ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dark world Box **Close

    ลำดับตอนที่ #31 : AU :: Make a Wish [KNB] [ฮินาตะ ชิโอริ]

    • อัปเดตล่าสุด 19 เม.ย. 61


      When snow falling

    That time, I prayed to you..

     

    [เมื่อหิมะโปรยปราย

    เมื่อนั้นคือเวลาที่ฉันได้อธิษฐานต่อคุณ..]

     




    "เพราะผมมั่นใจว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่เพอร์เฟกต์ไปกว่าผมแล้วไงล่ะ"

    }Akashi Seijuro{ -The Santa Claus-


    "ถึงเเม้ว่าคุณจะเพียบพร้อมขนาดไหน ถ้าสักวันหนึ่งคุณต้องจากฉันไปแล้วล่ะก็..ขอโทษนะคะที่ต้องพูดเเบบนี้ แต่..ฉันคงต้องขอเลือกปฏิเสธความหวังดีของคุณ.."

    }Hinata Shiori{ -The Girl Glum-





     

    "คำขอของฉันคือการที่จะได้มีคนรักแสนวิเศษซึ่งคอยอยู่เคียงข้างกันตลอดไป.."

    "หากท่านได้ยินเสียงของฉัน.."

     

    "ได้โปรด..ส่งเขามาให้ฉันทีเถอะค่ะ.."

     

     

       *แก้ไขสีนี้นะคะ!*


    รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

    ใบสมัคร

    รูป ::


    "ถึงมันจะเหงาขนาดไหน แต่หากให้ไปสานสัมพันธ์กับผู้อื่นฉันก็ไม่ต้องการหรอกค่ะ..

    ก็การจากลาน่ะ..มันเจ็บปวดกว่าความเหงาเหล่านั้นนับล้านเท่าเลยนี่คะ.."

    คู่ :: สวัสดีซานต้---//แค่ก// อาคาชิ เซย์จูโร่ คุง คนดีย์ของรันเอง <3 (?)

     

    ชื่อ :: ฮินาตะ ชิโอริ [Hinata Shiori]

                                *ความหมายพาเพลินอลเวงพางง (?)* ชิโอริ คือชื่อภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายว่า บทกลอน ค่ะ ในส่วนของ ฮินาตะ นั้นสามารถแปลได้ว่า ทานตะวัน กับ ดวงอาทิตย์ ค่ะ เมื่อนำทั้งสองชื่อมารวมกันก็ได้ว่า [บทกลอนแห่งดวงอาทิตย์] หรือ [บทกลอนแห่งทานตะวัน] นั่นเองค่ะ แฮร่---

     

    ชื่อเล่น  :: ชิโอริ [Shiori] / ชิโอะ [Shio]

     

    อายุ :: 22 ปี

     

    อาชีพ :: นักศึกษามหาวิทยาลัย คณะวิทยาศาสตร์ สาขาเทคโนโลยีทางอาหาร 

               }โดยส่วนตัวเเล้วเจ้าตัวชอบเรียนวิทยาศาสตร์สายเคมี (เรียนสาขานี้เจอเคมีหนักค่---) แถมยังสนใจในเรื่องของเทคโนโลยีทางอาหารมาตั้งเเต่สมัยม.ต้นเเล้วค่ะ ชิโอริเลยเตรียมตัวอ่านหนังสือเรียนตั้งเเต่ม.ปลายปีแรก และมุ่งมั่นจะเข้าคณะนี้ให้ได้---(ซึ่งอีกเหตุผลที่เธอขยันอ่านขยันติวขนาดนี้ ก็เพราะอยากได้ตำแหน่งนักเรียนทุนน่ะค่ะ){

     

    ลักษณะรูปร่าง :: ฮินาตะ ชิโอริ หญิงสาวหน้าตางดงามปานเทพสวรรค์ผู้มีดวงหน้ารูปไข่ได้รูปทรงสวยแบบที่สาวๆ หลายคนใฝ่ฝัน ประดับเเต่งด้วยเครื่องหน้าเเสนงามล้ำโดดเด่นเป็นที่สุดนั้นคือ นัยน์เนตรคู่งามราบเรียบดูหม่นหมองสีน้ำตาลทองสวย แพขนตาหนางอนเรียงตัวสวยไม่กระโดกเดกชี้ผิดทิศใดๆ คิ้วเรียวได้ทรงเข้าโครงหน้าโก่งโค้งดั่งพระจันทร์เสี้ยวสีเดียวกับเส้นผมเงางาม จมูกเล็กโด่งโค้งเป็นทรงหยดน้ำน่าสัมผัส ริมฝีปากจิ้มลิ้มอวบอิ่มบนใบหน้าหวานซึ้งปานขนมหวานสีชมพูอมส้มชวนให้หลงใหล ผิวกายเนียนละเอียดน่าสัมผัสสีน้ำผึ้งแปลกตาไร้รอยตกกระหรือแผลเป็นใดๆ บนใบหน้าเเละเรือนกาย โครงหน้าหวานซึ้งล้อมกรอบด้วยเกษาสีน้ำตาลทองอมส้มอ่อนหยักศกสวยเป็นลอนคลื่น ไว้ปอยประดับดวงหน้าอย่างพอเหมาะเเละเก็บผมหน้าดูเรียบร้อยเผยหน้าผากเนียนน่าจุมพิต ร่างกายดูเล็กและบอบบางราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบแสนงาม สัดส่วนสูง162ซม. และหนักเพียงแค่41กก.เท่านั้น ทั้งตัวของชิโอริเองยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ราวกับกลิ่นของดอกท้องดงาม เรียกได้ว่าดูน่ารักน่าชังปานเทพธิดาตัวน้อยๆ เลยทีเดียว และชิโอริคงจะเป็นที่นิยมของหนุ่มน้อยใหญ่มากหน้าหลายตาไปแล้ว..หากว่าสายตาและสีหน้าของเธอที่พวกเขาเหล่านั้นเห็น ไม่ได้ดูมืดหม่นเเละนิ่งเฉยตลอดเวลาเสียขนาดนั้นน่ะนะ..

     

    ลักษณะนิสัย ::

               ชิโอริ หญิงสาวเจ้าของใบหน้าน่ารักและขนาดตัวไซส์เทพธิดา ผู้มีดวงตา ใบหน้า เส้นผม ริมฝีปาก จมูก และองค์ประกอบทุกอย่างบนเรือนร่างดูสมบูรณ์พร้อมงดงามหวานสวยไปเสียหมด ทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนจางราวกับดอกท้อแรกแย้มเบ่งบานบนกิ่งใบ สีสันของผิวกายเนียนนุ่มน่าหลงใหลกับเรือนร่างได้สัดส่วน ทุกอย่างดูงดงามไปหมด..แต่ทว่ามันกลับเป็นความงามเสียของ เป็นดอกท้อที่ผลิบานแต่ไม่นานนักกลับโรยราโดยไร้คนสนใจเด็ดดม เพราะตัวของชิโอรินั้น หาได้มีความเปล่งประกายดั่งดวงตะวันเช่นนามสกุลของเธอไม่ ตัวของหญิงสาวนั้น หากให้เปรียบเปรยคงบอกได้ว่า คือสตรีผู้หม่นหมองราวไหล่บางนั้นแบกรับความทุกข์นานาประการไว้จนชวนหวั่นในอกเลยทีเดียว ชิโอริเป็นผู้หญิงที่มีรังสีและออร่ารอบตัวดูทะมึนและโศกเศร้าอยู่เสมอๆ เธอมักทำหน้าตายและมีประกายโศกสลดฉายชัดในดวงตาเสมอ ทำให้ไม่มีใครใคร่อยากจะเข้าใกล้เธอเท่าไหร่นัก

               ชิโอริเป็นคนที่มีสีหน้าเเนวเดิมๆ ไม่เปลี่ยนแปลง หากว่ามันไม่ราบเรียบไร้รอยยิ้มหรือความขยับของเครื่องหน้างาม มันก็จะดูหมองหม่นเหนื่อยล้าเสมอ ดวงตาของเธอสวยงามราวกับอัญมณี แต่กลับไร้ประกายจนดูด้อยค่าไม่น่าสนใจ มิหนำซ้ำยามที่จ้องมองยังรู้สึกหนักอึ้งไปหมดอีกด้วย เธอเป็นคนจำพวกที่เเม้จะเกิดเหตุร้ายหรือเรื่องราวฉุกละหุกรอบตัวเเบบไหน ก็ยังคงสีหน้าเเบบเดิมไว้ได้อย่างเหนียวแน่น อาจมีบ้างที่เธอทำหน้าตื่นตกใจ แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ชิโอริเป็นผู้หญิงขวัญเเข็ง เธอไม่กลัวผีสาง ทว่าไม่หลบหลู่ ไม่หวั่นที่เปลี่ยวที่ร้าง แต่ไม่คิดจะไปเดินเล่นเเถวนั้นให้เสี่ยงโดนโจรปล้นของแต่อย่างใด มีความระมัดระวังตัวมาก รู้จักปกป้องตัวเอง และที่รู้ดีเป็นพิเศษนั่นก็คือการ กันคนอื่นออกไปจากชีวิตของเธอ ด้วยการกระทำเเละสีหน้ากับสายตา เจ้าตัวเป็นสายนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว ดังนั้นกิจกรรมแกล้งหลอกผี หรือโผล่จะเอ๋หลอกจากด้านหลังจึงถือว่าไม่เกิดผล นอกจากนี้อาจจะเห็นชิโอริคิ้วกระตุกกับบุคคลหลอกผีพวกนั้น เเล้วหันไปทำสายตาเย็นยะเยือกปานทะเลสาบในเหมันต์ฤดูของขั้วโลกใต้ใส่ก็เป็นได้..

               ชิโอริเป็นคนแปลกประหลาด ชอบปล่อยรังสีหรือทำสีหน้ากีดกันไม่ให้คนอื่นมายุ่งเกี่ยวกับตัวเองอยู่เรื่อย หากใครทักทายจะถามคำตอบคำเท่านั้น บทสนทนาไม่มากมายและดูจะมีเเต่เรื่องจำเป็นเท่านั้น ชิโอริไม่ชอบพูดหากไม่จำเป็นมาก รวมถึงยังมีความระมัดระวังในการพูดจาอยู่มาก ทำให้นานๆ ทีจะเห็นเธอเริ่มเอ่ยปากพูดออกมาก่อนเป็นคนแรก  ยามใดอยู่กับคนส่วนมากล้วนแต่เก็บปากเก็บคำ วาจาคำพูดยากเเท้จะได้ฟังคำเอ่ยล้อเล่นหรือแกล้งหยอกขำๆ ชิโอริไม่ชอบพูดเล่น เธอไม่ถนัดการพูดจาหยอกเย้า ปกติเเล้วใคร่เพียงเเค่เอ่ยตามใจตนประสงค์ หรือบ่ายเบี่ยงคำเชิญชวนต่างๆ เท่านั้น นอกจากนี้เจ้าตัวยังไม่ชอบคนที่พูดจาล้อเล่นอีกด้วย ชิโอริคิดว่าการกระทำที่ทำให้ผู้อื่นตระหนกตกใจโดยใช่เหตุนั่นมันไม่ดีเลยสักนิด..และสายตาของเธอเองเหมือนมันกำลังบอกว่า กรุณาอย่าเข้ามายุ่ง ตลอดที่ใครสักคนจะเข้าไปหาหรือทักทาย เช่นนั้นเเล้วอย่าแปลกใจเลยหากว่าชิโอริจะอยู่ตัวคนเดียวเป็นประจำน่ะ

               ชิโอริกีดกันคนปกติหนักเเล้ว ผู้ชายยิ่งหนักเข้าไปใหญ่..เธอไม่ค่อยใคร่อยากจะสนทนาพาทีหรือทำความรู้จักกับเหล่าเพศตรงข้าม นั่นเพราะวัยเยาว์เคยมีความทรงจำที่พวกเด็กผู้ชายเกเรเเกล้งเอาเสียมากมาย เลยจะกีดกันออกไปจากชีวิตมากเป็นพิเศษ แถมยังสนิทใจด้วยยากกว่าคนเพศเดียวกันอีกต่างหาก เวลาพวกผู้ชายมาบอกมากล่าวอะไรก็มักจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งไว้ก่อน ทั้งยังไม่ค่อยอยากสนทนากับพวกเขามากนัก โดยเฉพาะพวกท่าทางเกเรยิ่งเเล้วใหญ่..แต่ถ้าทำตัวดีก็ว่าไปอย่าง หรือไม่หากเป็นผู้สูงวัยกับเด็กอายุน้อย ชิโอริจะผ่อนผันพูดคุยแบบคนปกติให้เป็นกรณีพิเศษ..ชิโอระเหมือนคนรักสันโดษ เพราะเจ้าตัวจะชอบปลีกวิเวกออกจากกลุ่มเพื่อนฝูงไปนั่งห่างๆ ประจำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะหายหน้าหายตา หนีไปอยู่คนเดียวสงบๆ หรอกนะ เจ้าตัวนั้นในความเป็นจริงไม่ใช่คนมนุษย์สัมพันธ์แย่อะไร ต้องบอกว่ากลางๆ เธอเข้าหาเเละหาเรื่องไปพูดคุยกับผู้อื่นได้หากว่าเธอต้องการ แต่เพราะชีวิตไม่เดือดร้อนกับการอยู่คนเดียวห่างๆ กลุ่มเพื่อนและฝูงชน เจ้าตัวเลยไม่กะตือรือร้นจะงัดความสามารถตรงส่วนนั้นออกมาใช้เข้าหาชาวบ้าน และเอาแต่นั่งมองสังเกตดูชาวบ้านเขาไปแบบนั้นเล่นเรื่อยๆ ไม่เลิกนั่นแหละ

               ชิโอริอยู่คนเดียวได้ เธอมีความสามารถหลากหลายเเละเก่งหลายเเขนงกว่าที่ใครคิด ความคิดอ่านเองก็เป็นผู้ใหญ่อยู่มากในเรื่องของการตัดสินใจอะไร เพราะงั้นจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใครมากนัก หากตัดเรื่องที่สตรีมักมีปัญหาในเรื่องของพละกำลังเเละการป้องกันตนจากเหตุร้ายได้ยากไป ชิโอริกล้าบอกเลยว่าเธออยู่ได้ไม่มีปัญหาแน่นอน เป็นเหมือนสตรีเข้มเเข็งผู้สามารถประคับประคองชีวิตของตนเองได้ด้วยน้ำมือตน ชิโอริไม่ชอบการเอ่ยปากขอร้องผู้อื่นให้มาช่วยเหลือในเรื่องเล็กน้อยหรือไม่จำเป็น ไม่ใช่ว่าหยิ่งหรือมั่นหน้าว่าทำเองได้ แค่ไม่อยากเอาเรื่องหนักหัวของตนเองไปให้คนอื่นเขาแค่นั้นเอง ชิโอริขี้เกรงใจพอสมควร เธอมักหนักใจเสมอเวลาต้องยกงานของตนให้คนอื่นทำ หรือเวลาที่ได้รับสิทธิพิเศษให้พักในขนาดที่คนอื่นทำงานป็นไปได้จะไม่ขอรับสิทธิอะไรแบบนั้น (แม้ว่าบางทีมันจะได้มาเพราะเธอทำเสร็จเเล้ว หรือป่วยอะไรแบบนั้นก็เถอะ) เอาจริงแอบอยู่นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องหางานหาการมานั่งทำเป็นประจำ เพราะงั้นเลยชอบเห็นชิโอริเนียนไปช่วยชาวบ้านทำงานเสมอในเชิงกึ่งขอกึ่งบังคับบ่อยๆ จนชินตาเลยล่ะ (แต่ส่วนมากก็ช่วยเฉพาะเรื่องจำเป็นกับสมควรช่วยนะ..) ซึ่งคนอื่นมักปฏิเสธกันไม่ลงนัก..เพราะโดนชิโอริจ้องหน้าด้วยสายตาหมองๆ ใส่น่ะสิ ถึงได้ต้องยอมแบ่งงานให้ทำอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้อยากได้ของตอบแทนอะไรหรอก แค่ว่างแค่นั้นเอง (?)

               ชิโอริแม้จะเป็นผู้หญิงท่าทางอมทุกข์ไม่เข้าสังคม ไม่ได้ปิดกั้นตัวเองจนคล้ายพวกเก็บตัวไม่สนโลก ทั้งนี้ทั้งนั้นเจ้าตัวชอบอ่านหนังสือพิมพ์เลยรู้เรื่องข่าวคราวรอบตัวอยู่มาก และตัวชิโอริเองก็เป็นสตรีที่มีหัวใจนึกคิดถึงผู้อื่นเเละมีจิตใจที่ดีงาม ชิโอริชอบการช่วยเหลือคนอื่น มีความอ่อนโยนอยู่ในหัวใจ มักเมตตาต่อสัตว์หรือคนยากไร้เสมอ เธอชอบในการหยิบยื่นความช่วยเหลือนิดๆ หน่อยๆ ไปให้เป็นประจำ แต่ไม่ได้ช่วยไปเสียหมดหรอกนะ..เพราะเธอคิดว่าถ้าทำแบบนั้น คนพวกนั้นก็จะทำอะไรเองไม่เป็นน่ะสิ ให้สู้กับความลำบากซะบ้าง ภายภาคหน้าหากต้องมาเจออีกจะได้หาทางแก้ด้วยตัวเองเป็น..แต่ถึงจะใจดี อ่อนโยน มีเมตตาเพียงไหน ทว่าคนอื่นนอกจากน้องชายของเธอกับคนที่รู้จักเเละเจอกันบ่อยกว่าคนทั่วไปกลับไม่รับรู้ถึงข้อดีนี้ นั่นเพราะการอยู่แยกออกมาจากกลุ่มและไม่เข้าไปยุ่งด้วยมากนักของชิโอริ ทำให้ไม่มีโอกาสได้เข้าไปช่วยเหลือใครมากนัก และการที่ชิโอริไม่ได้ช่วยไปเสียหมด เเละเลือกช่วยเฉพาะเรื่องจำเป็นกับคนที่สมควรได้รับการช่วยเหลือ ก็ถือว่าเป็นเหตุผลหนึ่งเช่นกัน แต่ก็ดีเเล้ว เพราะเธอเองก็ไม่อยากเเสดงมันให้คนอื่นเห็นมากเกินไปเหมือนกันนะ เพราะคิดว่าถ้าคนเหล่านั้นเห็นได้ด้านดีๆ ของเธอ มันจะไปกลบภาพลักษณ์หม่นหมอง และสายตากีดกันของเธอที่เพียรพยายามทำมาก่อนหน้านี้ จนพวกเขาอาจคิดจะพยายามเข้าหาเธอขึ้นมายังไงล่ะ..

               ชิโอรินั้นหากเป็นไปได้จะไม่อยากสานสัมพันธ์กับใครจนเกินความจำเป็น ส่วนมากมักให้ได้แค่ตำแหน่งคนรู้จักหรือคำว่า เพื่อน เฉยๆ ไม่ได้สนิทสนมมักจี่อะไรกันเเต่อย่างใด เธอหวาดกลัวการสูญเสีย..ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่เพียงไหนก็ตาม ชิโอริไม่อยากพบเจอกับสูญเสียคนสำคัญของตัวเอง เพราะมันเจ็บปวดเเละเต็มไปด้วยความหม่อนหมอง หลายต่อหลายครั้งที่ต้องร้องไห้และทรมานกับความสูญเสีย..เธอเกลียดมัน ไม่อยากจะพบเจอกับสูญเสียและจากลาเหล่านั้นเลย..เเต่เพราะชีวิตนั้น ได้พบย่อมมีจาก ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า และชีวิตไม่สามารถอยู่กับคนเพียงคนเดียวได้ตลอดไป ยังไงเสียความสูญเสียย่อมเกิดขึ้นแน่นอนสักครั้งหนึ่งในชีวิต เช่นนั้นเเล้วชิโอริจึงได้ตัดสินใจ..ไม่ต้องเริ่มความสัมพันธ์มันแต่ต้นเลยคงจะดีเสียกว่า..หากต้องมาทนเจ็บในภายหลัง อดทนอดกลั้นความเหงาเอาไว้มันคงจะดีกว่าใช่ไหมล่ะ..?

               ชิโอริถึงไม่อยากสานสัมพันธ์กับผู้อื่นขนาดไหน แต่ยังคงเป็นมนุษย์ที่เหงาหงอยได้เป็น อาจจะไม่ได้เข้าไปร่วมสนุกหรือสังสรรค์รื่นเริงกับคนอื่นเขา แต่ชิโอริมักแฝงตัวเนียนไปนั่งใกล้ๆ กับคนอื่นเเทน เธออาจะไม่ได้คุยกับพวกเขาแต่ก็รู้ว่าพูดถึงเรื่องอะไรกัน อาจจะเป็นกริยาที่ไม่ดีเท่าไหร่ที่ไปนั่งฟังคนอื่นคุยกัน แต่มันเป็นวิธีแก้เหงาที่ชิโอริใช้ได้ผลดีมากๆ เลยล่ะ..ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ปฏิเสธทุกคำเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงรื่นเริงเสมอเช่นกัน เธอไม่ชอบเสียงดังๆ ทั้งยังไม่ชอบสุราเเละของมึนเมาอย่างมากด้วย ชิโอริเกลียดรสชาติขมบาดคอของมัน พอๆ กับที่เธอเกลียดควันเหม็นของบุหรี่ เธอเป็นผู้หญิงรักสุขภาพ ทานแต่ของเป็นประโยชน์เเละออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถือว่าทานน้อยกว่าคนทั่วไปพอสมควร เพราะงั้นเลยมีน้ำหนักที่ค่อนข้างน้อยเเละรูปร่างผอมบางเอาเรื่อง

               ชิโอริขี้แยกว่าที่ใครคิด และช่างอดกลั้นมากกว่าที่ใครรู้ เห็นสีหน้าเธอสงบนิ่งราวปูนปั้น บางทีข้างในกายอาจจะกำลังร่ำไห้เเทบเป็นแทบตายอยู่ก็ได้ ชิโอรินั้น เเม้จะเจ็บปวดรวดร้าวจนแทบอยากจะร้องไห้ให้เสียงขาดหายขนาดไหน แต่เธอก็มักจะกัดฟันฝืนทนอดกลั้นมันเอาไว้สุดๆ เสมอ ต่อหน้าคนอื่นจะพยายามเก็บงำมันเอาไว้ เเละทำตัวเหมือนสบายดี แต่ยังไงเสียก็คงท่าทางแบบนั้นไว้ได้เเค่ครู่เดียวเพียงเท่านั้น ถ้านานเข้าเเล้วคงไม่ไหว สุดท้ายยังไงน้ำตามันก็ไหลอาบหน้าอยู่ดี ชิโอริไม่อยากให้ใครมาเห็นตอนที่ตนร้องไห้ เพียงเพราะกลัวพวกเขาจะรู้สึกแย่กับน้ำตาของเธอ..กลัวว่าพวกเขาจะเป็นกังวล กลัวว่าพวกเขาจะหนักใจ ไม่เลย..ชิโอริไม่ได้คิดถึงหรือห่วงภาพลักษณ์อะไรพวกนั้นเลย มืดหม่นโศกาเพียงใด ใจเธอกลับงดงามและบริสุทธิ์เสมอไม่แปรผัน คนรอบตัวจะมาก่อนเสมอ ตัวชิโอริน่ะไม่เป็นไรหรอก ขอแค่พวกเขาไม่เจ็บช้ำหรือต้องมาเป็นกังวลเรื่องของมากจนเกิดไปเท่านั้นก็เพียงพอเเล้ว..เพราะงั้นถึงได้ฝืนทนและอดกลั้น เก็บงำความรู้สึกอยากร้องไห้จวนเจียนขาดใจเอาไว้เพียยงคนเดียวเท่าที่ทำได้ 

               ชิโอริอดทนอั้นกลั้นไม่ให้ร้องไห้ออกมาต่อหน้าผู้อื่น แต่ยามใดได้อยู่คนเดียว น้ำตาจะหลั่งไหลออกมาไม่มีหยุดเเละไม่มีเก็บกั้นอะไรอีกต่อไป สะอึกสะอื้นเสียตัวโยน ไหล่สั่นระริกดูน่าสงสารยิ่งนัก ชิโอริเป็นคนที่ยามร้องไห้จะดูเปราะบางเป็นอย่างมาก เหมือนกับว่าเธอเป็นแก้วราวที่แตะเพียงนิดคงได้แตกสลายไปเป็นแน่ กระนั้นแล้วแม้มีผู้เห็นใจมากมาย กลับไม่มีคนสามารถปลอบประโลมเธอจากความเศร้าหมองเหล่านั้นได้เลย หากว่าไม่ได้เข้าใจในตัวเธออย่างลึกซึ้งเเล้ว ปลอบไปก็รั้นเเต่จะทำให้ชิโอริรู้สึกแย่มากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้นเเหละ และเพราะความคิดของเธอมันแตกต่างจากคนทั่วไป รวมถึงอารมณ์ต่างๆ ก็ไม่ได้ปกติมากนัก ดังนั้นเเล้วจึงหาคนที่เข้าใจเธอได้อย่างลึกซึ้งได้ยากเย็นเเสนเข็ญเหลือเกิน..เช่นนั้นเเล้วคงทำได้เพียงนอนร้องไห้กอดตัวเอง ให้มันเหนื่อยล้าเเละหลับใหลไปในที่สุดเท่านั้นเอง..

               ชิโอริฉลาดหลักแหลมมากเอาเรื่อง เป็นผู้หญิงที่มีความโดดเด่นในเรื่องของความคิดเเละจินตนาการ  ขนาดที่คนปกติมักมีมีปัญหาพวกเรื่องสูตรสมการ ชิโอริกลับแก้ได้ง่ายๆ ทั้งเจ้าตัวยังชอบการเเก้สูตรเคมี กับการเรียนรู้เรื่องธาตุต่างๆ อีกด้วย วิชาการเป็นเรื่องถนัดของเธอ เธอมักทำมันได้ดีอยู่เสมอและได้เกรดสวยงามตลอดภาคเรียน ทั้งนี้ทั้งนั้นเกิดจากความฉลาดหลักแหลมและความขยันช่างทบทวนด้วยนั่นเเหละ แต่หากถามว่าด้อยวิชาใดไหม..แน่นอว่ามี..นั่นคือเศรษฐศาสตร์และการปกครอง ชิโอริไม่เก่งในการทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่นัก..แต่เจ้าตัวนั้นความจำดีมาก เธอเป็นพวกจดจำรายละเอียดต่างๆ ได้เเม่นยำเมื่อได้ท่องจำ นอกจากนี้ยังมักจดโน๊ตหรือโพสอิทแปะไว้กันลืม มีความรอบคอบเเละมีความระมัดระวังในตัวเองสูง ดังนั้นเเล้วจึงไม่ค่อยได้เห็นชิโอริกระทำเรื่องผิดพลาดใดๆ ออกมาให้ใครเขาเห็น เธอรู้จักการประยุกต์ใช้เรื่องรอบตัว รวมถึงในเรื่องการวางเเผนรับมือความเสี่ยงด้วยเช่นกัน อาจจะไม่ได้เด่นดีอะไรมาก แต่ก็ถือว่าไม่แย่อะไร..เจ้าตัวมีนิสัยช่างสังเกต ชิโอริมีความชื่นชอบในการซึมซับข่าวสารเเละเรื่องรอบตัวเป็นประจำ ดังนั้นเลยไม่แปลกนักหากเธอจะเป็นพวกมากความรู้เเละตามทันโลกเสมอ

               ชิโอริขยันเเละอดทนเอาเสียมากๆ เธอมีความพยายามมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและสิ่งกีดกันขวางโดยง่าย แต่ไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งอะไรมากหรอก..เธอแค่พยายามทำตัวเข้มเเข็งเสมอแค่นั้น ยามใดที่ล้มลงไป แม้จะเจ็บหรือร้องไห้ไปสักแค่ไหน ชิโอริจะพยายามลุกขึ้นมาให้ได้เสมอ ทำให้บางครั้งก็ดูเหมือนพยายามมากเกินไปจนดูเหมือนว่ากำลังฝืนตัวเองอยู่ เธอเป็นคนแปลกๆ ที่ปากบอกให้คนอื่นพัดผ่อน ตัวเองกลับโหมทำงานไม่สนโลก ชิโอริห่วงใยสุขภาพจิตและร่างกายของคนรอบตัวเป็นพิเศษ ส่วนของตัวเอง..ไม่ถือว่าไม่สนใจอะไรเลย แต่ก็เรียกได้ว่าไม่ค่อยใส่ใจมากในเรื่องของจิตใจ แต่เรื่องของสภาพร่างกายถือว่าดูเเลได้ดี เธอทานอาหารเป็นประโยชน์ครบทุกมื้อไม่น้อยไม่มากไป และตรงเวลาเสมอ ทั้งเเม้จะฝืนตนทำงานขนาดไหน แต่เจ้าตัวไม่สามารถนอนดึกเกินห้าทุ่มได้..เพราะพอถึงเวลาปุ๊ป เเม่คุณก็จะหน้าง่วงตาซึม สักพักก็คอพับหลับไปเลยน่ะสิ..

               ชิโอริในความคิดตัวเองเเล้วไม่สามารถนำใครได้หรอก ใช่ว่าความสามารถไม่มี แค่ว่าความมั่นใจมันไม่เพียงพอก็แค่นั้น ชิโอริชอบกังวลเสมอเวลาได้รับงานหรือหน้าที่ใหญ่ ด้วยความคิดที่ว่าตนเป็นพวกไม่ค่อยมีความสามารถ (ซึ่งความจริงเเล้วมันตรงกันข้าม..) เลยมักชอบเอาไปคิดว่าตนจะทำได้จริงๆ น่ะเหรอ..? แต่ถึงแบบนั้น เมื่อได้รับมอบหมายมาเเล้วก็จะทำมันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ล่ะนะ ชิโอรินำใครเขาไม่ได้ แต่เธอก็พอช่วยหนุนหลังคนอื่นได้บ้าง อาจจะไม่ได้เก่งเรื่องแนะนำให้คำปรึกษาอะไรมากมาย แต่เรื่องการให้กำลังใจน่ะทำได้ดีพอตัวเลยนะ ทั้งนี้ทั้งนั้นเจ้าตัวอาจคิดว่าตนเองเป็นแค่คนธรรมดา แต่ชิโอริมักกระทำแต่สิ่งดีและปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเสมอ เป็นเหตุให้ใครมากมายเอาเป็นแบบอย่างและเกิดความนับถือ..ถึงอย่างนั้นออร่าทะมึนนั่น ก็ทำชาวบ้านได้แต่นับถือกันเเอบๆ ล่ะนะ..

               ชิโอริมีความละเอียดอ่อนในตัวเองรวมถึงความอดทนสูงลิบต่างจากคนทั่วไป ทำให้ทำพวกงานที่ต้องใช้สมาธิสูงมากได้คล่องพอตัว ชิโอริทำพวกงานปักร้อยได้ดีเเถมสวยงามอีกต่างหาก ส่วนนี้อาจจะเป็นพรสวรรค์ของเธอก็ได้ เธอปักผ้าเย็บผ้าได้สวยมากกว่าพวกช่างตัดมืออาชีพซะอีก..เรื่องงานบ้านงานเรือนเองก็เป็นเลิศ เรื่องการทำอาหารนั้นถือได้ว่ามีความสามารถมาก ชิโอริทำอาหารได้หลายประเภททั้งคาวและหวาน แต่ที่ดีที่สุดเห็นจะเป็นพวกอาหารคาวเน้นผักคลีนสุขภาพล่ะนะ ทั้งเธอยังมีกิจการเล็กๆ เป็นการหารายได้ใส่กระเป๋าคือการทำน้ำผลไม้และน้ำผักเพื่อสุขภาพ หุ้นกับร้านขายเครื่องดื่มใกล้บ้านเธอด้วย ซึ่งมันก็สร้างเม็ดเงินให้เธอเก็บออมไว้ใช้ในอนาคตได้ดีเลยล่ะ การเงินจัดการได้เยี่ยมไม่ฟุ่มเฟือยเกินไป กล่าวเเล้วมีความเป็นศรีภรรยาที่ดีในอนาคตของใครหลายๆ คน ครบเครื่องเรื่องการดูเเลบ้าน แต่ในกรณีนิสัยนิ่งเงียบเกินไป กับท่าทางหม่นหมองจนไม่มีใครอยากเข้าใกล้นี่อาจต้องแก้ไขกันนิดหน่อยล่ะนะ..แต่ให้สรุปโดยรวมเเล้ว เจ้าตัวถือเป็นสตรีต้นเเบบที่ท่านอื่นควรปฏิบัติตาม ความงามแรกแย้มและการวางตัวที่ดี รวมถึงความสามารถรอบด้านต่างๆ ย่อมเป็นที่ต้องตาต้องใจใครมากมาย ใครคบหาเป็นเพื่อนไม่มีผิดหวัง เป็นสะใภ้บ้านไหนก็ไม่ต้องอายว่าสะใภ้จะไม่ได้ความ เสียอย่างเดียว..ความหม่นหมองของชิโอรินั้นมีมากเกินไป และมันก็ยากเกินกว่าจะลบล้างได้โดยง่าย ทำให้คนส่วนมากที่มองเพียงภายนอก พลาดเพชรน้ำงามนี้ไปอย่างน่าเสียดายเสียนี่..

               ชิโอริเอาจริงๆ ชิโอริไม่ได้ขี้อายหรือคุยกับใครไม่เก่งนะ ให้พูดต่อหน้าสาธารณะชนมันก็ทำได้ นำเสนอหรือเจรจาเองก็ไม่ใช่งานยากเินไประดับที่ว่าทำไม่ได้เเน่นอนหรอก เธอโน้มน้าวใจคนได้เพราะน้ำเสียงนั้นนุ่มนวลทั้งยังสุภาพ รู้จักเล่นประเด็น รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรพูด สรุปแล้วถือเป็นพวกวาทศิลป์เลิศแต่ไม่คิดหยิบมาใช้ แค่เพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาเท่านั้นน่ะเเหละ สายตาที่จ้องมองมานอกจากจะอึดอัดเเละยังชวนให้รำคาญในใจ เป็นเหตุให้มักส่ายหน้าใส่เสมอเวลาโดนโยนงานพวกนี้มาให้ แต่ชิโอริไม่ใช่คนหัวรั้น เพราะงั้นหากมีเหตุผลเพียงพอจะทำตามที่คนอื่นสั่งหรือขอร้องแบบไม่อิดออด เธอไม่ใช่พวกที่รับงานมาเเล้วมาบ่นกระปิดกระปอด แต่จะเอาเวลาบ่นไปตั้งใจทำงานนั้นให้เสร็จไวๆ และมีคุณภาพแทนเสียมากกว่า แต่ว่าในกรณีที่สิ่งที่ถูกวานจ้างขอนั้นมันไร้เหตุผลสมควรจนเกินไป..ให้ตายยังไงก็ไม่ทำหรอกนะ จะบอกให้..

               ชิโอริดูเหมือนกับผู้ใหญ่ในมุมมองความคิดและอื่นๆ อีกนิดหน่อย และอายุเองก็ย่างเข้าเลขสองเเล้ว..แต่ก็มีมุมที่เป็นเด็กน้อยด้วยเช่นกัน เธอเป็นกลุ่มบุคคลที่ไม่ยอมรับต่อความจริง หรือจะบอกว่ายอมรับได้ลำบากก็ได้..เวลาเจอเรื่องร้ายแรงหรือโหดร้ายกับชีวิตทีไร ชิโอริมักจะออกอาการรับไม่ได้และพยายามหลอกตัวเองเสมอ จิตใจของเธอมันบอบบางมากจริงๆ นะ..เพียงเจอเเรงกระแทกหนักๆ เข้าเเค่ครั้งสองครั้งมันก็แทบพังทลายเเล้ว..การต้องเผญิชหน้ากับเรื่องเลวร้ายนั้นเลยเปรียบเหมือนกับฝันร้ายของชิโอริ แม้ความหวังจะน้อยนิดแต่เธอก็ยังคงอยากจะขอร้องอ้อนวอนให้มันไม่จริง แต่ว่าถ้าหากวิ่งหนีมันไปจนถึงทางตันเเล้ว..เธอก็จะจำใจยอมรับความจริงนั้นไปในที่สุด..แม้ว่าลึกๆ เเล้ว จะยังคงภาวนาเเละเฝ้าวอนขอให้มัน ไม่ใช่เรื่องจริง อยู่เสมอก็ตามที..

               ชิโอริเป็นผู้หญิงที่ยิ้มยากมาก เธอเป็นคนไม่พาเพลินกับมุขตลกใดๆ หรือเรื่องขบขันเฮฮาน่าขำให้ปวดท้อง เส้นสูงมากพอตัว เรื่องบ้าจี้นี่ลืมไปได้เลย..เเตะมากไปจะโดนเธอเขม่นหรือฟาดมือใส่เอาน่ะสิ..ในตอนที่มีความสุขก็แค่ทำตาประกายขึ้นมาหน่อย หรือมากสุดก็แค่อมยิ้มนิดเดียวจนแทบสังเกตไม่เห็นเท่านั้น..การจะหารอยยิ้มจากชิโอริมันยากมาก ยากระดับที่ว่าชวนให้ยกมือนวดขมับพร้อมยกธงขาวเลยล่ะ เจ้าตัวนั้นจะหัวเราะหรือยิ้มออกมาก็ต่อเมื่อรู้สึกมีความสุขมาก..มากถึงขนาดที่ว่าสามารถหลั่งน้ำตาเพราะความดีใจมันล้นอกออกมาได้ กล่าวคือเป็นคนที่ทั้งยิ้มเเละร้องไห้ไปในเวลาเดียวกัน แต่หากเห็นเธอยิ้มน้อยๆ บางๆ ขอให้รู้ไว้..ว่าใจจริงเธอไม่ได้อยากยิ้มหรอก เพียงแค่ชิโอริรู้สึกว่าจำเป็นต้องยิ้มเพื่อให้ผู้อื่นสบายใจเท่านั้นเเหละ..เธอถึงได้ยิ้มออกมาแบบนั้นน่ะ

               ชิโอริเป็นคนสุภาพเรียบร้อยเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ค่อยมีใครได้ยินเธอเอ่ยคำหยาบคายออกมาจากปากเลย คำพูดคำจานั้นไพเราะเสนาะน่าฟังในยามปกติยิ่ง แต่หากโกรธเกรี้ยวหรือขุ่นข้องหมองใจใดๆ น้ำเสียงจะค่อนข้างเเข็งและมีความเด็ดขาดในคำพูดมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว ชิโอริอาจจะจิตใจเปราะบาง แต่ถ้าหากได้ตัดสินใจเเล้ว แม้จะมีบ้างที่อาจเสียใจภายหลัง แต่ว่าหากถามเธอว่า หากย้อนกลับไปจะทำมันอยู่ไหม? ชิโอริจะบอกชัดเจนว่า เธอจะทำ..เธอเชื่อว่า วันที่ตัดสินใจคือวันดวงดี ส่วนวันที่เหลือทั้งหมดนั้นคือวันดวงซวย เช่นนั้นเเล้วจึงได้เชื่อในการตัดสินใจของตนเอง ชิโอริปฏิเสธคนเป็นและทำได้อย่างเด็ดขาดมากด้วย เพราะงั้นต่อให้ชักแม่น้ำสายไหนมาพูด หากชิโอระบอกว่าไม่ ยังไงมันก็คือไม่ต่อไปอยู่ดีนั่นแหละ (ยกเว้นจะมีเหตุผลที่จำเป็นมากๆ มาอ้างน่ะนะ..) บางทีคนชวนดื้อด้านหน่อย เธอก็เอาเหตุผลที่เธอไม่อยากทำแบบนั้นโต้กลับไปด้วยเสียงนุ่มๆ สบายๆ ค่อยๆ อธิบาย..จนอีกฝ่ายปลงใจและยอมแพ้ไปในที่สุดจนได้ล่ะนะ

               ชิโอริยึดคติ บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นให้ปล่อยวาง หากใครมาทำดีด้วยจะทำดีตอบกลับไปเสมอ แม้อาจจะไม่ได้ยอมให้เข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว แต่ก็ปฏิบัติตัวดีๆ ด้วยตามหลักมารยาทเเละช่วยเหลืออีกฝ่ายเป็นการตอบแทน แต่หากใครมาร้ายใส่ ทำได้จะพยายามนิ่งเฉย ปล่อยวาง ปลงใส่เเล้วเมินมันเสีย จะด่าจะแกล้งอะไรเธอเชิญทำกันไปได้ตามสบายเลย เดี๋ยวสักพักก็ทนสายตาระอาเเละปลงตกของชิโอริไม่ไหว แล้วหัวฟัดเหวี่ยงเดินหนีไปกันเองแหละ..ชิโอริน่ะคุ้นชินกับการกลั่นแกล้งมาตั้งเเต่เด็กๆ เเล้ว เลยไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเท่าไหร่เวลาถูกเเกล้ง รับมือกับการโดนแกล้งได้ดี อย่างตอนม.ปลายที่เคยโดนเอาหนังสือไปทิ้ง เเม่คุณยังมองนิ่งๆ เเล้วหยิบเล่มสำรองออกมาใช้ให้คนแกล้งอ้าปากค้างเล่นได้เลย--สำคัญคือใช่ว่าเธอจะตอบโต้คนพวกนั้นไม่ได้ แค่ไม่ทำเพราะไม่ชอบใช้กำลังแค่นั้นเอง มิหนำซ้ำชิโอริยังคิดว่า วิ่งเผ่นไปหาคนช่วยเหลือยังเป็นอะไรที่ดูมีหลักประกันปลอดภัยมากกว่าอีก ประเด็นคือตีนผีมาก..ไวยิ่งกว่าลมกรดอีก เพราะงั้นอย่าฝันเลยว่าจะจับตัวเธอได้ง่ายๆ น่ะ ในกรณีพละกำลัง..ปกตินั่นเเหละ สตรีทั่วไปแรงประมาณไหน ชิโอริก็แรงประมาณนั้น ไม่ได้น้อยไม่ได้มาก เพราะงั้นการวิ่งหนีจึงดีกว่าสู้ต่อหน้ายังไงเล่า

               ชิโอริมีความสุภาพกุลสตรีในตัว ฉะนั้นเเล้วจึงไม่เอ่ยด่าใคร..ทางริมฝีปาก หากแต่เธอจะเเสดงมันออกมาทางสีหน้าเสียเเทน เธอเป็นมนุษย์ที่รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกอย่างนั้น ดวงตาเหมือนหน้าต่างของหัวใจ หากรู้สึกรำคาญก็ส่งสายตาบอกแบบไม่ปิดบัง หากรู้สึกว่าเรื่องที่กำลังฟังอยู่มันงี่เง่า จะมองหน้าคนพูดนิ่งๆ พร้อมส่งสายตาเหนื่อยจิตไปให้ ชิโอริเป็นคนที่เหมือนกับว่าสื่อคำพูดออกมาจากดวงตาได้ จะบอกแบบนี้ก็ไม่ผิดนะ แต่ว่าหากให้ปิดบังความรู้สึกจากดวงตาไว้ก็ทำได้เช่นกัน ชิโอริมีสกิลโกหกที่ร้ายกาจมาก ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าโทนเดิมๆ ที่ไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลง กับสกิลการยกเรื่องมาอ้างของตน ทำให้ไม่ค่อยมีใครจับโกหกได้ แต่ถ้าโดนจับได้จะยอมรับ ไม่ปฏิเสธข้างๆ คูๆ ไปให้เมื่อย แล้วขอโทษแต่โดยดี ไม่ชอบเรื่องวุ่นวายเท่าไหร่นัก ดังนั้นเเล้วถ้าขอโทษเเล้วเรื่องมันจะจบ เธอจะขอโทษให้ง่ายๆ เลยล่ะ 

               ชิโอริโกรธยาก แต่งอนง่าย อาการเเง่งอนมักปรากฏเมื่อถูกเมิน อย่างที่บอกว่าเป็นพวกขี้เหงา..ดังนั้นเมื่อได้รับความสนใจกับคนที่ดูเข้ากับตัวเองได้ จะมีอาการดีใจน้อยๆ ในอก แต่ถ้าโดนเมินมันจะเจ็บจี๊ดในอกแรงมาก..จนเป็นเหตุให้เกิดอาการงอนแก้มป่อง หน้าบึ้ง ร้องเชอะไปโดยอัตโนมัติ แต่งอนเขาไงต่อล่ะ..หายเองน่ะสิ..ก็ตัวเธอไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับใครเขามากอยู่เเล้วนี่ งอนไปแล้วใครจะมาง้อเล่า..คิดเเล้วทำได้เพียงแค่ปลง ถอนหายใจกันไปยาวๆ และกลับมาเป็นชิโอริเเสนหม่นหมองคนเดิมนั่นเเหละ แต่ระหว่างงอนอาจจะมีเหลือบตามอง ทำหน้าหงอยๆ บ้างอะไรบ้าง ประมาณว่า 'จะไม่ง้อจริงๆ น่ะเหรอ?' แต่ถ้าได้รับการง้อ วันนั้นทั้งวันชิโอริจะอารมณ์ดียาวไปโดยอัตโนมัติ สังเกตได้ง่ายๆ เลยคือเธอปล่อยออร่ามีความสุขออกมาน่ะสิ..เปล่า ไม่ยิ้ม ก็แค่มีออร่าฟุ้งฟิ้งรอบตัว แต่หน้าก็ตายเหมือนเดิมนั่นเเหละ..ชิโอริในกรณีที่โกรธ..จะบอกว่าชิโอริโกรธยากมาก มากของมากที่สุด เพราะเป็นคนที่นึกถึงจิตใจคนอื่นก่อนเสมอ เขามาผิดอะไรต่อตนก็ชอบหาเหตุผลมากมายยกอ้างกับตัวเอง จากนั้นก็ให้อภัยไปก่อนจะได้ทันโกรธเป็นประจำ แต่หากว่ามันหนักหนาเเละสาหัสมากจริงๆ แถมยังทำเรื่องแย่ใส่มาหลายครั้ง..ชิโอริจะไม่ทนหรอกนะ..ดังนั้นเเล้ว คนที่ทำให้ชิโอริโกรธได้นี่จึงถือว่าสุดยอดมากจริง ๆ..สุดยอดในเรื่องแย่ๆ น่ะนะ...

               ชิโอริตอนโกรธต่างจากเวลาปกติยิ่งหน้ามือกับหลังเท้า เธอโกรธเเรงและโกรธยาวมากๆ จะพยายามตีตัวออกห่าง ไม่ยุ่งไม่สน และเมินหนีคนที่ตนโกรธเสมอด้ยินชื่อก็หงุดหงิด ยิ่งเห็นหน้ายิ่งอารมณ์ขุ่นเข้าไปใหญ่ เหมือนสตรีมีเมนส์อย่างไรอย่างนั้นตอนเธอโกรธเนี่ย แถมยังมีปฏิกิริยาชัดเจนอีกต่างหาก..ตอนปกติอาจจะคุยกับคนอื่นด้วยหน้านิ่งๆ อยู่ เเต่พอคนที่โกรธโผล่มาในครรลองสายตาเท่านั้นเเหละ..หน้านี่ตึงเลยเชียว..และมันจะเป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆ หากว่าไม่ได้รับคำขอโทษหรือคำอธิบายที่สมเหตุสมผลพอให้หายโกรธ เธอไม่มีข้อกำหนดแน่ชัดว่าเจอเรื่องอะไรเเล้วถึงจะโกรธ เรียไดว่ามันเป็นเรื่องของอารมณ์ที่อธิบายยาก แอบเอาแน่เอานอนในจุดนี้ไม่ค่อยได้แรงมาก เธออาจจะโกรธยาก เเต่ถ้าจะโกรธแล้วกลับโกรธเสียดื้อๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย จับต้นชนปลายเเทบไม่ถูกกันเลยล่ะ..ถือเป็นนิสัยน่าปวดหัวอย่างหนึ่งในตัวเลยก็ว่าได้นะ..

               ชิโอริ..แต่ไหนแต่ไรมีความปรารถนาสูงสุดอยู่อย่างหนึ่ง..เธอน่ะ เป็นพวกขี้เหงา..ก็เลยมักอยากจะมีเพื่อนอยู่ข้างตัว แต่เพราะไม่อยากสูญเสียเลยไม่กล้าที่จะสานสัมพันธ์ เพราะงั้นถึงได้อยากได้คนที่แสนวิเศษเเละเข้าใจในตัวเธอได้..คนที่สามารถอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่หนีหาย และคอยช่วยเหลือกันเสมอ..ปรารถนาอยากมีคนแบบนั้นคอยอยู่ข้างๆ กันตลอดไป..นั่นแหละคือสิ่งที่ชิโอริปรารถนา..แต่เพราะเคยวอนขอต่อฟากฟ้ามามากมายนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าคำวอนขอเหล่านั้นกลับไม่เคยเป็นจริง ดังนั้นเเล้วความในเรื่องพวกนี้ถึงได้บอกได้ว่า หมิ่นเหม่จนเกือบจะไม่เชื่อ..ที่บอกว่าเกือบจะนั้น เป็นเราะว่าตัวชิโอริยังคาดหวังอยู่ลึกๆ ยังไงล่ะ ว่าจะมีสักครั้งที่ฟากฟ้ารับฟังคำขอของเธอจนได้น่ะ..

     

     

    ประวัติ ::

            ฮินาตะ ชิโอริ  คือชื่อของเด็กสาวตัวน้อยผู้เกิดเเละเติบโตภายในครอบครัวเล็กๆ ที่ขาดซึ่งมารดาและบิดา เธอโตขึ้นมากับผู้เป็นย่าและน้องชายเพียงคนเดียวของตน ถึงกระนั้นชีวิตของเด็กน้อยก็มีความสุขดี เธออาจจะเศร้าใจหรือทุกข์ตรมบ้างที่ตนไม่ได้มีพ่อแม่เฉกเช่นเด็กคนอื่น แต่เพราะนิสัยที่คิดในเรื่องดีๆ เสมอของชิโอริ ทำให้เธอบอกกับตนเองเสมอว่า มันไม่เป็นไร นั่นเพราะว่าเธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว..ชิโอริมีคุณย่า น้องสาวและน้องชายของเธออยู่กับเธอ วันคืนในแต่ละวันเองใช่ว่าจะเงียบเหงา ครอบครัวเล็กๆ ที่มีกันสี่คนนั้นรักกันดี พวกเธอมีกันเพียงแค่นี้เพราะงั้นถึงได้เอาใจใส่ซึ่งกันเเละกันเสมอ ดังนั้นจึงบอกได้ว่า ชีวิตของ ฮินาตะ ชิโอริ นั้นเต็มไปด้วยความสุขเเละรอยยิ้มมาตลอดก็ว่าได้

               แต่ถึงแบบนั้น..มนุษย์ยังคงเป็นมนุษย์ ที่ชีวิตนี้จำเป็นต้องมีบททดสอบ..

               หากถามหาถึงซึ่งที่ชิโอริสามารถบอกได้ว่ารู้สึกทุกข์ใจและหนักใจกับมันได้ คงต้องบอกว่าเป็นนิสัยเเละร่างกายที่มีความอ่อนแอจนเกินไปของเธอนั่นแหละ ด้วยเพราะได้รับนิสัยอ่อนโยนนุ่มนวลจากผู้เป็นย่า และได้รับการปกครองจากน้องชายผู้มีอายุห่างกันไม่มาก ทั้งยังเติบโตมาด้วยสภาพเเวดล้อมเเสนดี ทำให้ตัวชิโอริในวัยเยาว์นั้นมีนิสัยที่ติดจะขี้เเยและแอบขี้กลัวพอสมควร บวกกับภาพลักษณ์ราวกับตุ๊กตาไร้ทางสู้นั่นเเล้ว เธอจึงเปรียบเสมือนของเล่นหยอกล้อของพวกเด็กรุ่นเดียวกันที่ยังไร้ซึ่งการคิดวิเคราะห์ที่ดีก็ไม่ปานเลยเชียว

               ทุกครั้งที่ออกไปนอกบ้านเพียงคนเดียว ชิโอริมักกลับไปที่บ้านพร้อมน้ำตาเปื้อนหน้าเสมอ แต่เด็กหญิงไม่เคยบอกคนอื่นเลยว่าเธอถูกแกล้งหรือรังแก เธอมักบอกเพียงว่าตัวเองเจอกับเรื่องไม่ดี บ้างว่าหมาวิ่งไล่ บ้างว่าสะดุดกิ่งไม้ล้มคว่ำ จากนิสัยของชิโอรินั้นน้องชายกับผู้เป็นย่าย่อมไม่คิดว่าเธอจะโกหก แม้ว่าฝ่ายผู้เป็นน้องทั้งสองจะรู้สึกตะหงิด แต่เพราะเป็นเด็กพวกเขาจึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก ไม่นานก็ลืมเลือนไป..และนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีกับชิโอริ เธอไม่ต้องการให้คนอื่นมาหนักใจในเรื่องของเธอ เด็กหญิงเก็บเรื่องทุกข์ใจของตนเองไว้กับตนเสมอ ทั้งยังมีนิสัยขี้เกรงใจอยู่ในตัว ทำให้ไม่อยากเอาเรื่องของตัวเองไปบอกคนอื่น และบางที..ถ้ามันเป็นแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ เธอคงกลายเป็นเด็กเก็บกดเข้าสักวันแน่ ๆ..

                หากไม่ติดว่า ในตอนที่ตัวของชิโอรินั้นอายุได้แปดปี..มันได้มีใครสักคนเดินเข้ามาในชีวิตเธอน่ะนะ..

                "ทำไมถึงไม่ตอบโต้บ้างล่ะ?"

                ในตอนที่พระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า..ในสนามเด็กเล่นอันเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงใดยกเว้นเสียงแกว่งไกลของชิงช้า และเสียงสะอื้นฮักของเด็กสาวผู้ถูกรังแก..เจ้าของดวงตาเเสนสวยราวดวงดาวนั้นเอ่ยกับเธอ เขาที่เป็นเด็กเพียงคนเดียวซึ่งไม่คิดจะรังแกเธอ แต่กลับยื่นมือเข้ามาหาเธอเพื่อช่วยเหลือเสียแทน..

                  "ทะ ทำร้ายคนอื่นมันไม่ดีนี่นา" เธอตอบกลับไปเช่นนั้น ตามที่ได้รับสั่งสอนมาจากผู้เป็นย่า แต่กลับถูกดีดจมูกเสียงเเดงเจ่อ ทำเอาอดร้องอวดครวญเสียไม่ได้ 

                  "แล้วทีพวกนั้นทำร้ายเธอล่ะ" 

                  ชิโอริไม่ตอบ ได้แต่ก้มหน้านิ่ง..ไม่กล้าบอกหรอกว่ากลัวน่ะ..แค่นี้ก็รู้สึกเหมือนตัวเองน่าหัวเราะพออยู่เเล้ว ถ้าบอกไปว่าเธอนั้น กลัวว่าหากโต้กลับไปแล้วจะโดนแกล้งมากกว่าเดิมเเล้วล่ะก็ อีกฝ่ายคงได้หัวเราะเยาะเธอแน่ๆ ..เด็กสาวคิดตามประสบการณ์ที่เคยพบเจอ แต่เเล้วดวงตากลับต้องเบิกกว้าง เมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นได้เอ่ยต่ออีกครั้งว่า

                  "ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันไม่หัวเราะหรือรังแกผู้หญิงหรอกนะ!" เขาว่าพร้อมทุบอกตัวเองเบาๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะหัวเราะออกมาตามประสาเด็กผู้ชาย ชิโอริอ้ำอึ้ง ไม่รู้ว่าควรบอกดีไหม..แต่..

                  "ฉะ ฉันกลัว.." สุดท้ายริมฝีปากจิ้มลิ้มก็เอ่ยไปจนได้ "พวกนั้นน่ะเเรงเยอะจะตาย..คนร่างกายปวกเปียกแบบฉันจะไปสู้ได้ไงล่ะคะ.."

                 "แต่ฉันสู้แทนเธอได้นะ! ให้ฉันปกป้องเธอม้า?"

                 ดวงตาเบิกกว้าง ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ยินประโยคเช่นนี้จากคนที่เพิ่งได้พบเจอกันเป็นครั้งแรก ก่อนใบหน้าจะรู้สึกร้อนฉ่าเมื่อมือเปื้อนดินนั่นเอื้อมมาเช็ดน้ำตาให้เธอ และถึงเเม้มันจะทำให้หน้าของชิโอริเปรอะเปื้อน แต่เธอกลับ..ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบใจในสัมผัสนั้นเลยแม้แต่น้อย..

                 ชิโอริรู้สึกเหมือนหัวใจในอกซ้ายอุ่นวาบกับสัมผัสนั้น มัน..ไม่ใช่ทั้งความรู้สึกเขินอายหรือแปลกปลอม ทว่ากลับเป็น..ความคุ้นเคย? ทั้งยังอบอุ่นมากเสียจนหัวใจสัมผัสเเละรับรู้ได้อย่างชัดเจน  แม้ว่าพวกเขาจะเพิ่งเจอกันครั้งเเรก แต่รอยยิ้มเเละสัมผัสของอีกฝ่ายกลับทำให้เธอรู้สึกไว้วางใจเขาได้อย่างที่ไม่น่าเป็นไปได้..แต่นั่นก็มากพอจะทำให้เด็กหญิงขี้อายในตอนนั้นเอ่ยสนทนาพาทีต่อไปได้ แม้ว่ายามแรกจะอึกอักตอบได้บ้างไม่ได้บ้างตามประสาคนช่างเขินอาย ไม่นานนักก็สามารถต่อบทสนทนาได้อย่างลื่นไหล สีที่ชอบ ของกิน เครื่องใช้ หนังสือและเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าอะไรก็ดูจะชอบคล้ายกันไปเสียหมด..เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง คนแปลกหน้าในตอนนั้นกลับกลายเป็น เพื่อนคนแรก ในชีวิตของชิโอริไปได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

                 ความรู้สึกสนุกสนานยามได้พูดคุยโอบล้อมหัวใจทุกๆ ครั้ง เมื่อถึงเวลาทั้งคู่เเยกย้ายกันกลับบ้านไปด้วยรอยยิ้ม เป็นครั้งแรกในรอบสองสามปีนี้ที่ชิโอริกลับบ้านไปพร้อมกับรอยยิ้มเปื้อนใบหน้า เวลาผ่านไปหลังจากหลับตาจนกระทั่งถึงเวลาที่ได้พบกับเด็กชายคนนั้นอีกครั้ง ชิโอริออกจากบ้าน เสี่ยงดวงว่าจะได้เจอกับเขาไหม ก่อนจะยิ้มกว้างเต็มใบหน้าเมื่อเจอกับเด็กคนนั้นที่กำลังนั่งแกว่งชิงช้ารอเธออยู่ ดวงตาประกายราวดาวสวยบนฟากฟ้านั้นจ้องมองมาที่ชิโอริ แย้มยิ้มกว้างเปื้อนใบหน้า เเล้วเอ่ยพร้อมโบกมือให้อย่างเริงร่า

                 "มาเล่นกันเถอะชิโอริ!"

                 เป็นเช่นนี้ทุกวัน..เล่นสนุกกันเเละพูดคุยถึงเรื่องราวที่พบพานมาในวันนั้น เมื่อถึงยามดึกพลันเเยกย้าย พร้อมหวนกลับมาพบเจอกันอีกครั้งที่เดิม ณ เวลาเดิมในวันถัดไป เวลาผ่านไปเรื่อยๆ กับเหตุการณ์ที่วนลูปซ้ำๆ ไปแบบที่ไม่มีใครเบื่อ ท้ายสุดเเล้วพวกเขาก็ได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของกันเเละกันไปในที่สุด..

                  เพื่อนสนิทคนแรก..คาตะ สึคาวะ..

      

                  และเเล้วเวลาก็ล่วงเลยไปถึงสามปี..

                  "นี่ชิโอริ เธอยังโดนพวกนั้นเเกล้งอยู่อีกรึเปล่า?" 

                  สึคาวะถามเธอในขนาดที่ทั้งคู่กำลังนั่งให้อาหารปลาในวันหยุดด้วยกัน ชิโอริเเปลกใจไม่น้อยเพราะอีกฝ่ายไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้มานานเเล้ว นั่นเพราะพอมีสึคาวะมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต พวกที่แกล้งเธอก็หายไปเยอะพอสมควร..เขาปกป้องเธอตามที่ปากว่า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีช่วงเวลาที่สึคาวะมาปกป้องเธอไม่ได้ อย่างเช่นเวลาที่ชิโอริต้องไปโรงเรียนหรืออีกฝ่ายติดธุระ เธอบอกอีกฝ่ายไปตามตรงว่ามีบ้าง ทำให้เด็กหนุ่มเงียบไปด้วยสีหน้าจริงจังเสียจนเด็กหญิงอดงงงวยไม่ได้

                  เธอถามเขาว่ามีเรื่องหนักใจอะไรไหม สึคาวะทำเพียงส่ายหน้าเเละยิ้มให้น้อยๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไป "เรามาเเก้นิสัยกับภาพลักษณ์ที่ทำให้เธอดูน่าแกล้งกันไหมชิโอริ?"

                  "เอ๋? ทำไมล่ะคะ?" ชิโอริถามกลับไปอย่างงุนงง เธอรู้ว่าการที่เธอโดนแกล้งมันเป็นเรื่องแย่ แต่ว่า.. "แค่มีสึคาวะคุงอยู่ข้างๆ ก็พอแล้วนี่คะ"

                  พอชิโอริพูดเเบบนั้น สึคาวะยิ่งทำสีหน้าจริงจังมากกว่าเดิมหลายเท่า กอดอกบ่นด้วยเสียงที่ค่อนข้างดังราวกับคุณแม่เอ็ดลูกสาว "ฉันก็เหมือนแม่นกนั่นแหละ! จะอยากเห็นลูกโผบินได้ด้วยปีกของตัวเองก็ไม่แปลกใช่ไหมล่ะ!"

                   เด็กสาวยิ้มกับคำพูดนั้น ไม่ว่าเมื่อไหร่สึคาวะก็เป็นแบบนี้เสมอ..คอยห่วงใยเรื่องของเธอและช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ หากชิโอริล้ม เขาจะช่วยพยุง หากเธอเหนื่อย เขาจะนั่งรอเธอ และหากเมื่อใดที่พบเจอกับเรื่องเครียด สึคาวะจะเป็นคนคอยให้คำปรึกษากับเธอเสมอ..เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนที่ให้คำปรึกษามาโดยตลอดเเละอยู่เคียงข้างกันมาเสมอก็ว่าได้ล่ะนะ.. 

                 ท้ายสุดชิโอริหัวเราะออกมา ก่อนจะเอ่ยเเซวอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม

                   "สึคาวะคุงเนี่ยยกตัวอย่างประหลาดจังเลยนะคะ"

                   "ห--ห๊า นั่นคิดตั้งนานเลยนะ! ไม่เท่ห์เหรอ?"

                   "ประหลาดสุดๆ ต่างหากล่ะคะ"

                   เสียงหยอกเย้าเเละเสียงโวยวายดังไปทั่วพื้นที่ ก่อนจะจบลงด้วยเสียงหัวเราะร่าของทั้งคู่ ชิโอริตกลงที่จะทำตามที่สึคาวะบอกในที่สุด เพราะสึคาวะมักเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เธอเสมอ เขาเป็นเหมือนเซียนกูรูรอบรู้นักให้คำปรึกษา ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด..คือชิโอริเริ่มรู้สึกไม่อยากให้สึคาวะต้องเหนื่อยกับเรื่องของเธอมากเกินไป..เขาต้องคอยดูเเลเธอประจำ ดังนั้นเเล้วถ้าเธอเข้มแข็งขึ้นล่ะก็ คงจะลดภาระของสึคาวะคุงไปเยอะเเยะเลยล่ะ..

                   มันอาจจะเป็นเรื่องยากก็ได้..แต่เอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก..ก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนี่นา จริงไหมล่ะ?

     

                   นิสัยคนอาจจะเเก้ได้ยาก แต่ถ้าเข้มงวดกับมันสักหน่อยใช่ว่าจะทำไม่ได้เช่นกัน..เวลาผ่านไปเป็นปี นิสัยจำพวก ขี้แย และขี้อายไม่กล้าพูดหายไปจนแทบไม่หลงเหลือ ชิโอริสามารถเข้าหาผู้อื่นได้มากขึ้นเมื่อปราศจากนิสัยพวกนั้น ด้วยเพราะหน้าตาดี นิสัยน่ารักเป็นทุนเดิม เช่นนั้นแล้วการจะเป็นที่รักนั้นต้องบอกว่าไม่อยากเลยสักนิด..มิหนำซ้ำสึคาวะยังเข้มงวดเรื่องการออกกำลังสม่ำเสมอ ทุกเช้าเเละทุกเย็น เธอจะต้องออกมาวิ่งไม่ก็ปั่นจักรยาน และในวันหยุดเองก็ต้องออกไปออกกำลังกับสึคาวะเช่นกัน 

                   ร่างกายของชิโอริเเข็งแรงขึ้นมาก..นอกจากจะได้เพื่อนใหม่ตอนขึ้นชั้นเรียนใหม่เเล้ว เวลาที่มีคนมาหาเรื่องเธอก็พอตอบโต้ได้บ้าง หรืออย่างน้อยก็ยังสามารถใส่เกียร์สี่ขาเเล้ววิ่งหนีไปขอความช่วยเหลือได้ล่ะนะ..

                   แต่ถึงจะมีเพื่อนเพิ่มขึ้นมามากมายสักแค่ไหน ชิโอริก็จะเผื่อเวลาเพื่อมาพบเจอกับสึคาวะเสมอเช่นเมื่อก่อน เรื่องราวที่ได้พบเจอมามากมายถูกยกหยิบมาเเลกเปลี่ยนกันอย่างสนุกสนาน รอยยิ้มเเละเสียงหัวเราะเกิดขึ้นเสมอเมื่อเริ่มบทสนทนา..ไม่ว่าเมื่อไหร่ สึคาวะยังคงเป็นคนสำคัญและเป็นดั่งผู้มีพระคุณสำหรับชิโอริเสมอไม่เปลี่ยนแปลง..เพราะเขาคือคนที่มาทำให้ชีวิตของเธอเปี่ยมด้วยความสุขสันต์อย่างแท้จริง เป็นคนที่ทำให้อะไรหลายๆ อย่างดีขึ้นมากมาย..ทั้งครอบครัวของเธอเองก็ชื่นชอบในตัวสึคาวะพอสมควร พวกเราเข้ากันได้ดีราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน หลายครั้งสึคาวะจะเเวะเวียนไปที่บ้านของเธอพร้อมขนมบ้างอาหารบ้างแล้วแต่โอกาส ถึงอย่างนั้นมันก็คือช่วงเวลาที่เเสนวิเศษมากจริง ๆ..

                   ชิโอริทอดมองภาพพวกนั้นด้วยสายตาที่เต็มประกายแห่งหวัง เธอหลับตาเเละภาวนาในค่ำคืนที่หิมะโปรยปราย..

                   ขอให้ทุกอย่างยังเป็นเช่นนี้ตลอดไปไม่เปลี่ยนแปลง..ให้ชีวิตของเธอยังสดใสเเละเต็มไปด้วยความสุขเช่นนี้ พร้อมกับทุกคนทีเถอะนะคะ..

     

     

                   แต่สุดท้ายเเล้ว..โลกใบนี้ยังคงโหดร้ายเสมอ..

                   มีสุขมากเท่าใด..ทุกข์ย่อมมากขึ้นไปเท่านั้นเช่นกัน

                   "เมื่อช่วงเย็นนี้ในเวลาห้าโมงเย็นได้เกิดเหตุน่าสลดขึ้นค่ะ เป็นข่าวการเสียชีวิตของเด็กสาวท่านหนึ่ง ซึ่งผู้เสียชีวิตนั้นเป็นเพียงแค่เด็กสาววัยสิบห้าปีเท่านั้น สันนิษฐานว่าด้วยเพราะความไม่ระมัดระวังและการยับยั้งของผู้คนละเเวกนั้น จึงเกิดเหตุทะเลาะวิวาทขึ้นทำให้เด็กสาวคนนี้ถูกแรงกระแทกผลักตกลงไปในรางรถไฟค่ะ และก่อนที่จะได้ทำการช่วยเหลือได้ทัน เธอก็ต้องเสียชีวิตไปเสียก่อนเพราะถูกรถไฟกระแทกร่างจนเสียชีวิต..."

                   เสียงของผู้ประกาศข่าวดังออกมาจากทีวีเก่าๆ ในบ้านหลังน้อย มันก็เป็นเหมือนทุกคืนที่จะมีเรื่องน่าเศร้าแบบนี้ออกมาให้เห็น..แต่ทว่าบรรยากาศในบ้านฮินาตะกลับเต็มไปด้วยความหม่นหมอง เสียงร้องไห้สะอื้นฮักแทบขาดใจดังจากหญิงชรา ข้างกายของเธอคือเด็กหนุ่มวัยเพียงสิบสาม เขาร้องไห้ออกมาไม่ต่างจากผู้เป็นย่า โอบกอดนางไว้แน่นพลางเปล่งเสียงร้องไห้ออกมาไม่ยอมหยุด..

                   ชิโอริมองภาพนั้นด้วยหัวที่ว่างเปล่า ปลายนิ้วของเธอเย็นเฉียบจนเหมือนว่าเลือดหายไปจากร่างกาย ดวงตาแสนงามนั้นเบิกกว้าง ทั้งหวาดกลัวเเละตกใจ เเม้ว่าจะได้ยินข่าวร้ายนี้จากปากของน้องชายและผู้ประกาศข่าวในทีวีเเล้วตัวเธอกลับยังไม่อยากจะเชื่อมัน ความหวังลมๆ แล้งๆ เกิดขึ้นในหัวใจ คาดหวังให้มันไม่ใช่ ทว่าสุดท้ายแล้วกลับเเตกสลายลงไปเมื่อชื่อของผู้เสียชีวิตถูกประกาศออกมา พร้อมรูปของคนเเสนคุ้นเคยที่ปรากฏบนหน้าจอนั่น..

                   ฮินาตะ อามายะ...นั่นคือชื่อของน้องสาวเธอ..

                   ไม่รู้สึกอะไร และไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย..รู้ตัวอีกทีหูกลับได้ยินเสียงร้องเรียกห้ามของผู้เป็นน้องชายและย่า แต่สมองและขากลับไม่ยอมฟังอะไรสักอย่าง วิ่งออกจากบ้านไปโดยไม่สนเวลาหรือแม้กระทั่งสายฝนที่โปรยปรายอยู่เบื้องนอก เพียงเพราะต้องการแค่จะพิสูจน์เท่านั้น..

                   พิสูจน์ว่าเรื่องบ้าๆ นี่มันเป็นเพียงความฝัน..

                   พิสูจน์ว่าทุกอย่างมันก็แค่เรื่องโกหก..

                   เพราะงั้นเธอจึงวิ่งออกไปแบบไม่คิดชีวิต ทว่าท้ายสุดเเล้วกลับต้องหยุดชะงักไปเมื่อเรียวเเขนถูกกระชากอย่างแรงด้วยบุคคลคนหนึ่ง ที่ทันเห็นเธอวิ่งออกมาจากบ้านโดยไม่สนอะไรเลย แม้กระทั่งใส่รองเท้าให้ดีก็ตาม ทำให้เขาเลือกจะวิ่งตามเธอมาเเบบนี้

                   "จะทำบ้าอะไรน่ะชิโอริ วิ่งออกมาแบบนี้น้องกับย่าของเธอจะเป็นห่วงเอานะ!" สึคาวะตะโกนด้วยเสียงดังก้องเเข่งกับเสียงฝน เขาตั้งท่าจะเอ่ยดุเด็กสาวและพาเธอกลับบ้าน ทว่าสีหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษและเเววตาที่สั่นกลัวนั่นกลับทำให้เขานิ่งงันไป

                   "ปล่อยฉัน.." ริมฝีปากเซียวพึมพำ น้ำเสียงสั่นจนแทบจับใจความไม่ได้ "ต้องรีบไป..ฉันต้องรีบไปรับอายามะนะคะสึคาวะคุง..ยัยนั่นน่ะ ป่านนี้เเล้ว..ยังไม่ยอมกลับบ้านเลยนะ"

                   "..............."

                   "ต้องรออยู่ที่ไหนสักที่..ไม่สิ หนีไปเล่นซนอีกแล้วแน่ ๆ.."

                   "................"

                   "รถไฟชนเหรอ..ตายเเล้วงั้นเหรอ?..บ้า บ้าชัดๆ ของแบบนั้นมันจะเป็นเรื่องจริงได้ยังไงกันล่ะคะ.."

                   ยิ่งพูด..เสียงของเธอยิ่งสั่นเครือ ภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปเรื่อยๆ จนมองอะไรแทบไม่เห็นเลย ทั้งสายฝนและน้ำตาอุ่นร้อนเอ่อคลอรอบดวงตา อะไรกัน..จะร้องไห้ทำกันล่ะชิโอริ แค่จะออกไปพาตัวน้องสาวจอมดื้อกลับบ้านเองนะ เธอจะร้องไห้ทำไมกันชิโอริ..

                   ท่ามกลางความคิดที่กำลังสับสนและคำพูดหลอกลวงใจตนเอง อ้อมกอดอบอุ่นนั้นถาโถมเข้ามา..

                   "อย่าหลอกตัวเองเลยชิโอริ.." เสียงทุ้มกระซิบบอกเธอ ท่ามกลางสายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมามันเบามากเสียจนเเทบไม่ได้ยิน ทว่ากลับก้องชัดภายในหู.. "อายามะน่ะ..ตายไปแล้วจริง ๆ.."

                   เพียงแค่นั้น..ความหวัง คำภาวนา และทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอันต้องพังทลายลงไปจนไม่เหลือชิ้นดี เเขนเล็กๆ โอบกอดตอบอ้อมกอดอบอุ่นนั้น ชิโอริฝังหน้าของเธอลงบนไหล่หนาเเละส่งเสียงร้องไห้อวดครวญออกมา เธอร้องออกมาจนสุดเสียง น้ำตาไหลอาบดวงหน้างามไม่ยอมหยุด ความเจ็บปวดความทรมานจากการสูญเสียราวกับกำลังฉีกกระชากร่างของเธอให้แหลกเป็นจุญ

                   เจ็บ..เจ็บเหลือเกิน..ราวกับว่ากำลังจะตายลงเสียให้ได้ เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังคลอไปกับเสียงของสายฝน เด็กสาววัยสิบเจ็ดปีผู้พบพานกับความสุขสำราญมาแทบทั้งชีวิต ไม่สามารถเเม้กระทั่งยอมรับความจริงและเผญิชหน้ากับมันได้เลยเสียด้วยซ้ำ มีเพียงแค่อ้อมกอดของเพื่อนคนสำคัญตรงหน้าเท่านั้นที่ยังพยุงไม่ให้ร่างกายนี้ล้มลงไปกองแทบพื้นเสียก่อน

                   "มันไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหมคะ..สึคาวะคุง..ไม่ใช่ใช่ไหม..?"

                   "....." เขาไม่สามารถบอกอะไรกับคนในอ้อมแขนของตนได้เลย สึคาวะทำได้เพียงนิ่งเงียบและกอดร่างนั้นไว้เท่านั้น ความเศร้าหมองของอีกฝ่ายส่งผ่านมาจนถึงเขาได้เลยเสียด้วยซ้ำไป

                   "แกล้งกันเล่นใช่ไหมคะ? ทั้งสึคาวะคุง คุณย่า มาซาฮิโระ..แล้วก็อายามะ.." แม้กระทั่งตอนนี้ชิโอริก็ยังไม่ยอมรับความจริง เธอคร่ำครวญเฝ้าถามสารพัดคำถาม แต่คนตรงหน้ากลับไม่ตอบอะไรกลับมาเลยแม้แต่คำเดียว มีเพียงแค่แววตาอันเเสนรวดร้าวของเขาเท่านั้นที่ส่งมอบกลับมา

                   ร่างกายหนาวเย็นไปหมด..ความจริงเเสนโหดร้ายกำลังกลืนกินตัวเธอทีละนิด..ชิโอรินิ่งเงียบไปในที่สุด ปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาไม่ขาดสาย เมื่อฟากฟ้านั้นเเสนโหดร้าย ไม่คิดจะรับฟังคำขอของเธอเลยแม้แต่น้อย

                   มือหนาลูบศีรษะซึ่งปกคลุมด้วยกลุ่มผมนุ่มเบาๆ กระซิบเอ่ยบอกว่า

                   "กลับบ้านเถอะนะ..ชิโอริ"

                   คนในอ้อมแขนไม่ตอบไม่หือไม่อืออะไรสักอย่าง สึคาวะจับมือน้อยๆ ของเพื่อนรักไว้เเน่นเเละจูงมือชิโอริเดินกลับบ้านหลังน้อยของเธอช้าๆ แม้สายฝนจะตกกระทบตัวพวกเขามากมายเพียงใด แต่ขาที่หนักอึ้งก็ไม่สามารถนำพาทั้งคู่หลบหลีกหนีจากเม็ดฝนได้ว่องไวดั่งใจนึก ได้แต่เดินไปเรื่อยๆ เช่นนี้พร้อมกับสายฝนที่โปรยปรายลงมาเท่านั้น..

                   และท่ามกลางความเงียบงันนั้น คำขอเเสนเห็นแก่ตัวได้เอ่ยออกมาจากริมฝีปากของเด็กสาว..

                   "สึคาวะคุง.."

                   "อะไรเหรอ..?"

                   "อย่าไปไหนนะคะ"

                   สึคาวะชะงักปลายเท้าเล็กน้อย เขานิ่งไปเสียนานจนชิโอริรู้สึกใจเขว แต่แล้วหัวใจกลับอุ่นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อมือหนานั้นกระชับมือของเธอให้แน่นขึ้น เสียงแผ่วเบากลืนกินไปกับสายฝนรอบตัว แต่กลับดังชัดในหูของชิโอริไม่จางหาย..

                   "ไม่ไปไหนหรอก..อย่างน้อย..ในตอนนี้ฉันก็ไม่ไปไหนหรอก.."

                   ทั้งอบอุ่นเเละหนาวเย็นไปพร้อมกันคำสัญญาที่ฟังดูคลุมเครือ แต่ชิโอริกลับยังคงคาดหวัง..

     

                   ขอให้คำสัญญานี้หาใช่ลมปาก..ให้มันเป็นจริงดังที่เขาได้เอ่ยไว้

     

                   อาการของชิโอริไม่ดีขึ้นเลยเเม้ว่าเวลาจะผ่านมาหลายเดือนเเล้ว ความหมองหม่นนั้นยังคงปรากฏอยู่ในดวงตาของชิโอริ ไม่ว่ามาซาฮิโระผู้เป็นน้องหรือสึคาวะจะพยายามยังไง แต่กลับไม่ส่งผลอะไรเลย คล้ายกับว่าเหตุการณ์จากลาในครั้งนี้มันสะเทือนขวัญของชิโอริมากจนใจเเหลกเหลว..และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะยิ่งนานวันเข้า..ใบหน้านั้นยังนิ่งเรียบ ดวงตาที่เคยเป็นประกายกลับหม่นหมองลงเรื่อยๆ จนไม่เหลือเค้าเดิม ชิโอริเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากเด็กสาวที่เคยอ่อนโยนอ่อนหวาน และยิ้มเเย้มเสมอกลับกลายเป็นคนที่ป่วยหนักและอมทุกข์ตลอดเวลา ลบล้างภาพอันเปล่งประกายในวัยเยาว์ไปจนหมดสิ้น

                   เหมือนกับว่ากลายเป็นภาพขาวดำ ที่เคลื่อนไหวได้ทว่ากลับไร้ซึ่งชีวิตชีวา

                   ชิโอริใช้ชีวิตอย่างหม่นหมองไปเรื่อยๆ พร้อมกับมองรอบตัวเธอไปด้วย..นับวัน ยิ่งรู้สึกได้ว่าสึคาวะห่างไกลออกไปทุกที ไม่ใช่ทั้งอาการคิดไปเองหรือถูกบอกมาอีกทีหรอก เพราะชิโอริสัมผัสมันได้..เขาเหม่อลอยมากขึ้น ไม่ค่อยมาหาเธอเหมือนทุกวัน บางครั้งเรื่องเล่าที่เคยมีให้กันเสมอก็ห่างหายไป ราวกับว่าระยะห่างมันเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จากคนสำคัญในวันนั้น..คล้ายว่าจะถดถอยกลับกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับกันเเละกันอีกครั้งก็ไม่ปาน ท้ายสุดเเล้ววันหนึ่งไม่อาจทนต่อความรู้สึกโหวงเหวงกับระยะห่างนั้นได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะความกลัวหรือสงสัย แต่สุดท้ายเเล้วชิโอริก็เอ่ยถามออกไปจนได้ว่า

                   "สึคาวะคุง.."

                   "...อะไรเหรอ?"

                   ริมฝีปากเม้มแน่น ดวงตาทอดมองสั่นไหวราวกับกระจกที่กำลังแตกกราวเพราะความร้าวรานจากแรงกระเเทกนั้น.. "ที่สัญญาไว้นั่น..โกหกสินะคะ?"

                   ไม่อยากจะได้ยินคำตอบ..เพราะรู้ดีอยู่เเล้วยังไงล่ะว่าคำตอบคืออะไร ถึงอย่างนั้นริมฝีปากกลับเอื้อนเอ่ยถามออกไป..

                   สึคาวะนิ่งค้างไปกับคำถามเเสนเรียบง่ายของเธอ ความเงียบบีบคั้นพวกเขาทั้งสอง..ก่อนสายสัมพันธ์บางๆ อันจวนเจจะขาดนั้นจะสบั้นลงด้วยคำเพียงคำเดียวจากอีกฝ่าย

                   "ขอโทษนะ"

                   ".........."

                   ดวงตาราวกับแสงดาวประกายเบนหลบหนี ไม่กล้าแม้กระทั่งสบตากับเธอด้วยซ้ำ..แตกต่างจากสึคาวะคุงที่ชิโอริเคยรู้จักโดยสิ้นเชิง

                   "ฉันจะต้องย้ายบ้านเเล้วล่ะ..ความจริงเเล้วรู้มานานเเล้วล่ะว่าสักวันจะต้องย้ายออกไป เพราะงั้น..ขอโทษจริงๆ นะที่สัญญาอะไรแบบนั้นไว้"

                   ความจริงที่ได้รับรู้ราวกับคมมีดเฉือนหัวใจอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บร้าวไปหมด แม้กระทั่งสายสัมพันธ์อันยาวนานกับเพื่อนคนสำคัญเธอก็ต้องเสียมันไปงั้นเหรอ? พระเจ้าเล่นตลกอะไรกัน..ทำไมต้องมาพรากคนสำคัญไปจากเธอถึงสองคนแบบนี้ด้วย..

                   เฝ้าโทษคิดฟากฟ้า ฝ่ามือและริมฝีปากสั่นเครือ อยากจะร้องไห้ออกมาแต่สมองกลับสั่งให้กลั้นมันเอาไว้ให้ได้มากที่สุด..

                   รอยยิ้มที่ออกแทนที่ช้าๆ เก็บกดความรู้สึกร้าวรานลงไปให้หมด ฉาบใบหน้าด้วยความอ่อนหวานเป็นครั้งสุดท้ายกับการพบพานครั้งสุดท้ายนี้..

                   "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ.."

                   "สึคาวะคุง..เหนื่อยกับเรื่องของฉันมามากเเล้วล่ะค่ะ"

                   "ไปเถอะค่ะ.."

                   "ฉันไม่เป็นอะไรหรอก"

                   คำโกหกคำโตเอื้อนเอ่ยจากริมฝีปาก ชิโอริไม่คิดจะรั้งสึคาวะไว้อีกต่อไปแล้ว..แต่ถึงอย่างนั้นหัวใจส่วนลึกก็ยังอ้อนวอนขอให้เขาเห็นแก่ความสัมพันธ์หลายปีนี้ ให้เขายังอยู่ข้างเธอเเละเป็นเพื่อนคนสำคัญของเธอเช่นนี้ต่อไปที..ทว่าคำภาวนานั้นไม่เคยเป็นผล สึคาวะกุมมือเธอ บีบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ ส่งรอยยิ้มเเสนอบอุ่นนั้นให้แก่เธอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจากลาไปโดยไม่มีวันหวนกลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง

                   หลงเหลือไว้เพียงถ้อยคำเเสนเรียบง่ายนั้น

                   "เข้มเเข็งเข้าไว้นะ..ยัยตัวเเสบ"

     

                   หนาวจังเลยนะ..

                   เวลาผ่านไปนานจากตอนนั้นหลายปีแล้ว ทว่าความทรงจำกลับยังฝังแน่นอยู่ในหัว ชิโอริเติบโตขึ้นจากเดิมมากขึ้น..ความงามเพิ่มพูนจากเดิมราวกับดอกไม้แรกแย้ม ทว่ากลับดูหม่นหมองเศร้าโศกไม่จางหาย เด็กสาวในวันนั้น คือหญิงสาวผู้เเสนหม่นหมองในวันนี้..

                   'เข้มเเข็งเข้าไว้นะ'

                   คำพูดของเพื่อนรักในอดีตดังอยู่ในหัว ชิโอริจำได้ไม่ลืม และเธอเองก็พยายามเข้มเเข็งอย่างที่เขาบอก..พยายามมาตลอดหลายปี ทว่าหญิงสาวกลับไม่อาจทำตัวเข้มเเข็งได้อย่างที่เขาต้องการ

                   กลับมาเป็นเด็กขี้แย..ที่ได้แต่นอนเหงา และน้ำตาซึมอยู่คนเดียวทุกคืน..

                   เหงา..เหงาจัง..

                   จากวันนั้น..ไม่มีใครเลยที่สามารถมาทดเเทนสึคาวะได้ ทั้งภาพลักษณ์ที่หม่นหมองมากขึ้นเป็นเท่าตัวยิ่งทำให้เธอดูไม่น่าเข้าหา ยิ่งเมื่อผู้เป็นย่าจากลาไปด้วยโรคชรา นิสัยใจคอของชิโอริจึงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งผู้เป็นน้องชายยังไม่อาจเข้าหาได้โดยง่ายเลยด้วยซ้ำ

                   ปิดกั้นตัวเองจากผู้คนมากมาย ก่อนจะกล่าวโทษฟ้าว่าทำไมถึงไม่ส่งใครสักคนเข้ามาเติมเต็มความเหงาหงอยของเธอบ้างเลยล่ะ?

                   ชิโอริยิ้มขื่นกับความคิดเเสนงี่เง่าของตัวเอง..เป็นผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวจังนะเธอเนี่ย

                   แต่ถึงอย่างนั้นความเหงายังคงตอกย้ำในหัวใจไม่หยุดหย่อน บีบคั้นจนเจ็บไปหมด..

                   และท่ามกลางอากาศเย็นเยียบ..เธอได้พบกับตาลุงแปลกหน้าที่มาพูดถึงเรื่องวันคริสต์มาสกับซานต้าได้แบบไม่สนอายุของตัวเอง..

                   ฟังดูพิลึก ถึงอย่างนั้นหัวใจเเสนเหนื่อยล้ากลับเลือกจะลองเชื่อ..

     

    เมื่อหิมะได้โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า..ตัวของเธอได้เอ่ยคำอธิษฐานสุดท้ายออกมา

    "ได้โปรดมอบคนรักที่แสนวิเศษที่จะไม่มีวันจากลาตัวฉันไปไหนทีจะได้ไหมคะ..?"

     

     

    ชอบ ::

                   >>ขนมหวาน [อร่อยดี กรุบๆ น่าทานรสหวานละมุนนุ่มลิ้น ll มักจับใส่ปากกินอย่างสำราญใจแบบไม่ค่อยกลัวน้ำหนักจะขึ้นเท่าไหร่นัก]

                   >>ผัก ผลไม้ [ในเรื่องของผักเธอบอกว่ามันอร่อยดี (?) ส่วนผลไม้นั้นส่วนมากจะชอบกินผลไม้รสหวาน ll อาการเดียวกับข้อแรก เพิ่มเติมคือกินอย่างถูกสัดส่วน ไม่เหมือนของหวานที่หยิบใส่ปากแบบไม่คิดชีวิต----]

                   >>อากาศเย็น [สดชื่นเเละผ่อนคลายมากๆ เลยล่ะ! ll จะชอบไปนั่งเเถวๆ ที่มีอากาศเย็นสบายเสมอ นั่งเพลินไปมาอาจเผลองีบหลับคอพับก็เป็นได้---]

                   >>พับกระดาษ [สนุกไปอีกแบบน่ะ..อีกอย่างพอเห็นมันออกมาเป็นรูปร่างต่างๆ แล้วมันก็กระชุ่มกระชวยหัวใจดี (?) ll นั่งพับเล่นได้ไม่มีเบื่อ ผลาญกระดาษไปเรื่อยๆ จนกว่าจะโดนสั่งให้หยุดนั่นเเล..]

                   >>ฟังคนอื่นพูดคุยกันอย่างห่างๆ [นอกจากจะได้รู้เรื่องอะไรมากขึ้นเเล้ว ยังรู้สึกสนุกสนานเหมือนตนได้มีส่วนร่วมด้วยอีกต่างหากแหนะ..คนขี้เหงาก็แบบนี้แหละน้า---ll มักเอี้ยวหูฟังประจำ หน้าอาจนิ่ง ตาอาจจะไม่มอง แต่บอกเลยว่าหูนี่ผึ่งมาก--(หือ?)]       

     

    ไม่ชอบ ::

                   >>เสียงดังโหวกเหวกจนเกินไป [น่ารำคาญค่--ll ถ้าเจอก็จะพยายามเลี่ยงเท่าที่จะทำได้]

                   >>คนที่ชอบมายุ่งเรื่องส่วนตัวหรือล้ำเขตมากเกินไป [มนุษย์เราก็อยากมีพื้นที่ส่วนตัวบ้างอะไรบ้างนี่นา..ll จะส่งสายตาหงุดหงิดไปให้ และเดินหนีทันทีพร้อมกับทิ้งประโยคง่ายๆ ว่า 'ขอตัวนะคะ' เป็นการจบบทสนทนา แต่หากเป็นการแชทผ่านโปรแกรมในโทรศัพท์ แม่คุณจะส่งสติ๊กเกอร์กดไลท์ตัวใหญ่ๆ ไปให้แทนค่ะ (..) ]

                   >>งานเลี้ยง [มัน..เสียงดัง แถมยังมีพวกของมึนเมาเยอะด้วย ชิโอริไม่ถูกโรคกับของพวกนั้นเท่าไหร่น่ะ..llปฏิเสธชัดถ้อยชัดคำว่าจะไม่ไป แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็จะไปนั่งแอบๆ ตามมุม หรือหนีไปรับลมแถวระเบียงกับจุดปลอดคนปลอดเสียงดัง]

                   >>ของมึนเมา และบุหรี่ [ไม่ดีต่อสุขภาพ ll พยายามเลี่ยงสถานที่ที่เต็มไปด้วยของมึนเมา (ผับ บาร์ งานเลี้ยง) และไม่สนิทสนมกับคนสูบบุหนี่ (ยืนใกล้กันก็จะเขยิบห่าง ไม่ก็เนียนสวมหน้ากากอนามัยกันควันไป (?)) ]

                   >>ของเผ็ด [กินเเล้วปากพองแสบร้อนหนักมาก เพราะฉะนั้นเลยไม่ชอบน่ะค่ะ ll ปฏิบัติง่ายๆ คือส่ายหน้าไม่ทานมันทุกรอบ---]

     

    แพ้/กลัว ::

                   [แพ้] - ชีส {เป็นอาการเเพ้เเต่กำเนิด ไม่รุนเเรงมาก แค่ทานเเล้วไข้จะขึ้นสูงปรี๊ด และมีอาการเบลอๆ ไปทั้งวัน..แต่ถึงจะไม่รุนเเรงมากแต่ก็ต้องไปหาหมอนะเออ---}

     

                   [กลัว]

                                  >>การสูญเสีย [เพราะในชีวิตต้องพบเจอกับความสูญเสียที่มากเกินกว่าจะรับไหวไปหลายต่อหลายครั้ง จึงรู้สึกขยาดมันเป็นอย่างมาก ทั้งหวาดกลัวทั้งรังเกียจ หากเป็นไปได้ก็ไม่อยากเจอกับความสูญเสียอีก..และนี่ถือเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ชิโอริไม่ค่อยอยากสานสัมพันธ์กับชาวบ้านเท่าไหร่ค่ะ]

                                  {ปฏิกิริยา - เมื่อเจอกับเรื่องสูญเสียจะมีอาการหมองหม่นอย่างเด่นชัด เก็บตัวเงียบไม่พูดไม่จา น้ำตาซึมไปอีกนาน..ต้องทั้งปลอบ ทั้งเอาใจใส่ และอดทนอย่างมากเพื่อให้เธอหายจากอาการหม่นหมองรุนเเรงไม่พูดไม่จาอะไรสักอย่างเลย ซึ่งปกติแล้วมีแต่น้องชายคอยช่วยปลอบล่ะนะ..}

     

    เพิ่มเติม :: ระดับความเอ๋อผปค.สูงมากจีๆ ค่ะตอนนี้---อภัยให้รันด้วยนะคะ 5555555 #ล้องว์+ซับ (?)

     

    }}เพิ่มเติมรายละเอียดตัวละคร{{

    -ชิโอริเกิดวันที่ 4 ธันวาคม เวลา 00:00น. ที่โรงพยาบาลรัฐบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสาวราศีธนู กรุ๊ปเลือดAค่ะ

    -ชิโอริเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้ถนัดมือไหนเป็นพิเศษ ใช้ได้ทั้งคู่ แต่ไม่คล่องเลย

    -มีลายมือที่ห่วยเเตกระดับเด็กอนุบาลยังยอมแพ้

    -กินของเผ็ดไม่ได้ ไม่งั้นปากจะพองไปทั้งวันเลยล่ะค่ะ (?)

    -ตอนกินของเผ็ดเข้าไปนี่น้ำตาคลอสุดๆ ค่ะ..นั่งทรมานอยู่ทั้งวันไม่หาย ต้องเอาน้ำเเข็งประคบ--มองแล้วน่าสงสารมาก ชาวบ้านเลยไม่คิดแกล้งเธอในเรื่องของเผ็ดเลยล่ะค่ะ---

    -ชิโอริเป็นคนที่มีนาฬิกาชีวิตในตัว หากให้เธอตื่นด้วยตนเอง เธอจะตื่นตอนประมาณเจ็ดโมงเช้าเสมอไม่ว่าตอนเข้านอนนั้น เธอจะเข้านอนไวหรือช้าขนาดไหนก็ตาม

    -น้องสาวของชิโอริชื่อว่า ฮินาตะ อายามะ ส่วนน้องชายนั้นชื่อว่า ฮินาตะ มาซาฮิโระ คุณย่าชื่อ ฮินาตะ อาคาเมะ ค่ะ

    -พ่อแม่ที่เสียไปชื่อว่า ฮินาตะ คาเอเดะ และ ฮินาตะ โทโย เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุทางรถในตอนที่ชิโอริอายุได้ห้าขวบ

    -พูดตามปัจจุบัน ชิโอริมีอายุ22ปี อายามะจะมีอายุ20 ส่วนมาซาฮิโระจะอายุได้17ปีค่ะ หรือก็คือชิโอริอายุห่างจากน้องสาวสองปี และห่างกับน้องชายห้าปี

    -ชิโอริเจอกับสึคาวะตอนอายุ8ขวบ และเริ่มปรับนิสัยของตนเองตอนอายุได้11ปีค่ะ ซึ่งเธอแก้นิสัยพวกนั้นได้ภายในเวลาหนึ่งปี หรือคือตอนอายุ12 ประจวบเหมาะกับช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ของชั้นเรียนใหม่พอดีค่ะ

    -น้องสาวของเธอเสียชีวิตในตอนที่ชิโอริอายุได้17

    -ปัจจุบันเจ้าตัวไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียว ความสัมพันธ์กับน้องชายดูเป็นอะไรที่ห่างเหินแต่ก็ยังรักกันดี แค่ไม่ค่อยได้คุยกันเท่านั้นค่ะ (เอาจริงๆ มาซาฮิโระรักพี่ของตัวเองมากนะ..ประเด็นคือขี้หวงด้วย..(?))

    -ก็เหมือนสตรีทั่วไปที่รักสวยรักงาม หน้าตาองค์เอวเลยดูเเลให้เสียดิบดี เพิ่มเติมคือเซนส์แฟชั่นดีงามพระรามเก้ามาก แม้เน้นเรียบร้อยสุภาพ ก็ยังถือว่าดูดีอยู่ดี---

     

    }}เพิ่มเติมเนื้อหาตัวละคร{{

    [ลักษณะการพูดจา] : ชิโอริเป็นผู้หญิงที่มีน้ำเสียงนุ่มๆ หวานๆ เป็นทุนเดิมอยู่เเล้ว เวลาพูดเจอจึงฟังลื่นหูไม่น้อย เเต่เพราะเจ้าตัวชอบทำน้ำเสียงนิ่งๆ และเอ่ยด้วยเสียงที่เเผ่วเบาพอสมควร ทำให้คนใคร่สนทนาพาทีมีน้อยพอตัว ชิโอริมักแทนตัวเองว่า ฉัน เเละ ดิฉัน แล้วแต่กรณีกันไป มักเรียกผู้อื่นด้วยนามสกุลของอีกฝ่ายและต่อท้าย ซัง เสมอไม่ว่าอีกฝ่ายจะอายุน้อยหรือมากกว่า เติมหางเสียงในรูปประโยคเสมอไม่มีหลงลืม เรียกได้ว่าเป็นคนที่พูดจาสุภาพเเละระมัดระวังคำพูดมากพอตัวเลยก็ว่าได้

                   Ex.

                                  "ต้องการให้ช่วยรึเปล่าคะ? ฟุจิวาระซัง" เอ่ยขนาดที่เห็นคนกำลังลำบาก เเละคิดว่าตัวเองน่าจะช่วยได้

                                  "ขอโทษด้วยค่ะ..แต่ดิฉันไม่ชอบไปไหนมาไหนกับคนไม่รู้จัก.." ปฏิเสธคนที่มาชวนไปทานข้าวอย่างเด็ดขาด

                                  "ถ้าเหนื่อยก็พักเสียหน่อยเถอะค่ะ ฝืนไปมันไม่ดีหรอกนะคะ.." เอ่ยด้วยความห่วงใยกับคนรู้จักในคณะ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่โหมอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลัง

                                  "........" มองหน้าคนที่เข้ามาทำตัวกลั่นแกล้งเธออย่างปลงๆ สายตาคล้ายกำลังจะถามว่า 'เป็นบ้าอะไรเหรอคะ?' แต่ไม่..ชิโอริเป็นคนมีมารยาท เพราะงั้นจะไม่พูดอะไรแบบนั้นเเน่นอนค่ะ!! #แม้ว่าสายตามันจะสื่อชัดเจนมาก จนคนเข้าแกล้งรู้สึกทนไม่ไหวต้องเผ่นแทนก็เถอะ..


    [การแต่งตัว] : ชิโอริเป็นสาวสุภาพตั้งเเต่ภายในจนถึงภายนอก เพราะงั้นเรื่องแฟชั่นของเธอต้องบอกได้ว่าเรียบๆ ไม่หรูหราอู่ฟู่ แต่สุภาพเรียบร้อยอย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย ชิโอริชอบสวมชุดเดรสสีอ่อนแขนยาวครึ่งศอก และชายกระโปรงจะต้องเลยเข่าไม่ก็พอดีกันเสมอ ติดนิสัยชอบสวมส้นสูงหรือส้นตึกเพราะไม่ค่อยปลื้มกับส่วนสูงของตัวเองเท่าไหร่ ไม่สวมเครื่องประดับมากนัก อย่างมากก็แค่นาฬิกาข้อมือกับยางมัดผมเท่านั้น เรื่องการเเต่งหน้า..ไม่ใช่ว่ามั่นใจในความสวย แค่เพราะแต่งไม่เก่ง บวกกลัวหน้าพัง..เพราะงั้นเลยมีแค่แป้งพับกับทินท์สีหวานเท่านั้นเป็นพอ---


    [การศึกษา] : เรียนโรงเรียนรัฐบาลตั้งเเต่อนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาปีที่6 ในส่วนของมหาลัยฯนั้นสอบชิงทุนเข้ามา เกรดสวยงามมาตั้งเเต่เด็กเพราะคำง่ายๆ ว่า ฉลาด และ ขยัน


    [งานอดิเรก] : อ่านหนังสือทบทวนบทเรียน [เพราะเป็นนักเรียนทุนน่ะ..ต้องขยันเป็นธรรมดาอยู่เเล้ว] ll ทำขนมกินเล่น [เป็นคนชอบของหวานกับขนมพวกนี้เป็นปกติ เเต่ไม่อยากซื้อเลยฝึกทำเองน่ะค่ะ] ll อ่านตำราทำขนม [จำไว้มาทำกินเอง---] ll ไปทำงานพิเศษที่ร้านอาหารหรือร้านสะดวกซื้อ [เนื่องด้วยเวลามีน้อย งานอดิเรกตรงนี้จึงเป็นอะไรที่แบบนานทีไปทำสักที..เเละเก็บค่าจ้างรายวันด้วยล่ะค่ะ] ll ออกกำลังกาย [ทำเเต่เด็กจนชินน่ะค่ะ---]


    [การกีฬา] : ร่างกายเเข็งแรงแต่เรื่องนี้น่ะ..ห่วยแตกค่ะ---//แค่ก//ได้ดีสุดเห็นจะเป็นปิงปอง ห่วยแตกสุดก็ว่ายน้ำ..ว่ายเป็นนะ แต่ไม่เเข็งเลย แค่ในสระยังพอว่า แต่ว่ายข้ามบึงข้ามคลองนี่จมแน่นอนค่ะ อย่าห่วง (?)


    [ประวัติกิจกรรม] : กวาดรางวัลเหรียญทองการเเข่งขันวิชาการตอนมัธยมมาถมที่บ้านเล่นเต็มไปหมด จนแทบไม่มีพื้นที่เหลือให้วางของอย่างอื่น (?) แต่เมื่อขึ้นมหาลัยฯเเล้ว..ด้วยภาระหน้าที่กับการเรียนที่ค่อนข้างหนัก เจ้าตัวจึงไม่ได้ลงเเข่งขันวิชาการครั้งไหนอีกเลย แม้จะมีอาจารย์ค่อยเซ้าๆ กับผลักดันให้ลองแข่งชิงทุนต่างประเทศดู เพราะเห็นแววความฉลาด ชิโอริก็อยากไปนะคะ แต่เธอห่วงน้องมากกว่าเลยเลือกจะปฏิเสธเเทน


    [มิตรสหาย] : เพื่อนรัก เพื่อนสนิท เพื่อนไปไหนมาไหนด้วยกันได้นั้นคือ non---แต่ก็ไม่ตีตัวออกห่างจากคนในคณะมากจนเหมือนคนแปลกหน้า เพราะงั้นก็พอจำชื่อจำหน้าเเละช่วยเหลือกันได้ไม่มีปัญหา แค่ไม่สนิท (?)


    [ความรัก] : จะเอาอะไรกับคนที่เเม้แต่เพื่อนสนิทยังไม่มี..สำคัญเลยคือการที่เจ้าตัวกันเหล่าสุภาพบุรุษทั้งหลายออกจากชีวิตมากเป็นพิเศษด้วยแหละ ถามว่าเคยรู้สึกชอบใครไหม? แน่นอนว่าตามประสาเด็กสาวย่อมมี แต่เผอิญว่าดันกลัวการจากลาเสียจนไม่กล้าเริ่มอะไร..เลยนกไปตามระเบียบศกนั่นแหละ..


    [ครอบครัว] : ญาติๆ ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ไหม..รู้แค่ว่าปัจจุบันตระกูลฮินาตะที่ชิโอริรู้จักนั้นหลงเหลือแค่ตัวเธอและคนเป็นน้องเท่านั้นเอง แง่ความสัมพันธ์คือไม่ดีไม่ร้าย ไม่ได้เกลียดเเต่รัก แค่ที่อัปเปหิห้ามเข้าใกล้ห้องกับพื้นที่ส่วนตัวของตนเอง นั่นเพราะหน่ายความช่างซักเเละห่วงกันจนเกินไปของน้องแค่นั้นเอง..

     

     

    Profile her Brother and Sister

     

     

    "ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปขนาดไหน พี่ก็ยังเป็นพี่ และไม่ว่ายังไง..ผมก็จะอยู่ข้างพี่เสมอนะ.."

    ฮินาตะ มาซาฮิโระ {Hinata Mazahiro}

    Age : 18 ปี

    Status : Alive / นักเรียนม.ปลายโรงเรียนรัฐบาลธรรมดาๆ + พนักงานพาร์ทไทม์ร้านคาเฟ่

    }ก็แค่ผู้ชายหน้าบึ้งที่หวงพี่ปานจงอางหวงไข่ และพยายามหาเรื่องไปคุยกับคนเป็นพี่ทุกสิบวิ จนทำให้อีกฝ่ายอัปเปหิตัวเองออกจากพื้นที่ส่วนตัวในบ้านเเบบถาวรไปจนได้{


    "ในตอนที่ฉันรู้สึกตัวว่าตัวโง่เง่าเพียงไหน ที่ไม่ยอมเชื่อฟังเเละทำตัวดีๆ กับพี่ของตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็สายไปแล้ว.."

    ฮินาตะ อายามะ {Hinata Ayama}

    Age : อดีต >>15 ปี

    Status : Dead

    }ก็แค่ผู้หญิงธรรมดาจอมซนที่หาเรื่องป่วนหัวพี่สาวได้เสมอ ใครเล่าจะใคร่รู้..ว่าตัวเธอต้องประสบพบเจอกับชะตากรรมเเสนน่าเศร้าทั้งที่อายุยังน้อย..{

     

    Profile her ฺBest friend




    "ฉันเชื่อเสมอว่าเธอจะผ่านมันไปได้ เพราะงั้นได้โปรดเถอะ..อย่าร้องไห้เลยนะ.."

    คาตะ สึคาวะ {Kata Tsukawa}

    Age : 20 ปี

    Status : Alive / นักศึกษามหาวิทยาลัย คณะครุศาสตร์ ภาควิชาภาษาญี่ปุ่น

    }เพื่อนสนิทที่สุดเพียงหนึ่งเดียวของชิโอริ ชายหนุ่มผู้มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับชิโอริ ทั้งรอยยิ้ม ความหวัง เสียงหัวเราะ ความทรงจำ และ..บาดแผลอันเน่าเฟะบนจิตใจที่ไม่อาจลบเลือนได้..ตลอดกาล{


     

    บทสัมภาษณ์ลูกสาว 

     

    สุขสันต์วันคริสมาส” เสียงหนึ่งทักขึ้นเมื่อเธอกำลังเดินอยู่ แม้จะเป็นประโยคทั่วไปในคืนวันคริสมาสแบบนี้ แต่ราวกับมีมนต์ให้เธอหยุดและสนใจเจ้าของเสียงนั่น ภาพที่เธอเห็นคือคุณลุงตัวอ้วนจนพุงแทบจะปลิ้นออกมาจากเสื้อสีแดง จมูกโตๆที่แดงก่ำนั่นทำให้เธอคิดว่าเขาต้องผ่านการดื่มมาอย่างหนักแน่นอน เขามองมาที่เธอแล้วแย้มยิ้มอย่างใจดี

    ::ดวงตาสีสวยน้ำตาลทองประกายหรี่มองคุณลุงตัวอ้วนนิ่งๆ ชิโอริยืนครุ่นคิดกับตนเองว่าตนเองรู้จักกับคนตรงหน้าหรือไม่ ครั้นความทรงจำไม่ปรากฏใบหน้าของชายวัยกลาง เธอจึงทำเพียงการค้อมศีรษะขอบคุณเเละเอ่ยขึ้น "เช่นกันค่ะ" ก่อนจะทำท่าคล้ายจะเดินหนีออกไป ทว่ากลับต้องหยุดฝีเท้าไปเสียก่อนเมื่ออีกฝ่ายดันเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

     

    เธอเชื่อในปาฏิหาริย์ในวันคริสมาสไหม?” เขาว่าแล้วก็เบนสายตามองไปยังต้นคริสมาสที่ถูกประดับด้วยไฟตกแต่งอย่างสวยงาม ปาฏิหาริย์วันคริสมาสน่ะ มีอยู่จริงนะ

    :: หญิงสาวเอียงคอ ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายอยากจะสื่ออะไรกับเธอกันแน่..อีกอย่าง อายุอานามขนาดนี้ก็ไม่น่าจะใช่ช่วงเวลาที่จะมาพูดเรื่องปาฎิหาริย์วันคริสต์มาสเท่าไหร่นะ.. "คุณลุง..เมาเเล้วรึเปล่าคะ? ให้หนูโทรเรียกครอบครัวคุณลุงให้เอาไหมคะ?" ด้วยความห่วงใยเกรงว่าอีกฝ่ายอาจสติอยู่กับตัวไม่ครบ แล้วอาจจะเผลอล้มเฮนอนจมหิมะจนเเข็งตายไปก่อน ชิโอริจึงถามด้วยสีหน้าอ่อนลงพอสมควร

     

    โฮ่ๆๆ ซานต้าน่ะมีอยู่จริงนะ แล้วเขาก็ฟังคำขอของทุกคนเลย เขาหัวเราะร่วนกับปฏิกิริยาของเธอ

    :: "......" หญิงสาวนิ่ง..นี่ไม่ได้ฟังเธอเลยนี่นา..ว่าแต่ซานต้างั้นเหรอ? ของแบบนั้น..มีจริงๆ น่ะเหรอ? หญิงสาวคิดในใจ ก่อนดวงตาจะสั่นวูบอย่างแรงยามเมื่อทบทวนถึงคำที่ว่า ฟังคำขอของทุกคนเลย ของอีกฝ่าย ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ในหัวนึกคิดถ้อยคำเอาแต่ใจและตัดพ้อโดยไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกไปได้..

    'ถ้างั้น..ก่อนหน้านี้ที่ฉันภาวนาขอไปล่ะ..ทำไมไม่ฟังคำขอของฉันเลย?'

     

    ถ้าเธอขอพรได้หนึ่งข้อ เธอจะขออะไรล่ะ?”

    :: แม้ว่าสมองจะสั่งให้ยุติบทสนทนานี่แล้วไปเสีย แต่ขากลับก้าวไม่ออกเสียอย่างนั้น ชิโอริยืนตีกับความคิดในหัวไปมานานหลายนาที จ้องหน้าอีกฝ่ายพร้อมชั่งใจอยู่นานนม ก่อนปลายนิ้วจะเกลี่ยปลอยผมขึ้นมาแล้วยกปิดริมฝีปาก เหลือบสายตาอันเปี่ยมด้วยความเขินอายจางๆ และอารมณ์ไม่แน่ใจเท่าใดนัก พึมพำตอบไปด้วยเสียงเบาหวิวว่า "ถ้างั้น..ได้โปรดมอบคนรักที่แสนวิเศษที่จะไม่มีวันจากลาตัวฉันไปไหนทีจะได้ไหมคะ..?"

     

     

    อย่างนั้นเหรอ ฉันจะไปบอกซานต้าให้นะ” เขายิ้มก่อนจะลูบพุงโตๆนั่นอย่างอารมณ์ดี จนเธออดนึกว่าพิลึกคนในใจไม่ได้

    :: ความรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างเป็นคนพิลึกเป็นบ้าผุดขึ้นมาในหัว ถึงอย่างนั้นชิโอริก็เลือกจะโค้งตัวน้อยๆ ให้อีกฝ่าย "ขอบคุณค่ะ" เอ่ยเสียงหวานนุ่มเบาบางไปตามมารยาท แม้ใจกว่าครึ่งจะรู้สึกว่าคำขอของเธออาจจะไม่เป็นจริงก็ตามทีเถอะ..

     

    ยังไงก็สุขสันต์วันคริสมาสนะ ขอให้มีความสุขกับของขวัญของเธอ” หญิงสาวรู้สึกว่ารอยยิ้มของลุงสื้อแดงคนนั้นดูมีอะไรชอบกล แต่เธอก็เลือกที่จะเมินต่อมันไป

    :: ชิโอริเอ่ยขอบคุณเป็นครั้งสุดท้าย เธอโค้งตัวให้เเล้วเอ่ยถามย้ำว่าต้องการให้โทรไปตามครอบครัวให้หรือพาไปหลบหิมะที่ร้านอาหารสักร้านหรือไม่ เมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธพร้อมหัวเราะร่วน เธอจึงได้เเต่ถอนหายใจเล็กน้อย แล้วเดินย่ำเท้ากลับบ้านของตนไปในที่สุด

     

    โดยไม่รู้เลยสักนิด..ว่าคำขอของตนมันจะเปลี่ยนอะไรในชีวิตของเธอไปมากมายขนาดไหน..

     

     

     

    บทสัมภาษณ์คุณแม่ (ให้คุณแม่ตอบนะคะ)

     

    สวัสดีค่ะ J ชื่ออะไรเอ่ย?

    ::ชื่อรันรันเจ้าค่ะ! เรียกเราว่ารันก็ได้น้าา < 3

     

    ทำไมถึงมาสมัครเรื่องนี้เหรอ? (คำถามยอดฮิตไปแล้ว 555)

    ::เทศกาลคริสมาสต์ทั้งที เลยอยากอ่านอะไรที่มันเกี่ยวกับเทศกาลบ้างน่ะค่ะ..อยากอ่านอะไรที่..ไม่ใช่หนังสือสอ---//แค่ก-//ไม่เกี่ยว..

     

    รู้ใช่ไหมว่าไรต์จะแต่งแบบ One shot อาจจะมีตอนเดียวหรือสองตอนนะคะ รับได้ใช่ไหม?

    ::โอเคค่ะ ยังไงก็ถือว่ามีให้อ่านและก็น่าจะงานดีทำฟินได้เหมือนกัน มิมีปัญหาเนอะะ 555

     

    ถ้าไม่ติดอย่าโกรธไรต์น๊าTT

    ::ไม่เป็นไรค่าาา ทางนี้ไม่เจ้าคิดเจ้าเเค้น ฮาาา

     

    ขอบคุณที่มาสมัครนะคะ แล้วก็สุขสันต์วันคริสมาส J

     

    ::สุขสันต์วันคริสมาต์ (ย้อนหลัง---) เซมค่ะ XD  #อวยพรให้เจอตัวละครที่ถูกใจในทุกบทสำหรับเทศกาลหนาวเย็นนี้นะคะ 555

     

     







     
    ✄THE ORA



     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×