คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : [20] one-shot - Lowrance
[ one-shot ]
มนุษย์บางคนใช้เวลานับสิบปีในการหาเส้นทางชีวิตของตน
หากแต่สำหรับมนุษย์บางคน..สิ่งเหล่านั้นก็ถูกกำหนดมาตั้งแต่แรก..โดยที่พวกเขาไม่แม้แต่จะสามารถถามไถ่ถึงสิทธิ์ในการเลือกเส้นทางของตนเองเลยด้วยซ้ำไป..
ลอวเรนซ์เป็นลูกชายคนโตของบ้าน เขาเกิดในวันขอบคุณพระเจ้า..หากแต่ก็น่าเสียดาย ที่ผู้เป็นแม่ไม่คิดจะขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้าท่านผู้ซึ่งประทานทารกชายตัวน้อยนี้มาสู่อ้อมกอดของเธอเลยแม้แต่น้อย
ในวันนั้น ไม่มีใครรู้ว่าห้วงอารมณ์ของหญิงสาวผู้เป็นถึงหัวหน้าแก๊งมาเฟียชื่อดังนั้นรู้สึกอย่างไร หากแต่เมื่อเวลาผ่านปีนานเข้า นานเข้า สิ่งที่ปรากฏกลับทำให้พวกเขาเริ่มเข้าใจกันได้เองโดยอัตโนมัติ ภาพของเด็กชายตัวน้อยที่มักจะเดินไปเดินมาอยู่เพียงลำพัง มีเพียงสมุดวาดเขียนกับรูปวาดน่าเกลียดไม่เป็นทรงกอดพกติดตัวตลอด..ไร้ซึ่งผู้ปกครองคอยบอกคำรัก ไม่มีใครเลย เว้นตัวเขาเพียงเท่านั้น
บ้านหลังใหญ่โต เสื้อผ้าหรูหรา อาหารเเสนอร่อย ลอวเรนซ์มีพร้อมทุกอย่าง เว้นเพียงอย่างเดียว..นั่นคือบ้านที่ใหญ่โตนี้มันมากเกินไปสำหรับเด็กชายตัวน้อย เขาอาศัยอยู่ที่นั่น ไม่ใช่เพียงลำพังหากก็เหมือนไร้ซึ่งผู้อื่น มีอาหารเย็นอันเงียบเฉยมีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่นั่งอยู่ และทั้งหมดทั้งมวลนั่นมันก็ล่อหลอมให้เด็กชายเติบโตมาอย่างปิดกั้น ไม่แยแสใคร เหมือนอย่างที่ไม่มีใครคิดจะใส่ใจเขามากกว่าที่เป็นอยู่
ลอวเรนซ์นั้นไม่ได้เจอแม่บ่อยเท่าที่ควรนั้น หล่อนมักเก็บตัวอยู่ในห้องทำงาน ไม่ก็หายไปจัดการกับงานที่เขาเริ่มเรียนรู้แต่เด็กว่ามันคืองานแบบไหน หลายครั้งที่ลูกน้องของแม่มาที่บ้าน ส่วนมากแล้วเป็นผู้หญิง ยิ้มแย้มสะสวย หากกลับมีดวงตาที่กลวงโบ๋
จำไม่ได้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่..แต่เขาก็มักจะได้ยินเสียงกระซิบพูดคุยของพวกคนในแก๊งดังอยู่เสมอ
"ทำไมถึงไม่เกิดมาเป็นเด็กผู้หญิง"
ไม่เข้าใจ..คำพูดพวกนั้นมันหมายถึงอะไร? หรือว่าการเกิดมาเป็นเด็กชายนั้นคือคำสาปกันล่ะ?
วันหนึ่งเขาตรงไปที่ห้องทำงานของแม่อย่างที่ไม่เคยทำ เอ่ยถามคำถามนั้นกับเธอเช่นเดียวกับที่เคยคิดมาหลายต่อหลายวัน และได้คำตอบที่ทำให้รู้สึกสับสนเสียยิ่งกว่าเดิมกลับมา
"การที่แกมาเป็นเด็กผู้ชายมันไม่ใช่คำสาป ของแบบนั้นน่ะมีจริงซะที่ไหน"
ควันสีหมอกถูกพ่นออกมาจากริมฝีปาก ดวงตาของเธอยังคงเย็นเฉียบ
"ก็แค่ฉันไม่ต้องการแกที่เป็นแบบนี้..มันก็แค่นั้น"
ดวงตาสีเขียวหยกนั้นยังคงฉาบด้วยความสับสน "ถ้าอย่างนั้นทำยังไงแม่ถึงจะต้องการผม?" เป็นคำถามโง่ ๆ ของเด็กที่หวังเพียงว่าบางสิ่งบางอย่างอาจจะเปลี่ยนไป มันอาจจะมีบ้างสักวิธี..ที่ทำให้เขาดูเป็นคนภายในครอบครัวมากขึ้น
มารดายกยิ้มเพียงเล็กน้อย เธอลุกขึ้นเเละก้าวเข้ามาหาเขา ร่างนั้นย่อลงพอจะให้เธอสามารถดึงมือของเขาไปวางบนหน้าท้องของเธอได้
"ทำให้เด็กคนนี้ขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดสิ" เธอกระซิบเบา ๆ ให้เขาได้ยิน "ถ้าทำได้ แกอาจจะมีประโยชน์ขึ้นมาบ้างก็ได้นะ"
ดวงตาของเขาหลุบลง จ้องมองหน้าท้องของเเม่ซึ่งนูนป่อง สัมผัสได้ถึงความอุ่นวาบ และจังหวะหัวใจของบางสิ่งซึ่งอาศัยอยู่ภายในนั้น
หลังจากวันนั้น..ชีวิตก็เปลี่ยนไปเล็กหน่อย
จากตอนแรกที่เป็นทายาทซึ่งไม่ได้รับการใส่ใจ กลับกลายเป็นว่ามีอาจารย์จากสาขาวิชาชีพต่าง ๆ พุ่งเข้ามาหา เหมือนว่าผู้เป็นแม่นั้นจะต้องการให้เขาฝึกนอย่างหนักในหลายต่อหลายด้าน เพื่อให้พร้อมสำหรับการเป็นขั้นบันไดที่เธอต้องการ
ลอวเรนซ์เคยสงสัย ว่าสิ่งนี้จะทำให้เขาได้รับการยอมรับจากผู้เป็นแม่ได้จริงหรือ..?
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง — ในตอนที่ใครซึ่งอยู่ในท้องนั้นได้ออกมาลืมตาดูโลก ดวงตากลมโตซึ่งจ้องมาที่เขา ฝ่ามือเล็กป้อมเอื้อมมาคว้าปลายนิ้วไปจับเอาไว้แน่น เด็กหญิงตัวน้อยนั่นที่หลังจากนั้นเขาก็เห็นหน้าเธอแทบตลอด เพราะรับอาสาเป็นคนช่วยดูเเลเธอเอง
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะ..แต่การเลี้ยงเด็กมันก็ไม่ได้น่ารำคาญน้อยไปกว่าการโดนพวกลูกน้องในแก๊งของแม่พูดจานินทาลับหลังตั้งแต่เด็ก ๆ สักเท่าไหร่..เพราะงั้นก็ช่างมันไปเลยแล้วกัน..
สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า 'น้องสาว' นั้นตัวเล็กจ้อย
ดวงตากลมโตใสแจ๋ว ริมฝีปากเล็ก ๆ นั่นก็คอยเอาแต่เรียกหา..ลอวเรนซ์ในวัยสิบขวบจ้องมองสิ่งมีชีวิตอย่างน้องสาววิ่งเล่นซนไปทั่ว หากแต่ไม่นานร่างเล็กจ้อยนั่นก็ล้มจุ้มปุ้กลงไปกองกับพื้น หน้าทิ่มเพราะความซนไม่รู้เรื่อง
เสียงร้องไห้งอแงร้องลั่น สร้างรอยยับย่นน้อย ๆ ระหว่างหว่างคิ้วของเด็กชายได้ไม่ยาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเดินเข้าไปหาเธออยู่ดี
"โอ๋ ๆ" เขาดึงเธอขึ้นมากอดไว้ ตบปลอบหลังแปะ ๆ ทั้งที่สีหน้าเรียบสนิท "แผลเล็กแค่นี้เอง ไม่เห็นต้องร้องเลยนี่นา"
"ตะ แต่หนูเจ็บ" เด็กหญิงร้องไห้สะอึกสะอื้น เหมือนกับตอนที่หิวเมื่อวัยเยาว์ หรือตอนที่เธอไม่ได้ดั่งใจจนร้องงอแงโวยวายออกมา
ลอวเรนซ์ทำหน้าเหมือนกับจะถามเธอว่า 'แล้วจะให้เขาทำยังไง?' ซึ่งเด็กหญิงก็จ้องเขาตาแป๋ว..เป็นแบบนั้นอยู่นานมากพอจนจะทำให้เด็กชายผู้ซึ่งไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้นถอนหายใจออกมา เขานึกอยากปฏิเสธเธอ แต่คิดไปคิดมาอีกที ก็อย่าดีกว่า
ร่างของเด็กชายวัยสิบขวบขยับหันหลังให้กับอีกฝ่าย ย่อตัวลงจนเขาติดพื้นในท่าพื้นฐาน
"ขึ้นมาสิ"
เท่านั้นแหละ — เสียงร้องเย้ดังลั่น เด็กหญิงกระโดดใส่เขาจนลอวเรนซ์ตัวโยก แม้กระทั่งตอนที่เด็กชายขยับลุกขึ้นยืน เธอก็ยังขยับยุกยิกด้วยความนึกสนุกระดับที่ว่าลอวเรนซ์อดจะแขวะน้องสาวตัวเองในใจไม่ได้เลย ว่ายัยคนที่ร้องงอแงเจ็บเเผลเมื่อกี่มันหายไปไหนเเล้วนะ
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังแบกเธอกลับเข้าไปในบ้าน ทำแผลให้เธอ หาของว่างให้ทานระหว่างดูรายการทีวีรายการโปรด เฝ้าเจ้าเด็กน้อยจอมซน จนกระทั่งเด็กหญิงนั้นผล็อยหลับไปในที่สุด เช่นเดียวกับพี่ชายของเธอ ที่นั่งคอพับโยกเยกและมอบหน้าตักของตนเป็นฐานรองต่างหมอนให้คนเป็นน้องไปในที่สุด
ลอวเรนซ์หมดช่วงเวลาในชีวิตส่วนมากไปแค่กับไม่กี่เรื่อง ถ้าไม่ใช่การเรียนตามคำสั่งของคนเป็นแม่ การไปศึกษางานภายในแก๊ง ก็คงเป็นการคอยดูเเลเจ้าตัวแสบอยู่ใกล้ ๆ นั่นแหละ..
เพราะอายุมากกว่ากันถึงห้าปี ก็เลยมีช่องว่างที่เป็นทั้งเรื่องดีและเรื่องแย่ เรื่องดีคือเขาช่วยเหลือเธอได้มากมายหลายอย่าง ลอวเรนซ์ที่ได้รับการปลูกฝังความสามารถอย่างหนักจากการสร้างและปั้นแต่งของมารดา ทำให้เขาสามารถชี้เเนะและดูแลน้องสาวได้ดีมากอย่างน่าทึ่ง
แต่ในขณะเดียวกัน ก็เพราะช่วงวัยที่ห่างกันนั้นเองที่ทำให้บางครั้งมันก็เกิดการทะเลาะเบาะเเว้งเพราะการไม่เข้ากันเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างเราขึ้นมา
ครั้งหนึ่งลอวเรนซ์เคยเตือนเธอเรื่องการเล่นกีฬาชนิดหนึ่งที่เกินกว่าวัยของเธอ แต่เธอก็ไม่ฟังเขา เเละเขาก็เบื่อที่จะต้องมาต่อล้อต่อเถียงกับเธอ ลอวเรนซ์ถึงปล่อยให้เธอทำตามใจ
สุดท้ายเธอก็บาดเจ็บจากกีฬานั่น และพอเธอหายเจ็บ ก็เป็นเขาเองอีกนั่นแหละที่ไปสอนเธอเล่นมันด้วยตัวเอง
มันน่ารำคาญ..แต่ก็ต้องยอมรับว่าลอวเรนซ์เลี้ยงอีกฝ่ายมาตั้งแต่เด็ก เขาเคยชินกับมัน และไม่สามารถอยู่เฉยได้ในตอนที่เห็นใบหน้าของน้องสาวบูดบึ้ง น่าาสับสนว่าทำไมถึงต้องรู้สึกแบบนั้น ทั้งที่เขาก็คิดมาตลอดว่าชีวิตที่ไม่มีน้องสาว มันอาจจะดีมากกว่านี้ก็ได้
เหตุผลอะไร..ที่ทำให้เขามักยอมเธออยู่ตลอด..?
"เพราะมีเเค่เด็กคนนั้นที่มองนายเป็นครอบครัวไง"
ร่างที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นจิบถึงกับหยุดชะงักมือของเขา ลอวเรนซ์หันไปมองคนพูด เห็นรอยยิ้มเย้าหยอกที่ทำให้เขาได้เเต่กะพริบตาปริบ ๆ
"ใช่ไหมล่ะ" เพื่อนสนิทคนเดิมเอ่ยย้ำทั้งรอยยิ้ม ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นวาวระยับไปหมด "นายบอกฉันเองนี่ว่าแม่นายแทบไม่สนใจนายเลย..มีแค่น้องสาวที่อยู่ด้วยกันบ่อย ๆ น่ะ"
"แล้วมันยังไง.."
"เอ้า! ก็ตอนที่เธอเรียกว่าพี่นั่นน่ะ — มันไม่ได้ทำให้รู้สึกดีบ้างเลยเรอะ?"
เครื่องดื่มสีใสถูกยกดื่มในที่สุด ชายหนุ่มหยักไหล่เบา ๆ "มั้ง" เขาตอบอีกฝ่ายไปแบบนั้น ก็ยังไม่วายได้รับเสียงหัวเราะเคิกคักในลำคอดังไล่มา ซึ่งลอวเรนซ์ก็พอเดาได้ว่าเพราะอะไร
'มาร์ตินี่ บราดวอฟ' เจ้าเพื่อนสนิทตัวดีนี่มันคงกำลังขำที่เขาไม่ยอมรับไปตรง ๆ เรื่องความรู้สึกของตัวเองแหง..
อันที่จริงมันก็น่าหงุดหงิดนิดหน่อยที่อีกฝ่ายมาทำเหมือนรู้เรื่องของเขาดีขนาดนี้..แต่ว่าถ้าเป็นมาร์ตินี่ก็คงต้องยอมให้หน่อยล่ะนะ
เขาเริ่มรู้จักกับคน ๆ นี้ได้เมื่อประมาณเกือบครึ่งปีก่อน ถึงจะไม่นานนักเเต่ก็ถือว่าสนิทกันพอสมควร และการที่คนนิสัยประหลาดแบบเขากลับมีเพื่อนสนิทขึ้นมาได้บ้างสักคนมันก็คงน่าเหลือเชื่อไม่น้อยเลยล่ะ..เพราะขนาดน้องสาวตอนที่เจอมาร์ตินี่ หล่อนยังตกใจไปพักใหญ่เลยนี่นา
"แต่ที่พูดว่ามีแค่น้องสาวที่มองผมเป็นครอบครัวนั่นก็ใจร้ายไปหน่อยนะ" ลอวเรนซ์หันไปพูดกับเพื่อนชาย ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำหน้าคล้ายกับประหลาดใจเหมือนกันที่อยู่ ๆ เขาก็เกิดสนใจขึ้นมา "..ไหนตอนแรกบอกว่านายเองก็จะเป็นครอบครัวให้ผมไง"
ก่อนจะเบะปากอย่างหมั่นไส้ เมื่อลอวเรนซ์ยกยิ้มพลางเอ่ยถึงคำพูดชวนเลี่ยนตอนสมัยที่พวกเขาสองคนเพิ่งรู้จักกันใหม่ ๆ
มาร์ตินี่เป็นคนจำพวกที่ค่อนข้างจะเป็นที่รักของคนรอบด้าน เข้ากับหลาย ๆ คนได้ดีเพราะนิสัยที่เข้าอกเข้าใจคนอื่น ผิดกับลอวเรนซ์ที่มีปัญหาเรื่องการใส่ใจ ตอนที่เจอหน้ากัน ลอวเรนซ์ก็เคยโดนอีกฝ่ายด่าว่าเป็น 'ซอมบี้' อยู่เหมือนกันหรอก แต่ไป ๆ มา ๆ ไม่รู้สงสารหรือสมเพชกันแน่ มาร์ตินี่ถึงได้มาอยู่ใกล้แล้วก็กลายเป็นตัวติดและสนิทกันไปซะเเบบนี้น่ะ
"ถ้านายจะพูดประโยคนั้นนะเพื่อน ขอร้องเลยว่าอย่ายิ้มทั้งที่ตานายตายด้านขนาดนั้น" เป็นอีกครั้งที่มาร์ตินี่เอ่ยแขวะเพื่อนของตน มือหนายกขึ้นผลักศีรษะว่าที่ผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าแก๊งโคโรน่ามาเฟียคนหนึ่งอย่างที่ไม่มีใครจะกล้าทำนัก
"แล้วก็ไม่ต้องนับฉันไปเป็นครอบครัวนายหรอก..เดี๋ยวจะเสียใจซะเปล่า ๆ นะ"
ประโยคสุดท้ายนั้นเบาราวกับกระซิบ แต่ลอวเรนซ์ก็ยังคงได้ยินมันอย่างชัดเจน
รอยยิ้มไร้อารมณ์แต้มอยู่บนใบหน้า รสสัมผัสของเครื่องดื่มไหลผ่านคอ..น่าประหลาดดีที่หลังจากได้ฟังคำพูดที่คล้ายรำพึงกับตัวเองนั้นของมาร์ตินี่ — เขากลับรู้สึกว่าเครื่องดื่มในมือนี่มันรสชาติไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย..
ในเมืองไร้นามนั้น ลอวเรนซ์มีตัวตนอยู่ในฐานะของลูกชายของหัวหน้าแก๊งมาเฟียชื่อดัง
นอกจากเรื่องเรียนทั้งด้านวิชาการ กายภาพ และความบันเทิงที่ผู้เป็นแม่ของเขาเคยเลือกสรรมาให้ศึกษา มันก็ยังมีเรื่องของงานในแก๊งที่เขาต้องไปดูเอาไว้ด้วยเช่นกัน แต่แน่นอนว่าเป้าหมายของหญิงสาวผู้เป็นแม่นั้นคือ การทำให้ตัวเขาเพียบพร้อมมากพอที่จะซัพพอร์ตน้องสาวได้
ซึ่งลอวเรนซ์ก็ไม่ค่อยคิดอะไรมากเท่าไหร่หรอก..หลายปีผ่านไปจากตอนยังเป็นเด็ก ความคิดเขาก็เปลี่ยนไปมาก จากที่เคยคาดหวังการยอมรับจากผู้เป็นแม่ ก็กลายเป็นการใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ โดยปราศจากซึ่งเจตจำนง แม้ทั้งหมดที่ต้องทำอยู่ตอนนี้จะเหนื่อยจากเรื่องงี่เง่าห่าเหวรอบตัวสักแค่ไหน ลอวเรนซ์ก็คิดว่ามันยังไม่เข้าขั้นถึงขนาดคำว่า 'บัดซบ' อยู่ดี
เขาเติบโตขึ้นมาก..โตขึ้นจากตอนที่ยังเด็กมากแล้วจริง ๆ
แต่เขานั้นเกลียดมันสิ้นดี..
"รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไงกับเด็กคนนั้น"
เพราะยิ่งเติบโต — ก็ยิ่งรู้สึกเกลียดโลกใบนี้มากขึ้นจนเเทบทนไม่ไหว
ดวงตาสะท้อนภาพของใครบางคนที่ดูคุ้นเคยบนภาพถ่าย หนึ่งคือคนที่เขาจำได้ว่าคือหนึ่งในสมาชิกระดับสูงของแก๊งที่เป็นศัตรูกับเรา และอีกหนึ่ง..คือใบหน้าที่เขาเห็นมาตลอดค่อนปีมานี้
"มาร์ตินี่ บราดวอฟ เป็นลูกชายนอกสมรสของให้แก่เมอร์ตินนั่น" เสียงเย็นเฉียบดังขึ้นจากมารดาซึ่งจุดบุหรี่ขึ้นสูบ หล่อนโยนซองกระดาษมากองไว้ตรงหน้าเขา บางส่วนกระเด็นออกมาจากซองกระดาษสีน้ำตาล เป็นรูปภาพอื่น ๆ รวมถึงเอกสารอันเป็นหลักฐานอีกมากมายหลายอย่าง ที่สามารถอธิบายถึงเหตุผลในการเข้าหาลูกชายของหัวหน้าเเก๊งโคโรน่าได้เป็นอย่างดี
ลอว์เรนซ์หยิบเอกสารและรูปภาพเหล่านั้นขึ้นมาตรวจสอบ ทุก ๆ ใบ ทุก ๆ แผ่น ไม่ยอมให้พลาดเลยแม้แต่น้อย
ท่าทีพวกนั้นตกอยู่ในสายตาของมารดา "ลอวเรนซ์" เสียงของหล่อนเข้มจนน่าขนลุก หยุดฝ่ามือที่กำลังเปิดเอกสารไปหน้าต่อไปไว้ชะงัด
"จัดการซะ"
และนั่นคือคำสั่ง..ที่ไม่ว่าอย่างไรซะเขาก็ปฏิเสธมันไม่ได้อยู่ดี
ครั้งหนึ่งเขาเคยคาดหวังว่าตัวเองอาจได้รับความรัก — หรือจะเป็นแค่การยอมรับเล็ก ๆ น้อย ๆ จากมารดา
และเมื่อเติบโตมากขึ้น แข็งแกร่งมากขึ้น ฉลาดและภาคภูมิมากขึ้น เขาก็ได้สิ่งนั้นมา..การยอมรับ, แม้ว่าจะเป็นในฐานะผู้ร่วมงานไม่ใช่ลูกชายคนหนึ่งอย่างที่เคยคิดไว้ หากนั่นก็คิดการยอมรับ
แต่แล้วอย่างไร? สุดท้ายแล้วตัวตนของเขานั้นถูกเติมเต็มแล้วรึยัง?
"ถ้านายเป็นเพื่อนกับฉัน ฉันจะเป็นให้นายได้ทุกอย่างแม้แต่ครอบครัวเลยล่ะ"
และนั่นคือครั้งที่สอง..ที่เขาคาดหวัง
ชีวิตในสถาบันการศึกษาซึ่งเต็มไปด้วยสมาชิกแก๊งมาเฟียกว่าครึ่งนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครหลายคนสบประมาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลอวเรนซ์ที่ขึ้นชื่อว่ามีตำแหน่ง 'ลูกชายที่แม่ไม่ต้องการ' ห้อยติดตัวเอาไว้ตลอดก็เช่นกัน ต่อให้เขาจะไม่เคยสนใจคำติฉินนินทาทั้งหลาย มันก็น่าเบื่ออยู่ดีกับการต้องมาคอยยิ้มรับพวกคิดไม่ซื่อ และเดินหนีพวกปากดีที่ชอบเห่าอยู่ตลอดเวลาพวกนั้น
เขาเกลียดชีวิตในโรงเรียน เกลียดมันมากพอ ๆ กับที่เกลียดชีวิตในบ้านของตัวเอง
แต่ตอนนั้นเอง ที่มีใครสักคน..ใครสักคนที่บ้ามากพอจะเข้าหาเขา ใครสักคนที่ไม่ได้สนใจว่าเขาจะมีนิสัยแปลกประหลาดแค่ไหน หรือจะถูกเขาด่าไปในตอนแรกจนกลายเป็นการทะเลาะเบาะเเว้งสั้น ๆ ที่จบลงด้วยการเดินหนีของเขา ใครสักคน..ที่เข้าใจเขาได้ดีเสียจนน่าหงุดหงิด
"อย่าเอาแต่ยิ้มได้ไหม" มาร์ตินี่ชอบพูดแบบนั้น เขาพูดมันอยู่ตลอด ด้วยเเววตาที่ดูเศร้าหมองนั่น "ถ้าจะยิ้ม..ก็ช่วยยิ้มเพราะมีความสุขทีเถอะ"
ลอวเรนซ์คาดหวังในดวงตาเศร้าหมองคู่นั้น
เขาคาดหวังในรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวมีให้กับท่าทีที่หลายคนบอกว่ามันน่ากลัว
และเขาคาดหวัง..ว่าสักวันมาร์ตินี่จะตอบรับคำสัญญาของเขา
"เราจะสามารถเป็นเพื่อนกันตลอดไปเลยได้รึเปล่า?"
ตอนนั้นรอยยิ้มบาง ๆ คือคำตอบ และต่อให้ลึก ๆ เเล้วเขาจะเข้าใจในความหมายของมันได้อย่างดี..ลอวเรนซ์ก็ไม่เคยคิดอยากเข้าใจมันอยู่ดี..
เพราะนั่นหมายถึงความหมายความคาดหวังของเขาที่จะต้องพังลงไปอีกครั้ง..
ลอวเรนซ์มีชีวิตมาตลอดยี่สิบปีอย่างว่างเปล่า
มันว่างเปล่ามากจริง ๆ..
ดวงตาสีเขียวหยกนั้นกำลังหลับพริ้ม ใบหน้าแหงนขึ้นเพื่อรับเอาหยดน้ำเม็ดเล็กให้ร่วงกระทบ แผ่ความเย็นซ่านไปทั่วพื้นผิว แทรกลึกเข้าไปจนถึงกระดูกและจิตวิญญาณของเขาเอง
แช่แข็งทุกสิ่งอย่าง ทุกสิ่ง..ไม่เว้นแม้แต่อารมณ์..
"นึกครึ้มอะไรถึงมายืนตากฝนอยู่เเบบนี้"
บางสิ่งบางอย่างถูกกางกั้นเอาไว้ระหว่างเขากับผืนฟ้า ลอวเรนซ์ลืมตาขึ้น มองเห็นร่มที่ถูกถือเอาไว้โดยคนตัวเล็กกว่า เสียงที่จำได้ดีนั้นคล้ายกับจะบ่น..มาร์ตินี่ดูไม่สบอารมณ์เอาเสียเลยที่ถูกเขาเรียกออกมาในตอนฝนตกแบบนี้
"ดูสิ ตัวเปียกแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัด —" ครู่หนึ่งเขาได้ยินเสียงของอีกฝ่ายเอ่ยเจื้อยเเจ้ว แต่เมื่อหันกลับไป ก็ไม่ได้ยินเสียงพูดอะไรอีก
เพราะปืนกระบอกหนึ่งถูกจ่อเอาไว้ในตำแหน่งเดียวกับศีรษะของอีกฝ่าย
ริมฝีปากนั้นอ้าออกราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อดวงตาของเราสบกัน มาร์ตินี่กลับเลือกที่จะเงียบ และ..ยิ้ม
"..ไวกว่าที่คิดไว้อีกแฮะ"
ฝ่ามือขาวกำกระบอกปืนแน่นมากขึ้นจนเห็นข้อขาวที่นูนขึ้นมา หากแต่นั่นก็ไม่ใช่ความโกรธ "ตั้งแต่แรกเลยรึเปล่า?" ได้ยินเสียงตัวเองถามออกไปแผ่วเบา เผลอสูดหายใจลึกเมื่อเห็นคนตรงหน้าผงกศีรษะรับเบา ๆ
ความเงียบดำเนินไปแบบนั้น นานมากซะจนต่างคนต่างคิดว่ามันจะไม่มีวันจบสิ้น อึดอัดเสียจนหายใจแทบไม่ออก
ลอวเรนซ์ไม่เคยให้โอกาสใคร เขาโตมาเป็นคนที่เด็ดขาดและไร้ปราณีได้ด้วยการสร้างสรรค์ของผู้เป็นแม่ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวคนนี้ เขากลับรู้สึกว่าทุกอย่างมันยากไปหมด
ปลายนิ้ววางบนอยู่ไกปืน แต่กลับไม่สามารถเหนี่ยวไกได้
"นายยิงไม่ได้หรอก"
คำพูดแผ่วเบาที่ดังขึ้นประหนึ่งว่ากำลังกระซิบบอก ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นจดจ้องมายังเขา มีรอยยิ้มที่เขาเกลียดนักหนาประดับไว้บนใบหน้า นิ้วเรียวยกขึ้นแตะกระบอกปืนก่อนจะขยับมาสัมผัสที่มือของเขา เกี่ยวเข้าไปที่ปลายนิ้วซึ่งวางไว้บนไกปืน
"นายยิงฉันไม่ได้" ชายหนุ่มพูดทั้งรอยยิ้มที่ว่างเปล่า "ไม่มีทาง ลอวเรนซ์"
และเขาเกลียดสิ้นดีที่ไม่เคยปิดบังความรู้สึกแท้จริงจากคนตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย
สุดท้ายเเล้วมือของเขาก็ตกลง ลอวเรนซ์สูดหายใจเข้าลึก ต่อให้วันนี้สายฝนจะกระหน่ำตกลงมามากแค่ไหน หรือว่าเขาจะรู้สึกเย็นเฉียบจนสั่นไปทั้งตัว มันก็ไม่ได้ทำให้เขาใจแข็งได้มากพอที่จะฆ่าคนที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งไปได้อยู่ดี
"..ไปซะ" ริมฝีปากกระซิบแผ่วเบา มากซะจนเเทบไม่ได้ยิน "ไป..แล้วอย่ากลับมาอีก"
ลอวเรนซ์ทำได้เพียงแค่ก้มหน้า เขาปล่อยให้อารมณ์มากมายตีกันอยู่ภายในอก ก่อนจะสาวเท้าเดินสวนทางออกมาจากที่เดิม อยากจะรีบไปจากตรงนี้ ไปให้พ้นจากสถานที่เฮงซวยที่มีผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ หนีไปที่ไหนสักที่ ให้สายฝนหรือบทเพลงช่วยทำให้ใจเขาสงบลงที
ปัง!!
ร่างกายนั้นเย็นเฉียบ ถูกแช่แข็งโดยสมบูรณ์ในตอนนั้น
ตอนที่หันกลับไป เขาสบเขากับดวงตาสีน้ำตาลซึ่งเบิกกว้างสื่อถึงความตกใจและหวาดกลัว ลอวเรนซ์มองเห็นใบหน้าซึ่งคุ้นเคยดีเริ่มอาบไปด้วยสีแดง..รูกระสุนปรากฏอยู่บนหน้าผาก ร่างนั้นโซเซ ก่อนจะร่วงลงใส่อ้อมกอดของเขาที่พุ่งตัวเข้าไปรับ..และแน่นิ่งไป
ตึกตัก..
ได้ยินเสียงหัวใจของตนเต้นอยู่ในอก
แต่ร่างที่โอบกอดเอาไว้เเน่นนั้น — กลับไร้ซึ่งสุ่มเสียงใดโดยสิ้นเชิง
เพียงเสี้ยววินาทีที่เขาละสายตาออกจากร่างของผู้เป็นเพื่อนสนิท กระสุนหนึ่งนัดจากผู้ที่คอยเฝ้ามองอยู่ห่างไกลก็ได้พุ่งเข้ามา และขโมยเอาความคาดหวังของเขาให้หายไป..ตลอดกาล
ปึง!!
ประตูห้องทำงานของหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นบอสของโคโรน่ามาเฟียถูกกระแทกเปิดออกอย่างแรง ร่างที่เปียกชุ่มไปด้วยหยาดฝนเเละเปรอะเปื้อนเลือดตามเนื้อตัวสืบสาวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกระบอกปืนในมือของเขาที่ยกขึ้นจ่อหน้าผู้เป็นแม่อย่างไม่เกรงกลัว
เฉกเช่นเดียวกับปืนอีกนับสืบกระบอกจากบอดี้การ์ดคนอื่นภายในห้อง ที่พุ่งตรงมายังเขาคนเดียวเท่านั้น
บุหรี่มวนหนึ่งถูกจุดขึ้นและคาบไว้ด้วยริมฝีปากแดงฉาด หญิงสาวผู้ที่ใจเย็นอย่างน่าเหลือเชื่อแม้จะถูกลูกแท้ ๆ ในไส้เอาปืนจ่อหัว เธออัดสารนิโคตินนั้นเข้าไปในปอด พลางเงยหน้ามองผู้เป็นลูกและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท
"ฉันเพิ่งเคยเห็นแกโกรธครั้งแรกเลยรึเปล่านะ?"
"หุบปาก" ลอวเรนซ์เอ่ยขึ้น พยายามเหลือเกินที่สะกดกลั้นอารมณ์มากมายไว้ในอก "ถ้าคุณพูดอีกแม้แต่คำเดียว..ผมเป่าหัวคุณทิ้งแน่ คุณแม่"
รอยยิ้มบิดแย้มเล็กน้อย หญิงสาวหัวเราะขบขันกับคำขู่แสนเดียงสาในสายตาของเธอ นิ้วเรียวคีบมวนบุหรี่ออกมาและขยี้มันลงบนโต๊ะทำงาน ก่อนที่เธอจะค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นยืนจนหน้าผากนั้นจ่อเข้ากับกระบอกปืนอย่างพอดิบพอดี
"คิดว่ากระสุนของแกหรือกระสุนของฉันที่ไวกว่ากันล่ะ" หญิงสาวเอียงคอถาม วางมือลงบนกรอบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา "ลอวเรนซ์นะลอวเรนซ์..สุดท้ายแล้วแกก็ยังเป็นแค่เด็กโง่ที่อ่อนไหวไปกับมิตรภาพเฮงซวยพวกนั้น น่าผิดหวังนะ..คิดว่างั้นไหม"
ก่อนที่ปลายเล็บแหลมคมจะจิกลงไปบนผิวแก้มของเขา ขูดอย่างแรงจนหยดเลือดสีแดงไหลซึมออกมาช้า ๆ
มารดานั้นค่อย ๆ ลดเอาปืนที่จ่อหน้าของเธอลง ร่างกายกำยำกลับยอมโอนอ่อนอย่างว่าง่าย แม้ว่าดวงตาซึ่งไม่เคยเเสดงอารมณ์กำลังเปี่ยมด้วยความโกรธอย่างถึงที่สุด หญิงสาวหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่น่าหงุดหงิดสิ้นดีในตอนที่หล่อนโอบกอดเขาเอาไว้
"สักวันแกจะชินไปเอง" เธอลูบหัวเขา นุ่มนวลหากแต่น่าคลื่นไส้ "ทั้งเพื่อนฝูง คนรัก ไม่ว่าใครก็ตาม..เมื่อไปถึงจุด ๆ หนึ่งแกก็จะไม่ต้องเจ็บปวดอีก"
เธอกระซิบอยู่ข้าง ๆ ตัวเขา ตอกย้ำให้เขารู้ถึงสิ่งที่เขาควรจะเป็นมาตั้งแต่ต้น
"และคนที่ไม่รู้สึก..ก็จะเป็นคนที่ชนะได้อย่างง่ายดายและแน่นอนที่สุด"
พลันร่างของเขาถูกปล่อยให้เป็นอิสระในเวลาต่อมา มารดาส่งรอยยิ้มหวานตัดกับดวงตาที่เย็นยะเยือกจนน่าขนลุก เธอจูบอำลาลงบนแก้มและกล่าวคำราตรีสวัสดิ์แก่เขาในค่ำคืนนี้ บอกให้ลูกน้องนั้นพาตัวเขาออกไปจากสถานที่ของเธอซะในท้ายสุด
เสียงประตูปิดกระแทกไล่หลังดังปึง!ในทันทีที่ก้าวเท้าออกมา ลอวเรนซ์ยืนนิ่ง ก้มหน้ามองพื้นและเห็นฝ่ามือของตนที่กำเอาไว้เเน่น เขาสัมผัสได้ถึงความแสบบนบริเวณผิวแก้ม ได้กลิ่นคาวของคราบเลือดมากมายซึ่งไหลออกมาจากร่างของมาร์ตินี่ และตอนนี้ มันก็เปรื้อนตัวเขาเต็มไปหมด
ฝ่ามือหนายกขึ้นปาดคราบเลือดที่เปื้อนตามลำคอและใบหน้า แต่ยิ่งทำแบบนั้น ก็ยิ่งเลอะเทอะและเปรอะเปื้อนมากขึ้นจนน่าหงุดหงิด
"พี่..?"
เสียงหนึ่งดังขึ้นหยุดการกระทำทุกอย่าง ชะงักร่างที่กำลังสั่นเทิ้มเอาไว้ ลอวเรนซ์หันไปตามต้นเสียง เห็นน้องสาวที่เบิกตากว้างตกใจกับสารรูปอันดูไม่ได้ของเขาในตอนนี้
"ทำไมเลือดถึงเปรอะไปทั่วขนาดนี้ ใครมันทำอะไร — !?"
พรึ่บ..
ร่างที่อ่อนล้านั้นเดินเข้าไปหาผู้เป็นน้อง เขาก้มลงกอดเธอเอาไว้ ศีรษะซบลงกับไหล่เล็กที่เมื่อก่อนเป็นเขาเองที่ต้องคอยโอบปลอบเธอเสมอ
ลอวเรนซ์รู้สึกเหนื่อย เขาเหนื่อยเหลือเกิน แต่ในคราวนี้เขาก็ยังคงอยากจะคาดหวังกับชีวิตที่ว่างเปล่านี้อยู่ดี
ไม่ใช่ต่อผู้เป็นน้องสาว หากเเต่เป็นการคาดหวังต่อตัวเขาเอง
เขาคาดหวัง..ให้ความรักต่อเธอนั้นมีมากกว่าความเกลียดชัง..คาดหวังให้มันช่วยเหนี่ยวรั้งผืนผ้าใบที่สกปรกจนกลายเป็นสีโคลนนี้..ไม่ให้มันมอดไหม้ไปจนหมดสิ้นเสียก่อนเวลาที่สมควรจะเป็น
ไม่อย่างนั้น — เขาคงไม่อาจหักห้ามความรู้สึกที่อยากจะทำลายบ้านหลังนี้ทิ้งลงไม่ให้เหลือชิ้นดีได้อีกต่อไปเป็นแน่..
__TBC?__
ความคิดเห็น