกมาในทันที ท่าทีที่บ่งบอกว่าอยากอยู่คนเดียวทำให้คนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้ เด็กคนนั้นดูราวกับว่าได้หลบซ่อนเร้นอยู่ภายในหอคอยสูงใหญ่ แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็เป็นแค่เจ้าหญิงที่กำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่าง..

           ดวงตาคู่นั้นมักมองไปยังเพื่อนๆ ที่พูดคุยกันด้วยสายตาเศร้าสร้อย

           ดวงตาคู่นั้นมักฉายแสงเป็นประกายเมื่อใครสักคนหันไปหาเธอ ก่อนจะวูบดับเมื่อพวกเขาตัดสินใจที่จะไม่พูด

           จนสุดท้ายเวลาก็ล่วงเลย หลงเหลือช่องว่างเล็กๆ ระหว่างเธอและเด็กคนอื่น ไม่มีใครเข้าไปคุยกับเธอ และเธอก็ไม่ยอมเริ่มต้นบทสนทนากับใคร ยามาโมโตะจ้องมองภาพเหล่านั้น บางสิ่งบางอย่างทำให้เขานึกถอนหายใจ

           

           "น่าสงสารจัง.."

           เพราะอะไรก็ไม่รู้ถึงได้พึมพำออกไปแบบนั้น


           และเพราะอะไรก็ไม่รู้อีกนั่นแหละ ที่ทำให้เขาเดินเข้าไปหาเธอ

           ชั่วขณะที่เราสบตากัน เขาเห็นประกายบางอย่างอย่างที่เคยเห็นตลอดที่เฝ้ามองมาฉายวาบอยู่ภายในนั้น ถึงอย่างนั้นเด็กหญิงกลับไม่ยอมพูดออกมา เธออ้ำอึ้ง ทำทีเหมือนกับว่าไม่ได้ดีใจทั้งที่มันแสดงออกมาทางสีหน้าหมดเเล้ว

           เสียงหัวเราะหลุดเล็ดรอดออกมา เป็นอีกความรู้สึกที่เริ่มคิดว่า เด็กคนนี้ก็น่ารักดีเหมือนกัน


           "โย่"

           เขาเอ่ยปากทักทาย ฉีกยิ้มกว้างๆ ที่ทำให้พวงแก้มยุ้ยนั้นซับไว้ด้วยสีฟาดระเรื่อ

           "ฉันชื่อยามาโมโตะ ทาเคชิ ยินดีที่ได้รู้จักนะ"

           และนั่นก็เป็นครั้งแรก ที่พวกเราได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการสักที..



    " ความจริงแล้วมันก็ลำบากนิดหน่อย "


           "วาละเลีย?"

           สีหน้าของเด็กหญิงดูจะถมึงทึงมากขึ้นเข้าไปใหญ่..

           เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังสวนกับเสียงหัวเราะแห้งๆ จากปากเขา ยามาโมโตะลูบท้ายทอยป้อยๆ สีหน้าสำนึกผิดสุดใจ จะไม่ให้เป็นอย่างนั้นได้ยังไง ในเมื่อเขาพยายามจะเรียกชื่อเธอ แต่ก็ออกเสียงเพี้ยนเป็นรอบที่ล้านแล้วแบบนี้

           "วา - เล - เรีย"

           นิ้วเล็กชี้ไปที่ริมฝีปากของตัวเอง ขยับปากออกเสียงชื่อของเธออย่างเชื่องช้าเเละชัดถ้อยชัดคำ

           ทว่ายามาโมโตะกลับไม่ได้ใส่ใจจะฟังเสียงนั้นเท่าที่ควร เขาเอาแต่จ้องริมฝีปากของเธอ ท่าทีของเธอ น้ำเสียงของเธอ ซึมซับมันเอาไว้เหมือนกับว่าตกลงไปในห้วงความคิด กระทั่งเผลอหลุดพึมพำชื่อที่เพี้ยนออกไปอีกรอบ เสียงร้องอวดครวญลั่นก็ดังขึ้นแทน

           "Ho detto Valereia, mi hai ascoltato ?!" ( ฉันบอกว่าวาเลเรีย นี่นายได้ฟังฉันบ้างไหมเนี่ย ?! )

           ยามาโมโตะหน้าเหวอ สมองเขาหมุนติ้ว อะไรเดตโตๆ นะ---?

           ยิ่งเขาทำสีหน้าไม่เข้าใจเท่าไหร่ เธอคนนั้นก็ยิ่งทำท่าเหมือนอยากจะร้องไห้มากขึ้นไปอีก เหมือนว่าหนทางการเป็นเพื่อนของเราจะยิ่งยากลำบากเเสนเข็ญมากขึ้นเข้าไปใหญ่เสียเเล้วนาทีนี้..


           เธอน่ะไม่เก่งภาษาญี่ปุ่น ส่วนเขาเองก็ไม่เข้าใจภาษาอิตาลี

           เพราะงั้นหนทางของเราก็คงต้องแบ่งกันไปคนละครึ่งเสียแทน


           "สูงส่ง?"

           ใบหน้ามลหวานพยักรับเบาๆ นั่นคือความหมายของชื่อที่ออกเสียงแสนยากเย็นเหลือเกินนั่น ยามาโมโตะร้องอ้อ เขาเคาะเจ้าเครื่องแปลภาษาในมือไปมา หลังจากกรอกความหมายชื่อภาษาอังกฤษของอีกฝ่ายลงไป

           สูงส่งงั้นเหรอ..อืม..ถ้าอย่างนั้นล่ะก็..


           "โคโชนะ"

           ดวงตาสีเขียวมกรตกะพริบปริบๆ ดูไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ นิ้วของเขาชี้ไปที่ตนเอง "ทาเคชิ" เขาเรียกชื่อของเขา ก่อนจะเปลี่ยนไปชี้เข้าหาตัวเธอ "โคโชนะจัง!" เเล้วก็เรียกชื่อนั้น ที่เขาตั้งให้เธอสดๆ ร้อน ๆ

           เด็กหญิงนิ่งไป หลุบสายตามองนิ้วของเขา เธอเหมือนกับกำลังสับสน กระทั่งรอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้า ริมฝีปากเล็กพึมพำเรียกชื่อนั้นซ้ำๆ อยู่กับตัวเอง


           "Koshona-chan"


           ดูเหมือนว่าเธอจะชอบมันนะ?



    " แล้วก็เหมือนว่าเราจะไม่สามารถแยกออกจากกันได้ชั่วขณะ "

          

           "กลับมาแล้วคร้าบ"

           หลังจากเปิดประตูเข้าไป เขาก็เอ่ยปากทักทายพ่อของเขา ชายวัยกลางเอ่ยทักกลับพลางยิ้มร่าแบบทุกทีเมื่อลูกชายตัวดีกลับมาถึงบ้าน แต่แล้วเขาก็ทำให้พ่อของเขาประหลาดใจ เมื่อเด็กหญิงอีกคนได้ก้าวเท้าตามเข้ามาด้วย

           "อะไรกันเจ้าทาเคชิ ไปพาลูกใครเขามาเนี่ย"

           "เพื่อนผมต่างหากเล่า"

           เด็กชายโต้กลับไปพลางหัวเราะเบาๆ เมื่อหันไปมองเด็กคนนั้น ดวงตาของเธอก็ยังคงสอดส่องไปรอบๆ ด้วยความสนอกสนใจ ยามาโมโตะยกมือขึ้นสะกิดไหล่เธอ กระซิบข้างใบหู ก่อนที่เด็กคนนั้นจะหันไปมองพ่อของเขา

           โคโชนะยกยิ้มเก้อๆ ดูฝืดเคืองแต่ก็น่าเอ็นดู เอ่ยภาษาญี่ปุ่นกระท่อนกระแท่นออกไปว่า


           " 始めまして " (ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ)


           พ่อของเขาดูจะถูกอกถูกใจเพื่อนคนนี้มากซะจนแทบกลายเป็นลูกรักอีกคน

           อาจจะเพราะบ้านของเราตั้งอยู่ไม่ห่างกันสักเท่าไหร่ โคโชนะถึงชอบใช้เวลาช่วงเย็นมานั่งเล่นอยู่ที่บ้านของเขา ยามาโมโตะเดินกลับบ้านพร้อมเธอ แล้วพวกเราก็กลายเป็นลูกมือร้านชูชิของพ่อไปในตอนท้าย บางครั้งถ้าเกิดว่าเขามีซ้อมกีฬา ทุกๆ คนก็มักจะเห็นเด็กหญิงชาวอิตาลีคนนี้นั่งปอกผลไม้กินรอเขาอยู่ข้างสนามเสมอ

           มันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเรา ที่ไม่รู้ว่าเริ่มต้นขึ้นตั้งเเต่เมื่อไหร่เหมือนกัน..แต่สิ่งเดียวที่ยามาโมโตะรู้..ก็คือเขาสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าเขาชอบมันมาก ๆ


           บางครั้งก็เล่นเสียจนลืมตัว เพลิดเพลินไปกับความสนุกสนานเหล่านั้น จนกระทั่งถูกเธอปั้นบึ้งทำหน้างอไปเสียหลายครั้ง

           คำขอโทษซ้ำๆ ถูกเอ่ยออกไป ยามาโมโตะมักนวดไหล่เล็กสองข้างนั้นให้เพื่อเป็นการงอนง้อ ของติดสินบนก็คือผลไม้อร่อยๆ ในวันพรุ่งนี้ ก่อนที่เสียงหัวเราะหลุดขำจากโคโชนะจะดังขึ้น

           เธอน่ะทำเป็นเหมือนไม่ได้หัวเราะ เเสร้งว่ายังงอนอยู่เเล้วก็ปั้นหน้าบึ้งไปอีกทาง

           "คราวนี้จะยกโทษให้ก่อนเเล้วกัน"

           ก่อนจะพูดออกมาเเบบนั้น สร้างรอยยิ้มของเขาให้ประดับขึ้นมาบนใบหน้าได้เสมอ


           "กลับบ้านกันเถอะ"

           มันคือคำพูดที่พวกเรามักพูดเช่นนั้นอยู่ในทุกๆ วัน

           เป็นความสุขเล็ก ๆ..ที่กลายเป็นเมล็ดพันธุ์งอกเงยอยู่ภายในจิตใจของเด็กน้อยทั้งสอง

          

           ทว่าตั้งเเต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้..

           ที่ต้นอ่อนต้นนั้น..ถูกเหยียบย่ำซ้ำจนไม่อาจผลิบานงดงามไปได้มากกว่านี้แล้ว



    [ My best friend.. the kind little boy ]

    - Valereia Francesca -


    " ฉันสงสัยอยู่เสมอว่าในสายตาของเขา เขามองเห็นภาพของฉันเป็นแบบไหน "


           ในประเทศที่ไม่คุ้นเคย สถานที่ที่ไม่เคยไป ผู้คนมากมายที่เราไม่รู้จัก

           เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตนนั้นกำลังลอยคออยู่กลางมหาสมุทร


           วาเลเรีย ฟรานเชสก้า เคยอาศัยอยู่ประเทศอิตาลีจนกระทั่งถึงอายุแปดขวบ หลังจากเกิดเรื่องวุ่นวายเกี่ยวกับธุรกิจทางบ้าน คุณพ่อคุณแม่ของเธอเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุ เธอและพี่ชายจึงต้องย้ายมาอาศัยอยู่ในบ้านที่ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้การดูเเลของคุณอา

           ในตอนนั้นความเศร้าหมองยังคงเกาะกินเธอ และความหวาดกลัวเองก็ไม่ได้เคลื่อนคล้อยหายไปไหน

           วาเลเรียเกลียดการเริ่มต้นใหม่

           เธอไม่ชอบเลยกับการที่จะต้องละทิ้งสถานที่เดิมๆ ไปเพื่อสานสัมพันธ์กับผู้คนใหม่ ๆ


           วันแรกของการเปิดภาคเรียน แทบจะเรียกได้ว่าตัวคนเดียวโดยสมบูรณ์

           เว้นก็แต่ว่าตอนนั้นเธอจะถูกใครคนหนึ่งเรียกเอาไว้..ใครที่มีดวงตาอ่อนโยน ใครคนนั้นที่ยิ้มกว้างๆ ให้กับเธอและเข้ามาหา พูดคุยด้วยกันโดยไม่สนท่าทีที่เธอแสดงออกไป ในตอนนั้น แม้ว่าจะพยายามไม่แสดงออกไปว่าตนนั้นอ่อนแอ ทั้งยังโหยหาที่พึ่งเสียเหลือเกิน แต่วาเลเรียก็รู้ดีว่าหัวใจของเธอมันยินดีเพียงไหนที่เขาเข้ามาคุยด้วย


           ยามาโมโตะ ทาเคชิ

           เขาเป็นเพื่อนคนแรก..และเป็นคนที่สำคัญที่สุด


           พวกเรามักไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่เสมอ

           ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ทาเคชิก็มักจะมาเล่นกับเธอ พาเธอไปรู้จักกับสิ่งต่างๆ คอยสอนภาษาและชี้แนะเรื่องราวในประเทศญี่ปุ่น ประคับประคองลูกนกเกิดใหม่อย่างเธอจนเริ่มจะโผปีกบินเองได้บ้างเเล้ว

           แต่ถึงอย่างนั้น นกน้อยขี้กลัวตัวนี้ก็ยังอยากอยู่ภายใต้ปีกของผู้ที่เลี้ยงดูมันมา..


           ปลายนิ้วของเธอเกาะกุมชายเสื้อเขาไว้ราวกับเด็กน้อยที่กลัวจะหลงทาง

           วาเลเรียไม่เคยพูดว่าเธออยากไปกับเขา ไม่เคยพูดว่าเหงา แล้วขอร้องให้เขาอยู่ด้วยกัน สิ่งที่เธอทำนั้นมีเพียงแค่นั่งเงียบ จรดสายตาจ้องมองตามแผ่นหลังกว้างที่เป็นดั่งพระอาทิตย์ดวงโตนั้นไปเรื่อย ๆ

           แต่เมื่อเขาหันกลับมาสบสายตากับเธอ ทุกอย่างที่พยายามปิดบังไว้ก็เล็ดรอดออกมาจนหมด


           "ไปด้วยกันนะ"


           คำพูดที่แสนอ่อนโยน รอยยิ้มกว้างๆ กับฝ่ามือของเขาที่เอื้อมมากอบกุมมือของเธอเอาไว้

           มันเป็นแบบนั้นเสมอนั่นแหละ..เพราะว่าทาเคชิน่ะใจดี..ใจดีมากๆ เลยด้วย


           และก็เพราะเเบบนั้น..เธอถึงไม่เข้าใจเลยว่า สายตาของเขาที่มองมานั้นมันหมายถึงอะไรกันแน่..



    " ฉันไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลยทั้งนั้น "


           สามปีแล้วที่เรารู้จักกัน

           แต่ว่าตอนนี้..ก็เหมือนว่าจะมีอะไรสักอย่างเริ่มแปลกไประหว่างเรา..


           เสียงกระซิบเบาๆ ดังอยู่เหนือหัว เเรงสะกิดปลุกให้เธอตื่นขึ้นมา เพราะคาบวิชาตอนบ่ายมันแสนน่าเบื่อ..วาเลเรียเผลอหลับไป ร่างเล็กสะดุ้งโหยง ตื่นขึ้นมาด้วยอาการสะลึมสะลือระคนตระหนก

           เด็กหญิงหน้าซีดเผือดตอนหันไปเห็นท้องฟ้าเริ่มเเต้มสีส้มเเดงเอาไว้ จำได้ขึ้นมาทันทีว่าวันนี้เธอมีนัดกับทาเคชิ


           "ข--ขอโทษนะทาเคชิ คือฉัน..!"

           ถ้อยคำมากมายที่เตรียมเอ่ยปากบอกเพื่อนสนิท ถูกกลืนหายลงไปเมื่อพบว่าคนที่อยู่ยืนนั้นไม่ใช่ใครคนนั้น

           เด็กชายที่เป็นเพื่อนร่วมห้อง เส้นผมสีดำสนิทกับดวงตาสีฟ้า เขาดูตกใจเล็กน้อยกับเสียงตะโกนของวาเลเรีย ริมฝีปากขยับเอ่ยบอกพึมพำเเผ่วเบาตอบกลับมาเมื่อได้เห็นแววตาสับสนภายในมรกตน้ำงาม

           

           "ยามาโมโตะออกไปตั้งนานแล้วล่ะ"

           "หมายความว่าไง..?"

           "..ไม่รู้สิ แต่พอเลิกเรียนก็เห็นออกไปกับพวกชมรมเบสบอลเลย"


           ถ้าวาเลเรียเคยตกเหว เธอก็คิดว่าความรู้สึกในตอนนั้นมันคงไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไหร่

           เธอไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำตอนที่เดินออกไปจากห้องเรียน สองขาก้าวไปเรื่อยๆ สมองเองก็ไม่ยอมหยุดคิด..เพราะอะไรกันนะ? เธอก็แค่เผลอหลับไป อย่างน้อยเขาก็น่าจะปลุกเธอบ้าง หรือจริงๆ ถ้าเกิดว่าเขาไม่อยากไปแล้ว แค่บอกเธอมาเธอก็คงเข้าใจ---

           ไม่..ไม่หรอก..

           วาเลเรียไม่เข้าใจ..เธอไม่เคยเข้าใจเขามาตั้งแต่แรกอยู่เเล้ว


           ดวงตาสีม่วงลาเวนเดอร์สะท้อนภาพของเพื่อนสนิทที่เล่นสนุกอยู่ในสนาม

           มือเล็กกำสายสะพายกระเป๋าเอาไว้เเน่น มันเจ็บ..แค่ไม่ใช่ฝ่ามือที่โดนเล็บจิกรั้งลงไป ไม่ใช่ขอบตาที่ร้อนผ่าวอยู่ตอนนี้ แต่เป็นบางสิ่งที่กำลังเต้นตุบๆ อยู่ภายในอกของเธอ เเละมันก็เจ็บเสียจนเธอกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่


           มันเคยมีความคิดมากมายก่อนหน้านี้ในหัวของเธอ

           ทั้งเรื่องที่ว่าทำไมเขาถึงเข้ามาคุยด้วย ทั้งเรื่องที่ว่าทำไมเขาถึงคอยตามใจเธอเสมอ

           หรือกระทั่งความคิด..ที่คิดว่าบางทีคงเพราะเขาแค่สงสารเธอ และตอนนี้ก็คงจะเริ่มเบื่อที่จะสงสาร


           ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมาเล่นกับเธอ..ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงคอยไปไหนมาไหนกับเธอที่ไม่น่ารักเอาซะเลย

           แล้วดูสิ--ตอนนี้เขาอยู่กับคนอื่น ดูมีความสุขสนุกสนานกับโลกของเขา

           โลกของเขาที่ไม่ควรจะมีเธออยู่..


           "โคโชนะ"

           ชื่อที่มีแต่เขาเรียก เสียงของเขา ไม่ว่าอะไรก็ไม่อยากได้ยิน


           ภาพของทาเคชิแยกออกเป็นเสี่ยง ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เขามายืนอยู่ตรงนี้ วาเลเรียได้ยินทาเคชิเรียกเธอ เอ่ยถามไถ่ต่างๆ นานา แต่ว่ามันกลับไม่เข้าหัว เด็กหญิงรู้เเค่เพียงว่าเสียงคำถามในหัวของเธอมันดังมากจนกลบทุกเสียงไปจนหมด

           เธอรู้ว่ามันเห็นแก่ตัว ถ้าจะให้เขามาคอยตามใจหรือเข้าใจเธอทุกอย่าง

           และมันก็ยิ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้น ที่เธอจะรู้สึกโกรธกับเรื่องแค่นี้


           "เป็นอะไรไป? เธอร้องไห้ทำไม.."

           เด็กชายคนนั้นเอ่ยถาม มือของเขาเปรอะเปื้อน เพราะเเบบนั้นรึเปล่าถึงได้ไม่กล้าสัมผัสเธอ? หรือเป็นเพราะเธอเองที่ขยับตัวถอยหนีในตอนที่เขายื่นมือเข้ามาหา? เขาถึงได้ยืนนิ่งอยู่กับที่แค่นั้น

           

           "เปล่า.."

           เด็กหญิงตัวน้อยทำได้เพียงโกหกออกไป

           "ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น"

           โกหกออกไปซ้ำเเล้วซ้ำเล่า แม้ว่าคำโกหกนั้นจะไม่เคยเเนบเนียนเลยก็ตาม



    " เราเป็นเพื่อนกัน--อย่างน้อยที่สุด ฉันก็คิดแบบนั้น "


           วาเลเรียไม่ได้ไปเรียนมาสามวันเเล้ว

           เอาแต่ขังตัวเองเอาไว้ในห้อง ข้าวก็แทบไม่ได้เเตะ ท้องฟ้าก็แทบไม่ได้เห็น เด็กหญิงทำเพียงแค่นั่งอยู่ในนั้น ขีดเขียนอะไรสักอย่างไปเรื่อยๆ เหมือนกับคนที่ไม่รู้จะทำอะไรดีเเล้ว


           "เวลล์" 

           พี่ชายของเธอเอ่ยปากเรียก เขาวางถาดข้าวไว้บนเก้าอี้ข้างๆ โต๊ะตัวที่เธอนั่งอยู่

           "ทาเคชิมาหาน่ะ"


           "..หนูปวดหัว"

           และเธอก็ยังคงโกหก..เพียงเพราะไม่อยากจะออกไปพบหน้าเขาในตอนนี้

           

           ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ พี่ชายของเธอนิ่งเงียบ และไม่นานเขาก็เดินจากไป ยอมทำตามคำขอของเธอ เป็นอีกครั้งที่วาเลเรียเลือกจะหนีปัญหา เมื่อประตูห้องปิดสนิทลง เด็กหญิงก็ก้มลงไปนอนฟุ่บอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้น

           กระดาษถูกขยำจนยับ เธอปามันทิ้งไป เหมือนกับกระดาษสีขาวเปื้อนคราบน้ำตาใบอื่น ๆ

           มันถูกเขียนเอาไว้ด้วยลายมือชุ่ยๆ ของเธอ เป็นคำพูดที่มีสื่อความหมายได้เพียงแค่คำว่า 'ขอโทษ'


           เวลาผ่านไป ผ่านไปจนเลยหนึ่งอาทิตย์มาได้อย่างรวดเร็ว

           เด็กหญิงวัยสิบสองลุกขึ้นจากเตียงนอน แง้มม่านเปิดดู ก่อนจะต้องปิดลงอย่างรวดเร็วเมื่อบังเอิญได้สบสายตาเข้ากับใครคนหนึ่งที่ยืนนิ่งอยู่หน้าบ้านของเธอ

           มือเล็กๆ สั่นระริกไปหมด ความรู้สึกบางอย่างทิ่มแทงอยู่ภายในเพราะสายตาคู่นั้น

           สายตาที่ไม่เข้าใจ..และเต็มไปด้วยความผิดหวัง


           ในคืนนั้นวาเลเรียก็ยังคงร้องไห้

           แต่มันเป็นเสียงร้องไห้ที่ดังเสียจนราวกับจะบอกว่าเธอเเทบขาดใจตายอยู่เเล้วในตอนนั้น


           ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน วาเลเรียมักถามตัวเองเสมอว่าเธอน่ะมีดีอะไร เขาคนนั้นถึงได้ดูแลและเข้ามาใส่ใจเธอเสียขนาดนั้น

           ใครๆ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอย่าง ยามาโมโตะ ทาเคชิ ถึงได้มาสนิทกับเด็กสาวต่างชาติที่ดูเข้ากับใครเขาไม่ได้แบบวาเลเรีย เสียงถกเถียงสงสัยของเด็กๆ ในห้อง หรือกระทั่งความแปลกใจของพวกผู้ปกครอง ไม่ว่าจะอะไรเธอก็ได้ยินอยู่เสมอ..เก็บมันเข้ามาไว้ภายในหัว แล้วก็ยังคงทำได้แค่นั่งคิดมากอยู่คนเดียว


           'เพราะสงสารล่ะมั้ง ก็เลยไปเล่นด้วย'


           เธออยากจะคิดว่าคำพูดพวกนั้นมันไม่จริง

           แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำไม่ได้..แค่เลิกคิดก็ทำไม่ได้..

           เพราะคำพูดที่เขาเคยเผลอหลุดพูดมันออกมา ก็ยืนยันเรื่องราวเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี

           

           'ก็ตอนนั้นเธอทำหน้าน่าสงสารจะตายไปนี่นา จะให้ปล่อยไปได้ยังไง'


           สำหรับเขาเเล้ว เธอก็คงเป็นแค่เด็กที่ถูกทิ้งไว้คนเดียว..น่าสงสาร..เสียจนปล่อยให้อยู่ตัวคนเดียวไม่ได้



    +


           วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกลงมาอย่างหนัก

           เด็กชายตื่นขึ้นมาเพราะเสียงฟ้าร้อง ใบหน้าของเขาดูซูบซีด ไม่เหมือนอย่างทุกที และก็เพราะพ่อของเขาเดินเข้ามาพร้อมกับจดหมายเล็กๆ ใบหนึ่ง ยามาโมโตะถึงต้องจำใจลุกขึ้นจากเตียงนอน ทั้งที่ไม่มีอารมณ์จะทำอะไรเลยตั้งแต่ทะเลาะกับเธอคนนั้น

           จดหมายสีขาวเรียบๆ ที่ดูไม่มีอะไร..แต่กลับมีบางอย่างสะดุดสายตาของเขา

           รูปวาดเมจิกเป็นเจ้าแมวหน้าตาหยิ่งจัด รูปวาดที่เขามักจะเห็นเธอคนนั้นนั่งวาดเล่นใส่สมุด แล้วบอกว่ามันเป็นแมวตัวโปรดที่เลี้ยงเอาไว้ที่บ้านเกิด คราวนี้มันถูกวาดเอาไว้ตรงหัวมุมจดหมายนั่น

           เขารีบแกะมันออกดู หัวใจเต้นเเรงขึ้นมาเพราะคาดหวังว่ามันจะถูกส่งมาจากเธอคนนั้น


           ด้านในภายในซองจดหมาย มีกระดาษมากมายถูกพับทบเก็บเอาไว้

           มันเหมือนกับกระดาษที่ถูกใช้งานแล้วขยำทิ้ง ทุกๆ ใบมีลายมือภาษาญี่ปุ่นหวัดๆ เขียนเอาไว้ ผสมไปกับภาษาอิตาลีที่เขาอ่านไม่ออก ทว่าใจความนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรไปเลย


           'ขอโทษ'

           ไม่ว่าจะใบไหน ก็มีแต่ข้อความแบบนั้นอยู่เต็มไปหมด

           ยกเว้นก็แต่ใบสุดท้ายนั่น..

           

           "อ้าวเฮ้?! จะไปไหนน่ะทาเคชิ!"

           "เดี๋ยวจะรีบกลับมาครับ!!"


           ฝ่าเท้าเล็กๆ รีบออกวิ่งไป เขาสลัดทิ้งทั้งรองเท้าผ้าใบที่ใส่ได้ไวไม่ทันใจเอาเสียเลย วิ่งโร่ตากฝนออกไปทั้งๆ แบบนั้น ในขณะที่มือก็กำกระดาษสีขาวเอาไว้แน่น

           ก็แค่หวังว่ามันจะทันเท่านั้นเอง


    +


           "จะไม่บอกอะไรเขาหน่อยเหรอ"

           ดวงตาสีม่วงลาเวนเดอร์แหงนขึ้นจากกระดาษแผ่นหนึ่งในมือของตน ลายมือชุ่ยๆ ถูกเบนความสนใจออกไปยังพี่ชายที่ยืนนิ่งมองเธออยู่ วาเลเรียเงียบไป ก่อนจะหยักไหล่ออกมาเเล้วทำทีท่าเหมือนกับว่าไม่ใส่ใจ

           "ไม่จำเป็นสักหน่อยนี่"

           เด็กหญิงขยับปากพูดตอบ เบนสายตาหนีไปทางอื่น เพื่อซ่อนหยดน้ำตาที่เริ่มซึมขึ้นมาเหมือนกับหยดน้ำฝนที่กำลังโปรยปรายตกลงมากระทบพื้นดิน


           "เวลล์"

           "...."

           "ถ้าทำแบบนี้ จะย้อนกลับไปไม่ได้เเล้วนะ"


           เรื่องแบบนั้น--เธอน่ะรู้ดีอยู่เเล้วน่า

           หยดน้ำสีใสไหลอาบแก้มขาวผ่อง ร่างเล็กสั่นสะอื้นทั้งที่พยายามจะไม่ร้องไห้ วาเลเรียกำกระดาษจดหมายชิ้นสุดท้ายภายในมือเเน่น กระดาษที่เธอบรรจงเขียนเอาไว้อย่างสวยงามที่สุดเท่าที่จะทำได้ว่า ลาก่อน

           ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ส่งมันไป ไม่ได้ส่งไปเลยแม้แต่ฉบับเดียว

           เพราะสายตาคู่นั้นภายในวันนั้น มันทำให้เธอกลัวว่าเขาอาจจะไม่อยากมองหน้าเธออีก


           "ไปกันเถอะ"


           เมื่อได้ยินพี่ชายเอ่ยเรียก ก็พยักหน้ารับอย่างเงียบงัน พับจดหมายใบนั้นเก็บเอาไว้ภายในกระเป๋า เลือกที่จะไม่ส่งมันไป เก็บคำเอ่ยลานั้นไว้ภายในใจ เพื่อที่ตัวตนของเธอนั้นจะได้เลือนหายไปจากเขาโดยสมบูรณ์

           ขอโทษที่เห็นแก่ตัว..ขอโทษที่ไม่เคยตอบแทนอะไรได้เลย..

           ขอโทษที่กระทั่งวันนี้ที่อาจได้เจอกันเป็นครั้งสุดท้าย ฉันก็ยังเป็นได้แค่เด็กขี้ขลาด..


           ไกลออกไป ภาพของวันคืนและความทรงจำถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง

           หากแต่สุดท้าย ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคงย้อนคืนกลับมา..ไม่อาจจะหลงลืมและยังเฝ้าฝัน..ว่าสักวันจะได้ย้อนคืนไปสู่ความสุขอันแสนล้ำค่าที่คุณนั้นได้มอบให้แก่กัน


    さようなら "

    .

    .

    .

    [ Now, it's too late. ]


           เขามาไม่ทัน

           ลมหายใจหอบสะท้าน เหมือนกับโลกแตกออกเป็นเสี่ยง หยดน้ำมากมายไหลอาบชุ่มร่างกาย ทำให้หนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจดวงน้อยที่ตอนนี้เต้นช้าลงเสียจนเเทบหยุดเต้น

           บ้านหลังเล็กที่เด็กคนนั้นเคยอาศัยอยู่..ในตอนนี้มันเป็นได้เพียงแค่สถานที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน


           มือของยามาโมโตะกำกระดาษแผ่นสุดท้ายเอาไว้ มันเป็นกระดาษที่เขียนไว้ด้วยลายมือสวยงามต่างจากแผ่นอื่น ๆ


           'พวกเรากำลังจะย้ายกลับไปที่อิตาลี'


           มันเป็นสิ่งที่พี่ชายของเธอคนนั้นบอกกับเขา..เเละก็เป็นชายหนุ่มที่เอากระดาษจดหมายมากมายมาให้กับเขา เพราะหวังว่าอย่างน้อย หากยามาโมโตะได้อ่านมัน เขาคงอยากจะพูดอะไรสักอย่างกับเธอบ้าง

           แต่ตอนนี้มันไม่ทันเเล้ว เธอไปแล้ว--โคโชนะ..วาเลเรียน่ะ ไม่ได้อยู่ที่นี่เเล้ว

           เธอไปจากเขา หนีเขาไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำเลยด้วยซ้ำ

           แม้แต่คำขอโทษพวกนี้ เธอก็เลือกจะขยำมันทิ้ง และมันคงไม่มีวันส่งมาถึงเขาได้เลย หากพี่ชายของเธอไม่ตัดสินใจจะเเอบหยิบมันออกมา แล้วเอามันมาให้ยามาโมโตะ


           "ฮึก.."

           ความรู้สึกบางอย่างกัดกินอยู่ในหัวใจของเขา

           ทั้งสับสน ทั้งไม่เข้าใจ


           ตั้งแต่วันที่เห็นเธอร้องไห้ เขาก็ไม่เข้าใจว่าเขาทำผิดอะไร

           มีเด็กคนหนึ่งบอกเขา ว่าวาเลเรียฝากมาบอกว่า ไม่อยากไปกับเขาเเล้ว แต่ทว่าเย็นวันนั้น เธอที่ควรจะกลับบ้านไปแล้วกลับยังยืนอยู่ตรงนั้น ร้องไห้ออกมาเเละเอ่ยปากบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร ทั้งที่ทำสีหน้าตัดพ้อเสียขนาดนั้น

           เขาเสียใจ แต่เธอก็ไม่เคยฟังเขาเลย..


           หรือเป็นเพราะว่าความจริงแล้ว เธอจะเกลียดเขาไปแล้วกันแน่นะ?


    __TBC?__


    ลักษณะการพูด : โทนเสียงของเธอจะทุ้มกว่าผู้หญิงด้วยกัน ติดแหบเล็กๆ แต่ก็ยังแฝงความหวานเอาไว้ มันไม่ได้ฟังดูรื่นหูหรือน่ารักเหมือนเด็กสาวคนอื่นนักหรอก บางครั้งเธอพูดเสียงเบา บางครั้งเธอก็พูดเสียงดัง และในขณะเดียวกัน คำพูดคำจาของเธอก็มักตรงข้ามกับความคิดอยู่บ่อยๆ นอกจากนี้บางครั้งก็พูดมากจนแม้แต่ตัวเองยังต้องแอบบ่นในความเวิ่นเว้อนั่นอยู่ตลอด เวลล์เป็นคนที่มีแปรปรวนในน้ำเสียงสูง แทบจะเดาได้เลยด้วยซ้ำว่าคิดอะไรอยู่จากแค่ฟังเธอพูด ไม่ใช่คนสุภาพ แต่ก็ไม่ใช่คนหยาบคาย เธอชอบแทนตัวว่า ฉัน และเรียกคนอื่นว่า เธอ / นาย / คุณ ไล่ไปตามอายุเเละความสนิทสนม สำหรับหางเสียง เวลล์ยกเว้นได้เป็นพิเศษสำหรับผู้สูงวัย แต่นอกจากนั้นก็ไม่เห็นจะเติมมันลงไปในรูปประโยคสักเท่าไหร่เลยแฮะ?


    Ex.

    (1) อารมณ์ปกติ

    ♠ ท่ามกลางผู้คนเป็นโขยง เวลล์ยืนเคว้งเติ่งอยู่คนเดียวในสภาพสายตาหลุกหลิก เด็กสาวยกมือขึ้น อ้าปากพะงาบ อยากจะถามใครสักคนถึงที่ทาง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามเพราะเหตุอะไรสักอย่าง เป็นแบบนั้นซ้ำๆ จนคนต้องเข้ามาทัก สาวน้อยกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ "คือ..ไม่รู้ว่าต้องยืนตรงไหน" เธอขยับปากพึมพำตอบกลับเบาๆ ยกยิ้มแหยขึ้นมาเพื่อหวังว่าพระเจ้าจะเมตตาเธอบ้าง..

    ♠ เสียงเอ่ยทักทายดังขึ้นเหนือหัว เด็กสาวกะพริบตาปริบ "อ้อ" อุทานออกมาเมื่อรู้ตัวว่าเธอนั่นแหละที่เขาพูดด้วย "อ่า--อืม หวัดดี" ตอบกลับไปแค่นั้น เเล้วก็ก้มกลับไปเล่นโทรศัพท์ต่อ ท่าทีเหมือนไม่อยากผูกมิตร ใครจะรู้ว่าในใจนั้นกรีดร้องดีใจไปสามบ้านเสียเเล้ว

    "เฮ้ย!" เสียงอุทานดังลั่นเล่นเอาทุกสายตาหันขวับมองเเทบไม่ทัน เวลล์หน้าซีดเผือด ยืนถือถาดอาหารในมือแล้วทำหน้าเเบบคนจะร้องไห้ เธอวางมันลง ทรุดตัวลงนั่ง ยกมือปิดหน้าเเล้วพึมพำกับตัวเองว่า "ลืมไปว่าหมอสั่งงดของทอด.." สรุปก็คือสั่งข้าวผิด..

    "อันที่สอง--ไม่ๆ สามดีกว่า..เอ่อ..หรือหนึ่งดี.." จากตอนแรกที่มั่นใจมากๆ ก็กลายเป็นไม่มั่นใจในภายหลัง เวลล์อ้ำอึ้ง มองของสามชิ้นที่อยากได้ไปหมดทั้งตาลายหมุนติ้วๆ ก่อนจะว้ากแตกออกมาว่า "โอ๊ย ไม่รู้ด้วยเเล้ว ซื้อมันให้หมดนี่เลยเนี่ยแหละ!!"

    ♠ "ไม่ใช่ซะหน่อย!" เด็กสาวแว้ดลั่น ปฏิเสธหน้าตาตื่นทันที ดวงตาเบิกกว้างเหมือนเห็นผี แต่ในขณะเดียวกันก็กลอกหลุกหลิกไปมา ท่าทีมีพิรุธซะจนคนถามได้แต่หรี่ตามองด้วยความตรัสรู้ในบางสิ่ง "อะ อันนี้..เอ่อ..แค่บังเอิญหยิบติดมา.." เชื่อก็บ้าเเล้วไหม---


    (2) อารมณ์เสียใจ / เศร้า

    ♠ ฝ่ามือกำหมัดเเน่นจนสังเกตเห็นข้อขาวขึ้นชัด ริมฝีปากของเด็กสาวขบกัดกันเเน่นเพื่อกลั้นอารมณ์ไม่ชอบใจ "เปล่านี่" เมื่อถูกถามว่าเป็นอะไร ก็เลือกจะปฏิเสธออกไปก่อนเบนสายตาหนี แต่ว่านะ ไม่ว่ายังไงเธอก็ปิดไม่มิดหรอก

    ♠ ไร้สุ่มเสียงใดจากคนที่เพิ่งเจอเหตุการณ์ไม่น่าพิสมัยมาก่อนหน้า เวลล์เพียงแค่ยกขาขึ้นมากอดเอาไว้แนบอก ใบหน้าสวยเเนบลงกับช่วงเข่า ไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลย ถึงอย่างนั้นดวงตาก็เศร้าหมอง มากซะเกินกว่าจะบอกได้ว่าปกติอยู่ดี

    "ปล่อย.." ริมฝีปากขยับพึมพำเบาๆ แขนเรียวพยายามบิดออกจากการจับกุม ความสั่นของน้ำเสียงทำให้เธอนึกอับอายจนใบหน้าขึ้นสีฉาดไปจนถึงลำคอและใบหู น้ำตาสีใสๆ คลอหน่วงอยู่ตรงหางตา แต่ก็ถูกปาดออกได้ซะก่อนที่มันจะไหลออกมา พร้อมกับความอดทนที่หมดลงของเธอเอง "บอกว่าให้ปล่อยไงเล่า!!"


    (3) เขิน / ดีใจ

    ♠ เหมือนกับสมองของเธอหยุดทำงานไปชั่วขณะ เวลล์สัมผัสได้ถึงความร้อนเห่อที่เข้าเล่นงานพวงแก้มทั้งสองข้าง เด็กสาวรีบหลบตา พยายามเเสร้งทำเป็นไม่รู้สึก แต่มือไม้กลับสั่นระริก ไม่พอคนข้างตัวยังมาวอแวให้สติเธอเตลิดเข้าไปใหญ่อีกต่างหาก "ยะ อย่ามายุ่งกับฉันน่า!" เด็กสาวยกแขนขึ้นกันอีกฝ่ายออก กลั้นหายใจสุดฤทธิ์ตอนถูกยื่นหน้าเข้ามาใกล้เเบบนั้น

    ♠ รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นโดยที่แม้แต่เจ้าตัวยังไม่ทันรู้สึก ร่างผอมสะดุ้งโหยงตอนที่ถูกทักถึงรอยยิ้มนั้น ใบหน้าขาวขึ้นสีระเรื่อ ก่อนลิ้นเล็กจะรีบเอ่ยปฏิเสธพัลวันทันที "ฉันเปล่าซะหน่อย บ้าเหรอ--ใครจะเขินกัน" ว่าแต่ยังไม่มีคนพูดว่าเธอเขินเลยไม่ใช่เหรอ..

    "โธ่เอ๊ย.." เวลล์ทรุดลงไปนั่งยองๆ อยู่กับพื้น เธอใช้สมองปิดหน้าตัวเองเอาไว้ เสียงร้องฮือดังเล็ดรอดออกมาเบาๆ "ทำยังไงดี..รู้สึกเหมือนจะตายเลย.." (translet :: เขินจนใจจะระเบิดตายคาอกเเล้วจ้า---)

    ♠ เมื่อได้รับสิ่งของมาจากอีกฝ่าย ความอุ่นวาบก็แล่นไปทั่วหัวใจ เวลล์ขยับยิ้มขึ้นอีกครั้ง ลูบมันด้วยความทะนุถนอม ทว่าเมื่อรู้สึกตัวว่าเผลอแสดงท่าทางไม่เหมือนเคยออกไป เธอก็ลุกลี้ลุกลนรีบหลบสายตาทันที "ไม่ใช่ว่าจะดีใจอะไรขนาดนั้นหรอกนะ" สาวน้อยยู่ปากพึมพำ แต่ก็ห้ามยิ้มไม่อยู่ซะจนปวดแก้มไปหมดซะเเล้วตอนนี้


    ชอบ : 

    ♠ อาหารเส้น ; จำพวกพาสต้า ถ้ากินกับซอสมะเขือเทศจะยิ่งชอบ

    ♠ อากาศหนาว ; เป็นพวกขี้ร้อนก็เลยชอบสถานที่หนาว ๆ

    ♠ ชีส ; อร่อยดี เธอชอบรสชาติเค็มๆ แบบนั้นเเหละ

    ♠ แมวที่เลี้ยงไว้ ; เพราะว่ามันน่ารัก เเละเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ (ยามาโมโตะอย่าร้อง----)

    ♠ หนังสือ ; ไว้อ่านยามว่าง บางทีก็อ่านE-Bookก็ได้ เธอโอเคหมดนั่นแหละ

    ♠ งู ; รสนิยมของเธอบอกว่ามันน่ารัก---

    ♠ ผลไม้ ; อร่อยมาก ไม่ว่าชนิดไหนก็อร่อย อร่อยที่สุดในโลกเลย T///T


    ไม่ชอบ :

    ♠ ถูกล้อมด้วยคนเยอะๆ ; มันประหม่าน่ะ..

    ♠ การแนะนำตัว ; ....... (ก็จะไม่พูดว่าเขิน)

    ♠ อยู่คนเดียว ; มันเหงานะ..แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นิสัยเเบบเธอมันก็หาเพื่อนยากเอาเรื่องเลยนั่นแหละ..

    ♠ แดดจ้า ; ผิวเธอค่อนข้างไหม้ง่ายไปสักหน่อย อยู่กลางเเดดเเล้วแสบผิวน่ะ

    ♠ อาหารรสชาติจืด ; เช่นพวกข้าวต้ม..อะไรพวกนั้น

    ♠ ปลาหมึก ; เคยโดนบังคับให้กินหมึกสด..หลังจากนั้นก็คือกินไม่ได้อีกเลยทั้งสด ทั้งสุก..


    กลัว :

    ♠ ถูกเกลียด ; เพราะแคร์สายตาพวกนั้นมากเกินไป หัวใจจึงเป็นแผลยับเยินเสมอ.. ( ผลกระทบต่อจิตใจ :★ )

    ♠ ค้างคาว ; ยังไงดี..เธอไม่เคยเจอตัวจริงหรอก แต่เห็นในสารคดีบ่อยๆ เเล้วรู้สึกไม่ไหวอ่ะ.. (ผลกระทบต่อจิตใจ : ★)


    แพ้ : -


    เพิ่มเติม :

    ♠ ปากบอกว่าเกลียดนิยารักปรัมปราทั้งหลาย แต่ดันชอบซื้อ E-book มาอ่านบ่อยๆ ซะอย่างนั้น..

    ♠ ความจริงเเล้วร่างกายของเวลล์ไม่ค่อยแข็งแรง เธอป่วยบ่อย เดี๋ยวก็เป็นหวัด เป็นไข้ เป็นโรคกะเพราะ ถ้าจะบอกว่าเข้าออกโรงพยาบาลได้เรื่อยๆ ก็ไม่แปลกหรอก แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดจะตายวันตายพรุ่งเหมือนกัน

    ♠ มักโดนคุณหมอสั่งห้ามกินโน่นกินนี่บ่อยๆ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าค่อนข้างเป็นเลือกกินเลยทีเดียว

    ♠ เล่นกีฬาไม่ได้ เหตุเพราะร่างกายและเจ้าตัวนั้นไม่ชอบแดด

    ♠ ผิวขึ้นรอยช้ำง่ายมาก บีบแรงๆ ก็แดงเเล้ว..

    ♠ คนพี่น่ะรักและหวงน้องมากเลยล่ะ---

    ♠ เลี้ยงแมวไว้หนึ่งตัว ชื่อว่า รอสโซ่ มันเป็นแมวเพศผู้พันธุ์ซิมริค นิสัยค่อนข้างหยิ่งผยองกับทุกคนเว้นแต่เจ้านายตัวน้อยของตน มักจะรู้เสมอว่าตอนไหนที่เวลล์รู้สึกเศร้า เเละมันก็มักจะมาคลอเคลียหล่อนเพื่อปลอบประโลมความเศร้านั้นเป็นประจำเช่นกัน ; Im.

    ♠ ทุกวันนี้ก็ยังจำเรื่องของยามาโมโตะได้ดีทุกอย่าง แม้ปากจะบอกกับพี่ของเธอเสมอว่าไม่สนเเล้วก็ตาม..

    ♠ ความจริงแล้วโรเรนซ์หรือว่าพี่ชายของวาเลเรียนั้น เป็นลูกชายบุญธรรมของบ้าน ดังนั้นจึงมีอายุเยอะกว่าวาเลเรียมากๆ นั่นเอง

    ♠ ไทม์ไลน์ชีวิตคือ [ ย้ายไปญี่ปุ่น : 8ขวบ - ตีกับยามะ (?) + กลับอิตาลี : 12ปี - กลับมาเรียนต่อม.ปลายที่ญี่ปุ่นตอนปีสุดท้าย เพราะพี่ชายอยากมาเปิดร้านเบอเกอรี่ที่นี่ : 18ปี ]


    ____________________________________________

    }} Tip Special {{


    จากเหตุการณ์วันต้นเรื่อง (?) คราวนั้น จะพบว่ามีเด็กคนหนึ่งที่เป็นฉนวนของเรื่องอยู่ เขาเป็นเด็กที่ค่อนข้างเงียบและไม่สุงสิงกับใครไม่ต่างจากวาเลเรียเลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อได้เห็นยามาโมโตะสนิทกับเด็กใหม่มากมายขนาดนั้น ก็เลยอดจะคิดขึ้นมาว่าไม่เห็นจะถูกต้องเลยเสียไม่ได้ และบางทีลึกๆ ในจิตใจของเขา ก็คงกำลังร้องตะโกนบอกว่ามันไม่ยุติธรรมอยู่แน่ ๆ.. 


    อย่างไรก็ตาม เขาเป็นคนเดียวกับที่บอกวาเลเรียว่ายามาโมโตะทิ้งเธอเพื่อไปกับเพื่อนๆ ชมรมเบสบอล

    และก็เป็นคนที่ยังคงนึกรู้สึกผิดกับความเด็กน้อยในตอนนั้น ทุกครั้งที่ได้เจอหน้ายามาโมโตะอีกด้วย


    Data :: Daijima Yuzuki [18 yrs.] 

    Male / Japanese (1/4 American)

    [ Image ]

    ______________________________________________
    O T H E R  P R O F I L E
    ______________________________________________


    Rorenz Francesca [34 yrs.]
    Status :: Alive, Vareleia's older brother / Italian
    {{ stick, cool but always love his sister }}

    _______________________________

    Talk Character

    _______________________________


    Question ; คุณเชื่อในความบังเอิญหรือไม่


    Answer ; ดวงตาคู่งามเหลือบมองผู้ถาม เพียงแค่คำถามเเรกก็สร้างความรู้สึกประหลาดขึ้นมาเสียเเล้ว เวลล์นิ่งเงียบอยู่ครู่ขณะ เธอไม่ค่อยอยากจะตอบคำถามที่รู้สึกว่ามันฟังทะเเม่งๆ แปลกๆ แบบนั้นสักเท่าไหร่ ทว่าสายตาที่จ้องมองมา ก็ทำให้ได้แต่ถอนหายใจอย่างยอมแพ้ "ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเชื่อนี่" ริมฝีปากขยับตอบเชิงพึมพำเบาๆ "ยังไงซะทุกๆ เรื่องราว มันก็เกิดขึ้นมาได้เพราะความตั้งใจไม่ว่ามากก็น้อยของใครสักคนทั้งนั้นแหละ"


    Question ; แล้วคุณเชื่อในความรักหรือเปล่า


    Answer ; "ถามแต่อะไรแปลกๆ นะคุณน่ะ" เด็กสาวตอบกลับพลางมุ่ยหน้า "สำหรับคำตอบก็..เอิ่ม ไม่รู้สิ สำหรับฉันมันก็ไม่ได้สรุปได้จำเพาะเจาะจงขนาดนั้นหรอก ไอ้เรื่องเชื่อหรือไม่เชื่อน่ะ" เวลล์ตอบพลางยกมือขึ้นยีหัวตัวเองไปมา เธอมีสีหน้ายับยุ่ง บ่งบอกให้รู้ว่าตัวเองก็ไม่รู้จะตอบคำถามนี้ให้ตรงประเด็นได้อย่างไรดี "ไม่คงเพราะตอนนี้ฉันไม่มีความรัก เลยไม่รู้สึกอยากจะเชื่อก็ได้ บางทีถ้าพรุ่งนี้เจอใครสักคนที่ทำให้รู้สึกตกหลุมรัก ฉันก็คงเชื่อมันเองนั่นแหละ" เธอสรุปในท้ายสุด ถอนหายใจซ้ำพลางบ่นพึมพำอะไรสักอย่าง เหมือนจะรู้สึกว่าตัวเองพูดมากไปหน่อยเเล้วสิเมื่อสักครู่..แย่จริง..


    +

    _______________________________

    Talk Parent

    _______________________________


    สวัสดีค่ะะะะ เราชื่อไอซ์ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ!

    ; รันรันคนเดิม คนนี้นั่นเอง เอง เอง


    ขอคำนิยามของลูกสาวหน่อยค่ะ

    ; ห้าวไว้ก่อน พี่สอนไว้---/แค่ก. ขอโทษค่ะ 555555 คนนี้ก็นิยายสั้นๆ ไปว่า เด็กดื้อ เลยก็ได้ค่ะ หาอะไรมาเปรียบให้เหมาะไปมากกว่านี้ก็ไม่น่าจะมีเเล้ว 55555


    ทำไมถึงเลือกรูทนี้เหรอคะ

    ; เพราะรูทนี้มีพระเอกที่ชื่อ ยามาโมโตะ ทาเคชิ ค่ะ แต่อย่างที่บอกว่าไม่ถนัดคาร์ฟรีฯจริงๆ เพราะงั้นรันฝากวิจารณ์สับยับๆ ไปเลยนะคะคุณไอซ์ ฮา TvT


    บางรูทมีแบดเอนด์ ตัวละครตาย ถ้าตัวละครนั้นเป็นลูกสาวของคุณผู้ปกครองจะรับได้ไหมคะ

    ; รับได้ค่ะ <3


    หนึ่งรูทจะมีไม่เกิน 5 - 6 ตอน โอเคหรือเปล่ากับการแต่งแบบนี้ไม่ใช่เรื่องยาวๆ พล็อตสเกลใหญ่

    ; ไม่มีปัญหาค่า ถ้าเนื้อเรื่องดี สั้นหรือยาวเราก็รักค่ะ ♥


    จะพยายามไม่ดองนะคะ เอาล่ะ ขอให้โชคดีค่ะ!


           
    Z Y C L O N
       
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×