ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ↕ DIAMOND HEART ↕

    ลำดับตอนที่ #13 : [11] we all are cursed - Oscar Lowell Colt

    • อัปเดตล่าสุด 26 ต.ค. 62



    [ we all are cursed ]


             ออสก้า โลเวล โคลด์ ถือกำเนิดขึ้นพร้อมคำอวยพรจากพระผู้เป็นเจ้า

             เด็กชายผู้มีใบหน้างดงามแม้ว่าจะยังเยาว์วัย ความสามารถเฉพาะทางของเขาที่โดดเด่นและถูกกล่าวขานได้ว่าเป็นอัจฉริยะ เงินทองมหาศาล อำนาจของตระกูลที่ท้วมล้น ออสก้าถูกจดจำไว้ด้วยตัวตนเช่นนั้น เป็น1ใน1,000,000คนที่ผู้คนจะต้องอิจฉา ครบถ้วนไปด้วยสิ่งที่ใครสักคนจะปรารถนาให้ตนเองมีได้ อนาคตของเขาแทบเรียกได้ว่าโรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ ปูทางไว้อย่างงดงามให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ตั้งแต่ต้น

             หากทว่าก็ยังมีบางสิ่งที่เหมือนกับว่าจะไม่ถูกต้อง..เป็นบางสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกับจุดสีดำขนาดเล็ก มันหยดผ่านปลายนิ้วของพระบิดาเจ้า แล้วร่วงหล่นสู่ผ้าผืนสีขาวอันรุ่งโรจน์

             แรกเริ่มมันกระทบกับผืนผ้านั้น กลายเป็นตำหนิเล็กจ้อยยากจะสังเกตหรือจดจำ

             หากแต่ไม่นาน — มันก็ค่อย ๆ ซึมลงและแปดเปื้อน แผ่ขยายออกเป็นวงกลมสีดำที่ดูราวกับว่าเป็นหลุมดำขนาดใหญ่

             กลืนกินทุกอย่าง..จนแทบสิ้นแสงสีขาวที่เคยงดงาม


             ตระกูลโคลด์มีผู้สืบทอดอยู่ทั้งสิ้นสามคน หนึ่งคือเขา สองคือโรเซตต้า น้องสาวร่วมครรภ์มารดา และสาม..นั่นคือพี่ชายต่างมารดาที่อายุมากกว่ากันแค่หกเดือน เจ้าของจุดสีดำปนเปื้อนบนผืนผ้าสีขาวของเขา

             ตั้งแต่จำความได้ ออสก้ามักจะได้ยินเรื่องของคน ๆ นั้นผ่านหูอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะจากแม่ของเขา คุณพ่อ หรือกระทั่งพวกคนใช้

             มากมายหลายเรื่องราว..แต่ส่วนมากล้วนแต่เป็นไปในทางลบ

             เด็กที่มีอายุแค่เพียงไม่กี่ขวบปี หากรับฟังกล่าวว่าสาดเสียย่อมซึมซับเข้ามาในตัวได้โดยง่าย พวกเขาเองก็ด้วย แต่ทว่าแรกเริ่มนั้น เรื่องราวของลูกเมียน้อยที่เข้ามาทำลายวันคืนอันสงบสุขของเรา มันไม่ได้อยู่ในความสนใจของออสก้าสักเท่าไหร่

             จนกระทั่งวันนั้นมาถึง, วันที่เขาได้พบกับเด็กชายคนนั้น


             เรื่องทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นเมื่อหญิงสาวผู้ที่ได้รับการยกย่องเป็นภรรยาคนที่สอง ถูกพาย้ายออกมาจากบ้านหลังเล็กที่ปลูกแยกไว้ในเมือง และได้เข้ามาอยู่ร่วมอาศัยกับเราพร้อมกับลูกชายตัวน้อยของเธอ แม่ของเขาที่ได้ทราบข่าว รู้สึกเดือดดาลเสียจนไม่อาจทนไหว และความอดทนก็หมดลง ในตอนที่พ่อออกไปกับหญิงสาวคนนั้น, เอลลีน

             แต่เรื่องที่ผิดพลาด นั่นคือการที่พวกเขาไม่ได้พา 'วัลดัส' ลูกชายของเอลลีนออกไปข้างนอกด้วยกัน

             ออสก้าได้เห็นภาพพวกนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ เริ่มจากการที่จู่ ๆ เราก็บังเอิญเดินมาเจอกันภายในบ้านหลังใหญ่ หรือต่อจากนั้นที่แม่ของเขาสาดน้ำชาร้อน ๆ ใส่อีกฝ่าย และจนถึงตอนที่วัลดัสถูกด่าทออย่างหนักด้วยก็ตาม

             หากทว่าตัวเขานั้นกลับยืนนิ่งเฉย รู้สึกว่าไม่มีความสงสารอยู่ในนั้น เพียงเพราะยังจำเรื่องเล่าจากปากมารดาได้อย่างดี จากนั้นไม่นานทุกคนก็แยกย้าย เมื่อมารดาได้ระบายความโกรธเเค้นในใจก็เดินหนีหายไป ส่วนเด็กน้อยทั้งสอง เมื่อมารดาผละตัวออกไปแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อ

             โรเซตต้าวิ่งนำออกไปก่อน ออสก้าจึงก้าวเท้าตาม แต่เพราะอะไรไม่รู้ เขาถึงเลือกที่จะเหลือบสายตากลับไปมองคนที่นั่งกองอยู่กับพื้น และการกระทำในครั้งนั้น..ก็นับว่าเป็นการกระทำที่ผิดพลาดครั้งหนึ่ง

             ดวงตาสีส้มคู่สวยจ้องมองมาทางเขา..มันเหมือนกับตะวันดวงโตที่กำลังลาลับฟ้า ทั้งงดงาม..และพร้อมเเผดเผาทุกสิ่ง

             เพลิงพิโรธที่ไม่อาจปิดบัง มันเริงระบำอยู่ในดวงตาคู่นั้นของวัลดัส

             และสำหรับออสก้า, สิ่งนั้นมันน่ากลัวเสียยิ่งกว่าภูติผีหรือปีศาจเสียอีก


             ความรู้สึกหวาดกลัวเป็นสิ่งที่ลบไปจากใจยากพอ ๆ กับความโกรธแค้น

             ตัวเขาเองก็ถือว่าเป็นข้อพิสูจน์หลักคำพูดนั้นได้เป็นอย่างดี


             "อย่าเข้าไปเล่นด้วย อย่าพูดจาดี ๆ ด้วย อย่าสัมผัส อย่าให้ของรางวัลกับมัน"

             นั่นคือคำที่แม่กำชับและสั่งสอนเราเอาไว้, ดวงตาที่ฉาบประกายความเกลียดชัง เสียงที่เสียดลึกเข้ามาในหู ออสก้าได้ยินมันทุกวันจนรู้สึกเบื่อหน่าย และเพราะเขาไม่ได้หัวอ่อนเหมือนกับโรเซตต้า คำสั่งที่ถูกเอ่ยออกมาจึงไม่ได้กลายเป็นชิปฝังหัวคอยควบคุมตัวเขา

             แต่มันเป็น 'ความกลัว' ต่างหาก ที่ควบคุมเขาเอาไว้

             ทุกครั้งที่มองไปยังพี่ชายต่างแม่คนนั้น ภาพที่เห็นคือรอยยิ้มเย็นสบายที่แย้มประดับใบหน้า วัลดัสเป็นคนที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับสายน้ำเย็นช่ำ..หรืออย่างน้อย นั่นก็คือสิ่งที่ปรากฏขึ้นในพื้นที่ที่แสงสว่างจับต้องถึง

             ในขณะเดียวกัน..ใต้เงาทะมึนที่ดวงตะวันลาลับ ออสก้าเห็นความน่าหวาดหวั่นบางอย่างหลบซ่อนเอาไว้ด้านใต้นั่น

             ไม่ว่าจะกี่ครั้ง หรือกี่ครั้ง ดวงตาของเขามักบังเอิญเหลือบไปเห็นภาพเหล่านั้นเสมอ เป็นภาพของดวงตาที่ฉายประกายบางอย่างออกมาเพียงชั่ววูบ แต่มันกลับฝังลึกลงไปในหัวของเขา กระตุ้นความรู้สึกสั่นผวาในอกให้ตื่นตัวขึ้นมาอยู่เสมอ

             ออสก้าไม่ปฏิเสธว่าเขาหวาดกลัวพี่ชายต่างมารดาคนนั้นยิ่งกว่าอะไรดี

             แต่ในสถานการณ์แบบนี้ — เขาไม่สามารถแสดงความหวาดกลัวนั้นออกไปได้..ทำไม่ได้แม้แต่จะหมางเมินเพื่อยุติมันลงในชั่วขณะด้วยซ้ำ


             พวกเราสองคนเหมือนถูกออกแบบมาเพื่อให้เป็นคู่ตรงกันข้ามของกันและกัน

             ในขณะที่ออสก้ามีนิสัยที่ร้อนระอุเหมือนกับไฟตามอย่างที่ผู้เป็นมารดาและน้องสาวเป็น วัลดัสกลับมีบุคลิกนิ่งสงบและให้ความรู้สึกเย็นสบาย

             และในขณะที่หัวใจของออสก้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หัวใจของวัลดัส..มันกลับเต็มไปด้วยความกระหายที่พร้อมจะออกอาละวาด หากเพียงรอเฝ้าเวลาที่บางสิ่งบางอย่างจะพังทลาย..บางสิ่งที่, สำคัญสำหรับวัลดัส และมากพอจะรักษาตัวตนของเขาเอาไว้ได้

             แน่นอนว่าเขาไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร ออสก้านั้นเรียนรู้เพียงแค่อย่างเดียว ว่าเขากับวัลดัสไม่สามารถญาติดีกันได้ ทั้งคำเสี้ยมสอนที่ทำให้รู้สึกไม่ชอบใจมาตั้งแต่เด็ก และตัวเขาเองที่รู้ดีว่าไปกับนิสัยเหล่านั้นของวัลดัสไม่รอด บวกกับบุคลิกส่วนตัวของเขาเอง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ท่าทางการแสดงออกของเขาต่อพี่ชายต่างมารดานั้นเต็มไปด้วยความหยาบกระด้าง และปราศจากซึ่งความเคารพ

             มีหลายครั้งที่ออสก้าทำร้ายอีกฝ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่เขาก็รู้ดีถึงเส้นที่ไม่ควรข้าม..หากไม่นับเรื่องที่เคยป่าวประกาศเกี่ยวกับการเป็นเมียน้อยของแม่อีกฝ่าย ออสก้าก็แทบจะไม่เคยทำอะไรรุนแรงไปมากกว่านั้นเลย

             ไม่ใช่เพราะเขานิสัยดีอะไรหรอก แต่ออสก้าก็แค่รู้..รู้ดีมาตลอดหลายปีมานี้ ว่าคนแบบวัลดัส มันน่ากลัวเกินกว่าจะเข้าไปทำให้หมดความอดทน แต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมกับเรื่องที่ดูน่าหวาดระแวงแบบนี้ คนอื่นถึงได้ไม่สังเกตเห็นมันเหมือนอย่างเขาเลย


             "ไม่คิดว่ามันเกินไปบ้างเหรอ?"

             เขาร้องทักขึ้นในขณะที่โรเซตต้ากำลังเดินผ่านไป เด็กสาวนั้นหันกลับมามองนิดหน่อย แต่ก็ไม่พูดอะไรแล้วทำเพียงแค่เดินหนี เหมือนว่าจะเบื่อฟังคำบ่นที่กล่าวว่าการกระทำอุกอาจของเธอเต็มทน แถมดูจะโกรธเขาเสียด้วย 

             ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การเอามีดไปตวัดใส่คนอื่นจนตาบอดไปข้างแบบนั้น..มันเกินไปจริง ๆ นี่นา

             ออสก้าถอนหายใจ รู้สึกกังวลใจกับนิสัยของน้องสาวที่ดูจะหนักหนากว่าเขาไปมากโข เด็กหนุ่มตั้งท่าจะเดินตามไปเพื่อคุยให้รู้เรื่อง แต่เเล้วตอนที่เขาเดิยไปเรื่อย ๆ เขากลับต้องสะดุ้งโหยง เมื่อคนที่ควรจะนอนอยู่ในห้องพักผู้ป่วย กลับมายืนอยู่ตรงมุมทางเดินเข้า

             "ใจดีจังนะครับ" วัลดัสกล่าวพร้อมกับยกยิ้มขึ้นมาน้อย ๆ แม้ว่าสีหน้าจะดูเหนื่อยล้ากับบาดแผลที่ดวงตาก็ตาม "อุตส่าห์พูดแทนผมด้วย"

             "พูดเพ้อเจ้ออะไรของแก" เขากล่าวด้วยสรรพนามหยาบคายเหมือนเดิม แสร้งทำหน้าหงุดหงิด แต่ลึก ๆ ในใจกลับรู้สึกกังวลอย่างน่าประหลาด..แล้วหัวใจของเขาเต้นรัวมากขึ้น มากขึ้นและมากขึ้น โดยเฉพาะตอนที่วัลดัสเบนสายตาไปยังทางที่โรเซตต้าเดินหายไป แล้วพูดพึมพำออกมาเบา ๆ

             "คนเราเนี่ย..ถ้าทำผิดก็ควรจะต้องขอโทษแล้วก็รู้สึกผิดกันสักหน่อยสิครับ"

             "....."

             "ตลกดีนะที่ทุกคนดูจะพากันลืมวิธีการขอโทษกันไปหมดเเล้ว"

             ดวงตาสีเงินหลุบต่ำ เห็นฝ่ามือสองข้างของอีกฝ่ายกำแน่นเข้าหากันอยู่บนตัก วัลดัสบีบมือตัวเองจนเส้นเลือดมันปูดขึ้นมา และแม้ว่าหน้าตาของเขาจะยังนิ่งสงบ ออสก้าก็รู้ดีเลยล่ะว่าลึก ๆ แล้วด้านใต้นั่น เด็กหนุ่มคนนี้กำลังโกรธอย่างถึงที่สุดเเล้ว

             หากแต่จะให้เขาทำอะไรได้..

             สิ่งที่เรียนรู้มาตลอด — ก็มีแค่การเดินหนีแล้วหลบซ่อนความหวาดกลัวเอาไว้เท่านั้นเอง


             ยิ่งนานวัน, เขายิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย

             ดวงตาของวัลดัสมักโชนแสงโรจน์น่าหวาดหวั่น แต่ทุกคนก็ยังคงไม่สังเกต ยังคงทำตัวเหมือนเดิม เล่นสนุกกับอีกฝ่าย ในขณะที่ออสก้าเริ่มไม่สามารถหยุดอาการหวาดระแวงของตัวเองได้ เขาตัดสินใจจะถอยหนี เเสร้งเมินถึงการมีอยู่ของวัลดัสไปเพื่อหวังว่าความกลัวจะลดน้อยลงมาบ้าง

             แต่มันก็ไม่เคยเป็นแบบนั้นเลย..เขาไม่เคยหวาดกลัวอีกฝ่ายน้อยลง, มีแต่จะเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ

             ทุกอย่างเลวร้าย และเขาเห็นพายุลูกหนึ่งโหมกระหน่ำอยู่ในดวงตาของวัลดัส

             แล้ววันหนึ่ง โลกทั้งใบก็ได้ถูกตัดสินโทษ มันเป็นวันที่ปีศาจตนหนึ่งลืมตาตื่นขึ้นมาโดยที่ไม่มีแม้แต่ใครจะทันได้ตั้งตัว

             

             ในวันนั้น เอลลีน โคลด์ ได้เสียชีวิตลง..พร้อมกับการเกิดใหม่ของบุตรชายของเธอนามว่า วัลดัส

             เด็กหนุ่มคนนั้น, คือคำสาปที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่แรกแล้ว


             "ช่วยฆ่าผมหน่อยจะได้ไหมครับ?"

             สรุเสียงที่เอ่ยออกมาอย่างเรียบง่าย เอื่อยเฉื่อย และปราศจากการล้อเล่น

             หากดวงตาของเขากลับเบิกกว้าง ออสก้ายืนนิ่งงัน ก่อนที่ทั่วร่างจะเริ่มสั่นระริก เมื่อฝ่ามือหนาคู่นั้นยื่นเข้ามากอบกุมมือซ้ายเขาเอาไว้ ยัดเหยียดมีดเล่มหนึ่งที่ประกายคมของมันสะท้อนเข้ากับแสงอาทิตย์ตรงเส้นขอบฟ้า

             คำแรกที่ผลุดเข้ามาในใจของออสก้า นั่นคือ 'นี่มันเรื่องห่xอะไรกันวะ?' เขารู้สึกพูดไม่ออก ได้แต่ยืนมองมีดคมกริบในมือ สลับกับพี่ชายต่างมารดาซึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ หลังจากเดินเข้ามาบอกว่าเรามีเรื่องจะต้องคุยกันหลังจากจบคาบเรียน แล้วลากเข้ามาที่ลานกว้างปราศจากผู้คนใกล้ ๆ กับบ้านของเราแห่งหนึ่ง

             วัลดัสไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทางที่เดินมา และตัวออสก้าเอง เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะเสียแม่ไป เขาจึงไม่อยากจะไปกวนน้ำให้ขุ่นอะไรนัก บวกกับสายตาคู่นั้น..มันน่าหวาดระแวงเกินไป ออสก้าถึงตัดสินใจที่จะตามมาด้วย

             แต่เขาก็ไม่คาดคิด ว่าวัลดัสจะมีความคิดบ้าบอขนาดนี้อยู่ในหัว

             "..พูดล้อเล่นอะไรของแก" น้ำเสียงของเขาสั่น และมันยากเกินกว่าจะควบคุมได้อีกแล้วในตอนนี้

             กระนั้นวัลดัสกลับไม่คิดสนใจเลย เขาสืบเท้าเดินเข้ามาใกล้หนึ่งก้าว ในขณะที่ออสก้าก็ถอยออกไปหนึ่งก้าวเช่นกัน มือของเด็กหนุ่มยังคงถูกกุมเอาไว้ และเขารู้สึกถึงแรงที่บีบลงมาใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด

             มันมากเกินไป..มากเกินกว่าที่จะมาจากร่างกายที่มีดีแค่แขนขายาวของอีกฝ่ายแบบนี้

             "ผมไม่ได้พูดล้อเล่น" วัลดัสเอ่ยออกมา ดวงตาจ้องสบกับเขานิ่ง "แล้วก็เพราะว่าเป็นเธอ..ผมเลยให้โอกาส"

             "หุบปากน่า! โอกาสบ้าบออะไรของแก ให้ฉันฆ่าแกเนี่ยนะ!?"

             เด็กหนุ่มสะบัดมืออีกฝ่ายทิ้งแล้วผลักอกจนร่างสูงกว่าเซถอยหลัง เขาเหวี่ยงมีดในมือลงพื้น ทำอย่างกับต้องของร้อนไม่มีผิด วัลดัสมองการกระทำเหล่านั้นนิ่ง ๆ แต่สายตาแอบฉายแววผิดหวัง

             และมันทำให้ออสก้าถึงกับสะอึก ในตอนที่ริมฝีปากหยักนั้นขยับเอ่ยปากถามเขาว่า

             "ทำไมถึงได้ขี้ขลาดนัก"

             ปลายเท้าสืบสาวเข้ามาใกล้ และดวงตาคู่นั้นตรึงเขาเอาไว้ทำให้ไม่สามารถขยับได้

             "ทั้ง ๆ ที่ผมให้โอกาสเธอ..เพราะว่าเธอไม่ได้เลวร้ายเหมือนกับคนพวกนั้น"

             ฝ่ามือสัมผัสลงบนลำคอในยามที่เผลอไผล แรงบีบเพิ่มมากขึ้นและมากขึ้น ดวงตาของออสก้าเบิกกว้าง เขารีบตะกายนิ้วลงบนมืออีกฝ่าย แต่ก็ไร้ผล, วัลดัสบีบมันเอาไว้แน่น กำจัดออกซิเจนออกไปจากทางเดินหายใจ และในตอนที่สติกำลังเลือนราง..เขาเห็นน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาข้างหนึ่งของวัลดัส

             เพียงแค่ข้างเดียวเท่านั้น, ในขณะที่ดวงตาอีกข้างนั้นโชนแสงกล้า

             "..หลังจากนี้ก็วิ่งให้ไวเข้าล่ะ"

             พลันร่างของเขาถูกเหวี่ยงอย่างแรง แผ่นหลังกระแทกเข้ากับผนัง สติทุกอย่างดับวูบ หลงเหลือไว้เพียงเสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินห่างออกไป และคำพูดสุดท้ายของคน ๆ นั้น

             "ถ้ายังอยากเหลือศพให้เก็บอยู่ล่ะก็"



             ออสก้าตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนที่พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว

             สองขาของเขาหยันร่างตนขึ้น เด็กหนุ่มออกวิ่ง มุ่งกลับไปยังบ้านของตน..ด้วยเหตุผลบางอย่าง ตัวเขาในตอนนั้นเพียงแค่จดจำเสียงเอ่ยสุดท้ายของพี่ชายต่างมารดาได้อย่างแม่นยำ และรู้สึกหวาดกลัวมันเสียเหลือเกิน

             ตลอดเวลาที่สองเท้าวิ่งย่ำผ่านทางเดิม เขาภาวนาให้การคาดเดาของเขามันผิด

             แต่แล้วมันก็ไม่เป็นเช่นนั้น..

             ไม่มีวันเป็นตั้งแต่ที่เขาปล่อยให้ปีศาจตนนั้นมีชีวิตรอดนั่นแหละ


             กลิ่นคาวเลือดตีฟุ้งเข้ามาในจมูก

             ร่างกายเสมือนถูกแช่แข็ง เขาหยุดเท้าลงที่หน้าบ้านตัวเอง ออสก้าสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วสั่นระริกยามเห็นสีชาดแดงที่ป้ายละเลงไปทั่วพื้นพรมและผนังบ้าน ไฟทุกดวงปิดสนิท ไม่มีการส่องนำทาง หากแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเห็นสีแดงเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน

             สั่นไปหมดทั้งตัว กลัวเสียจนแทบอยากจะอาเจียนออกมา หากแต่สองเท้าก็ยังก้าวเข้าไปด้านในนั้น เดินผ่านฉากที่ดูราวกับหลุดออกมาจากละครสยองขวัญ ออสก้าข่มตาแน่น ก่อนจะเร่งฝีเท้ามากขึ้นจนกลายเป็นออกวิ่ง

             "แม่! พ่อ! โรเซตต้า!!"

             ตะโกนร้องหาถึงครอบครัวของตน พยายามตามหาคนเหล่านั้นที่ไม่มีแม้แต่เสียงร้องตอบรับกลับมา

             เขาวิ่งไปทั่วคฤหาสน์หลังใหญ่ รู้สึกเหนื่อยล้าและมึนงง เลือดยังคงไหลออกมาจากศีรษะจากบาดแผลเหวี่ยงกระแทก กลิ่นคาวพวกนั้นผสมปนเปไปกับหยดเลือดมหาศาล ที่ถูกนำมาขีดเขียนเป็นภาษาประหลาดที่เขาไม่เข้าใจทั่วกำแพงและพื้นบ้าน

             แต่มันก็มีอยู่จุดหนึ่งที่กลิ่นของคาวเลือดรุนแรงที่สุด

             สองเท้าหยุดชะงัก ลมหายใจหอบสั่น ก่อนเขาจะหันไปมองห้อง ๆ หนึ่งที่ประตูถูกเเง้มเอาไว้เล็กน้อย..ออสก้าได้กลิ่นสนิมหนักลอยเอื่อยในอากาศ มันลอยมาจากห้องทานอาหารที่อยู่ทางขวามือของเขา เด็กหนุ่มหันเดินเข้าไปภายในห้องนั้น ก่อนจะชะงักครั้นเห็นโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างสวยหรู ทั่วทั้งห้องสะอาดสะอ้าน เชิงเทียนถูกจุดไว้ตกแต่งเพิ่มความสวยงาม และมันประหลาดสิ้นดี

             เด็กหนุ่มเดินเข้าไปใกล้กับโต๊ะอาหาร เขาเห็นช้อนและส้อมถูกจัดเตรียมเอาไว้สำหรับสามที่ พร้อมกับจานอาหารที่ถูกฝาครอบปิดเอาไว้จำนวนสองจาน ตรงหน้าจานอาหารมีการ์ดใบเล็ก ๆ วางทิ้งไว้อยู่จานล่ะใบ ออสก้าหยิบมันขึ้นมา อ่านออกเสียงด้วยความึนงง

             "เพราะริมฝีปากนั้นกล่าวเพียงคำว่าร้าย..จึงไม่ควรได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก" นั่นคือสิ่งเขียนไว้ในการ์ดใบแรก ออสก้าวางมันลง ก่อนจะหยิบการ์ดใบที่สองขึ้นมา "และเพราะดวงตาคู่นี้ช่างหมองมัวและมืดบอด..จึงไม่ควรได้มองเห็นสิ่งใดอีก"

             ดั่งว่าได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงมากขึ้นจนแทบกระดอนออกมาจากอก

             ออสก้าค่อย ๆ หันไปมองถาดอาหารที่ถูกครอบปิดเอาไว้ หยดเหงื่อไหลซึมจนท่วมแผ่นหลังและดวงหน้า สมองของเขาร้องตะโกนบอกว่าอย่าไปแตะต้องมัน หากทว่าฝ่ามือกลับยื่นออกไป เด็กหนุ่มสัมผัสลงบนความเย็นเฉียบของฝาครอบ แล้วจึงยกมันขึ้นในท้ายสุด

             พลันความคลื่นเหียนตีขึ้นมาจนถึงขีดสุด ร่างกายถดถอยและเดินหนี ออสก้าปล่อยให้ฝาครอบในมือร่วงกระแทกพื้น ยกมือขึ้นปิดกลั้นริมฝีปาก แต่สุดท้ายก็ไม่อาจห้ามให้ตนอาเจียนออกมาได้ เพียงแค่ได้เห็นดวงตาสองคู่ที่ถูกควักออกมาวางไว้บนจานและเปื้อนด้วยเลือดนั่น

             ดวงตาสีเงิน ที่เหมือนกับเขาไม่มีผิด

             แน่นอนว่ามันย่อมเป็นดวงตาของพ่อเขา, ผู้ซึ่งไม่เคยมองและแยแสความเจ็บปวดของสองแม่ลูกคู่นั้นเลย


             ออสก้าไม่มีความกล้าพอที่จะเปิดถาดอาหารถาดที่สองออกดู เด็กหนุ่มวิ่งออกมาจากห้องอาหาร มุ่งออกไปด้านนอกคฤหาสน์ ก่อนจะไปถึงห้องอาหาร เขาหามันมาจนทั่วเเล้ว เว้นเเต่ที่ส่วนด้านนอกนั่น แต่ก็ไม่พบตัวโรเซตต้า

             ขณะเดียวกัน ออสก้าก็พยายามตีกรอบความคิดที่กำลังเตลิดเตลิงให้กลับเข้ามาหากัน  แม้ว่ามันจะยากมากก็ตาม แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็พอจะเดาออก ว่าถาดอาหารสองถาดนั่นคงเป็นชิ้นส่วนอย่างใดอย่างหนึ่งของพ่อและแม่ของเขาแน่ ๆ

             ถ้าอย่างนั้นโรเชตต้าไปไหน? เธอยังไม่ตายใช่รึเปล่า? 

             เขาจะต้อง..จะต้องรีบหาเธอให้เจอ

             'วิ่งให้ไวเข้าล่ะ'

             จู่ ๆ เสียงของวัลดัสก็ลอยเข้ามาในหัว ชะงักร่างของเขาให้หยุดนิ่งไป ออสก้าเริ่มที่จะฉุกคิด..ว่าหรือแท้จริงนี่คือฝีมือของวัลดัส?

             "ไม่.."

             มนุษย์เราจะทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง?


             'เว้นเสียก็แต่มันจะไม่ใช่คน'


             แหมะ!

             บางสิ่งบางอย่างหยดลงกระทบใบหูของเขา

             ออสก้ายกมือขึ้นแตะช่วงหู ความเหนียวข้นของบางสิ่งเปรอะเปื้อนอยู่บนบริเวณนั้น และเมื่อเขาฉวยมือกลับมาจดจ้องอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็ได้เห็นสีเข้มของเลือดที่เปื้อนไว้เป็นทางยาว

             แหมะ!..แหมะ!..

             เลือดมากมายไหลย้อยลงมากระทบกับตัวเขาจากด้านบน

             ร่างกายเขาหันกลับไป เป็นอีกครั้งที่มันเคลื่อนไหวโดยไม่ฟังคำสั่งของสมอง ออสก้าเเหงนหน้าขึ้นฟ้า เพื่อตรวจหาบางสิ่งอันเป็นแหล่งที่มาของหยดเลือดพวกนั้น..

             พลันสบเข้ากับดวงตาคู่หนึ่ง

             ฝ่าเท้าของเขาก้าวถอยหลังออกมา ออสก้าใช้ดวงตาสั่นระริกที่เบิกกว้างจ้องมองภาพเบื้องบน ความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจ มากจนพูดอะไรไม่ออก เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งอุดตันอยู่ในลำคอของตน ในขณะที่ใบหน้าขาวผ่องเปื้อนด้วยเลือดจำนวนมากที่ไหลทะลักออกมาจากบาดแผลที่เปิดกว้างตามผิวเนียนละเอียด ชุดสีขาวที่ดูราวกับชุดของผู้ป่วยที่ถูกสวมเอาไว้บนร่างกายเล็ก ๆ นั่น มันย้อมไปด้วยเลือด

             ดวงตาสีอความารีนมองมายังเขา ปลายนิ้วพยายามยื่นมา หมายร้องเรียกหา 

             "พ..พี่..ช่วย..ด..ด้วย.."

             โรเซตต้าพยายามเค้นเสียงของเธออกมา หากแต่แล้วดวงตาของเธอกลับเหลือกขึ้นจนแทบจะเหลือแต่ขาว มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกายของเธอ และออสก้าเห็นเลือดมากมายไหลทะลักออกมาจากดวงตา ริมฝีปาก จมูก และใบหู — มันไหลออกมาทั่วทั้งร่าง ทะลักออกมาเหมือนกับถุงพลาสติกที่บรรจุน้ำไว้ข้างในด้วยปริมาณมากเกินไป แล้วดันตัวออกจนผิวชั้นนอกของมันแตกออก

             เด็กสาวดีดดิ้นทุรนทุราย มันทำให้เส้นเชือกเหล่านั้นขยับไหว และก็เหมือนว่าเส้นเชือกหลักที่ยึดร่างของเธอเอาไว้ มันได้ถูกของมีคนเฉือนไว้จนแทบขาดอยู่แต่แรก นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม เมื่อโรเซตต้าออกเเรงดิ้น มันถึงเริ่มขาดออกจากกัน

             "ไม่..ไม่..ไม่..ไม่ — !!"

             ออสก้าร้องตะโกนออกไปตามสัญชาตญาณ และพยายามที่จะวิ่งเข้าไปรับเธอ หากแต่ว่า..

             โผละ!

             ในวินาทีเดียวกับที่ร่างนั้นร่วงลงมาจากระเบียงห้องที่เธอถูกเชือกห้อยแขวนเอาไว้ ผิวหนังก็บวมพองออกมาจนถึงขีดสุด แล้วแตกกระจายก่อนที่จะทันได้ตกกระแทกพื้นเสียอีก

             โรเซตต้าตายแล้ว

             ตายลงต่อหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ

             หยดน้ำตาไหลกลิ้งออกมาจากดวงตาที่เบิกค้าง ร่างไม่เหลือแรงพอจะยื่นต่อ เข่าเขาทรุดลงกระแทกกับพื้น ออสก้าแหงนหน้าค้างไว้อยู่เช่นนั้น..แล้วเขาก็เห็น..ใครคนหนึ่งที่ยืนหลบอยู่ใต้เงามืดมาตั้งแต่แรก เจ้าของรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้า และดวงตาที่วาวโรจน์

             วัลดัส โคลด์ คือชื่อของอีกฝ่าย

             มันคือปีศาจที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเขาลงจนหมดสิ้น


             ไม่รู้ตั้งเเต่เมื่อไหร่ที่วัลดัสย้ายตัวเองลงมาอยู่ตรงหน้าเขา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลงมาได้ยังไง ออสก้าตัวสั่นเทิ้มอยู่ต่อหน้า ถูกบังคับให้สบเข้าไปในดวงตาสีส้มที่ยามนี้มันไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีกต่อไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น..เขาก็ยังรู้สึกแปลกประหลาด..

             ราวกับว่านี่ไม่ใช่วัลดัส..

             อย่างน้อยก็ไม่ใช่วัลดัสที่เขารู้จัก

             กึด — !

             มือขาวซีดคว้าเข้าที่แขนข้างซ้ายของเขา และในตอนที่ออสก้าได้แต่สับสน เสียงของกระดูกที่แตกก็ดังขึ้นผสานพร้อมกับเสียงฉีกขาดของกล้ามเนื้อ

             "อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก!!!"

             เขาหวีดร้องดังลั่นออกไป สติแตกกระเจิงเพียงชั่วพริบตาเมื่อถูกกระชากแขนซ้ายออกไป ความเจ็บปวดแทรกเข้ามาถึงแก่นสมอง เสียงของเขาดังขึ้น มากขึ้น ยิ่งกว่าครั้งไหนที่เคยร้องตะโกนออกไป น้ำตาไหลพรากอาบทั่วหน้า มือข้างที่เหลืออยู่ยกขึ้นกุมต้นเเขนซึ่งมีเลือดมากมายไหลทะลักออกมา ลมหายใจดิ้นสะบัดอย่างบ้าคลั่ง เหมือนกับตัวเขาที่ทุรนทุรายอยู่บนพื้น

             วัลดัสกดสายตาต่ำ รอยยิ้มประดับแย้มอยู่บนหน้า

             "..วิ่งให้ไวเข้าล่ะ"

             เสียงที่ดังเอ่ยนั้นกล่าวกลอซ้ำประโยคเดิมกับที่เคยได้พูดไปแล้ว

             "ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นศพเอานะ"

             

             ร่างของเขาตะเกียกตะกายขึ้นมา ออกวิ่งไปอย่างบ้าคลั่งและกู่ร้องก้องออกมาจนสุดเสียง

             วิ่งไปอย่างไม่รู้ทิศทาง วิ่งไปเรื่อย ๆ วิ่งเสียจนสุดท้ายแทบสำลักอากาศที่ไม่อาจถ่ายเทได้ทัน ร่างกายล้มคว่ำกระแทกพื้น หยดเลือดมากมายเจิ่งนองออกมาเปื้อนเนื้อตัวเเละพื้นดินหยาบโลน

             ออสก้าจ้องมองภาพที่กลับทิศบิดเบี้ยวในทุกทาง ทุกอย่างล้วนแต่พร่าเลือน

             'ช่วยฆ่าผมหน่อยจะได้ไหมครับ?'

             ภาพในตอนนั้นย้อนกลับเข้ามาในหัว แววตาที่เว้าวอนอยู่ลึก ๆ..นั่นคือโอกาสสุดท้ายของเขา

             ถ้าเขาไม่ขี้ขลาด..ถ้าเขาเลือกจะปาดคอไอ้สารเลวนั่นไปตั้งแต่แรกแล้วล่ะก็

             "ฆ่า.."

             ริมฝีปากขยับพึมพำ ปลายนิ้วจิกรั้งลงบนผืนดินสกปรก 

             "ฉันจะฆ่า..จะฆ่าแก! ไอ้สารเลว! ฉันจะฆ่าแก!!!"

             เด็กหนุ่มกู่ร้องก้องทั้งหยาดน้ำตาที่ไหลเปื้อนหน้า เขากรีดร้องอยู่เช่นนั้น แม้แต่ตอนที่สลบไสลไปจากการเสียเลือด จิตวิญญาณของเขาก็ยังกล่าวพรรณาคำสาปส่งออกมาอย่างไม่รู้จบ


             ในตอนนั้น ตัวเขาไม่รู้เลยว่าตนจะมีชีวิตรอดต่อไปไหม จะสามารถผ่านพ้นคืนนี้ไปได้รึเปล่า..

             แต่เขาขอสาบาน..สาบานด้วยชีวิต จิตวิญญาณ และทุก ๆ อย่างของเขา

             วัลดัส โคลด์ จะต้องทรมานเสียยิ่งกว่าตาย และเขาจะฉุดกระชากมันลงนรกไปพร้อมกันด้วยมือคู่นี้เอง



             ว่ากันว่ามีมนุษย์ผู้หนึ่งถูกสาปเพราะไม่ยอมรับในพระเจ้า

             หากแต่แล้วเมื่อกาลเวลาผ่านไปพวกเขาก็ได้รู้

             ว่าแท้จริงแล้วผู้ต้องสาป, ล้วนแต่เป็นเราทุกคนบนโลกนี้


    " I'd die to take your soul go to hell with me "

    - Oscar Lowell Colt -

             


    Z K T

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×