คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : ✿ × AuFic | KNB × -- Tale --- [มาซากิ มิซูกิ]
Sorry..that I don't understand your feelings and word even less
Not because I'm stupid
Application
"ทุกสิ่งที่อยู่นอกเหนือตัวอักษรบนแผ่นกระดาษนี้ คือสิ่งที่ข้าไม่เคยเข้าใจ..และท่านรู้อะไรไหม?
ตัวข้าไม่เคยเข้าใจเลยสักนิด ว่าคำว่า รัก ของท่านมันเป็นเช่นไร"
ชื่อ - สกุล :: มาซากิ มิซูกิ [Masaki Mizuki]
*ความหมายอลเวง (?)* [พระจันทร์แสนงดงามที่สว่างสไว]
{มาซากิ} - ความสว่างสไว
{มิซูกิ} - พระจันทร์สวยเด่น
*ชื่อนี้มีที่มา (?)* มิซูกิเกิดวันที่พระจันทร์สวยเด่นและมีลักษณะเต็มดวงสว่างสไวมากที่สุดในรอบปี เป็นเหตุให้ได้ชื่อนี้มานี่เอง (บ้านเราจะเรียกเหตุการณ์แบบนี้กันว่า ซุปเปอร์มูน (Super Full Moon) )
ชื่อเล่น ::
มิซุ [Mizu] ll ใครใคร่อยากเรียกนางด้วยชื่อนี้ก็เรียกไปเถอะ ไม่ได้กำหนดเฉพาะเจาะจงหรอกว่าใครจะต้องมาเรียกชื่อนี้หรือชื่อไหน ตัวมิซูกิหาได้เคร่งเครียดในเรื่องชื่อมากมายเพียงนั้น..แต่ส่วนมาก บุคคลที่เอ่ยนามนี้ก็มักเป็นคนที่สนิทชิดเชื้อกันดีเเละเห็นหน้าค่าตากันทุกวันอยู่ดีล่ะนะ
บทบาท :: สโนไวท์
อายุ :: 19 ปี
ลักษณะ รูปร่าง หน้าตา :: มาซากิ มิซูกิ เด็กสาวแสนงดงามผู้มีใบหน้าเเสนนิ่งสงบ ดวงหน้าเรียวสวยได้สัดส่วน รังสรรค์ด้วยเครื่องหน้าทั้งห้างดงามโดดเด่น นัยน์เนตรสีเทาหม่นคมหวานที่ถูกล้อมกรอบด้วยเเพขนตาสีดำหนางอนยาวนั้น มักเเฝงประกายความเรียบนิ่งไร้อารมณ์ดูตายด้านอยู่เสมอ คิ้วของเธอโก่งโค้งราวคันศรของเทพสีเดียวกับเส้นผมยาวสลวย รับไปกับจมูกโด่งโค้งตามธรรมชาตินั่น ริมฝีปากแม้ไม่ต้องแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมใดๆ ทว่ากลับอวบอิ่มเป็นสีพีชอ่อนน่าจุมพิต เข้าคู่กับผิวกายเรียบเนียนละเอียดสม่ำเสมอทั้งเรือนกายราวสีของไข่ไก่นวลเนียนตา เส้นผมหยักศกอ่อนๆ ราวเกลียวคลื่นสีน้ำตาลคาราเมลยาวสลวยคลอเคลียไปกับลำคอระหงส์จนถึงกลางหลัง ร่างกายผอมบางได้สัดส่วนหญิงงามดูโดดเด่น ทั้งอกอิ่มรับขนาดตัว เอวคอดกิ่วสวนทางกับสะโพกผายออกอย่างพอเหมาะ เรียวแขนเเละขาที่ไม่ได้เล็กหรือใหญ่จนเกินไป ถึงอย่างนั้นก็เป็นเพียงสาวรูปร่างผอมที่ไม่ได้มีกล้ามเนื้ออะไรแต่อย่างใดกับสัดส่วนสูง165ซม. และหนัก46กก. มิซูกิมีความงดงามในแบบของเธอที่ดูเหมือนกับน้ำนิ่งลึกในมหาสมุทร..ดูราบเรียบไร้สิ่งใด ทว่ากลับงดงามและอันตรายกว่าที่ใครคาดคิดไว้เช่นกัน..
ลักษณะคำพูดคำจา :: มิซูกิเป็นผู้หญิงที่มีน้ำเสียงในการพูดจาเรียกได้ว่าราบเรียบเป็นอย่างมาก เธอเป็นคนที่แม้ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็ชอบพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เสมอ ถ้อยคำวาจาสุภาพราบเรียบ ไร้มุขตลกหรือการอ้อมค้อมใดๆ ตัวเด็กสาวนั้นนิยมแทนตนเองว่า ข้า เสมอๆ เช่นเดียวกับการที่นางแทนตนผู้อื่นด้วยคำว่า ท่าน ไม่ว่าคนผู้นั้นจะสูงส่งหรือต่ำศักดิ์ใดๆ ก็ตาม มิซูกิไม่ใช่สาวพูดจาจาบจ้วงล่วงเกินใคร หรือจิกกัดใครเขาเหมือนสตรีชั้นสูงท่านอื่น ทว่าเธอกลับไม่ชอบที่จะเอ่ยคำลงท้ายจำพวก คะ ค่ะ ในประโยคของเธอเอาเสียเลย เพราะมันทำให้เธอรู้สึกขัดข้องใจแปลกๆ น่ะสิ..และเพราะน้ำเสียงของเธอมักราบเรียบเสมอไม่ว่าอยู่ในอารมณ์ใดๆ นั่นทำให้การเดาความรู้สึกหรืออารมณ์ของมิซูกิจากน้ำเสียงของเธอเป็นเรื่องงี่เง่าอย่างมาก
}}ตัวอย่างประโยคสนทนา{{
"บางครั้งข้าก็ไม่เคยเข้าใจ..ว่าเหตุใดผู้คนถึงต้องพยายามที่จะได้รับความเอาใจใส่ ทั้งๆ ที่พวกเขาเองก็สามารถยืนได้ด้วยลำเเข้งของตนเองแท้ ๆ.." พูดเมื่อเห็นใครร้องไห้หรือโศกเศร้ากับการโดนทอดทิ้งหรืออยู่ตัวคนเดียว น้ำเสียงราบเรียบทว่าดวงตากลับแฝงด้วยความสงสัยใคร่รู้
"กล้าพูดได้อย่างไรว่าสิ่งที่ท่านบอกว่ามันถูก? ท่านน่ะ ไม่มีทั้งหนังสือหรือแม้แต่หลักการอะไรสักอย่างมารองรับคำพูดของท่านเลยไม่ใช่หรือไงกัน?" บอกกับคนที่คิดว่าคำพูดอันแหวกแนวของตนมันถูกต้อง
"ถ้าเช่นนั้นข้าควรจะเชื่ออะไรล่ะ..ระหว่างคำพูดไร้เหตุผล กับสิ่งที่ถูกพิสูจน์แล้วในหน้ากระดาษพวกนี้น่ะ"
"ท่านมีสิทธิ์อะไรมากล่าวหาว่าข้าเป็นพวกน้ำเต็มแก้วไม่ยอมรับอะไร..มันเป็นท่านเองไม่ใช่หรือ ที่ปิดกั้นข้าจากทุกสิ่งเบื้องนอกนั่นน่ะ" กล่าวเอ่ยด้วยเเววตาคุกรุ่น ยามถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกคนหัวรั้นไม่รับฟัง เเละทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว
"ในหนังสือบอกว่าการกระทำนอกกรอบพวกนี้ มันจะทำให้เกิดความวุ่นวาย..ทั้งยัง..ไม่ก่อประโยชน์อะไรเลยสักนิด เช่นนั้นมันจะผิดมากเชียวหรือ หากข้าจะห้ามท่านน่ะ" เอ่ยเปรยกับคนที่ทำตัวนอกกรอบไปมากเสียจนชวนระอา
"รู้อะไรไหม? สิ่งที่ไร้สาระที่สุดในสายตาข้า มันก็คือการที่ท่านกล้าบอกว่ารักข้า..กล้าบอกว่ารัก..ทั้งที่แม้แต่ตัวท่านเองยังไม่สามารถอธิบายมันออกมาให้ข้าเข้าใจได้เลยด้วยซ้ำ ยังไงล่ะ.."
ลักษณะนิสัย ::
มาซากิ มิซูกิ เด็กสาวผู้เติบโตมาด้วยความรู้จากบนหน้ากระดาษ ความรู้มากมายในหัวกอปรด้วยตัวอักษรตัวน้อยที่ร้อยเรียงอยู่บนนั้น เธอคุ้นชินกับหนังสือ เติบโตมากับมัน และราวมีหนังสือเล่มหนาเป็นมิตรสหาย เพราะเช่นนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่มิซูกิเชื่อและไว้วางใจมากที่สุด..จะกล่าวเช่นนั้นก็ว่าได้เลยล่ะ มิซูกินั้นเป็นสตรีที่มีใบหน้างดงามแต่กลับเรียบนิ่งและไร้อารมณ์ราวกับว่าเป็นเพียงปูนปั้นเท่านั้น บางครั้งผู้คนก็บอก ว่านางมันสวยเสียของไม่น้อย งามล้ำเพียงนี้เเท้ๆ กลับมิเคยเเย้มยิ้มหรือทำหน้าตาเช่นอื่นนอกจากความตายด้านเลย มิหนำซ้ำนัยน์ตาคู่นั้นยังไร้ประกายอีกด้วยเล่า..ดูราวกับหุ่นปูนหรือไม่ก็ตุ๊กตาไขลานไร้ชีวิตไม่มีผิด..มิซูกิคือหญิงสาวผู้มีท่วงท่าการเดิน การนั่ง การนอน และการวางตัวต่างๆ ที่ดูดีมีชาติตระกูล ราวกับเป็นชนชั้นสูงสายเลือดขัตติยะอย่างไรอย่างนั้น ความเรียบนิ่งเเละสงบเสงี่ยมไร้ซึ่งการเเสดงออกอย่างโจ้งเเจ่งและกระโตกกระตากเกินไปคือสิ่งที่เธอแสงดออกมา มิซูกิเป็นผู้หญิงที่หากมองจากภายนอกเเล้วจะให้อารมณ์ไม่ต่างอะไรจากรูปปั้นเสียเท่าไหร่ นั่นเพราะเธอเป็นคนหน้านิ่ง หน้าตาย และไร้อารมณ์เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าภายในก็ไม่ได้ต่างกันเลยสักนิด การเเสดงออกทางสีหน้าเป็นเรื่องหายากสำหรับเธอ เป็นเหมือนน้ำนิ่งไหลลึก เบื้องหน้านิ่งสงบไร้คลื่นลม ดูไร้พิษภัยอะไรให้กลัวเกรง แต่ถึงอย่างนั้นกลับซ่อนกระเเสน้ำพัดโชกเกรี้ยวกราดเอาไว้เบื้องล่างนั้น ใต้รูปร่างผอมบางและคำกล่าวว่าสตรีเพศนั้นอ่อนแอ ซ่อนไว้ซึ่งมันสมองอันฉลาดหลักแหลมของนางเอาไว้ เเละเพราะความรู้ การคิดวิเคราะห์ของนางที่ดีเยี่ยม มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะตอบโต้ผู้คนที่เข้ามาตอแยหรือทำร้ายนางด้วยวิธีแก้เผ็ดเจ็บแสบในหัวได้ รวมถึงการโต้วาทีเถียงพวกเขาอย่างคนทรงความรู้ที่ทำให้คนพวกนั้นเถียงไม่ออกเช่นกัน ดังนั้นเเล้ว มิซูกิจึงเป็นบุคคลหนึ่งที่มิควรไปเย้าเเหย่หรือทำให้นางขุ่นเคืองอะไรเท่าใดนัก..
มิซูกิเป็นผู้หญิงที่ฉลาดอย่างร้ายกาจ ราวกับว่าในหัวของเธอนั้นคือห้องสมุดโลก ทั้งนอกจากนี้มิซูกิยังรอบรู้เรื่องรอบตัวเอาเสียมากๆ เธอรู้ทั้งเรื่องเล็กน้อยใกล้ตัวเเละเรื่องห่างไกลที่ไม่จำเป็นต้องจดจำ เธอรู้ว่าอาหารทำเช่นไร รู้ว่าการขี่ม้านั้นมีหลักการอะไรบ้าง หรือจะเป็นพวกสมการฟิสิกส์และคณิตยุ่งยากเธอก็รู้ได้ ความรู้พวกนี้มันก่อเกิดจากหนังสือที่อ่านมาแต่เด็ก มิซูกิเป็นคนที่รักการอ่านปานหนอนหนังสือตัวเอก ยามว่างเธอก็หยิบโชยหนังสือเล่มหนามาเปิดกรีดอ่าน เเละเธอก็จะจดจำมันได้อย่างรวดเร็ว เธอมีมันสมองและความจำที่ดีกว่าคนทั่วไปพอสมควร เป็นเหตุให้เธอสามารถจดจำหลักการดำเนินการต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ เธอเรียนรู้ว่าสิ่งรอบตัวคืออะไร และการปฏิบัติอย่างนั้นต้องทำเช่นไร จนหลักวิชาการพวกนั้นมันฝังหัว เเบบที่ท่องปากเปล่าได้โดยมีรายละเอียดครบครันไปแล้วด้วยซ้ำ แต่กระนั้นมิซูกิไม่เคยลองภาคสนามหรอกนะ..แต่ไม่เป็นไรหรอก ตัวหญิงสาวนั้นใคร่คิดว่าถึงไม่มีประสบการณ์นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแย่หรือเลวร้ายอะไร สำหรับเธอเเล้ว สิ่งที่สำคัญมากที่สุดน่ะ มันคือหลักวิชาการพวกนี้ต่างหาก..ก็ถ้าไม่รู้เเล้ว สุดท้ายก็ไม่สามารถทำได้เเม้แต่จะเริ่มลงมือเลยนี่นา
มิซูกินั้นมีหัวใจที่ค่อนข้างด้านชากับสิ่งรอบด้านพอสมควร การที่เธออยู่กับหนังสือมากกว่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทำให้เธอไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกต่างๆ ที่หลากหลายนัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ผนวกกับการที่เธอเป็นหญิงที่ใจเเข็งพอตัวด้วยล่ะนะ เธอไม่ใช่คนที่คอยเห็นใจชาวบ้านหรือจะรู้สึกผิดยามเห็นคนอื่นเจ็บปวดกับคำพูดของตน เพราะอย่างนั้นเเล้วยามต่อล้อต่อเถียงหรือพูดโต้ตอบกัน มิซูกิจึงตอกกลับไปอย่างหนักหน่วงโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งยังไม่สนด้วยว่ามันจะทำอีกฝ่ายหน้าแตกเสียขนาดไหน ดังนั้นเเล้วจึงถือว่าเป็นบุคคลที่ไม่น่าไปต่อล้อต่อเถียงอะไรด้วยเสียเท่าไหร่ หากว่าหน้าไม่หนาจริงจนทนให้โดนตบหน้าหัน ด้วยหลักวิชาการที่ถูกต้องครบเป๊ะตามหน้าหนังสือของนางได้น่ะนะ..มิซูกิเเม่นในเรื่องของหลักการเเละวิชาการมาก เพราะงั้นเเล้วเธอจึงมั่นใจว่าหากเถียงกันในเรื่องนี้ เธอจะชนะเเน่นอน แต่มันไม่ใช่ความหลงตัวเองอะไรหรอกนะ มิซูกิแค่รู้ดีว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าคนอื่นในด้านนี้ก็แค่นั้นเอง มันอาจเป็นพรสวรรค์จากฟ้าก็ได้นะ ที่ทำให้นางมีความจำที่ดีล้ำปานนี้น่ะ
มิซูกิฉลาดหลักการณ์ แต่กลับโง่เขลาในเรื่องของความรู้สึก นั่นเพราะเป็นพวกอารมณ์ตายด้านน่ะสิ..ดังนั้นภายในหัวของเธอจึงไร้ซึ่งอารมณ์หวานแหววโรเเมนติกโดยสิ้นเชิง การที่เธอจะเเสดงท่าทีเขินอายกับบุรุษเพศคล้ายเป็นเหตุการณ์โลกแตกอย่างไรอย่างนั้น มิซูกิไม่มีเลยเเม้กระทั่งอารมณ์ขบขันในตัว อาจเป็นเพราะจดจ่อกับตัวหนังสือบนหน้ากระดาษมากไปจนทำให้เธอดูเฉยชากับสิ่งรอบตัวไป ตราบใดที่เรื่องราวตรงหน้ายังเป็นไปตามเรื่องราวความรู้ที่เธอได้อ่านมาจากหนังสือ เธอก็จะไม่กังวล ตระหนก หรือเเสดงอาการใดๆ ออกมาให้มากความ มิซูกิไม่เกิดอารมณ์ได้ง่ายเหมือนคนอื่นหรอกนะ..ทั้งความเศร้า เสียใข มีความสุข เขินอาย หรือแม้แต่ความรู้สึกโกรธ สิ่งเหล่านั้นล้วนแต่ก่อเกิดได้ยากทั้งสิ้น เป็นเหตุให้ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของเธอนั้น มันราบเรียบเสียตลอดเวลา จนทำให้คนรอบตัวนั้นอดคิดไม่ได้ว่า มาซากิ มิซูกิ นั้น เป็นเด็กสาวไร้หัวใจ...พวกเขาจะไม่ค่อยได้เห็นเธอแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาเลย เพราะดันเป็นพวกที่ไม่อินไปกับเรื่องเศร้า ไม่ขำไปกับมุขตลก กลิ่นหอมหรือทิวทัศน์สวยงามเองก็ไม่ช่วยดึงดูดใจเธอเลยเเม้แต่น้อย ปานว่าหนังสือในมือเธอเป็นโฟกัสเดียวที่นางจะสนใจอย่างไรอย่างนั้น มิซูกิเมินเฉยต่อทุกสิ่งรอบตัว มองมันเป็นเพียงเรื่องที่ต้องมีเหตุผลรองรับและมีหลักการต่างๆ คอยประกบไว้ให้กลายเป็นสิ่งที่มีค่ามากพอจะให้เธอเชื่อได้ พูดคือ มิซูกิเป็นผู้หญิงตายด้านที่ฉลาดหลักแหลม ทว่ากลับไม่เข้าใจในเรื่องของอารมณ์และความสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่างๆ เลยแม้แต่น้อย
มิซูกิมีเพียงแค่หลักวิชาการและเหตุผลมากมายวนเวียนไปมาในหัว เธอเป็นมนุษย์คลั่งเหตุผล มิซูกิไม่ยอมรับในสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ เเละไม่มีเหตุผลมารองรับ อย่างเรื่องผีสางก็ดี..แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หลบหลู่ แค่ไม่เชื่อว่ามีจริงและเมินเฉยมันไปก็เท่านั้น ความเชื่อเดียวที่มิซูกิยอมเชื่อนั่นก็คือศาสนา เหตุเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ถูกปลูกฝังไว้ในตัวเธอจากผู้อื่น เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เธอไม่ได้เรียนรู้มาจากหน้ากระดาษเหล่านั้นยังไงล่ะ ส่วนเรื่องอื่นน่ะหรือ..อืม..ไม่เชื่อแต่ไม่หลบหลู่ ไม่ได้ชอบแต่ไม่เกลียด ต้องบอกว่ารู้สึกเฉยๆ และไม่สนใจก็ว่าได้ล่ะนะ อันหนึ่งอันใด มิซูกิเป็นผู้หญิงที่เก่งเรื่องการเมิน..จะเมินคนหรือเรื่องราวก็ได้ ขอแค่เธอไม่รู้สึกสนใจมัน เธอก็พร้อมจะมองมันด้วยสายตาราบเรียบ แล้วหมางเมินมันไปได้ทุกเมื่อเช่นกัน มิซูกิเป็นคนคิดรอบคอบเเละระมัดระวังภัยอยู่เสมอ การจะทำการอะไรสักอย่างจำเป็นต้องคิดถี่ถ้วนให้ดีถึงผลที่จะตามมา จะลงมือทำอะไรได้จำเป็นต้องคิดเเล้วคิดอีก คำนวนหาผลเสียผลได้มากมายวุ่นวายไปเสียหมด แต่เหนือสิ่งอื่นใดสำหรับมิซูกิ นั่นคือทุกการกระทำและคำพูดของเธอ มันจะต้องมีเหตุผลมารองรับเสมอ
มิซูกิไม่เชื่อในคำสัตย์สาบาน สำหรับตัวเธอ..คำพูดพวกนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากลมปากหรอก ไม่มีค่าอะไรให้เชื่อเลยสักนิดเดียว เธอจะมั่นใจได้ยังไงว่าเขาจะทำตามที่เขาว่าจริงๆ น่ะ? มีอะไรมายืนยันงั้นหรือว่าพวกเขาจะไม่ตระบัดสัตย์ต่อเธอ เหตุผลข้อไหน หรือหลักวิชาการใดล่ะที่สามารถยืนยันได้ว่าคำพูดพวกนั้นไม่ใช่คำพูดพล่อยๆ หากไม่มีเเล้วล่ะก็ ตัวเธอก็ไม่คิดจะเชื่อไปให้เหนื่อยความหรอกนะ..ความคิดและตรรกะเพ้อฝันเองก็เป็นสิ่งที่มิซูกิไม่ชอบ เธอเป็นผู้หญิงที่เเตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นอย่างชัดเจน เธอไม่เคยฝันถึงเจ้าชายขี่ม้าขาว หรือปราสาทเเสนสวยที่ทุกคืนวันเต็มไปความสุข ของพวกนั้นมันไร้สาระในสายตาเธอ..โลกที่งดงามเเละเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะหรือ? ของพรรค์นั้นน่ะไม่มีจริงหรอกนะ.. มิซูกิคิดอยู่ในหัวว่า ไม่มีความทุกข์หรือความสุขใดยืนยาว ทุกอย่างมีเวลาของมันเอง ไม่นานนักก็ต้องจางหายไปสักวันเป็นแน่..มิซูกิมองเพียงความเป็นจริงและยึดตึดกับมันอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่พวกอ้อมค้อมอ้อมโลกทำอะไรชวนให้สับสน ความตรงไปตรงมาและมีเหตุผลคือสิ่งที่มิซูกิต้องการ มายึกยือไม่พูดจารอโอกาสกับเธอ นอกจากจะไม่ช่วยอะไรเเล้ว มันจะมีแต่ทำให้เรื่องมันเเย่ลงไปอีก ด้วยการทำให้เธอเกิดอาการหงุดหงิดขึ้นมาเสียมากกว่าน่ะสิ
มิซูกิไม่ใช่พวกโลกสวยที่มองทุกอย่างด้วยความสดใส และเชื่อว่าวันข้างหน้าจะสดใส และเธอเองก็ไม่ใช่พวกที่มองโลกในแง่ร้ายดูหม่นหมองและเปี่ยมด้วยความสิ้นหวังด้วย มิซูกิไม่เคยเลยที่จะเอาอารมณ์เข้ามาตัดสินการกระทำและปัญหาในชีวิตของเธอ มองดูเเล้วเหมือนเป็นกลาง แต่ว่ามันกลับเป็นสิ่งที่เเย่ เมื่อเธอเลือกตัดสินใจพวกมันด้วยแค่ตัวอักษรบนหน้ากระดาษเท่านั้น มิซูกิมีความรู้อยู่เเค่บนตัวหนังสือพวกนี้เท่านั้น ไม่มีใครเคยมาสอนเธอว่าต้องรู้สึกหรือปฏิบัติอย่างไรกับเพื่อนมนุษย์ คติธรรมใดที่ถูกต้อง เธอเชื่อเสมอว่าสิ่งที่ได้อ่านนั้นมันถูกต้องเสมอ เธอไม่สนว่าในสายตาผู้อื่นมันจะผิดหรือถูก ตราบใดที่ดวงตาของเธออ่านและประมวลผลออกมาว่ามันถูก มันก็จะถูกต่อไปในสายตาของเธอ ถึงจะมีคนมาอธิบายไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรเสียเท่าไหร่อยู่ดี นั่นเพราะมิซูกิยึดติดกับตัวอักษรพวกนั้นมาก..มาก..จนเกินไป เธอยึดตึดกับมันเพราะตลอดชีวิตนี้ สิ่งเดียวที่สั่งสอนเธอให้เติบโตมาได้คือหนังสือเหล่านี้ หนังสือที่เธอขวนขวายหาอ่านหาความรู้จากพวกมัน..มิซูกิไม่ค่อยได้พบเจอใครมาคอยเเย้งว่าเรื่องในหนังสือที่เธออ่านว่ามันผิด มันทำให้เธอยิ่งปลักใจเชื่อมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว ว่าสิ่งเหล่านั้นมันถูกต้องจริงๆ
มิซูกิมีสาเหตุที่ทำให้เธอมีตรรกะความคิดที่เเตกต่างจากผู้อื่นเสียขนาดนี้ เด็กสาวนั้นไม่เคยพบเจอกับโลกภายนอกเหมือนกับคนอื่นเขา สิ่งที่เธอได้เจอและพบพานมาตลอดชีวิตนี้นั้นคือกรงขัง ที่รายล้อมด้วยชั้นหนังสือมากมายให้เธอหยิบอ่านขวนขวายหาความรู้เอาเอง มิซูกิไม่เคยได้เรียนรู้อะไรเลยจากประสบการณ์ในการใช้ชีวิต วันวันหนึ่งเธอไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการ กิน อ่านหนังสือ ทำกิจกรรมอีกเล็กน้อย และหลับตานอนไป เปรียบเสมือนกน้อยในกรงทอง ถูกเลี้ยงดูอย่างดีแต่จำต้องอยู่แต่ในขอบเขตที่ถูกกำหนด ไม่มีสิทธิ์ได้เรียนรู้สิ่งใดเลยจากประสบการณ์ในชีวิต มีเพียงแค่ความรู้จากหนังสือเท่านั้นที่จะทำให้เธอเทียบเท่ากับคนอื่นเขาได้..และเพราะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก หากไร้ซึ่งหนังสือพวกนี้ ตัวเธอคงเป็นแค่เด็กสาวที่ไม่รู้อะไรเลยเเม้กระทั่งการอ่านเขียน..
มิซูกิไร้อิสรภาพในการใช้ชีวิตอย่างชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้นเธอกลับเมินเฉยเเละเอ่ยบอกเพียงแค่ว่า 'ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรเลยไม่ใช่รึไงกัน' เมื่อไม่อยากให้เธอพบเจอกับโลกภายนอกกัน เด็กสาวเองก็ไม่คิดจะต้องการพบเจอมันเช่นกัน สิ่งที่เธอต้องการก็แค่พื้นที่ส่วนตัวน้อยนิดและหนังสือมากมายก็เท่านั้น มิซูกิไม่ได้สนใจว่าโลกภายนอกจะเป็นยังไง เเละจะมีเหตุการณ์อะไรที่เธอไม่เคยได้รู้อยู่บ้าง เธอคิดเพียงแค่ว่า ถึงไม่ได้เจอประสบการณ์จริงๆ มันก็ไม่เป็นไรหรอก ยังไงเสียสุดท้ายเเล้ว มนุษย์เราก็สามารถเรียนรู้จากตัวอักษรในหน้ากระดาษพวกนั้นได้อยู่ดี นี่แหละ คือความคิดของเด็กสาวนาม มาซากิ มิซูกิ
มิซูกิมีความรู้มากมายในหัว แต่ทว่ากลับขาดซึ่งประสบการณ์ที่ควรจะมี อ่า..เธอไม่ใส่ใจมันหรอกนะ เพราะมิซูกิน่ะ คิดว่าถ้าเธอรู้หลักการปฏิบัติแล้ว เดี๋ยวพอเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ เธอก็สามารถเอามันไปประยุกต์ใช้ได้เองนั่นเเหละยังไงล่ะ มิซูกิคือบุคคลจำพวกที่มองด้วยสายตาเเล้วเห็นผู้อื่นทำได้ ก็จะคิดเเวบเข้าไปในหัวว่า นางเองก็คงทำได้เหมือนกันนั่นเเหละ ก็มีสองมือสองเท้าเหมือนกัน เเถมความรู้นางก็เยอะ ถึงจะทำได้ไม่ดีแต่ก็คงทำได้บ้างเเหละน่า..นั่นเเหละ สิ่งที่อยู่ในหัวมิซูกิ แต่หากกล่าวกันตามความเป็นจริงแล้ว..มันไม่ใช่เลยเเม้แต่น้อย เพราะบางทีโลกนี้ก็มีเรื่องราวที่อยู่นอกเหนือการคาดเดาและหลักวิชาการมากมายอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งมิซูกิไม่เคยนึกคิดถึงเรื่องพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย เป็นเหตุให้เวลาที่เธอปฏิบัติตามสิ่งที่ได้เรียนมาจากหนังสือแล้วมันไม่ได้ผล สีหน้าเรียบนิ่งนั้นจะเเปรเปลี่ยนเป็นความตระหนกตกใจอย่างเห็นได้ชัดทันที สุดท้ายเเล้วมิซูกิก็แค่เด็กสาวที่ขาดซึ่งประสบการณ์ เมื่อไม่มีหนทางในการแก้ปัญหา ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
มิซูกิมีทักษะในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์เหนือความคาดหมายเท่ากับ 0 เธอเป็นพวกปรับตัวยากและตามสถานการณ์ไม่เก่งนัก ทั้งยังเจ้าหลักวิชาเกินไป แม้แต่ในเวลาคับขัน เจ้าตัวก็ยังมีอารมณ์เอาหลักการในหนังสือมาอ้างอิงประกอบเหตุการณ์ คำนวนคิดหาหนทางเอาตัวรอดได้ลงคออยู่อีก..ตลกร้ายของเรื่องคือ ขนาดที่คนอื่นเขาสามารถหาหนทางหนีทีรอดเเละสงบสติอารมณ์ได้ มิซูกิกลับตระหนกตกใจต่างจากตอนปกติราวกับคนละคน และทำได้เพียงแค่ยินคิดไม่ตกว่าควรจะทำเช่นไรต่อไป กล่าวเเล้วคือถ้าไม่มีคนมาช่วย เธอก็ไม่สามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์พวกนั้นได้หรอก..นั่นเพราะมิซูกิมีข้อเสียร้ายกาจอยู่ยังไงล่ะ..เธอไม่กล้าทำในสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากเรื่องที่ตนรู้ เธอกังวลกับผลกระทบจากการกระทำของตนเองเป็นอย่างมาก กลัวว่าหากทำไปแล้วมันจะทำให้เรื่องราวตรงหน้ามันจะเลวร้ายลงจากเดิม หรือว่าไปลากใครเข้ามาซวยด้วย เห็นเช่นนี้เเล้วเจ้าตัวก็ยังหลงเหลือความเป็นมนุษย์ในตัวเช่นกัน มิซูกิไม่ชอบทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เรื่องของเธอ เธอจะจัดการมันด้วยตัวเอง แม้ว่ามันจะยากลำบากสักแค่ไหนก็ตามทีเถอะ..แต่เพราะมันเป็นเรื่องที่น่ากลัว ดังนั้นเเล้วเธอจึงไม่อยากพบเจอกับเรื่องพวกนั้น ทำให้มิซูกิพอใจที่จะอยู่ในพื้นที่เล็กน้อยของตน มากกว่าออกไปเผชิญกับสิ่งที่ตนไม่เคยรู้เเละสัมผัสมัน
มิซูกิคือบุคคลที่เรียกได้ว่า ไร้เพื่อนขาดมิตร เป็นเหตุทำให้เธอเป็นบุคคลที่มีมนุษย์สัมพันธ์ต่ำเตี่ยเรี่ยดิน ขนาดที่ว่าแทบจะจมหายกลับไปในธรณีดินอย่างไรอย่างนั้น การที่วันๆ เอาแต่อยู่ติดกับหนังสือไม่สนโลกแบบนั้น ทำให้เธอกลายเป็นพวกไม่เข้าสังคม การปรับตัวให้กลมกลืนไปกับคนรอบตัวเป็นเรื่องที่ทำได้ยากสำหรับเธอ เหนือสิ่งอื่นใดคือมิซูกิไม่ชอบมัน ทำไมเธอจะต้องปรับตัวเองเพื่อให้เข้ากับคนอื่นได้ด้วยล่ะ? น่ารำคาญจะตายไป..มิซูกิไม่ชอบการพูดจาเสเเสร้งเพียงเพราะต้องการให้มันถูกหูใคร ถือคติไม่ถูกหูถูกใจก็ไม่ต้องฟัง รับไม่ได้ก็ไม่ต้องฟัง คิดต่างก็ไม่ตรงมาฟัง ต่อให้โต้แย้งยังไงมิซูกิก็ไม่คิดจะเปลี่ยนความคิดของตนง่ายๆ เธอพูดเพราะเธอคิดว่ามันถูก เช่นนั้นเเล้วทำไมถึงต้องเปลี่ยนความคิดของตนเองด้วยล่ะ?
มิซูกิเห็นตายด้านเช่นนี้เเล้ว ไม่ยอมคนและดัดได้ยากปานไม้แข็งที่ทำเป็นเพชรมาก เธอเป็นผู้หญิงช่างเถียงและไม่ชอบให้ใครมาบอกว่าความคิดของเธอผิด อะไรที่แตกต่างจากหลักการความรู้ที่เธอมี เธอจะเถียงมันกลับไปให้หมด ไม่สนหรอกว่าจะเป็นใคร..ตัวเธอนั้นมีทิฐิอยู่ในกายสูงเด่น หากว่าได้ลองเปิดปากเถียงเเล้ว ก็จะเถียงสุดใจจนกว่าจะชนะ และแน่นอนว่า..หากพ่ายแพ้ ความอับอายมันจะท้วมท้นล้นอก ภาพลักษณ์ตายด้านถูกกลบหายด้วยสีหน้าอับอายเปื้อนสีแดงระเรื่อราวมะเขือเทศสุก แต่ถึงอย่างนั้นเธอกลับไม่คิดจะยอมรับว่าตนเองผิดและคิดขอโทษเลยแม้แต่น้อย..กล่าวแล้วคือ มิซูกิเป็นคนหัวดื้อที่ยึดติดกับความคิดของตนเองมากๆ นั่นเอง
มิซูกิในสายตาชาวบ้านคือน้ำเต็มแก้ว ที่ไม่ยอมรับความรู้อื่นๆ ที่คนอื่นยื่นให้เลยเเม้แต่นิดเดียว ซึ่งคำกล่าวนี้ถือว่าถูกครึ่งไม่ถูกครึ่ง นางไม่ยอมรับความรู้ที่ผู้อื่นยื่นให้จริง แต่ไม่ใช่พวกน้ำเต็มแก้วแต่อย่างใดหรอก ในความจริงแล้วตัวเธอเป็นคนใฝ่รู้มาก ไม่มีใครมาบังคับให้เธออ่านหนังสือ เธอก็สามารถไปขวนขวายหามาอ่านเสริมความรู้เพื่อเอาลบจุดด้อยในความไร้ประสบการณ์ของตนเองอยู่เสมอๆ แต่เพราะเป็นคนที่เชื่อเฉพาะสิ่งที่อยู่บนหน้าหนังสือ มิซูกิจึงปฏิเสธที่รับฟังผู้อื่น ซึ่งจึดนี้..ถือเป็นผลกระทบจากทิฐิในตัวด้วยล่ะนะ เหนือสิ่งอื่นใด มากกว่าเรื่องที่เธอเป็นน้ำเต็มแก้วหรือไม่ นั่นคือเรื่องที่ว่า มิซูกิเกลียดคำพูดบ้าๆ นี่มาก หากใครเอ่ยมันออกมาล่ะก็ มันจะทำให้คนอารมณ์ตายด้านอย่างเธอคิ้วกระตุกได้อย่างง่ายดายเลยล่ะ
มิซูกิไม่ชอบความรู้สึกข้องใจหรือสงสัยในเรื่องต่างๆ มันทำให้เธอรู้สึกงุ่นง่ายกระสับกระส่ายและคาใจ กับการที่ไม่สามารถอธิบายเรื่องกวนใจเหล่านั้นให้เขาใจได้ เมื่อสงสัยเเล้ว ต่อให้ต้องพลิกหนังสือดูเป็นสิบเป็นร้อยเล่ม มิซูกิก็จะพยายามพลิกหาดูเพื่อไขข้อสงสัยนั้นให้ได้ เธอจะเค้นสมองคิดหาคำตอบจนกว่าจะนึกออก แต่หากว่าพยายามจนเหนื่อยแลว สุดท้ายกลับยังไม่สามารถหาคำตอบได้เสียที เธอจะตัดสินใจทิ้งทิฐิไปครู่หนึ่ง และเอ่ยถามกับคนรอบตัวเสียแทน ถือเป็นทางเลือกสุดท้ายเเล้วจริง ๆ..ถ้ามันไม่จำเป็น คนมากทิฐิแบบเธอก็ไม่คิดจะไปขอร้องถามไถ่ใครหรอกนะ อีกอย่าง..จะเชื่อได้รึเปล่ายังไม่รู้เลยนี่นา ซึ่งในกรณีเอ่ยถามกับคนรอบตัวนี้ จะต้องเป็นบุคคลที่มิซูกิสนิทสนมและให้ความไว้วางใจกับนับถือระดับหนึ่งเท่านั้นแหละ..
มิซูกิเป็นพวกไม่เข้าใจในเรื่องของ ความรัก ...เธอเข้าใจว่าเหตุใดคนคนหนึ่งถึงยอมทุ่มอะไรมากมายให้กับใครอีกคน เพียงเพราะแค่คำคำเดียวนั่น ไม่เคยเข้าใจเลย..ว่าทำไมเพียงเเค่เพราะคำคำเดียว มันถึงได้ทำให้คนเราสามารถทำเรื่องบ้าๆ ที่ทั้งน่าเหลือเชื่อและน่าผิดหวังได้เเบบนั้น มิซูกิไม่เคยรู้เเละเข้าใจมันเลย..นั่นเพราะมันไม่เคยมีหนังสือเล่มในเลยในตลอดชีวิตของเธอที่บอกถึงเรื่องนี้ ให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง คนตายด้านเเบบมิซูกิก็ไม่รู้จะเรียนรู้มันยังไง หรือแม้แต่จากประสบการณ์จริงก็เช่นกัน..มิซูกิไม่เคยได้สัมผัสกับคำว่ารัก สิบเก้าปีที่เติบโตมาไม่เคยมีชายใดเลยที่ทำให้หัวใจดวงน้อยนี่สามารถเต้นโครมครามได้ ไม่สิ..ต้องบอกว่าไม่มีชายใดเลยที่เข้าหาเธอเสียมากกว่า แน่ล่ะ..ผู้หญิงแปลกๆ แบบเธอใครเขาจะมาชอบกัน แต่หากถามว่ามิซูกิสนใจมันไหม? ต้องบอกเลยว่าไม่ ออกจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่ไม่ต้องพบเจออะไรเช่นนั้น เพราะอะไรที่เราไม่เคยรู้และได้สัมผัสมันมาก่อนน่ะ..มักน่าเสมอนั่นแหละ
มิซูกิถึงจะไร้อารมณ์ไปสักหน่อย แต่ก็มีของที่รักที่ชอบอยู่เหมือนกันนะ เธอน่ะชอบนกมากเลยนะ เธอชอบเสียงร้องที่ไพเราะเเละรูปงามสวยงามของพวกมัน ทุกเช้ามิซูกิจะตื่นขึ้นมาในเวลาเดียวกับเสียงนกร้อง เพียงแค่เพราะอยากมาให้อาหารนกและเสียงของพวกมันขับร้องยามเช้าเพียงเท่านั้น มันทำให้หัวของเธอผ่อนคลายลงมากจากเดินหลายเท่าตัวเลยล่ะ..หากอยากถามหาช่วงเวลาที่ริมฝีปากนี้จะคลี่ยิ้มออกมาได้ คงจะมีเเค่ตอนนี้เท่านั้นนั่นแหละ และมันเป็นผลกระทบไปให้มิซูกิรู้สึกหลงใหลไปกับเสียงเพลง สิ่งเดียวที่ยั่วยวนให้อยากละสายตาออกไปจากหน้าหนังสือและสนใจมันได้ เห็นทีจะเพียงแค่เสียงเพลงเเสนไพเราะราวบทขับร้องแสนวิเศษพวกนั้นกระมัง..
มิซูกิชอบยามพระอาทิตย์ขึ้น เพราะมันทำให้เธอรู้สึกสดชื่น ประกอบกับเป็นช่วงเวลาที่จะทำให้ได้เธอยินเสียงขับร้องของนกตัวจ้อย..เช่นเดียวกัน มิซูกิเกลียดเวลากลางคืน เพราะยามกลางคืนนั้น..มันคือช่วงเวลาที่เธอได้หลับใหลและจมจ่อมไปกับห้วงเวลาของความฝัน หากว่าเป็นคนอื่นเเล้ว..พวกเขาคงจะฝันถือเรื่องราวต่างๆ หรือไม่ก็ไม่ฝันถึงสิ่งใดเลยเป็นแน่ แต่มิซูกินั้นต่างออกไป..เธอ..ฝันถึงความว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดกันแน่ แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่สามารถฝันถึงเรื่องราวได้เฉกเช่นคนอื่นเลยเเม้แต่น้อย ทั้งความฝันนั้นยังทำให้เธอรู้สึกอึดอัด ว้าเหว่ เย็นยะเยือก และชวนให้รู้สึกหม่นหมองอีกต่างหาก เช่นนั้นเเล้วมันจึงเป็นสาเหตุทำให้เธอไม่ชอบเเละปฏิเสธที่จะหลับตาลงถ้าเป็นได้..และใครเล่าจะรู้ได้..ว่าสาเหตุของเหตุการณ์ชวนฉงนใจนี้ ความเป็นจริงแล้วมันก็แค่เพราะหัวใจของเธอมันเต็มไปด้วยความเหงาหงอย จากการที่ต้องเติบโตเพียงลำพังภายในกรงขังคับเเคบนั่นต่างหากเล่า..และมันก็คงไม่มีทางที่ใครจะได้รู้..ก็เพราะว่า แม้แต่ตัวของเธอเอง เธองก็ยังไม่รู้และเข้าใจมันเลยด้วยซ้ำไป..
ชอบ ::
หนังสือ [เรื่องราวมากมาย ความรู้ ความทรงจำ ทุกสิ่งของเธอเกิดขึ้นมาเพราะหนังสือพวกนี้..]
หิมะ [มิซูกิชอบสัมผัสเย็นวาบที่ปลายนิ้วเหล่านั้น เเละเธอก็หลงใหลไปกับเกล็ดผลึกแสนสวยพวกนั้น เเม้ว่าเเค่สัมผัสโดน..หิมะพวกนั้นก็จะละลายหายไปจนหมดก็ตามที]
กาเเฟ [เพราะความฝันสำหรับเธอมันว่างเปล่า มิซูกิจึงไม่อยากหลับใหลไป และเพราะเเบบนั้น เธอจึงชอบกาเเฟที่สามารถทำให้เธอตื่นได้ในยามกลางคืน]
นก [ทั้งน่ารักเเละเสียงไพเราะ เเถมยังงดงามอีกต่างหาก จะทำใจให้ไม่ชอบได้ยังไงล่ะ?]
เพลงเเละเสียงดนตรี [ทำให้สมองโล่ง คลายเครียดจากเวลาปกติได้มากโข]
นั่งนิ่งราวรูปปั้น [ไม่มีอะไรมาก..แค่คิดว่ามันเงียบๆ ดีน่ะ หัวโล่ง มีเวลาให้คิดอะไรเยอะดี..ll อนึ่ง นั่งนิ่งเป็นรรูปปั้นในที่นี้ คือการนั่งหลังตรง ผสานมือบนตัก และหลับตา คล้ายหลับเเต่มิซูกิรับรู้สิ่งรอบตัวเหมือนเดิมค่ะ แต่บางทีก็นิ่งเกินไปจนชาวบ้านเขากลัวล่ะนะ..]
ไม่ชอบ ::
เรื่องที่ไร้ซึ่งเหตุผลบนหน้ากระดาษในการรองรับ [มิซูกิมองว่าเรื่องแบบนั้นมันเป็นอะไรที่น่ารำคาญ..มิหนำซ้ำเธอยังไม่รู้วิธีจัดการกับมันอีกต่างหาก]
การถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกน้ำเต็มแก้ว ไม่รับฟังรอบข้าง [ก็เธอไม่ได้เป็นเช่นนั้นนี่นา..อีกอย่าง การที่เธอจะเชื่อและทำตามในสิ่งที่ถูกที่ควรเเละได้รับการพิสูจน์แล้ว มันผิดมากนักรึไงเล่า?]
เห็ด [จากที่อ่านในหนังสือมา เห็นมีพิษบางอันหน้าตาเหมือนเห็ดธรรมดาปานฝาเเฝด ถ้าเเยกไม่ได้เเล้วเผลอกินเข้าไปขึ้นมาจะทำยังไงเล่า..]
เรื่องของความสัมพันธ์ลึกซึ้ง [เพราะตัวหนังสือไม่สามารถอธิบายเรื่องของสายสัมพันธ์ลึกซึ้งได้ เเละตัวเธอก็ไม่เคยพบเจอมันมาก่อนเลย มันจึงทำให้มิซูกิไม่ชอบใจ]
แพ้ / กลัว ::
[แพ้]
ไข่ [เป็นปัญหาระดับชาติเมื่อของที่เเพ้ดันเป็นวัตถุดิบในอาหารหลายๆ ชนิด..เพราะงั้นมิซูกิจึงเป็นพวกเลือกกิน และกินอะไรได้ยากไปโดยปริยาย หากเธอทานไข่เข้าไป มิซูกิจะมีอาการไข้ขึ้นสูงมาก วิธีการรักษาคือปฐมพยาบาลเบื้องต้น และคอยดูเเลไปเรื่อยๆ เหมือนรักษาคนเป็นไข้นั่นเเหละ..]
[กลัว]
ตุ๊กแก [น่าเกลียดน่ากลัว ตาโปนแถมสีไม่สวย โผล่มาทักเเล้วชวนตกใจอีก..เห็นทีมิซูกิล่ะแทบจะลมจับเสียให้ได้..]
{ปฏิกิริยา - เจอเสียงตัวจะหน้าซีดเหงื่อแตกโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าเจอกันเป็นตัวจริงๆ มิซูกิจะตัวเเข็งปานรูปปั้นทันที..แต่หลังจากนั้นจะลมจับเเล้วล้มพับไปรึไม่ ขึ้นอยู่กับว่าสามารถเอาเจ้าตุ๊กแกนั่นไปไกลๆ เธอได้ไวเเค่ไหน ถ้าช้าเกินสองนาทีก็จะลมจับไปตามระเบียบล่ะนะ..}
ตุ๊กตา [เวลาหันไปแล้วจ๊ะกับตุ๊กตาบ้าๆ พวกนั้นกำลังนั่งจ้องอยู่ มันน่ากลัวนะ..]
{ปฏิกิริยา - เป็นไปได้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพวกตุ๊กตาเด็ดขาด และถ้าไม่ใครเอามาให้ จะยัดใส่มือคืนกลับไปอย่างไม่ไยดีเลยล่ะ}
เพิ่มเติม :: ลัดคิวโฉมงามมาค่---//แค่ก ๆ//
}}เพิ่มเติมรายละเอียดตัวละคร{{
-มิซูกิเกิดวันที่ 15 พฤศจิกายน เวลา 00:00 น. ที่พระจันทร์จะอยู่ตรงกลางศีรษะพอดี
-มิซูกินั้นเป็นสาวราศีพิจิก โดยที่เจ้าตัวนั้นมีเลือดกรุ๊ปA
-เธอเป็นพวกใช้มือขวาในการใช้ชีวิตประจำวัน อย่าง เขียนหนังสือ วาดภาพ หรือใช้ตะเกียบคืออาหารใส่ปาก
-มิซูกิถนัดทั้งวิชาการและศิลปะ แต่อย่างหลังนั้นไม่ถือว่าดีเด่นอะไร เรียกได้ว่าพอไปรอด
-ในเรื่องวิชาพละการออกแรงถือว่าห่วยเเตก..
-ปัจจุบันมิซูกิมีงานอดิเรกใหม่คือ การฝึกใช้มือซ้ายเอาตะเกียบไปคีบอาหาร
-มิซูกิไม่ฝึกเขียนหนังสือด้วยมือซ้ายนะ..นางเกลียดการคัดลายมือ นางบ่นว่ามันทำให้ข้อนิ้วปวด..
-มิซูกิกินน้อยทานน้อย เพราะวันๆ เอาแต่นั่งอ่านหนังสือ จึงคิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องใช้แรงมากก็ได้
-มิซูกิทำงานบ้านและทำอาหารไม่ได้ ก็รู้นะว่าทำยังไง แต่พอทำจริงแล้วมันต่างจากที่คิดไปเยอะเลยนี่นา...[ตัวอย่างก็ตอนทอดปลา..น้ำมันนี่ดีดใส่จนสะดุ้งตามไปแทบๆ ปาตะหลิวทิ้งแทบไม่ทัน (..)]
Talk MILAN
( 1 ) สวัสดีค่ะ ทางนี้มิลานค่ะ คุณผปค. ชื่ออะไรเอ่ย ?
-รันรันค่าาาา พบกันอีกครั้งน้าท่านมิลานน
( 2 ) ใบสมัครเรื่องมากไปไหมคะ ?
-ไม่เลยค่ะ! กรอกง่ายมากเลยล่ะ
( 3 ) คำถามยอดฮิตติดชาร์จท็อป---- อะแหม่ ทำไมถึงมาสมัครเหรอคะ ?
-อยากจะก็อปวางใบเดิม แต่เพิ่มเติมคือหน้าคาร์นายน้อยทำทางนี้ตัดสินใจเเน่วแน่ว่าจะลงค่---
( 4 ) ถ้าไม่ติด อ่า ทางนี้ต้องขอโทษนะคะ //แง้
-ไม่เป็นไรค่าาาา ไม่ซีนะไม่ซี แค่แอบเสียใจนิดหน่อยเอง
( 5 ) ทางนี้หมดคำถามแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณที่ให้ความสนใจนะคะ !
-นิยายน่าสนุกเราก็ต้องให้ความสนใจเป็นธรรมดาสิคะ! ฮาาา
ความคิดเห็น