ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ↕ DIAMOND HEART ↕

    ลำดับตอนที่ #12 : [10] man who came from hell - Valdus Colt

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 62



    [ the man who came from hell ]


              ว่ากันว่าบนโลกใบนี้ สิ่งที่เรียกกันว่า 'พระเจ้า' นั้นคือคำหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

              ร่างของเด็กชายวัยราวประมาณสิบขวบ เขายืนหลบอยู่หลังเสาต้นใหญ่ ภายในโบสถ์หลังงามที่ลอบแอบตามใครคนนั้นมา ยามราตรีเช่นนี้ไม่ควรเลยที่จะปรากฏร่างของผู้ศรัทธาคนไหน หากมันกลับยังคงมีเสียงสวดภาวนา และใครคนนั้นก็มักทำเช่นนี้อยู่เสมอ ไม่ว่าวันใด ๆ ก็ตาม

              "ขอให้ลูกชายของฉันได้พบกับความสุขด้วยเถอะค่ะ"

              ตัวเขาที่เฝ้าฟังคำวิงวอน ยืนอยู่อย่างเงียบงัน หากไม่นานก็ผละตัวออกไป เพราะสิ่งที่หญิงสาวกล่าวออกมานั้น มีเพียงประโยคเดิม ๆ ที่สื่อความหมายได้ว่า 'อยากให้ลูกชายของเธอมีความสุขมากยิ่งกว่าใครบนโลก'

              และเหตุผลที่เขาเดินหนีออกมา มันไม่ใช่เพราะว่าเบื่อหน่ายอะไรหรอก..

              ก็แค่สะอิดสะเอียนจนแทบทนไม่ไหวแล้วเท่านั้นเอง


              ในวันที่ฝนตกหนัก มีเด็กน้อยคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบหน้านี้

              ผิวขาวสะอ้าน ใบหน้าจิ้มลิ้มน่าชังสงบนิ่ง เด็กน้อยนั้นไม่ได้ร้องไห้ หากก็มิได้หลับใหล ดวงตาสีส้มโชนแสงงดงาม สุขภาพแข็งแรงดีทุกประการ สร้างความยินดีให้แก่มารดาที่ร้องไห้ตาปูดโปน เพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรกับลูกน้อยที่มีอากัปกิริยาแตกต่างจากสามัญ

              และใช่, เด็กคนนั้นก็คือตัวเขา — วัลดัส โคลด์ บุตรชายที่เกิดขึ้นมาเป็นคนแรกภายในตระกูล โคลด์ อันยิ่งใหญ่และโด่งดังไปทั่วโลกในฐานะเจ้าวงการกระดานหุ้นอันดับสองของโลก และเป็นเจ้าของกิจการต่าง ๆ อีกมากมายอีกนับไม่ถ้วน

              แต่เรื่องพวกนั้นมันก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นหรอก..ก็เพราะว่ามันไม่ใช่ของที่ควรเป็นของเขานี่นา


              "ลูกเมียน้อยสำส่อน โตมาก็คงสารเลวไม่ต่างจากแม่มัน"

              คำด่าทอที่ได้ยินเป็นครั้งแรก หยาบคายเสียจนเด็กวัยสิบขวบได้เเต่นั่งกองอยู่กับพื้นทั้งความฉงน มือน้อย ๆ กอบกุมฝ่ามืออีกข้างที่กำลังสั่นระริก มันบวมเป่งและเเดงเถือก เพราะความร้อนของชาที่ถูกราดใส่ และในตอนที่เจ็บถึงขนาดนั้น ทุกคนกลับเอาแต่ยืนมองและด่าทอเขา

              คุณหญิงของบ้านที่ได้ชื่อว่าเป็น 'ภรรยาคนแรก' กระชากตัวเด็กน้อยขึ้นมาจากพื้น นิ้วเรียวประดับแต่งปลายเล็บสวยงาม บีบลงมาที่เชิงกรามเล็กแน่นจนรู้สึกเจ็บ ดวงตาฉาบแสงเกลียดชังจ้องถลึงมายังตัวเขา

              "อย่าคิดว่าแกจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในบ้านของฉันล่ะ ไอ้เด็กโสโครก"

              วัลดัสในวัยเยาว์ได้เพียงแต่สับสน ดวงตาเขาสั่นคลอนดั่งระลอกคลื่น เบนหลบไปมาเพราะไม่กล้าจดจ้องความน่าหวาดกลัวเบื้องหน้า แล้วก็พลันสะดุดสายตาเข้ากับเด็กน้อยอีกสองคน..หนึ่งคือเด็กชายที่หน้าตาละม้ายคล้ายกับเขา และสองคือเด็กหญิงที่มีเส้นผมสีเดียวกับหญิงสาวตรงหน้า

              ทั้งคู่ยืนนิ่ง ไร้ซึ่งความเมตตาใด ๆ ก็ตาม

              

              ความรู้สึกบางอย่างปะทุอยู่กลางอก..และมันเผาไหม้หัวใจของเขาจนรู้สึกแสบพร่า

              ทว่าก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ สองแขนและสองขาแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น เพียงเพราะเสียงหนึ่งในหัว มันดังก้องซ้ำไปซ้ำมา บอกกับเขาให้อดทนซ้ำเเล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะต้องเจ็บจากการกระทำเหล่านี้มากมายสักเท่าไหร่ก็ตาม

              "อย่าโกรธแค้นใครเลยนะลูก" มารดาที่รักยิ่งกว่าใคร สัมผัสมือลงบนผิวแก้มอย่างปลอบประโลม 

              แล้วเขาจะต้องทำอย่างไรกับความรู้สึกที่อึดอัดคล้ายจวนเจียนระเบิดออกมานี่กันดีล่ะ?

              พลันอ้อมกอดอุ่นโถมเข้าใส่โดยไม่ทันตั้งตัว ตอนที่นึกตกใจ ก็ดันรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นและแรงสั่นสะอื้น วัลดัสเบิกตากว้าง เขารีบยกมือกอดตอบมารดา ตกใจว่าตนเผลอทำอะไรพลาดไปหรือ แม่ถึงได้ร้องไห้ออกมาแบบนี้

              "อย่าโกรธใครเลยนะวัลดัส.." เสียงกระซิบแหบแห้ง ความรู้สึกผิดแตกซ่านไปทั่วตัวของหญิงสาวผู้นี้ "คนเดียวที่ลูกสมควรจะโกรธก็คือแม่..เพราะแม่ที่ทำให้ลูกต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ เป็นแม่เองที่แย่เอง — "

              ถ้อยคำกล่าวโทษตนเองมากมายหลั่งไหลออกมาไม่จบสิ้น แม่ของเขา..เธอคิดว่าเป็นเพราะเธอที่ทำให้วัลดัสต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ เป็นเพราะเธอที่ไม่อาจหักห้ามความปรารถนาในจิตใจของตนได้ ถึงได้เลือกเส้นทางที่ผิด และทำให้ลูกน้อยต้องมารับชะตากรรมเลวร้ายนี้ร่วมไปกับเธอด้วย 

              หากแต่ความรัก..ก็ยังคงเป็นความรัก

              เหมือนอย่างที่ เอลลีน โคลด์ หลงรักผู้ชายคนนั้นยิ่งกว่าอะไร และยอมทำได้แม้กระทั่งเป็นภรรยาเก็บซ่อนเพื่อให้ได้เคียงกาย วัลดัสเองก็รักแม่ของเขามากยิ่งกว่าอะไร และยอมทำได้ถึงขนาดแสร้งว่าตนนั้นมิเคยเจ็บปวด

              "ผมไม่ได้โกรธใครสักหน่อย" โกหกออกไป ทั้งที่หัวใจรู้สึกราวกับถูกเผาทั้งเป็นอยู่ในอก วัลดัสยกยิ้มขึ้นมา เหมือนอย่างที่เขาเคยเห็นแม่ยิ้มให้กับพ่อแม้ในตอนที่รู้สึกเศร้า "แค่นี้เอง..ไม่เจ็บเลยสักนิด"

              มันเป็นวันแรกที่เริ่มจะเรียนรู้การยิ้มเพื่อสร้างสายลมเย็น พัดพาทั้งความเศร้าและหยดน้ำตาไปจากเธอ

              หากแต่มันช่างน่าเสียดาย — ที่รอยยิ้มเหล่านั้นไม่สามารถพัดพาความกราดเกรี้ยวในจิตใจของเขาไปด้วยได้เลย


              ชีวิตคือนรก

              เขาเรียนรู้ที่จะเข้าใจมันตั้งแต่ตอนสิบขวบ


              "เฮ้ วัลดัส"

              เสียงร้องเรียกทักขึ้นจากเหนือหัว ดึงให้เจ้าของนามนั้นหันเหสายตาจากนอกหน้าต่างกลับมายังด้านในห้องเรียน วัลดัสในวัยสิบสี่หันไปส่งยิ้มให้กับเพื่อนร่วมคลาส "มีอะไรเหรอ?" เขาถาม น้ำเสียงเย็นสบาย เหมือนกับทุกทีที่พยายามแสร้งทำ เพราะไม่อย่างนั้น ก็อาจจะโดนหมั่นไส้เอาได้

              แต่ก็เหมือนว่ามันจะไม่เป็นผลสักเท่าไหร่..ทั้งที่พยายามอยู่เงียบ ๆ ไม่ทำตัวมีปัญหาแล้วแท้ ๆ แต่ทุกคนกลับไม่คิดสนใจมันเลยสักนิด..

              "แม่นายน่ะเป็นเมียน้อยเขาสินะ?"

              เหมือนกับได้ยินเสียงฟ้าผ่าอยู่ในหัว วัลดัสเบิกตากว้าง และท่าทีของเขาก็เปรียบเสมือนคำยืนยันชิ้นโต เด็กเกเรคนนั้นรีบตะโกนร้องก้อง หันไปบอกเพื่อนที่อยู่อีกฟากห้อง เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่พวกเขากำลังสงสัยอยู่นั้นมันเป็นความจริง และเสียงนั้นมันก็ดังพอจะทำให้คนทั้งห้องได้ยินเลยด้วย

              ในขณะที่เสียงซุบซิบเริ่มกอปรขึ้นรอบตัว มันกลับไม่ดังเข้ามาในหัวเขาเลย วัลดัสเหลือบสายตาไปยังทิศทางหนึ่ง ก่อนจะสบเข้ากับดวงตาสีเงินยวงคู่สวย เขาเห็นประกายตาเยาะเย้ยสมเพช รวมถึงความสะใจที่ละเลงอยู่ทั้งบนสีหน้าและแววตาของอีกฝ่าย

              ปลายนิ้วกำจิกเข้าหากันแน่น จ้องมองริมฝีปากขยับพึมพำ ไร้เสียง ให้เขาได้รู้เพียงแค่คนเดียว

              'สมน้ำหน้า'


              คุณหญิงคนนั้นมีลูกชายและลูกสาวอยู่อย่างละคน และเหมือนว่า เขาจะถูกคนพวกนั้นเกลียดเข้าไส้

              ออสก้าและโรเชตต้า ชื่อของทั้งสองคนที่เด็กหนุ่มจำได้ดียิ่งกว่าอะไร ในขณะที่คนพี่นั้นมักจะคอยทำทีเเสร้งว่าเผลอทำให้เขาบาดเจ็บด้วยการกระทำต่าง ๆ รวมถึงการทำให้วัลดัสดูคล้ายกับตัวตลกในห้องเรียน เด็กสาวคนน้องอย่างโรเชตต้าก็มักหาเรื่องน่าปวดประสาทมาให้เขาเสมอ

              บางวันเธอทำลายหนังสือเรียนของเขา บางวันเธอกรีดร้องออกมาทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไร จนสุดท้ายวัลดัสก็ถูกคนใช้ลากไปโยนไว้ในห้องเก็บของเก่า ๆ

              ถึงอย่างนั้นวัลดัสก็ยังพยายามทำความเข้าใจ เขาบอกกับตัวเองว่าเพราะเธอป่วย..มันก็เลยช่วยไม่ได้

              แต่โรเซตต้ากลับไม่เคยคิดพยายามทำความเข้าใจเขาบ้างเลยสักนิด..


              ทุก ๆ วัน วัลดัสมักได้รับบาดแผลมาประดับตนเองอยู่เสมอ

              บางครั้งก็เป็นมุมปากที่แตกยับ หรือบางครั้งก็เป็นศีรษะปูดโน ไม่ก็เป็นอาการกระดูกร้าว..แต่หนักที่สุดก็คงเป็นวันที่เขาต้องเข้าโรงพยาบาล พันผ้าพันแผลมากมายปิดดวงตาข้างซ้ายเอาไว้อย่างแน่นหนานั่นล่ะมั้ง?

              มันไม่ใช่ฝีมือของออสก้าหรอก..เป็นฝีมือของโรเชตต้าต่างหากล่ะ

              "อย่าไปโกรธน้องเลยนะ ลูกก็รู้ใช่ไหมว่าน้องป่วย"

              ผู้เป็นพ่อเอ่ยปากออกมาทั้งสีหน้าลำบากใจ ด้านหลังเขาคือสองภรรยาที่มีสีหน้าแตกต่างกันชัดเจน หนึ่งคือเยาะเย้ย สองคือโศกเศร้าเจ็บปวด แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน วัลดัสก็ไม่ได้สนใจมันเลย..เขาเพียงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย นึกย้อนถึงความเจ็บแสบที่ได้จากการถูกของมีคมเฉี่ยมเข้าที่ดวงตา..โรเซตต้าทำแบบนั้น เเค่เพราะเธอไม่อยากให้เขามองเธอเท่านั้นเอง

              เด็กคนนั้นป่วย..เพราะแบบนั้นก็เลยช่วยไม่ได้ นั่นคือประโยคที่เขาคอยกระซิบบอกตัวเองเพื่อย้ำเตือนอยู่เสมอ..และมันช่างสวนกับความรู้สึกในใจของเขาสิ้นดี หากทว่า ตอนที่เผลอหลุดสีหน้าออกไปแค่เพียงนิดหน่อย ฝ่ามือหนาก็วางลงบีบไหล่เขาแน่นจนรู้สึกเจ็บ

              ผู้เป็นพ่อจ้องมองมา สายตานิ่งสนิท "ยกโทษให้น้องนะวัลดัส" และนั่นไม่ใช่คำขอร้อง สุดท้ายแล้วเขาจึงทำได้เพียงยกยิ้ม หันไปบอกกับเด็กสาวที่ไร้ซึ่งความสำนึกผิดว่า "ไม่เป็นไร" อย่างที่ทุกคนต้องการ

              ความโกรธที่พลุ่งพล่านอยู่ในอกตกตะกอนเป็นหินก้อนใหญ่ หลบซ่อนไว้ใต้ม่านหมอกแห่งรอยยิ้ม แต่แน่นอน..ว่ามันไม่เคยหายไปไหน


              วัลดัสมักซ่อนความโกรธเกรี้ยวของเขาไว้ใต้รอยยิ้มอยู่เสมอ

              ไม่ว่าเมื่อใดก็ปลอบประโลมตนเองไว้ว่า 'ไม่เป็นไร' เพราะเขากำลังยิ้มอยู่ ดังนั้นแล้วต่อให้ดวงตาข้างซ้ายจะไม่อาจใช้งานได้อีก หรือจะเจ็บปวดทรมานจากบาดแผลแค่ไหน, เขาก็ยังคงมีความสุข..นั่นก็เพราะว่าแม่ของเขาต้องการให้มันเป็นแบบนั้นยังไงล่ะ

              บอกเเล้วไง ว่าวัลดัสน่ะรักแม่มาก

              เขารักเธอมากถึงขนาดที่ว่าทำได้ทุกอย่างเพื่อให้เธอสบายใจ มากถึงขนาดที่สามารถเมินเฉยคำสวดภาวนาเกือบยี่สิบปีอันไร้ประโยชน์ของเธอ ต่อพระบิดาเจ้าท่านผู้เส็งเคร็งเสียยิ่งกว่าขยะเหลือเดนบนโลกนี้ และมากถึงขนาดกลบฝังความโกรธเกรี้ยวของตัวเองลงไปได้เพื่อเธอ

              เอลลีนเป็นเหตุผลเดียวที่ยังทำให้เขาอดทนต่อโลกใบนี้ต่อไปได้


    'แต่ถ้าเกิดวันหนึ่งมันไม่หลงเหลือเหตุผลนั้นอยู่อีกต่อไปแล้วล่ะ?'


              กึก..!

              ฝ่าเท้าที่กำลังวิ่งฝ่าห่าฝนหยุดลงกับที่ ใจกลางเมืองที่ผู้คนยังคงพลุ่กพล่านในยามตะวันตกดิน เขาได้ยินเสียงกระซิบถามดังขึ้นภายในหัว ดวงตาเหลือบมองไปทิศทางหนึ่งที่มีอีกเสียงคอยดังเสียดหูอย่างเผลอตัว

              เสียงไซเรนของรถพยาบาลและรถตำรวจดังประสานกันน่าหนวกหู ผู้คนมากมายพากันรุมล้อมบางสิ่งบางอย่าง และแม้ว่าฝนจะตกลงมาอย่างหนัก กลับได้กลิ่นคาวเลือดผสมปนเปไปกับกลิ่นฝนอย่างชัดเจน แล้วไม่รู้ด้วยว่าเพราะคำถามจากเจ้าเสียงที่ไร้ที่มานั่นรึเปล่า ถึงทำให้เขาตัดสินใจเดินย้อนกลับไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น แล้วพยายามเดินฝ่าคนเข้าไปด้านใน

              เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามกันผู้คนให้ออกห่าง หากแต่เสียงลั่นชัตเตอร์กลับยังดังอยู่รอบตัว ถ่ายเก็บสถานการณ์น่าตื่นตะลึงเหล่านี้เอาไว้ เพื่อจะได้อัพเดทมันลงโซเชี่ยลในภายหลัง, ทั้ง ๆ ที่ภาพตรงหน้า มันโหดร้ายเสียจนวัลดัสเองยังต้องเบิกตากว้าง

              ร่างกายบิดเบี้ยวจากการกระแทก กระดูกทะลุผ่านผิวเนื้ออกมา หยดหยาดสีแดงนั้นอาบย้อมทั่วร่างของหญิงสาว ศีรษะที่บุบยุบเข้าไปเพราะเป็นส่วนที่สัมผัสกับพื้นดินเป็นอย่างแรก เขาแทบจะมองไม่รู้ความถึงใบหน้านั้น

              หากแต่เป็นเพราะต่างหูไข่มุกที่ประดับอยู่บนใบหูข้างซ้ายของเธอ วัลดัสถึงได้รู้

              ว่าศพที่ไร้ลมหายใจนั่น, ก็คือแม่ของเขาเอง


              "เอลลีน โคลด์, กระโดดลงจากตึกสูงเพื่อฆ่าตัวตาย"

              เสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจดังก้องอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมาราวกับเครื่องเล่นเสียงที่ถูกกรอซ้ำ มันดังแข่งกับเสียงสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างหนักหน่วงเหมือนกับเย็นวันนั้น และแม้ว่าเวลาจะผ่านมาจากวันที่พบศพร่างของมารดาได้เกือบสามวันแล้ว เขาก็ยังลืมมันไม่ลงสักที

              ปลายนิ้วลูบไล้กระดาษสีขาวที่ถูกพับทบไว้อย่างสวยงาม วัลดัสเจอมันวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือในห้องนอนของเขา หน้ากระดาษมีอักษรบรรจงขีดเขียนเอาไว้ หากน้ำหมึกกลับเจือด้วยคราบน้ำตา

              'ขอโทษ'

              เพียงคำเดียวเท่านั้น ที่มารดาผู้แสนดีพอจะหลงเหลือไว้ให้แก่กัน

              วัลดัสเงยหน้าขึ้นครั้นสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวที่ขอบตา หันหน้ามองเข้าไปในกระจก จ้องภาพสะท้อนที่ดูไร้ชีวิต มองหยดน้ำตาไหลกลิ้งออกมาเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี เเล้วเฝ้านึกย้อนถึงมารดาคนนั้นที่มักจะยกยิ้มอยู่เสมอ..

              แต่ยิ่งนานวัน..รอยยิ้มนั้นก็ยิ่งเลือนหายไปเรื่อย ๆ

              เขาเคยคิดว่ามันจะไม่เป็นอะไร เพราะแม่ของเขาน่ะเข้มแข็งยิ่งกว่าใคร

              แต่สุดท้ายแล้ว — เอลลีนก็ยังเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง

              ยิ่งได้เห็นลูกชายผู้เป็นดั่งดวงใจทั้งดวงเจ็บช้ำมากเท่าใด หัวใจยิ่งเกิดรอยแผล..ความทุกข์ทรมานจากความรู้สึกผิดกัดกินจิตใจจนแทบไม่เหลือชิ้นดี จมจ่อมลงไปในความซึมเศร้าเหล่านั้น แล้วฟางเส้นสุดท้ายก็ขาดลง เมื่อการประทุษร้ายดำเนินไปถึงขั้นที่เขาต้องสูญเสียการมองเห็นไปครึ่งหนึ่ง

              เอลลีนทนไม่ไหวอีกแล้ว

              เธอยิ้มต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

              

              แม่ของเขามักจะสวดภาวนาและวอนขอกับพระเจ้าอยู่เสมอ ว่าอยากให้ตัวเขานั้นเติบโตมาเป็นเด็กที่มีความสุข

              แต่ถึงอย่างนั้น..ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ วัลดัสกลับไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตของเขามันเคยได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าความสุขเลยสักนิด..แม้แต่เอลลีนเอง ก็ไม่ใช่ความสุขสำหรับเขาเหมือนอย่างที่เขาเป็นให้เธอ

              มารดาผู้นั้นแท้จริงแล้วคือโซ่ตรวน

              คอยล่ามปีศาจร้ายที่แฝกฝังร่างอยู่ในจิตวิญญาณของเขามาแต่เริ่มไม่ให้ปรากฎกายออกมา


              'เห็นแล้วใช่ไหม'

              เสียงของใครสักคนดังขึ้น

              'พระองค์ผู้แสนดีท่านนั้นน่ะ ไม่คิดจะรับฟังคำขอของเหล่าลูก ๆ ของท่านหรอกนะ'

              ก้องสะท้อนอยู่ภายในหัว ไม่ยอมจบลงแม้กระทั่งยามหลับใหล

              '..เพราะว่ามนุษย์มันก็แค่สิ่งที่เปื้อนไปด้วยบาปเท่านั้นอย่างไรล่ะ'

              และเสียงของมัน..ช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน


              วัลดัสจ้องมองเงาสะท้อนของตนในกระจก

              แลเห็นเด็กหนุ่มวัยเพียงสิบแปดปี หากใบหน้ากลับซูบซีดอิดโรย ความพาสุขใดมิเคยได้สัมผัส ทุกสิ่งล้วนเต็มไปด้วยความโสโครกบนโลกที่ปราศจากซึ่งความยุติธรรมใด ๆ ก็ตาม

              พลันดวงตาสีส้มคู่นั้น มันโชนเเสงเจิดจ้า — ก่อนที่เงาสะท้อนบนกระจก จะค่อย ๆ ฉีกยิ้มกว้างออกมา

              'นึกออกแล้วใช่รึไม่' เสียงของปีศาจร้ายดังก้องในหัว ทว่ากลับไม่แม้นแต่จะรู้สึกหวาดกลัว..

              เพราะเสียงนี้ที่ได้ยิน..มันเป็นเสียงของเขาเอง

              'มาเถอะ' ฝ่ามือของร่างในกระจกนั้นยื่นออกมา ทะลุผ่านกระจกแล้วมุ่งเข้าสัมผัสลงบนใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน 'ละทิ้งความเป็นมนุษย์ที่โสมมนี้ไปเสียเถอะ กลับไปเป็นตัวเจ้าที่สมควรจะเป็นเสีย'

              ฝ่ามือคู่นั้นค่อย ๆ โอบรอบศีรษะของเขา แล้วรั้งกายนี้ให้ขยับเข้าไปหา ดั่งว่าจะโอบกอดไว้ภายใต้อ้อมอกอันอบอุ่น หากจะต่อต้านก็ย่อมทำได้..ทว่ากลับไม่รู้สึกอย่างทำเช่นนั้น ดวงตาปรือปิดลงเชื่องช้า แล้วก็พลันราวกับว่าทั่วทั้งร่างจมหายลึกลงไปใต้ผืนทะเลสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำสนิท

              ความทรงจำมากมายไหลย้อนกลับเข้ามาในหัว

              ทำลายโซ่ตรวนเส้นสุดท้ายในจิตใจ — พลันปีศาจร้ายผู้ปกครองขุมนรก ลืมตาตื่นขึ้นอีกคราในร่างของมนุษย์ผู้น่าสังเวช


              "ฟ่อออ!"

              เสียงขู่ฟ่อของสิ่งมีชีวิตสีเท้าอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างตัว วัลดัสค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เขากะพริบตาแผ่วเบา ก่อนจะหันไปมองทางซ้าย เห็นแมวขนสีขาวนวลตัวโปรดของออสก้าที่กำลังแยกเขี้ยวขู่ใส่เขา หากกลับไม่ใช่เพราะไม่อยากเข้าใกล้เขาเหมือนทุกทีหรอก..

              พวกสัตว์สี่เท้าน่ะ..มันมักจะมองเห็นสิ่งที่ไม่ควรจะเห็น และสัมผัสได้ถึงอันตรายอันใหญ่หลวงได้ไวกว่ามนุษย์เสมอ

              เมื่อถูกฝ่ามือหนาอุ้มขึ้นจากพื้น สี่ขาของมันก็สะบัดดิ้นอย่างแรง กรงเล็บกางหมายข่วนผิวขาวให้เลือดริน หากทว่าเพียงแค่เสี้ยวพริบตา ร่างกายของมันกลับถูกอัดขยาย ก้อนเนื้อด้านใต้ผิวหนังและขนสีขาวดันตัวออกมา แล้วระเบิดออกส่งเสียงโผละ!ดังลั่น

              คาวโลหิตสาดกระเซ็นแปดเปื้อนใบหน้า วัลดัสจ้องมองเศษซากเนื้อและหยดเลือดไหลผ่านฝ่ามือลงอาบท่วมเท้า

              พลันยกยิ้มบาง แลบเลียชิมรสเลือดที่ติดอยู่ตรงปลายนิ้ว

              "ไอ้พระเจ้าเฮงซวยเอ๊ย.."

              


              ปีศาจร้ายจากอดีตกาล ดั่งเรียกขานนามว่า ซาตานผู้โกรธา

              อำมหิตแสนเลวทราม ฉุดกระชากดวงวิญญาณลงสู่อเวจี

              พลันเด็กหนุ่มผู้นั้นได้ร่วงหล่น, พลัดคืนสู่ตัวตนแห่งบาปกรรมอีกครา


    "She's gone, and my soul too."


    - Valdus Colt -


    NEXT STORY

    [ we all are cursed ]



              

              


              


              

            
    Z K T
       
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×