คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : [14] pathetic light - Holly Carmen
[ pathetic light ]
มีกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งวางอยู่ตรงหน้า เป็นกระดาษที่คุ้นหน้าคุ้นตาเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะหัวข้อที่พาดอยู่เหนือกระดาษว่า 'อาชีพในฝัน' นั่น และเชื่อเถอะว่า, ชีวิตคนเรา ตั้งแต่ยังเล็กจนเติบโตขึ้นมามากพอจะเดินตามความฝันของตัวเองได้ จะต้องเจอคำถามงี่เง่านี่ไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง
เหมือนกับที่ 'ฮอลลี่ คาร์เมน' ในวัยสิบห้ากำลังนั่งเหม่อลอยจ้องกระดาษสีขาวของตน ปลายปากกาในมือถูกเคาะลงบนโต๊ะ เด็กสาวจ้องมองมัน พินิจพิจารณาว่าควรจะเขียนอะไรลงไปดี
แล้วก็ใช่ว่าเธอจะนึกไม่ออกหรอก..กระทั่งรอยขีดเขียนนั่นก็บอกได้ดีเลยด้วยซ้ำ
เธอเขียนมันขึ้นมา แล้วก็ขีดฆ่าทิ้ง เขียนใหม่ ขีดทิ้ง เขียนใหม่ แล้วขีดทิ้ง..
ทำแบบนั้นวนไปวนมาจนขี้เกียจนับแล้วว่ามันมากสักกี่ครั้ง..ดวงตาเหม่อลอย เริ่มคิดย้อนกลับไปในวัยเด็ก ว่าเธอเคยเขียนอะไรลงไปในกระดาษใบนี้บ้าง..
ตอนที่ได้กระดาษแผ่นนี้กับตัวครั้งแรก มันเป็นตอนที่เธออายุได้ห้าขวบ
'อยากเป็นดวงดาว'
นั่นคือประโยคที่เด็กหญิงวัยเพียงห้าขวบขีดเขียนลงไปบนหน้ากระดาษ ด้วยลายมือของเธอเองซึ่งไม่ได้น่าดูสักเท่าไหร่นักตามประสาเด็ก ในขณะที่เพื่อน ๆ ในห้องบอกว่า ฉันอยากเป็นหมอ ฉันอยากเป็นตำรวจ ฉันอยากจะเป็นนายกรัฐมนตรี ฮอลลี่กลับบอกว่าเธออยากจะเป็นดวงดาว
ตอนที่เธอบอกแม่ของเธอแบบนั้น หญิงสาวอมยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของฮอลลี่
แต่อาจารย์ประจำชั้นนั้นกลับตอบกลับมาว่า
"เอาเรื่องที่มันเป็นไปได้หน่อยสิ"
กระดาษการบ้านของเธอถูกส่งคืนกลับมาให้นำกลับไปแก้ไข ฮอลลี่ในวัยห้าขวบได้แต่ยืนหน้าปั้นบึ้งหงอง้ำ ลบขีดเขียนใหม่อีกครั้งนานหลายต่อหลายชั่วโมง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังนึกไม่ออก ว่าควรจะเขียนอะไรลงไปดี
ก็ในเมื่อความฝันของเธอคือการได้เป็นดวงดาวจริง ๆ นี่นา..
ทั้งสวยงาม ส่องประกาย ในคืนที่มืดสงัดนั้น ดวงดาวมันเป็นแสง..ล้อระยับอยู่ในแก้วตาสีน้ำผึ้งคู่นี้ เป็นแสงดวงจ้อยหากเจิดจรัสเหลือเกิน ไม่ว่าใครต่างก็บอกกันทั้งนั้นว่าดวงดาวน่ะมันงดงามเสียยิ่งกว่าอะไร
เธออยากจะเป็นอย่างดาวดวงนั้น ไม่ใช่อะไรอื่นอีก
สุดท้ายฮอลลี่ก็ไม่ได้เขียนอะไรส่งไปเลย เธอไม่ยอมส่งการบ้าน และก็โดนอาจารย์ประจำชั้นดุเสียจนหูชาเลยเชียว
ครั้งที่สองนั้นห่างจากคราวแรกพอสมควร เป็นตอนที่เธออายุเก้าขวบ
"ไอ้คำว่าอาชีพนี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่ล่ะเนี่ย" เด็กหญิงตัวน้อยบ่นออกมาขณะที่จ้องสายตาไปยังกระดาษการบ้านสีขาวแผ่นใหม่ เธอพลิกตัวกลิ้งไปกลิ้งมา ร้องโวยวายอื้ออึงอยู่ในลำคออย่างสุดจะทน "จะเขียนว่าอยากเป็นดาวก็ไม่ได้อีกนะ!"
เสียงหัวเราะแห้ง ๆ ดังมาจากทางซ้ายมือ เมลิซ่า, น้องสาวฝาแฝดของเธอ มีรอยยิ้มที่ดูเอ็นดูกันไม่น้อย
"ดาวไม่ใช่อาชีพนี่นา"
"แล้วแบบไหนจะเป็นอาชีพล่ะ"
เมลิซ่าทำสีหน้าครุ่นคิดนิดหน่อย "อย่างคุณหมอล่ะมั้ง?" ก่อนจะยิ้มแห้งทันทีเมื่อได้ยินฮอลลี่ร้องดีดดิ้นหนักยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
"ก็ฉันอยากเป็นดาวนี่นา ไม่ได้อยากเป็นหมอสักหน่อย!"
เด็กน้อยงอแง ฟัดหน้าลงกับหมอน ทุบฟูกปุ่บ ๆ ด้วยความเจ็บใจ ทำไมบนโลกนี้ถึงไม่มีอาชีพดาวกันนะ ในขณะที่แฝดคนพี่กำลังงอแงกับตัวเอง แฝดน้องก็เอื้อมมือไปหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดทีวีภายในห้องนอนของพ่อกับแม่ วันนี้คุณพ่อกลับดึก ถ้าจะเปิดการ์ตูนให้ฮอลลี่ดูแก้เบื่อสักหน่อย ก็คงไม่เป็นไรล่ะมั้ง
แต่เหมือนเธอจะจำช่องผิดไปสักหน่อย แทนที่จะเปิดขึ้นมาเป็นช่องการ์ตูนเด็ก มันกลับเป็นภาพของงานรับรางวัลชื่อดังงานหนึ่งไปซะได้
"อะไรน่ะ" ฮอลลี่ที่ได้ยินเสียงแปลกหูรีบหมุนตัวกลิ้งกลับมาจ้องทีวีจอแคบทันที ดวงตาเป็นประกายระยับตอนที่เห็นหญิงสาวคนหนึ่ง ยืนฉีกยิ้มมั่นอกมั่นใจบนพรมแดงสีเข้มด้วยรองเท้าส้นสูงสีดำ และสวมชุดเดรสหรูหราประดับไว้บนร่างของเธอ "..สวยจัง"
รู้สึกเหมือนกับถูกสะกดเอาไว้ เป็นเเสงประกายที่ระยิบระยับเหมือนกับดาวดวงนั้นไม่มีผิด
คราวนี้เป็นดาวที่จับต้องได้..เป็นดาวดวงนั้นที่มีอยู่จริง ๆ บนจุดที่งดงามที่สุดนั่น
แล้ววันต่อมา ฮอลลี่ก็เอาเรื่องนั้นไปถามแม่ของเธอ ก่อนจะได้รู้ว่านั่นเป็นงานรับรางวัลนักแสดงยอดนิยมประจำปี และผู้หญิงคนนั้นก็คือนักแสดงหญิงที่ขึ้นชื่อเรื่องความโด่งดัง ที่แสนเก่งกาจและมีค่าตัวการแสดงที่มากถึงขนาดเด็กน้อยแบบเธอได้ยินแล้วถึงกับล้มตึง
แต่อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นวันแรกที่ฮอลลี่เริ่มมองเห็นรูปร่างเส้นทางในการเป็น 'ดาว' ของเธอ
เด็กน้อยหยิบกระดาษสีขาวออกมา เขียนลงไปในหน้ากระดาษว่า 'นักแสดงอันดับหนึ่ง'
ฮอลลี่น่ะ เป็นเด็กที่มีความมุ่งมั่นมาก ๆ
ต่อให้ชีวิตครอบครัวของเธอที่มีฐานะปานกลางพอกินพอใช้แบบนี้ จะดูไม่เหมาะแก่การช่วยผลักดันให้เธอได้เป็นเหมือนกับความฝันที่เคยคิดไว้ขนาดไหน หรือต่อให้ตอนที่พ่อแสนใจร้ายคนนั้นจะออกปากสั่งอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่ให้เธอโตไปทำงานด้านนั้นแน่ ๆ เธอก็ยังดื้อดึงอยู่ดี
แรก ๆ เขาก็ไม่ได้สนใจเธอนักหรอก ดุด่าว่ากัน ตะคอกใส่เสียหน่อยว่ามันไร้สาระ จากนั้นก็กระแทกเท้าปึงปังหายออกไปจากบ้านอีกคืน ทิ้งครอบครัวให้อยู่กันแค่สามคนเหมือนอย่างเคย แล้วพอเช้ามา ก็แทบจะลืมทุกอย่างไปหมดเเล้วเพราะฤทธิ์เหล้าที่ฝากกลิ่นฉุน ๆ ไว้บนเครื่องแบบพวกนั้น
เพราะพ่อของเธอคิดว่าฮอลลี่เป็นเพียงแค่เด็ก ถ้าพ่อแม่ไม่สนับสนุน แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปไล่ตามความฝัน แถมเธอก็ยังอายุแค่เก้าขวบเองด้วย
ใครจะรู้ล่ะว่าจริง ๆ แล้วฮอลี่แอบทำสัญญาใจกับแม่ของเธอไว้เรียบร้อย
"ถ้าแม่อนุญาตให้หนูเรียนการแสดง หนูก็จะต้องตั้งใจเรียนในห้องด้วยนะ"
หญิงสาวหน้าตาสะสวยผู้เป็นแม่ยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้าเธอ ริมฝีปากสีแดงกำมะหยี่คลี่ยิ้มซุกซน และกระซิบกระซาบกับลูกสาวตัวน้อยกันอยู่สองคน ในขณะที่อีกคนนั้นนั่งยิ้มแห้งมองอยู่ห่าง ๆ ทำสายตาประมาณว่า 'รอบนี้เธอไม่เกี่ยวนะ'
"อื้อ!" ฮอลลี่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ยกนิ้วเกี่ยวกับมารดาเขย่า ๆ เบา กระโดดเสียหนึ่งครั้ง รวมถึงน้องสาวที่มาให้กำลังใจกันด้วยคนนั้น "จะตั้งใจเรียนนะ!" แน่นอนว่าคราวนี้เธอหมายถึงโรงเรียนสอนการแสดงต่างหาก
ไม่นานนักเด็กน้อยก็วิ่งหายลับเข้าไปในคลาสเรียน โดยมีสายตาของหญิงสาวมองตามไปเรื่อย ก่อนเธอจะจับมือลูกสาวคนเล็กเอาไว้ แล้วพาไปหาอะไรอร่อย ๆ กินรอเวลาเลิกเรียนของเจ้าแฝดคนพี่ซะแทน
"แม่คะ" ในระหว่างนั้น เมลิซ่าก็เอ่ยเรียกเธอ "ทำแบบนี้ถ้าคุณพ่อรู้จะไม่โกรธเหรอ?"
"ก็อย่าให้เขารู้สิ" และเธอก็ตอบออกไปทั้งยังหัวเราะออกมาเบา ๆ "แต่ถึงเขาโกรธแม่ก็ไม่สนหรอก"
ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าฮอลลี่ได้นิสัยแก่นแก้วพวกนั้นมาจากใครน่ะ..
กระดาษใบที่สาม เธอได้มันมาตอนอายุสิบสอง
"อยากเป็นนักแสดงค่ะ!" และนั่นคือคำตอบของเธอที่เขียนลงไป รวมถึงเอ่ยบอกหน้าชั้นเรียนเมื่อต้องแนะนำตัวให้กับเพื่อน ๆ ฟัง
จากวันนั้น ในแต่ละวันของแต่ละปี ฮอลลี่ก็มักทุ่มเวลาให้กับการเรียนการแสดงของเธอ เด็กหญิงที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ใฝ่ฝันเพียงจะทำตามฝันให้สมปรารถนา เธอพยายามฝึกซ้อมอยู่เสมอ เวลาที่มีงานอะไรก็มักจะคอยยกมือเสนอตัวทำ ไม่ว่าจะเป็นทั้งงานการแสดง หรืองานอาสาที่ต้องการผู้นำก็ตาม
ฮอลลี่คิดว่าการจะเป็นดาวสำหรับเธอ ไม่ใช่แค่การไขว่คว้าอาชีพนั้นมาได้ และไม่ใช่แค่การเป็นที่หนึ่งด้วย
เธออยากจะดาวจากด้านใน เป็นคนที่เก่งกาจและสามารถฉายแสงได้เหมือนกับหญิงสาวที่เธอเคยเห็นในทีวีคนนั้น
เพราะแบบนั้นเธอถึงพยายามยิ่งใคร ดึกดื่นแล้วก็ยังอ่านหนังสือ เย็นย่ำแล้วก็ยังฝึกซ้อม สนุกสนานและเหนื่อยล้าไปพร้อม ๆ กัน ยิ้มแย้มออกมาได้แม้ว่าตอนท้ายจะสลบเหมือดทันที่หัวถึงหมอน — นั่นเพราะนี่คือสิ่งที่เธอชอบมาก ๆ ยังไงล่ะ
คนเราน่ะ ถ้าได้ทำเรื่องที่ชอบแล้ว ถึงจะเหนื่อยแทบตาย มันก็ยังรู้สึกสนุกอยู่ดีนะ
แต่แน่นอน..ว่าชีวิตมันก็ต้องมีอุปสรรคกันบ้าง
และอุปสรรคชิ้นแรกของฮอลลี่, ก็คือชีวิตของเธอเองนั่นแหละ
ในตอนที่เราอายุสิบสาม พ่อกับแม่ก็หย่ากัน
มันเป็นปัญหาที่สะสมมาตั้งแต่ทั้งเธอและเมลิซ่ายังเด็ก พ่อของเราไม่ใช่ทั้งสามีและพ่อที่ดีเอาเสียเลยถ้าให้พูดแล้ว เขาแทบจะไม่กลับบ้าน อ้างอยู่ว่าออกไปทำงาน แต่ทุกครั้งที่กลับมาก็ดึกดื่นล่วงเข้าวันใหม่ มีกลิ่นเหม็นของสุราและบุหรี่ติดกายอยู่เสมอ
ถึงอย่างนั้นบาร์บาร่า, แม่ของพวกเธอ — ท่านก็ยังหมางเมินมันไปเสมอ คิดเพียงแค่ว่าอดทนไว้ก่อน เพราะเธอไม่อยากให้ลูกนั้นขาดพ่อ
จนกระทั่งปัญหาของสองสามีภรรยาดำเนินไปจนถึงจุดที่ตึงเครียดที่สุด พวกเขาก็ไม่สามารถไปต่อได้อีก..ต่างตกอยู่ในสภาวะที่ไม่อาจก้าวต่อไปแล้ว และไม่สามารถถอยกันไปคนละก้าวเพื่อประนีประนอมระหว่างกัน เขาติดเหล้า ที่บอกว่าไปทำงานนั้นก็โกหกทั้งเพ แล้วก็หนักขึ้นถึงขนาดใช้สารเสพติด สภาพของบิดาที่ดูไม่ได้เลยสักนิด นั่นคือสิ่งที่บาร์บาร่าไม่ต้องการให้ลูก ๆ ทั้งสองเห็นมากที่สุด
สุดท้ายบาร์บาร่าก็ฟ้องหย่าสามี และพาลูกสาวทั้งสองย้ายเข้าไปใช้ชีวิตในตัวเมือง เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่กันอีกครั้ง
ในตอนแรกฮอลลี่ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรสักเท่าไหร่ที่พ่อแม่หย่ากัน..อันที่จริง เธอเองก็รู้มาสักพักแล้วว่าพวกเขาคงไปกันไม่รอด ต่อให้จะยังเด็ก ฮอลลี่ก็มีวิสัยทัศน์ที่ดีกว่าเด็กวัยเดียวกัน เธอรู้ รู้มาตลอดนั่นแหละว่าเดี๋ยวสักวันมันก็คงจบลงแบบนี้
และถ้าเเม่จะมีความสุขขึ้นถ้าได้เลิกกับผู้ชายคนนั้น เธอก็จะดีใจมาก ๆ
แต่เพราะการเลี้ยงสามชีวิตภายในตัวเมืองนั้นไม่ง่ายเลย ค่าครองชีพที่สูงกว่าเดิม การศึกษาเล่าเรียนและการเป็นอยู่ ทุกอย่างเป็นเรื่องยากทั้งหมดเมื่อเรามีรายรับที่น้อยกว่าแต่เดิมถึงครึ่ง แต่รายจ่ายกลับเพิ่มขึ้นเสียอย่างนั้น
แน่นอนว่าการเรียนการแสดงของฮอลลี่ก็เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง สุดท้ายแล้วเด็กหญิงก็ต้องตัดสินใจ เดินไปบอกกับแม่ของเธอว่า "เธอจะไม่เรียนการแสดงต่อแล้ว" ในที่สุด และตัดสินใจทำอย่างนั้นจริง ๆ แม้ว่าบาร์บาร่าจะบอกว่าเธอสามารถส่งเธอเรียนในสิ่งทีชอบได้ก็ตาม
ความฝันกับความเป็นจริง บางครั้งเราก็ต้องแยกออกจากกันบ้างเป็นธรรมดา
แต่มันก็ใช่ว่าฮอลลี่จะล้มเลิกมันไปเลยซะทีเดียวหรอกนะ
อย่างน้อยที่สุด โรงเรียนใหม่ของเธอก็ยังมีชมรมการแสดงอยู่
แม้ว่าจะเป็นชมรมที่บรรยากาศดูไม่ค่อยสนุกสนานเท่ากับที่เก่า หรือตอนที่เธอเข้าไป ฮอลลี่จะได้มีสิทธิ์แค่เล่นบทตัวประกอบฉากสองฉาก กับคอยเก็บกวาดทำความสะอาดหลังทุกคนซ้อมเสร็จ เธอก็ไม่ได้หืออืออะไรสักเท่าไหร่ ก็ยังคงถือคติพยายามให้ตายกันไปข้างเหมือนเดิมนั่นแหละ
จนกระทั่งผ่านไปอีกหนึ่งปี พออายุสิบสี่ เธอที่เรียนอยู่เกรดเก้าก็มีสิทธิ์ได้แสดงฝีมือบ้างจนได้
"ครูว่าเธอมีฝีมือนะ คาร์เมน" อาจารย์ที่คอยรับผิดชอบดูแลชมรมบอกกับเธอแบบนั้น เขายื่นสคริปต์บทตัวหลักงานละครครั้งใหญ่ของโรงเรียนในปีนี้ให้กับเธอ ที่อยู่ ๆ ก็ถูกดึงตัวมาในระหว่างที่กำลังนั่งเย็บซ่อมชุดอย่างเมามัน
"แต่ไม่ใช่ว่าคริสตินจะได้เป็นนางเอกเหรอคะ" เธอถาม กล่าวถึงเพื่อนสาวอีกคนที่เห็นกี่ครั้ง ๆ ก็ได้รับบทนางเอกตลอด
"ถ้าอย่างนั้นแปลว่าเธอไม่อยากแสดงสินะ?"
แน่นอนว่าตัวเธอในตอนนั้นรีบปฏิเสธ แล้วตัดสินใจตกลงรับบทการแสดงมาในทันที และเมลิซ่ากับแม่ของเธอ ก็ยินดีให้กับเด็กสาวถึงขนาดจัดงานเลี้ยงให้ในคืนวันนั้นเลยทีเดียว
ฮอลลี่ได้กระดาษแผ่นนั้นมาอีกครั้งหลังจากได้รับบทตัวหลักในงานละครไม่นานนัก
"อาจารย์เขาก็ขยันถามเเต่เรื่องนี้เนอะ" เด็กสาวว่าขณะเอนศีรษะพิงไหล่ฝาแฝดตน ดวงตากลอกอ่านข้อความเงียบ ๆ "ไม่สร้างสรรค์สักนิด"
"อาจจะถามเพราะจะได้ช่วยแนะนำลูกศิษย์ก็ได้นี่นา"
ฮอลลี่ยกศีรษะขึ้น หันกลับไปเตรียมจะบ่นใส่เมลิซ่ากับเรื่องที่เธอพูดออกมาว่ามันช่างตรงข้ามกับความเป็นจริงซะเหลือเกิน แต่แล้วก็ต้องชะงักไปซะก่อนเมื่อเด็กสาวนั้นยื่นบางสิ่งมาให้เธอเสียก่อน มันเป็นกระดาษโปสเตอร์ขนาดกลาง ฮอลลี่รับมันมาถือไว้ ก่อนจะเบิกตาโพล่งทันทีเมื่ออ่านจบ
"แคสติ้งเนี่ยนะ!?" เด็กสาวขึ้นเสียงสูง ตกใจเสียจนตาค้าง
"พี่น่ะเก่งจะตายไป อย่าคิดมากเลย" แล้วก็ได้รับเสียงหัวเราะเบา ๆ กลับมาจากน้องสาวจอมเก็บตัวของเธอ "ลองไปดูเถอะ หนูถามแม่มาให้เเล้ว"
ตอนนั้นเองที่เพิ่งจะรู้ว่าเมลิซ่าเองบังคับคนทางอ้อมได้เก่งไม่น้อยเลย..
สุดท้ายแล้วก็ไปแคสติ้งบทละครหนังเรื่องนั้นตามที่เมลิซ่าพยายามไซโคมาจนได้..แต่ว่าก็ว่าเถอะ ฮอลลี่คาดหวังอะไรหลายอย่างเอาไว้เยอะเลยนะ เธอจินตนาการภาพในหัวไว้เป็นสิบ ยกเว้นก็แต่ว่า..
"คริสติน"
ริมฝีปากขยับอัตโนมัติเอ่ยเรียกชื่อของคนที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเธอในตอนนี้ ดวงตาสองคู่สบกันต่างฉายประกายเเววแปลกใจ ทั้งตัวฮอลลี่เอง รวมไปถึงคริสติน เพื่อนสาวร่วมคลาสการแสดงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนี่ด้วย เด็กสาวเรือนผมสีดำขลับนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนส่งยิ้มให้เธอ
"เธอก็มาเหรอ?"
"อืม" ฮอลลี่ตอบกลับไปสั้น ๆ กะว่าจะทำทีลุกออกไปกดน้ำกิน เพราะเพื่อนคนนี้ก็ดูไม่ได้จะชอบขี้หน้าเธอสักเท่าไหร่
"พยายามจังนะ" ได้ยินเสียงนั้นเอ่ยไล่หลังตามมา "แต่ว่ายังไงก็ไม่ได้หรอก"
ปลายเท้าของเด็กสาวหยุดชะงัก ฮอลลี่หันกลับไป ส่งเสียงร้อง ห๊ะ? ไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อออกมา รวมถึงรอยยิ้มเย้ยหยันนั่นด้วย
"ไม่รู้เหรอว่าธุรกิจด้านนี้มันไม่ได้ใช้กันแค่ความสามารถ" ดวงตาสีน้ำตาลเฮเซลปรายมองเธอ รอยยิ้มที่ยกเหยียด อวดชูคอในขณะเดียวกันก็แฝงแววหงุดหงิดเอาไว้ในคำพูดนั้นด้วยว่า "ถึงที่ชมรมงี่เง่านั่นเธอจะชนะ แต่ที่นี่น่ะ ไม่มีวันแน่ ๆ"
ความหงุดหงิดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮอลลี่ "เดี๋ยวก็รู้" เธอบอก แต่คริสตินก็ไม่ได้ดูสะทกสะท้านเลย
"ใช่ เดี๋ยวก็รู้" ตอบกลับมาด้วยทีท่าที่น่าโมโหนั่น "จะว่าไป เธอไปหักอกโจเซฟมาสินะ?"
"..แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย"
"เปล่า"
มีเสียงหัวเราะดังขึ้นเบา ๆ จากคนตรงหน้า
"ก็แค่..คิดว่าคงมีอะไรสนุก ๆ ให้ดูอีกเยอะ"
เป็นเสียงหัวเราะที่น่าหงุดหงิดสิ้นดี
สองอาทิตย์แล้ว แต่ทางต้นสังกัดก็ยังไม่ได้ประกาศอะไรออกมา
ฮอลลี่ก้มมองโทรศัพท์เป็นรอบที่ร้อย สีหน้าดูเหนื่อยล้าระคนท้อใจไม่น้อย ยิ่งดูหน้าจอ ก็ยิ่งถอนหายใจหนักขึ้น ไม่ค่อยมีสมาธิกับการซ้อมเท่าไหร่เลยด้วยเพราะเอาแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องต่าง ๆ มากมายในหัว ช่วงนี้เธอเหม่อบ่อยแล้วก็ซ้อมพลาดจนโดนอาจารย์ดุบ่อย ๆ ด้วย
ถ้าไม่ใช่เพราะคริสตินมาพูดอะไรแปลก ๆ ใส่เธอตอนนั้นล่ะก็..แถมเจ้าตัวก็หายหน้าหายตาไปเลยอีกต่างหาก..
"นี่ ได้ยินว่ามีโจเซฟมันก่อเรื่องอีกเเล้วล่ะ"
ฝ่ามือที่กำลังพลิกเปิดอ่านบทละครหยุดชะงักไป ชื่อที่คุ้นหูลอยเข้ามากระทบใบหูได้อย่างง่ายดาย ฮอลลี่ขโมยคิ้ว เงี่ยหูฟังอัตโนมัติ และเธอก็ยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีก เมื่อพบว่าโจเซฟหรือก็คือเพื่อนชั้นเรียนที่เคยมาสารภาพรักกับเธอเมื่อเกือบเดือนก่อน เขาไปทำตัวล่วงละเมิดใส่นักเรียนหญิงอีกคนเข้า
'เธอไปหักอกโจเซฟมาสินะ?'
อยู่ดี ๆ เสียงของคริสตินก็ลอยกลับเข้ามาหัว ฮอลลี่กะพริบตาเบา ๆ สมองเริ่มนึกอะไรที่มันแย่ขึ้นมาเสียดื้อ ๆ แต่เธอก็ไม่อยากจะคิดถึงมันเลย..
"เเล้วเด็กคนนั้นที่โดนทำร้ายเป็นใครล่ะ"
"ไม่รู้สิ แต่เหมือนว่าจะห้องหกปีเดียวกับเรา..อืม ที่ชื่อเมลิซ่าอะไรสักอย่าง?"
โครม!!
เสียงร้องโวยวายดังลั่น เก้าอี้ที่ฮอลลี่เคยนั่งอยู่ล้มคว่ำกระแทกพื้นเสียงดังลั่น เมื่อเด็กสาวดีดตัวลุกวิ่งออกไปทันทีด้วยสีหน้าแตกตื่น ในขณะที่ทุกคนงุนงง พวกเขาก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ ว่าชื่อ 'เมลิซ่า' นั้น ในชั้นปีของเราก็มีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้นแหละ
เมลิซ่า คาร์เมน..น้องสาวฝาแฝดของฮอลลี่เอง
หัวใจของฮอลลี่เต้นแรงจนเหมือนมันจะกระดอนออกมาจากอก
เธอวิ่งตรงไปที่ห้องปกครอง ไม่สนว่าจะชนใครไปบ้าง หรือว่าอาจารย์ที่ยืนคุมสถานการณ์อยู่ด้านหน้าห้องจะร้องห้ามสักแค่ไหน เด็กสาวแทรกตัวเข้าไป และทันทีที่เธอได้เห็นเมลิซ่า น้องสาวของเธอที่อยู่ในสภาพเสื้อหลุดรุ่ยและเนื้อตัวพกช้ำ มันก็ดูเหมือนจะทำให้เธอหมดความอดทนเอาดื้อ ๆ
ไม่สิ..ความจริงเธอก็ไม่เคยคิดอดทนอยู่แต่แรกแล้วนี่นะ..
ผลั๊วะ!!
แค่ได้ต่อยมันสักหมัด..แค่นั้นก็มากพอแล้ว
ฮอลลี่น่ะ เป็นคนอารมณ์ร้อนมาก ๆ เลยนะ
"คาร์เมน! เธออยากจะถูกไล่ออกนักรึไงห๊ะ!?"
หากตอนนั้นอาจารย์ไม่ได้ร้องตะโกนออกมาแบบนั้น หากว่าเมลิซ่าไม่เข้ามากอดแขนเธอเอาไว้..เธอก็คงพยายามจะต่อยโจเซฟต่อไป แม้ว่าเขาเองก็ต่อยเธอกลับมาจนโหนกแก้มแตกก็ตามทีเถอะ..
ทั้งคู่ถูกจับแยกออกจากกันในตอนแรกหลัง ด้วยสภาพที่เหมือนกับว่าถ้าหลุดไปได้ ก็คงจะฆ่ากันตายแน่ ๆ
โจเซฟเป็นเพื่อนร่วมคลาสที่มีนิสัยเจ้าชู้ เขาหน้าตาดีและร่ำรวย เลยชื่นชอบที่จะมีสาว ๆ มาตามหวีดตามกรี๊ด
หากแต่ตอนนั้นที่มาสารภาพรัก — หรือให้พูดตรง ๆ ก็ออกไปในเชิงคุกคามบังคัญให้ฮอลลี่ไปออกเดทด้วย เขากลับถูกเธอปฏิเสธ ก็เลยโกรธและรู้สึกขายหน้า เอาเธอไปพูดด่าในเชิงเสีย ๆ หาย ๆ ก่อนจะได้บังเอิญไปรู้ว่าในโรงเรียนนี้ ฮอลลี่มีน้องสาวฝาแฝดคนละฝาอยู่หนึ่งคน
และจากนั้นมันก็พูดขึ้นมาว่า 'ถ้าไม่ได้คนพี่ ก็เอาคนน้องแทนก็ได้มั้ง?'
ด้วยปากเน่าเหม็นที่อยากจะต่อยมันให้ฟันหักสักทีนั่นแหละ
ความคิดเห็น