คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #40 : adventurer
อายุ: 20 ปี
รูปร่างลักษณะ: รูปร่างลักษณะที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องตื่นตะลึงเเละถอยห่าง เส้นผมสีเงินยวงดูเข้ากันได้ดีกับโครงหน้าคม มันยุ่งเหยิงเล็กน้อย แต่ก็ประหลาดดีที่สัมผัสนุ่มฟูเหมือนขนสัตว์ให้ความรู้สึกน่าสัมผัส ถึงอย่างนั้น เพียงเเค่ได้เห็นแววตาดุจัดกับขอบตาคล้ำๆ เข้าก็คงไม่มีใครกล้าลูบหัวเขาเล่นเป็นแน่ ดวงตาสีเขียวเทาดูตายด้านไม่สนรอบด้าน จมูกโด่งจัดตามกรรมพันธุ์ ริมฝีปากหยักหนาซีดเผือดพอ ๆ กับสีผิว ข้อเสียเดียวของใบหน้าคือเขาไม่ได้มีคิ้วแบบชาวบ้าน (บอกตรง ๆ ว่าคนมาเห็นก็แอบขำตอนแรก แต่เจอหน้าโหดๆ แบบนั้นเเล้วก็ขำกันไม่ออกนักหรอก..) รูปร่างใหญ่แบบที่สามารถทำให้คนไซส์มาตรฐานกลายเป็นคนแคระได้เลย มือเขาใหญ่มาก บนผิวซีด ๆ นั่นคุณจะสังเกตเห็นเส้นเลือดตามเเขนและลำคอได้อย่างชัดเจนเลยล่ะ ( 190ซม. l 89กก. )
ลักษณะนิสัย:
• S I L E N T
อาเลซซิโอ ไซน์
เขาเปรียบเสมือนตัวตนของความเงียบสงัด ไม่ว่าจะฝีเท้า
การขยับเคลื่อน หรือแม้กระทั่งการสื่อสาร ทุกอย่างล้วนไร้สุ่มเสียงได้อย่างน่าอัศจรรย์
อย่างแรก เขาเป็นคนฝีเท้าเบา มีการเคลื่อนไหวที่ถึงจะกระฉับกระเฉงว่องไว
แต่ก็ระมัดระวังตัวตลอด ทำให้ไม่เกิดเสียงอะไรรบกวนหรือถึงขั้นไม่มีเสียงเลย
แต่โดยปกติแล้วคนทั่วไปจะไม่คุ้นชินกับการเคลื่อนไหวแบบนี้ ดังนั้นอาเลซซิโอจะพยายามเดินให้เกิดเสียงอยู่บ้าง
เผื่อว่าเวลาต้องเข้าหาใครจะได้ไม่ทำอีกฝ่ายหัวใจวายตายไปซะก่อน
โดยพื้นฐานแล้วเขาเป็นคนไม่พูด
— เป็นความหมายที่ว่า ไม่พูดเลยจริง ๆ อาเลซซิโอเงียบปากเก็บคำตลอดเวลา
มากเสียจนคนเขานึกว่าเป็นใบ้ แต่ตามความจริงแล้วอาเลซซิโอปกติดีทุกอย่างในเรื่องของกายภาพ
ที่เขาไม่พูดก็แค่เป็นเพราะว่าเขาไม่ต้องการจะพูด หากจะต้องพูด เขาก็สามารถสื่อสารออกมาได้
เพียงแค่จะมีสำเนียงที่ไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่
อันเป็นเพราะการที่ไม่เจ้าตัวไม่ยอมพูดสื่อสารกับใครนั่นเอง
ปกติอาเลซซิโอจะสื่อสารกับคนอื่นด้วยภาษามือ หรือไม่ก็การเขียนลงบนกระดาษซะมากกว่า เขายังได้ยินชัดเจนดี ที่เหลือก็แค่การเขียนตอบโต้เท่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้น อาเลซซิโอไม่มีปัญหากับการสื่อสารทางจิต ดูเหมือนว่าสิ่งเดียวที่เขาต่อต้านก็คงเป็นเรื่องการพูดออกเสียงในชีวิตประจำวันเท่านั้น
•
A T T E N T I O N
มักจะให้ความสนใจกับสิ่งรอบตัวอยู่เสมอ
ต่อให้ท่าทีจะเหมือนพวกไม่สนอะไรเลยก็ตาม เป็นคนแรก ๆ ที่จะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ
หรือร่องรอยอะไรบางอย่าง เขามีสายตาที่ดี
ข้อดีอย่างหนึ่งของอาเลซซิโอคือการใส่ใจรายละเอียด เป็นพวกละเอียดอ่อนผิดกับขนาดตัว
นอกจากนี้ยังใจเย็นมาก ไม่แม้แต่จะรำคาญอะไรได้ง่าย ๆ
(เว้นแต่บางเรื่องที่เขาไม่ชอบจริง ๆ) เลยด้วยซ้ำ
คนส่วนมากมักคิดว่าหน้าตาแบบนี้คงโมโหร้าย
น่ากลัวจนไม่ควรทำให้โกรธ แต่ถ้าเทียบกันตามตรง อาเลซซิโอเหมือนกับพวกคุณหมีตัวโตที่ไม่ได้มีพิษสงผิดกับหน้าตาซะมากกว่า
ตามหลักแล้ว อาเลซซิโอจะไม่หาเรื่องใครก่อนทั้งนั้น
ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร หรือมองหน้ามันครั้งแรกจะไม่ชอบ สิ่งที่เขาทำก็มีแต่การหลีกเลี่ยงไม่ไปยุ่งเกี่ยวด้วย
ในความคิดของเขา การไปวุ่นวายกับของที่เกลียดนั้น คือการใช้เวลาล้างผลาญแบบหนึ่ง
มันจึงส่งผลให้เขาไม่ชอบให้ใครมาหาเรื่องเขาก่อนเช่นกัน ถ้าขอโทษได้ก็จะก้มหัวขอโทษให้จบ
ๆ กันไปเลย
เพราะรักความสงบพอสมควร
เวลาไปอยู่แปลกที่แปลกคนเลยชอบนิ่งไว้ก่อน ประมาณว่าเก็บข้อมูลแล้วค่อยเริ่มขยับตัว
อาเลซซิโอเรียนรู้ไว ทั้งในเรื่องของการศึกษา การใช้เวท
หรือว่าการเรียนรู้ผู้คนก็ตาม เก่งในเรื่องการพิจารณานิสัยคน
แล้วก็คิดว่าถ้าเป็นแบบนั้นจะเข้ากับตัวเองได้ไหม ถ้าอาเลซซิโอพบว่าอยู่ด้วยกันไม่น่ารอด
เขาก็จะไม่ยุ่งด้วย รวมถึงไม่คิดสานสัมพันธ์ใด ๆ ด้วยเช่นกัน
คนจำพวกที่เข้ากับอาเลซซิโอไม่ได้ นั่นคือพวกช่างจ้อ ช่างเซ้าซี้ ตื๊อไม่เลิก และไม่รู้ว่าเวลาไหนควรเวลาไหนไม่ควรพูด เอาง่าย ๆ ก็คือพวกปากวอนนั่นแหละ อ่า ใช่..ถ้าหัวร้อนเกินไปก็อยู่กับเขาไม่ได้เหมือนกัน..เพราะหน้าตาเขามันไม่ค่อยเป็นมิตรกับชาวบ้านน่ะสิ
•
E X P R E S S I O N
เป็นพวก lack
of emotion ที่แท้ การแสดงออกทางใบหน้าติดลบมาก ๆ
นอกจากนี้ยังไม่ยอมพูดอีก คนอื่นเลยเดาไม่ออกเลยว่าตอนนั้นเขาคิดอะไรอยู่
อาเลซซิโอชอบทำตาตายด้าน หน้านิ่ง ปากเรียบตึงจัดตลอดเวลา แต่เรื่องการแสดงออกด้านภาษากายยังชัดเจนอยู่
เช่นการกลอกตาเวลาครุ่นคิด หรือการหยักไหล่ ไม่ก็ส่ายศีรษะปฏิเสธ
สรุปได้คือเขาไม่สามารถสื่อสารเรื่องอารมณ์ได้ แต่ก็ไม่ได้ไร้ชีวิตเป็นหุ่นปั้นเช่นกัน
แล้วถ้าถามว่า
ภายนอกไม่แสดงออก ภายในล่ะเป็นอย่างไร? ก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่นัก — อารมณ์ขัน ความโกรธ
สองอย่างหลักนี้คือเรื่องทางอารมณ์ที่หาได้ยากจากอาเลซซิโอ
โดยเฉพาะอย่างแรก เขาไม่เก็ทมุกตลกของชาวบ้านเท่าไหร่นัก ขำไม่เป็น
แต่ก็ไม่ได้จริงจังซีเรียส พูดว่าสบายไปเรื่อยคงจะชัดกว่าโข
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าอาเลซซิโอจะโกรธใครไม่เป็น ขอแค่จี้ให้ตรงจุด หมีพูก็สามารถกลายเป็นหมีกริซลีได้ สำหรับอาเลซซิโอ การไปยุ่มย่ามกับความชอบของเขาคือการจุดชนวนระเบิดอย่างหนึ่ง และการกล่าวเสียหายถึงมารดา ผู้มีพระคุณ และเพื่อนก็คืออีกชนวนอันตรายอย่างหนึ่ง ตอนที่เขาโกรธ อาเลซซิโอก็ยังคุมสติตัวเองได้ดี เพียงแค่ว่าเขาจะไม่ฟังใครเลย มุ่งเน้นไปที่เป้าหมายเท่านั้น ซึ่งโดยส่วนมากก็คือการพยายามทำให้คนที่เขาโกรธไสหัวไปให้พ้นหน้า ไม่ก็เอ่ยคำขอโทษสำหรับการมาแตะต้องคนสำคัญของเขาเป็นต้น
• I N T E R E S T E D I N
มีความสนใจที่ชัดเจน เป็นเอกลักษณ์ ไม่เอนไปตามกระแส อาเลซซิโอเป็นจำพวกไม่สนกระแสสังคม
สายตาคนรอบตัวไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด อันที่จริงเขาไม่ได้สนมันด้วยซ้ำนะ
ด้วยพฤติกรรมที่แสดงออกตลอดเวลาก็ค่อนข้างประหลาดระดับที่ว่าคนเขาพูดถึงกันตลอดอยู่แล้ว
ดังนั้นเขาจึงมีภูมิต้านทานต่อเสียงซุบซิบและสายตาซ่อกแซ่กได้ดีมากเลยทีเดียว
สกิลเมินสูงมากจนน่าใจหายเลยล่ะ
ของที่อาเลซซิโอสนใจส่วนมากจะเป็นไปในทางเดียวกัน คือพวกเรื่องประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญา ภาษา ศาสตร์ทางสังคม
ไม่ก็ทักษะการใช้ชีวิต การแกะรอย การเดินป่า ปืนเขา อะไรเทือก ๆ นั้น อาเลซซิโอมักสนุกไปกับเรื่องพวกนั้นได้อย่างไม่รู้จักเบื่อ
(แต่แน่นอนว่าหน้าตาไม่บ่งบอกความสนุกเลยสักกะเสี้ยว..) เวลาจะหลอกล่อหรืออยากทำข้อตกลงอะไร
ก็ต้องใช้เรื่องพวกนี้มาล่อล่ะนะ ถ้ามันแลกกันได้ เขาก็พร้อมทำข้อตกลงเสมอ
แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าไม่สน ก็คือไม่สนเลย เมินเก่ง อ้อเหรอเก่ง อาเลซซิโอไม่ใช่พวกที่เปลี่ยนความชอบของตนไปมา เขาไม่มีปฏิกิริยากับของที่ตนเองไม่ชอบ พอ ๆ กับแสดงปฏิกิริยาชัดเจนกับของที่ชอบ สมมติว่าถ้าเขาบอกว่า ไม่สน ไม่เอา ไม่แคร์ ไปแล้ว ก็แปลว่าต่อให้โน้มน้าวหรือรอจนชาติหน้า เขาก็จะไม่มีวันเปลี่ยนใจแน่นอนนั่นเอง
• T R Y I N G
ลักษณะไทป์จำพวกที่ว่าจะทำทุกอย่างให้เสร็จโดยรวดเร็วรวมถึงมีประสิทธิภาพ
สำหรับอาเลซซิโอ เขาชอบให้งานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย
จากนั้นก็ไปเล่นไปทำบ้าทำบอตามใจตัวเองไป เอาจริง ๆ เขาเป็นคนขี้เกียจนะ
ถ้านอนโง่ ๆ ได้ก็นอน ดังนั้นเลยรีบ ๆ ทำงานให้มันเสร็จไปจะได้มีเวลาว่างมานอนไง
เพิ่มเติมคือไม่ชอบการทำงานแบบสุกเอาเผากินนัก มันน่าเกลียดนะ..อย่างน้อยได้งานมาแล้วก็น่าจะทำให้ดีนี่นา?
นอกจากนี้แล้ว
อาเลซซิโอก็มีความพยายามที่ดี — ถ้ารับงานมาแล้ว
หรือไปรับปากใครเขาว่าจะทำ อาเลซซิโอก็จะพยายามให้ดีที่สุด อย่างน้อยก็ให้มันเข้าข่ายคำว่า
ดี สำหรับงานชิ้นนั้น ต่อให้เขาอาจจะไม่ถนัดหรือไม่เป็นในด้านนั้นเลย
เขาก็จะใช้การค้นหาเพิ่มเติม ศึกษานอกกรอบ และอื่น ๆ
เขามาช่วยกลบความไร้ประสบการณ์ของตัวเอง เอาง่าย ๆ ก็คือแค่อยากให้งานออกมาดูดีแค่นั้นแหละ
ค่อนข้างไปทางเพอร์เฟคชั่นนิสต์ แต่ถ้าสุดท้ายแล้วทำไม่ได้
เขาก็ไม่อะไรหรอก ก็คนเรามันเก่งไปหมดทุกด้านไม่ได้นี่นา
ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาไม่ใช้กฎนี้กับคนอื่นนอกจากตัวเอง ถ้าเจอคนทำงานชุ่ย ๆ หรือไม่พยายามจะทำ ก็ไม่ไปวุ่นวายกับใคร รวมถึงไม่บอกว่ามันดีด้วย สมมติว่าต้องคอมเมนต์ ก็จะบอกตามตรงเลยว่าไม่ดี ความคิดตรงและคมกริบ ไม่ค่อยถนอมใจเท่าไหร่นักเวลาต้องออกความเห็น เพราะถือว่าปกติตัวเองไม่พูดอยู่แล้ว ถ้ามาขอให้พูด (เขียน—) จริง ๆ ก็ต้องรับให้ได้ ไม่ใช่มาโวยวายทีหลังว่าเขาใจร้าย อาเลซซิโอไม่ค่อยชอบพวกไม่ยอมรับความจริงเท่าไหร่หรอก จากใจเลย
• L E A R N I N G
การเรียนรู้ได้ไวทำให้เข้าใจเรื่องต่าง
ๆ ได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่อาเลซซิโอไม่ใช่ศิษย์จำพวกรู้อยู่แล้วก็ปล่อยแพ
ไม่สนใจจะฟังอาจารย์ อาเลซซิโอแปลกนิดหน่อยตรงที่ว่า ถ้ามันเป็นวิชาที่ต้องเรียน
ต่อให้รู้อยู่แล้ว ก็จะนั่งฟังนั่งเรียนอย่างใส่ใจอยู่ดี
รวมไปถึงการฟังอะไรสักอย่าง ถ้าเข้ามาคุยด้วยบ่อย ๆ ก็จะรู้ได้ว่าอาเลซซิโอได้สิบเต็มในเรื่องของมารยาทการฟัง
เผลอ ๆ อาจจะตั้งใจฟังมากกว่าพวกคนทั่วไปด้วยซ้ำ
เรื่องเศร้าอย่างหนึ่งนั่นคือ
คนทั่วไปมักไม่กล้าเข้ามาคุยกับเขา เอาตรง ๆ แค่เขาเผลอปรายตามองยังพากันหลบตาเดินหนีกันจ้าเลย..อาเลซซิโอเข้าใจในเรื่องที่ว่าภาพลักษณ์เขามันไม่น่าเข้าหานะ
แต่โดนเดินหนีใส่บ่อย ๆ นี่มันทำเอาเซ็งเหมือนกันนี่สิ..
พอตัดประสาทไปหนึ่งอย่าง (การพูด) ด้านอื่น ๆ ก็พัฒนาได้ดีจนน่าใจหาย แลกกับสำเนียงประหลาดกับการพูดศัพท์ไม่ได้บางคำ (แต่เขาเขียนได้ดี ดังนั้นไม่มีปัญหาเรื่องการสื่อสารไม่เข้าใจแน่นอน) เรื่องการฟัง การคิด เขาทำได้ดีกว่าเด็กทั่วไป ขณะเดียวกัน การถ่ายทอดก็ถือว่าใช้ได้ ถ้าไม่คิดมากเรื่องครูชั่วคราวคนนี้ไม่พูดเลย ก็จะพบว่าอาเลซซิโอสอนได้ดีในระดับหนึ่ง เขารู้จักการจัดการข้อมูล การสื่อสารก็ด้วย บางทีถ้าใช้ภาษาเขียนอย่างเดียวไม่รอด ก็จะทำท่าทางบ้าง วาดรูปบ้าง ซึ่งก็ไม่เลวเลยล่ะ
• K I N D L Y
ผู้คนชอบบอกว่าอาเลซซิโอเข้าถึงได้ยากและน่ากลัว
ซึ่งในความจริง ถึงเขาจะรักษาระยะห่าง แต่ก็ไม่เคยขีดเส้นแบ่งกับใครเลย
เหมือนกับว่าเขาแค่เว้นระยะไว้เพื่อความสบายใจของหลาย ๆ ฝ่าย ในอดีต
อาเลซซิโอเคยทำให้คนใกล้ตัวอึดอัดใจจนถึงขั้นกลายเป็นเกลียดเขา
บางทีนั่นอาจทำให้เขานึกกลัวว่ามันอาจจะเกิดเรื่องแบบนั้นอีก พอ ๆ กับการที่เขาไม่ต้องการจะเปลี่ยนตัวเอง
นั่นทำให้เขาเลือกจะสร้างระยะขึ้นมาในท้ายสุด
และอาเลซซิโอเองก็ไม่ใช่คนใจจืดใจดำอะไรเลย
เขาให้ความช่วยเหลือได้ ตราบใดที่ไม่มากจนเกินไปหรือทำให้เขาเดือดร้อน
เอาตรง ๆ ถ้ากล้าพอมาขอความช่วยเหลือเขา รวมถึงมีเหตุผลดี ๆ
อาเลซซิโอก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะปฏิเสธไปทำไม
มีมุมน่ารัก ๆ อยู่บ้าง เช่นความชอบอย่างหนึ่ง อาเลซซิโอชอบสัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างลูกแมว ขนาดพอดีมือ ชวนให้ทะนุถนอม และเขาเองยังรู้วิธีการถนอมพวกมันอย่างดี เหมือนกับการถนอมใครสักคน ไม่ใช่แค่สัตว์แต่ยังรวมถึงคน เวลาคนรู้จักป่วยไข้ ก็สามารถคอยดูแลให้ได้เสมอ แถมยังทำได้ดีมากเสียด้วย
• R A T I O N A L
เหตุผลเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับการตัดสินใจของอาเลซซิโอ
เขาไม่ใช่คนหัวรั้น หัวดื้อ จริงอยู่ว่าอาจจะมีบางครั้งที่แสดงอาการขัดค้าน
ไม่ชอบใจออกมา ในตอนนั้นขอแค่หาเหตุผลดี ๆ
ที่มันส่งไปทางผลประโยชน์ มากกว่าเสียหรือทำเท่าทุน อาเลซซิโอก็จะรับฟังคุณเอง
เขาเป็นคนมีเหตุผลนะ คุยกันด้วยสติและสมองได้ ส่วนพวกที่มาใช้อารมณ์กับเขาอันนี้ก็คือต้องไปนอนก่อน
ไม่งั้นจะได้โดนเขาโบกคว่ำเอาน่ะสิ —
แต่บางครั้งก็ใช้เหตุผลมากเกินไป
จนขาดสมดุลเรื่องอารมณ์ เลยอาจทำให้คนอื่นรู้สึกแย่
รู้สึกไม่ดีกับตัวเองบ่อย ๆ เป็นข้อเสียที่อาเลซซิโอพยายามปรับปรุง แต่ทำได้ไม่ดีนักเพราะตัวเขาเองก็บกพร่องเรื่องอารมณ์มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว
เวลาทำให้ใครเสียใจ อาเลซซิโอเองก็รู้สึกแย่ตามเหมือนกัน แค่ว่าหน้าเขาไม่แสดง
สายตาไม่บ่งบอก คนเลยนึกว่าเขาตายด้านไม่รู้สึกอะไร
เป็นข้อด้อยร้ายแรงอย่างหนึ่งของเขาเลย
เว้นกับบางคน ถ้าสนิทกันมาก ไม่ก็เห็นกันมาแต่ไหนแต่ไร จะสังเกตได้ว่าการแสดงออกของเขาจะแปลกไปในเวลาที่รู้สึกไม่ดี กำลังเศร้า หรือในตอนที่รู้สึกเสียใจ นั่นคือการแสดงออกทางกายภาพที่เชื่องช้าลง การพยายามหลบหน้าผู้คน ทั้งที่ปกติจะเมินเฉยเอาเสียมากกว่า อาเลซซิโอไม่ค่อยกล้าสบตาใครเวลารู้สึกผิด เขาเป็นแบบนั้นบ่อย ๆ ตอนกำลังโกหก เขาเลยโกหกไม่เก่งแบบสุด ๆ แบบที่ว่าแค่คิดจะทำก็โดนจับได้แล้ว
• F O R G I V E
โกรธยาก
(ถ้าจี้ไม่ถูกจุด) และยังหายยาก — เผลอ ๆ จะไม่มีวันหายเอาเลยด้วยซ้ำ
ถ้ายังเป็นขั้นทั่วไปอย่างแค่ทำให้รำคาญ ถ้าไม่ทำตัวแบบนั้นอีก แป๊ป ๆ
เดี๋ยวก็หายเอง แต่เรื่องโกรธกันนี่มันคนละเรื่องเลย
การจะทำให้อาเลซซิโอโกรธ นั่นคือการทำร้ายจิตใจเขารูปแบบหนึ่ง เขาอ่อนไหวกว่าภาพลักษณ์ตัวใหญ่แบบนั้นเยอะ
และอาเลซซิโอไม่ชอบตัวเองเวลาโกรธ มันอึดอัด งุ่นง่าน น่ารำคาญ ชวนให้หน่ายไปหมด
ดังนั้นเขาจึงไม่คิดปล่อยให้คนเดิม ๆ มาทำให้เขาโกรธซ้ำ หรือก็คือไม่ยอมให้อภัยอีกฝ่ายง่าย
ๆ นั่นเอง
เป็นพวกถ้าอคติแล้ว
ต่อให้มีคนมาพูดพร่ำข้อดีให้ฟังสักล้านข้อก็คงไม่เลิกอคติได้ง่าย ๆ
อาเลซซิโอไม่ใช่คนด่วนตัดสินใจ เขาไม่เกลียดใครจากความรู้สึกแรกพบสบตา
ให้โอกาสก็หลายครั้งเวลามีคนมาทำเรื่องที่ไม่ชอบใส่ เว้นแต่ว่ามันต้องเจอซ้ำ ๆ
จนหนักข้อระดับว่าทนไม่ไหว
หรืออีกฝ่ายดันมายุ่งย่ามกับตัวชนวนความโกรธของเขาก่อนเอง
พูดมาก็ขนาดนี้ก็เท่ากับว่า การจะทำให้เขาอคติด้วยได้
จำเป็นต้องทำให้เขาสุดจะทนสุด ๆ คงไม่ต้องพูดอะไรมากแล้วล่ะว่าทำไมเขาถึงไม่หายอคติเอาง่าย
ๆ
แต่ถ้าพยายามแก้ไขตัวจริง
ๆ ต่อหน้า อันนั้นคงพอจะทำให้อคติในใจจางลงไปได้บ้าง อาเลซซิโอชอบประโยคที่ว่า การกระทำสำคัญกว่าคำพูด
เขาไม่เชื่อคนนับร้อยมากไปกว่าการเห็นด้วยตาตัวเองเพียงหนึ่งคู่ ถึงอย่างนั้น
แม้จะเจืออคติลงมาแล้วก็ใช่ว่าจะกลับมาเป็นมิตรกันได้หรอกนะ..
ให้อภัยน่ะมันให้กันได้ แต่โอกาสไม่ใช่ของที่จะให้ได้บ่อยครั้งหนักหนานี่นา
ประวัติความเป็นมา:
อาเลซซิโอ
ไซน์ เป็นเด็กที่เกิดในเลวาลูร์
บ้านของเขามีอาชีพการค้าขายสินค้าจำพวกงานหัตถกรรมหรือเครื่องเรือนชามต่าง ๆ
ที่เน้นลวดลายทางศิลปะ
สมัยเด็กเขาได้ยินปู่ย่าเล่าให้ฟังว่ามันเป็นอาชีพของตระกูลเรามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
นั่นจึงทำให้อาเลซซิโอได้รับการเรียนรู้เรื่องงานศิลปะพวกนี้มาตั้งเเต่เด็ก
รวมไปถึงสิ่งที่เขาได้รับสืบทอดจากมารดาด้วยเช่นกัน
ถึงเเม้ว่าพ่อของเขาจะเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไปที่เกิดและเติบโตในตระกูลพ่อค้า
แต่เเม่ของเขานั้นเเตกต่าง ลอเรน ไซน์ เป็นจอมเวทย์ที่เดินทางมาจากไฮฮอลโลว์
หญิงสาวนั้นหลงรักในการเรียนรู้โลกใบใหม่ที่ตนไม่เคยพบเห็น
เธอออกเดินทางท่องเที่ยวในต่างแดนตั้งเเต่วัยสิบแปด
ข้อเสียเดียวคือการที่หญิงสาวนั้นเป็นใบ้
กระนั้นเเล้วเธอก็เป็นสาวนักผจญภัยผู้เก่งกาจ เหมือนกับสายลมที่ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่
แต่ท้ายที่สุด
เธอกลับยอมละทิ้งความฝันแต่เดิมไปเมื่อได้สัมผัสกับความหอมหวานของสิ่งที่เรียกว่ารัก
ลอเรนเดินทางมาถึงเลวาลูร์ในวัยยี่สิบสาม
ตัวเธอในตอนนั้นได้พบกับ เดรค โรสเตรน ผู้เป็นพ่อของอาเลซซิโอเข้าเเละตกหลุมรักเขาจนหมดใจ ต่อให้จะเป็นหญิงใบ้เเต่ก็หน้าตางดงามปานสวรรค์สร้าง
เดรคที่ตกหลุมรักเธอคอยเกี้ยวพาราสีอยู่ตลอด คารมที่คมคาย
ทำให้สุดท้ายหญิงสาวก็เลือกตัดสินใจ
เเต่งงานกับชายที่เธอรักและสร้างครอบครัวอยู่ที่เลวาลูร์ในท้ายสุด
สองสามีภรรยามีความสุขอยู่ภายในบ้านเกิดของฝ่ายชาย
ปีต่อมาก็ให้กำเนิดบุตรชายสุขภาพเเข็งแรง พวกเขาตั้งชื่อเด็กชายว่า อาเลซซิโอ
เขาเป็นเด็กตัวใหญ่ ผิวซีดเผือด ผมสีเงินสว่างแบบผู้พ่อ แม้หน้าตาจะไม่จิ้มลิ้มสู้เด็กน้อยคนอื่น แต่พ่อแม่ก็รักเขามากเหลือเกิน
ตั้งเเต่เด็ก อาเลซซิโอก็อาศัยอยู่ที่เลวาลูร์มาโดยตลอด เขาโตมาด้วยการเลี้ยงดูอย่างดี
ครอบครัวแสนอบอุ่นกับการบ่มเพาะความรู้ต่าง ๆ
มารดาเองก็ปลูกฝังเกี่ยวกับเวทมนตร์ให้แก่เขา
คอยสั่งสอนให้ดำเนินไปในทิศทางของเทพเทพีผู้ที่เราได้ให้การอุทิศถวายความศรัทธา
เขาดูเหมือนกับว่าจะเติบโตมาอย่างเพียบพร้อม เช่นนั้นเเล้วมันถึงได้น่าประหลาด
ว่าเหตุใดเด็กชายผู้นี้ถึงได้แตกต่าง ---
เป็นความแตกต่างที่ไม่ใช่ในทางที่ดีเสียเท่าไหร่เลยด้วย
ข้อเสียของอาเลซซิโอคือพฤติกรรมการเเสดงออกของเขา
แต่ไหนแต่ไรเเล้วที่เขาไม่สุงสิงกับเด็กคนอื่น
ร่างกายใหญ่โตทำให้เด็กวัยเดียวกันนึกกลัว ต่อให้ขวัญมากใจกล้าเข้ามาทักทายด้วย
อาเลซซิโอกลับไม่ยอมคุยกับอีกฝ่าย..เด็กชายไม่คุยกับใครเลย เป็นความหมายที่บ่งบอกว่า
ไม่เลยเเม้แต่น้อย..แม้กระทั่งกับพ่อของเขาเองก็ตาม
อาเลซซิโอไม่ได้เป็นใบ้
เเต่เขากลับไม่ยอมพูดยอมจา ภาษามือคือภาษาเดียวที่เขายอมใช้มันสื่อสารกับผู้อื่น
เเละคน ๆ นั้นคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากมารดาของเขาที่เป็นผู้พิการด้านการสื่อสาร
มันสร้างความหนักใจให้กับทุกคนในครอบครัว
พฤติกรรมที่แปลกประหลาดไม่ได้รับการยอมรับโดยง่ายนัก
แต่เพราะเขาเป็นหลานชายเพียงคนเดียว ปู่เเละย่าจึงยังอยากตั้งความหวัง พวกเขาว่าเด็กน้อยก็ดื้อตามประสา
อีกไม่นานคงสอนได้ดัดได้ ค่อย ๆ แก้กันไปประเดี๋ยวคงจะหาย
แต่กระทั่งหกขวบปีก็แล้ว
อาเลซซิโอก็ยังไม่ยอมเอ่ยพูด สร้างทั้งความสับสนโกรธเคืองให้กับคนในครอบครัว
เเรกเริ่มคือปู่ย่า พวกเขาเริ่มคิดว่าพฤติกรรมแบบนี้ช่างแสนน่าสะพรึงผวา
ก่อนแววตาแบบนั้นจะเริ่มส่งทอดไปถึงมารดา ลอเรนที่แตกต่าง มนตราในตัวเธอ
รวมถึงการที่เธอเป็นใบ้
สุดท้ายเเล้วก็กลายเป็นว่าพวกเขากล่าวโทษเธอที่ทำให้อาเลซซิโอโตมาเป็นแบบนั้น
เริ่มแรกเดรคพยายามพูดแก้ต่างให้กับภรรยาอยู่ตลอด เเต่ยิ่งนานเข้ายิ่งเหนื่อยล้า ความรักเจือจาง ความกดดันเพิ่มพูน สุดท้ายก็ไม่ต่างจากปู่ย่าของเขา เมื่ออาเลซซิโอถึงวัยเจ็ดขวบ พวกเขาก็หมดความอดทน ตัดสินใจขับไล่สองแม่ลูกออกไป ไม่มีการผูกพันต่อกันอีกกระทั่งสกุลต่อท้ายชื่อ ลอเรนไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ แม้จะเจ็บปวด ก็จำต้องพาลูกชายของเธอแยกตัวไปใช้ชีวิตของตนเพียงสองคน
และถึงเเม้อาเลซซิโอจะทำให้ชีวิตของลอเรนพังไปเกือบครึ่ง เธอก็ไม่คิดโกรธเคืองลูกชายตัวน้อยเลย อาจเพราะตนเองก็พิการมาแต่กำเนิด
จึงเข้าใจความรู้สึกของการถูกผลักไสได้ดี ลอเรนกลับไปใช้ชีวิตเเบบที่เธอเคยเป็น
เร่ร่อนผจญภัยไปตามดินแดนต่าง ๆ แรกเริ่มก็หาทางตั้งตัว
เก็บเงินและขวนขวายหาข้าวของที่จำเป็นสำหรับการเดินทางในเลวาลูร์
ระหว่างนั้นเธอก็สอนเรื่องที่จำเป็นในการใช้ชีวิตต่าง ๆ ให้กับอาเลซซิโอ
ทั้งภาษาอื่น ๆ การใช้ชีวิต ประวัติศาสตร์ เรื่องราวมากมายที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน
การออกมาใช้ชีวิตเพียงสองแม่ลูก จะว่าลำบากก็ใช่ แต่อาเลซซิโอกลับค้นพบว่าเขามีความสุขมากกว่าเมื่ออยู่เเบบนี้ เขารู้สึกผิดก็จริง แต่เมื่อได้รับการปลอบโยนจากมารดาว่าไม่เป็นไร ท้ายสุดเเล้วทั้งคู่ก็มีกันและกัน อาเลซซิโอจึงลืมเรื่องครอบครัวเก่าของตนไป เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ดี ออกเดินทางไปกับมารดา มุ่งสู่สถานที่ต่าง ๆ และเรียนรู้ ต่อให้พฤติกรรมที่ไม่ยอมพูดคุยกับใครจะสร้างปัญหาไปบ้าง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เมื่อเขาสามารถทดแทนมันด้วยการเขียน ภาษามือ และการส่งสัญญาณต่าง ๆ แทน
ลอเรนและอาเลซซิโอเดินทางไปทั่วโลก แต่เมื่ออาเลซซิโออายุได้สิบห้า ลอเรนกลับตัดสินใจพาเขากลับไปยังบ้านเกิดของตน ไฮฮอลโลว์ สถานที่แห่งนั้น ต่อให้ผิดแปลกหรือไม่คุ้นเคย เขาก็ยังได้รับการต้อนรับ ชิเวียร์ ลาเดรีย นั้นเป็นมิตรสนิทร่วมสาบานกับเเม่เขา หล่อนเคยเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกไปกับลอเรน กระทั่งหญิงสาวตัดสินใจแต่งงานที่เลวาลูร์ เจ้าตัวก็กลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิดอีกครั้ง สมัยก่อนทั้งคู่ติดหนี้บุญคุณกันเเละกันมากมายจนเลิกนับ เมื่อลอเรนต้องการความช่วยเหลือ ชิเวียร์ก็ไม่คิดปฏิเสธ
ตอนแรกอาเลซซิโอไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงตัดสินใจพาเขากลับมาใช้ชีวิตที่นี่ กระทั่งได้ยินถึงเรื่องสถาบันฯมาร์รอธ จึงได้เข้าใจว่าลอเรนต้องการให้เขาได้รับการศึกษา ตอนแรกอาเลซซิโอไม่พอใจเท่าไหร่นัก เขาชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวผจญภัยเสียมากกว่า แต่เมื่อมารดาสัญญาว่าถ้าเรียนจบ จะพาเขาไปทุกที่ที่อยากไป รวมไปถึงดินแดนไกลโพ้นอย่างจินซาร์ที่ยังไม่เคยไป อาเลซซิโอก็ตัดสินใจตอบตกลงทันที แต่เหตุผลอีกข้อ นั่นเป็นเพราะลึก ๆ โดยส่วนตัวเเล้ว เขาก็คิดว่าตัวเองต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการเวทมนตร์ที่ตนมีอยู่ด้วย จึงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่จะไปเเล้วนั่นเอง
ชอบ / เกลียด / กลัว / แพ้:
[ ชอบ ]
♠ หนังสือเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ; เขาชอบอ่านโน่นอ่านนี่ไปเรื่อย มันสนุกดี
♠ ได้ไปสถานที่ใหม่ ๆ ; สายเลือดนักผจญภัยน่ะ
♠ แดดแรง ; เขาก็หวังว่าแดดแรงจะทำให้ผิวเขาเข้มขึ้นมาได้บ้าง..
♠ แมวตัวเล็ก ๆ ; เขาชอบความน่ารักของมัน เเต่มันกลับไม่ชอบเขา../เศร้า.
[ ไม่ชอบ ]
♠ โดนถามเซ้าซี้ ; ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม
สำหรับเขา มันน่ารำคาญ
♠ เครื่องดื่มฤทธิ์มึนเมา ; อาเลซซิโอไม่ชอบที่มันสามารถเปลี่ยนตัวตนของคนให้ไร้สติได้
♠ หิมะ ; โดยพื้นฐานเขาเป็นคนหนาวง่าย
แต่ถ้าต้องอยู่กลางหิมะก็ทำได้ ไม่ปริปากบ่นเเค่จะทำหน้าบึ้งเท่านั้น
♠ เสียงที่ดังมากจนเกินไป ; เขามันพวกหูดี เสียงทีดังเกินไปเลยทำให้หูของเขาเจ็บไปหลายวันเลยน่ะสิ
♠ อาหารรสชาติจัด ; โดยส่วนตัวเขาคิดว่ามันไม่อร่อยสักเท่าไหร่ แถมทรมานปากอีก..
[ กลัว ]
♠ ทะเลที่มองไม่เห็นก้น ; อาเลซซิโอชอบจินตนาการถึงบางสิ่งที่อาศัยอยู่ใต้ทะเล..จิตใจเขาว้าวุ่นเสมอ
นึกไปสารพัดทั้งที่ความจริงอาจจะไม่มีอะไร นี่เป็นข้อด้อยสำหรับนักผจญภัยอย่างเขา
และถ้าเลือกได้ อาเลซซิโอก็มักปฏิเสธการเดินทางทางทะเลเสมอ
{ ปฏิกิริยา :: อาเลซซิโอจะค่อนข้างเเพนิคเมื่อต้องอยู่ใจกลางทะเลที่มองไม่เห็นก้น สังเกตได้ว่าเขาดูเหมือนตกอยู่ในภวังค์ แต่ปลายนิ้วแอบสั่นเเละตัวเย็นจัด จังหวะหัวใจก็เต้นเร็วมากกว่าปกติอีกด้วย }
[ แพ้ ]
; no data.
สายเวทย์: Worshiper (4)
อาวุธ: ปืนลูกซอง
ความสามารถพิเศษ:
♠ ความรอบรู้ด้านประวัติศาสตร์
ภูมิศาสตร์ สังคม ความเป็นอยู่ และภาษา ; เขาเดินทางไปแทบทั่วทั้งโลกกับแม่
เเถมยังชอบศึกษาเรื่องพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไรด้วยเลยมีความรู้อยู่ในระดับพื้นฐานถึงมาก
(ยกเว้นจินซาร์ที่ไม่เคยไป แต่ก็อยากไปอยู่)
♠ พละกำลัง ; แรงเยอะมาก
สามารถหิ้วคนลอยด้วยมือเดียวได้เลยทีเดียว
แต่ว่าเรี่ยวเเรงของเขาไม่ได้เหนือมนุษย์แต่อย่างใด
♠ การควบคุมฝ่ามือ ; ถึงจะมีมือที่ใหญ่และแรงที่มาก
เขากลับควบคุมมันได้ดี
พวกงานละเอียดอ่อนที่ต้องใช้ความอ่อนตัวของมืออย่างพวกงานแกะสลัก หรือวาดภาพอะไรพวกนั้น
อาเลซซิโอก็สามารถทำมันได้ดีในระดับมืออาชีพเลยล่ะ
♠ ทักษะการแกะรอยและการส่งสัญญาณ ; เป็นความรู้ที่สืบทอดมาจากมารดา บวกกับประสบการณ์ต่าง ๆ
อาเลซซิโอถนัดเรื่องการส่งสัญญาณ เช่น การผิวปาก การใช้เเสงสะท้อน
หรือวัตถุกระทบเป็นจังหวะ นอกจากนี้ยังเรียนรู้สัญญาณต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
ในเรื่องของการเเกะรอย เพราะเป็นพวกให้ความสนใจกับสิ่งรอบด้าน
จึงเก็บรายละเอียดได้ดีนั่นเอง
♠ เลี้ยงสัตว์ ; เขาเก่งเรื่องการเลี้ยงสัตว์นะ
เลี้ยงตัวอะไรก็ไม่เคยตาย แถมรู้ว่ามันกินอะไร ชอบกินอะไร
เป็นพวกสัตว์จากพื้นที่ไหนเลยดูเเลได้ถูก
เสียอย่างเดียวคือพวกสัตว์เลี้ยงมันไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้เขาเท่าไหร่นี่สิ
♠ ความแม่นยำ ; เขามีความแม่นยำสูง ทั้งการขว้างปา ทั้งการยิงปืน นอกจากนี้ยังเล็งได้จากระยะไกลด้วยสายตาที่ดีจัดอีกด้วย
บท: นักเรียน
เพิ่มเติม:
♠ ไม่พูดจนโดนแซว (ลับหลัง)
ว่าลืมวิธีพูดไปแล้วไม่ก็โดนเข้าใจผิดว่าเป็นใบ้บ่อยมาก
(แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจนักหรอก..)
♠ สามารถเรียกเขาสั้นๆ ว่า อาร์ หรือ อาร์เลซ
ก็ได้ถ้าไม่อยากเรียกชื่อเต็ม
♠ ชอบแบกกระเป๋าเป้เดินไปมา
เปิดออกดูเเล้วจึงจะพบว่ามันเต็มไปด้วยหนังสือหลากหลายประเภทอัดเเน่นไว้ในนั้น
♠ ถ้าถามว่าอยากมีเพื่อนไหม
อาเลซซิโอจะตอบเเค่ว่ามีได้ก็ดี ไม่มีก็ช่างมัน ไม่ตาย--
♠ เคยอยากเดินไปคุยกับชาวบ้านบ่อยๆ
เเต่คนอื่นชอบเดินหนี + เขาไม่ยอมพูดเลยสื่อสารกันไม่รู้เรื่องในด้านต้น อาเลซซิโอเลยตัดปัญหาด้วยการไม่เข้าไปคุยกับใครซะเลย
♠ ถ้าต้องพูดอธิบายอะไรยาวๆ จะเขียนใส่กระดาษเอา
♠ ว่ากันว่าคนที่เคยได้ยินเสียงเขา มีแต่พวกอาจารย์ที่มีวิชาบังคับในการพูดนำเสนอชิ้นงานต่างๆ เท่านั้น
♠ แท้จริงเเล้ว พฤติกรรมการไม่พูดของอาเลซซิโอ คือความเคยชินที่ซึมซับมาจากมารดาที่เป็นใบ้ บวกกับตอนเด็ก ๆ อาเลซซิโอรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่ทุกคนพูดได้แต่เเม่ของเขาพูดไม่ได้ เขาเลยไม่พูดด้วย เพื่อไม่ให้แม่รู้สึกแปลกแยก รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นพฤติกรรมฝังราก แก้ไม่หายไปซะแล้ว (เขาไม่เคยบอกเรื่องนี้กับลอเรน เพราะกลัวว่าเเม่จะโทษตัวเองที่ทำให้ครอบครัวแตกแยก)
♠ โดยส่วนตัวไม่โกรธพ่อเรื่องที่ไล่ตนกับแม่ออกมา แต่ถ้าถามว่ากลับเข้าไปได้จะกลับไหม? บอกเลยว่า ไม่
____________________________________
ถ้าลูกของคุณติด แต่ไม่ติดในบทที่ต้องการ อยากให้เราใส่บทอื่นให้
หรือว่าจะรับกลับคะ?
:: ถ้าน้องเข้ากับสตอรี่ จะใส่บทอื่นก็ได้ไม่ว่ากันค่ะ ;w;
+
คิดอย่างไรกับการที่สภานำคทาบรุนเวิร์ธที่โด่งดังนั้นมาเก็บไว้ในโรงเรียน
คิดว่าทำถูกแล้วหรืออันตราย? แล้วอยากจะเห็นมันกับตาซักครั้งในชีวิตไหม?
- ดวงตาตายด้านเหลือบมองผู้พูด
อาเลซซิโอกลอกตาไปมาเหมือนกำลังคิดอยู่ แต่เพราะหน้าตาโหดจัดเเบบนั้นเลยทำให้ดูเหมือนรำคาญ
เขาหยักไหล่หนึ่งครั้ง สื่ออ้อมๆ ว่าไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้น
เเล้วก็ไม่แคร์ด้วยว่าใครจะเอามันไปเก็บไว้ไหน
แต่สำหรับคำถามข้อสองนั่น..ชายหนุ่มนิ่งไปพักหนึ่ง
จากนั้นจึงตัดสินใจพยักหน้ารับเบา ๆ
--ว่าแต่คนถามเขาจะเข้าใจรึเปล่านะว่าเขาอยากสื่ออะไร..?--
อาหารที่ชอบกินที่สุดคืออะไร เพราะอะไร?
- อาหารเหรอ? อันที่จริงอาเลซซิโอไม่ใช่คนเลือกกิน เขากินอะไรก็ได้ที่มันอร่อย เพราะงั้นถ้าถามถึงของที่ชอบเขาก็คงตอบไม่ได้หรอก ชายหนุ่มนั่งเงียบตลอดจนเวลาล่วงเลยไปโข แล้วเขาก็ดันคิดขึ้นมาได้ว่าอย่างน้อยเขียนตอบอะไรไปบ้างก็น่าจะดี
--แต่ว่าป่านนี้แล้วก็ช่างมันเถอะ--
ความคิดเห็น