ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ↕ DIAMOND HEART ↕

    ลำดับตอนที่ #11 : [9] secret night - Jolie Gianna

    • อัปเดตล่าสุด 22 ต.ค. 62



    [ The secret night ]

              

              เคยมีคนว่ากันว่า ชีวิตของเราจะตาลปัตรจากหน้ามือเป็นหลังมือได้แค่เพียงในเสี้ยวพริบตา

              เสียงสวดภาวนาคอยคลอเคลียอยู่ข้างใบหู ท่ามกลางความเงียบสงัด ความโศกศัลย์ได้โปรยตัวลงมา ในพิธีงานศพของบุรุษผู้หนึ่ง ที่ด้านหน้าของกลุ่มชนผู้ล้วนแต่จำใจมาเพื่อการอำลาครั้งสุดท้าย นั่นคือชายหนุ่มที่คอยประคองวีลแชร์เก่า ๆ และร่างของเด็กสาวตัวน้อยด้านบนเอาไว้

              ดวงตาของพวกเขาหม่นแสง มืดบอดและดำสนิท ไม่มีการหืออือกล่าวสิ่งใด ไร้ซึ่งคำอำลา มีเพียงแค่การมองส่งโลงศพสีน้ำตาลที่กำลังถูกกลบฝัง..พ่อของพวกเขา ครอบครัวคนสำคัญได้จากลาไปแล้ว และเขาก็ไม่มีวันกลับมา หลงเหลือเพียงชายหนุ่มและน้องสาวของเขาเพียงแค่สองคนเท่านั้น

              ในโลกที่แสนโหดร้ายนี้ พวกเขายังคงต้องต่อสู้ต่อไป

              "ไม่เป็นไรนะ.." เสียงกระซิบดังแผ่วเบา ชายหนุ่มลูบใบหน้าน่ารักของน้องสาวเบา ๆ ยิ้มออกมาทั้งที่หัวใจรู้สึกเจ็บปวด "พี่จะดูแลเธอ"


              อคูลัส จิอันน่า เป็นชายหนุ่มที่ร่ำเรียนอยู่ในระดับชั้นมหาลัยปีที่สาม และในปีนี้ เขาที่อายุยี่สิบ..ได้ทำการออกจากมหาลัยเป็นที่เรียบร้อย

             เพราะบ้านของเขายากจน มันตั้งอยู่ในเขตสลัมเก่าที่มีเพียงบ้านหลังเล็ก ๆ พื้นที่ไม่กี่ตารางวาตั้งแออัดกันอยู่ แต่เดิมแล้วบ้านเรามีกันอยู่สามคน นั่นคือตัวเขา ผู้เป็นพ่อ และน้องสาว แต่เมื่อหนึ่งในสมาชิกของบ้านได้จากลาไป เสาหลักค้ำยันจึงต้องเปลี่ยนมือในที่สุด

             และมันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากที่จะเรียนต่อ อคูลัสก็อยากจะจบการศึกษาสูง ๆ มีงานการดี ๆ ทำ แต่ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้แล้ว..น้องสาวของเขา โจลี่ เธอเป็นเด็กพิการทางสมอง ต้องนั่งอยู่บนรถวีลแชร์เก่า ๆ ตลอดเวลา แม้แต่ร่ำเรียนดั่งคนปกติเธอยังไม่ได้รับเลย แล้วถ้าเขาฝืนดันทุรังเรียนต่อ บ้านเราก็คงเจอกับปัญหาการเงิน..และอีกไม่นาน ก็คงได้อดยาก ลำบากกันทั้งคู่..เพราะฉะนั้นเขาถึงได้ต้องเสียสละ เพื่อที่โจลี่จะได้มีอนาคตที่ดี

             "ไม่เป็นไรนะ" เขาบอกกับเด็กสาวเช่นนั้น พูดแต่คำเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา

             ไม่ว่าอย่างไรก็จะปกป้อง..เขาจะปกป้องน้องสาวคนนี้ จะไม่มีวันทำให้เธอเจ็บปวดเด็ดขาด..


             โจลี่น่ะเป็นเด็กที่น่าสงสาร

             การที่เธอป่วยทำให้เธอเสียโอกาสไปมากมาย..ทั้งการเรียน สุขภาพ และมิตรสหาย เธอไม่มีสามสิ่งนั้นเลย แต่ไหนแต่ไร โจลี่ก็มักจะต้องเก็บตัวอยู่ในบ้าน หากไม่อ่านหนังสือเงียบ ๆ เพียงลำพัง ก็ต้องนั่งบนวีลแชร์ รอให้เขาคอยช่วยเข็นพาไปในที่ต่าง ๆ

             ความจริงแล้วเด็กคนนี้เคยได้รับการศึกษา จนกระทั่งถึงตอนที่เธออยู่ม.หนึ่ง เขาและพ่อตัดสินใจให้เธอออกจากโรงเรียน เพราะการกลั่นแกล้งจากเพื่อนร่วมชั้น ที่รุนแรงถึงขนาดทำร้ายร่างกาย อคูลัสยังจำได้ดีเลยด้วยซ้ำ ว่าน้องสาวของเขาถูกกรีดมือจนเลือดอาบเป็นคำเยาะเย้ยแค่เพราะเธอเป็นคนพิการ

             "พี่ขอโทษ" ตัวเขาในตอนนั้นโอบกอดเธอแน่น ลูบหัว แล้วกล่าวสัญญา "ต่อจากนี้จะไม่ยอมให้คนพวกนั้นมาทำร้ายเธอแล้วนะ"

             สัมผัสได้ถึงท่อนแขนเล็กอ่อนแรง ค่อย ๆ ยกขึ้นกอดตอบเขาไว้แน่นเช่นกัน


             ชีวิตหลังจากที่พ่อตายไป มันค่อนข้างยากลำบาก แต่เพราะการที่เขายอมออกจากมหาลัย มันจึงเป็นเหตุให้เขาสามารถประคับประครองค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนไปได้ อคูดัสทำงานอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่นั่นให้เงินค่อนข้างดี แต่ก็ต้องแลกกับการที่แทบจะไม่ได้กลับบ้านเลย

             ตอนแรกเขานึกกังวลใจ ว่าโจลี่จะเป็นอะไรรึเปล่า แล้วก็คิดขึ้นมาว่าเธอเองก็อายุตั้งสิบสี่..มันคงไม่เป็นอะไรมากนักหากแค่อยู่แต่ในบ้าน

             กระทั่งวันหนึ่ง, เขาก็รู้ว่าตนคิดผิด

             อคูดัสได้รับสายจากโรงพยาบาล ว่าน้องสาวของเขาถูกรถเฉี่ยว..เธอออกไปจากบ้าน ใช้มือเข็นล้อรถวีลแชร์เก่า ๆ นั่นจนมันถลอกปอกเปิกไปหมด

             "ทำไมถึงออกมาจากบ้านล่ะ" เขาเอ่ยถาม สีหน้าไม่เข้าใจ

             ดวงตาคู่นั้นเพียงแค่มองสบมา โจลี่ไม่ได้ตอบเขากลับมาในทันที แต่เธอเลือกจะยกมือขึ้น ทำท่าเหมือนอยากให้กอด..อคูลัสมองด้วยสายตาที่สับสน กระนั้นสุดท้ายแล้วก็ยังขยับตัวเข้าไปกอดเธอไว้แน่น

             "..คิดถึง" เสียงเล็ก ๆ กระซิบบอกในตอนที่เรากอดกันและกันเอาไว้แน่น

             ในท้ายสุด อคูลัสตัดสินใจเปลี่ยนงานเป็นงานที่สามารถทำที่บ้านได้ เพื่อที่จะได้กลับไปเฝ้ามองเธออย่างใกล้ชิด


             โจลี่, น้องสาวของเขาน่ะหน้าตาดีมาก

             เธอเป็นคนสวย ถึงผิวจะขาวซีดไปสักหน่อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านั่นคือความงดงามอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะตอนที่เธอสวมชุดกระโปรงที่ตัดเย็บขึ้นมาเอง เธอยิ่งดูราวกับเป็นเจ้าหญิงหรือนางฟ้านางสวรรค์ ที่ได้ร่วงหล่นลงมาสู่ผืนดิน

             อาจจะไม่ใช่เด็กที่ช่างพูดนัก แต่ก็น่ารักและใสซื่อ ดวงตาสีทมิฬที่มักเหม่อมองกลุ่มเมฆ จดจ้องท้องฟ้า และลายปีกบนผีเสื้อ

             ทุกอย่าง..ช่างสวยงาม

             "พี่คงทำใจไม่ได้แน่เลยถ้าวันหนึ่งโจต้องไปแต่งงานกับใคร" วันหนึ่งเขาพูดขึ้นมาระหว่างมื้ออาหาร หั่นเนื้อเข้าปากและกลั้วหัวเราะไปพลาง ก็เพียงแต่พูดเย้าแหย่ไปอย่างนั้น ไม่ได้ตั้งใจจะจริงจังอะไรเลย เพราะถ้าหากโจลี่ได้เจอคนที่รักเธอจริง ๆ แน่นอนว่าเขาย่อมพร้อมปล่อยให้เธอมีความสุข

             ทว่าตอนที่เผลอเงยหน้าขึ้นไป เขาเห็นมุมปากนั้นยกขึ้นมาเล็กน้อย

             "ไม่เป็นไร" เด็กสาวพูดเช่นนั้น เสียงหวานนุ่มหูดูสบอารมณ์มากกว่าที่เคยเป็นนัก ดวงตาช้อนขึ้น สบลึกเข้ามาในแก้วตาของเขา

             "หนูน่ะ..จะอยู่กับพี่ไปจนตายเลยล่ะ"

             ดวงตาของเธอนั้นงดงาม — และน่ากลัว.


             มีบางสิ่งที่ผิดปกติเกี่ยวกับเด็กคนนั้น

             เสียงกระซิบในหัวดังขึ้น ตะเกียกตะกายขึ้นมาจากใต้ฐานของจิตใจ..และอคูลัสสังเกตเห็นมันมาตั้งแต่ในตอนที่เขาเป็นเด็ก แต่ก็เป็นเขาเองอีกเช่นกัน ที่พยายามหมางเมินมันอยู่เรื่อยมา เพราะไม่อยากที่จะยอมรับ..

             เขาก็แค่ไม่เข้าใจ..ว่าทำไมโจลี่ถึงต้องตัดผมของตัวเองจนเละเทะ

             ไม่เข้าใจ..ว่าทำไมในกระเป๋าของเธอถึงมีคัตเตอร์ซ่อนเอาไว้

             ไม่เข้าใจ..ว่าทำไมสายตาที่มองมายังตัวเขา ถึงเริ่มมัวเมามากขึ้นทุกวัน ๆ แบบนี้..


             จนกระทั่งค่ำคืนหนึ่งมาเยือน ในตอนที่ความสงสัยมันพุ่งพวยจนเกินกว่าจะระงับได้อีกแล้ว ตอนที่โจลี่กำลังนอนหลับอยู่ในห้องนอนของเขาตามคำเชิญชวน ชายหนุ่มแอบลอบไปยังห้องนอนของน้องสาว ไขกุญแจเข้าไป แล้วเริ่มเสาะหาบางสิ่ง

             เขาเป็นพี่ชายเธอ..ย่อมรู้ดีว่าเธอมีความเคยชินแบบไหน โจลี่ชอบแอบซ่อนของเอาไว้รวมกับข้าวของธรรมดา ทำราวกับว่ามันไม่มีอะไรพิเศษ ทั้งที่นั่นแหละคือรางวัลสุดท้ายของแผนที่นี้ และใช่..เธอซ่อนมันเอาไว้ในกองหนังสือ เป็นไดอารี่เล่มหนึ่งที่มีอายุนับครึ่งสิบปี

             ปลายนิ้วค่อย ๆ สัมผัสลงบนกระดาษเหลืองกรอบแผ่วเบา อคูดัสพลิกหน้ากระดาษเปิดสุ่มจากข้างหลัง ก่อนจะอ่านเนื้อความที่อยู่บนหน้ากระดาษ


             "วันที่3 เดือนตุลาคม ปีค.ศ.2393

                      สวัสดีไดอารี่, คิดถึงเธอเช่นกัน วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่อากาศสดใส และมันก็เป็นวันที่ดีมาก ๆ เพราะอะไรล่ะ? เธอรู้ไหม?"

    .

    .

    .

    "เพราะว่าในที่สุด ก็ไม่มีใครสามารถพรากพี่ชายไปฉันได้แล้วยังไงล่ะ"

             

             น้องสาวของผมนั้นเป็นเด็กที่น่ารัก

             ใสซื่อและเดียงสา ดวงตาของเธอเจิดจรัส

             กระทั่งวันนั้น..ผมถึงรู้ว่ามันคือความวิปริตที่หลบซ่อนไว้มาตลอด


    - Akulus Gianna -


             'เธอเคยมีความรักรึเปล่า?'

             โจลี่จำได้ว่าเคยมีใครบางคนเอ่ยถามกับเธอแบบนั้น..แต่เธอจำไม่ได้หรอกว่าเขาหน้าตาเป็นยังไง ที่จำได้ก็มีเพียงแค่คำตอบของตน

             'มีสิ' ริมฝีปากขยับบอก ดวงตาเหม่อลอย เฝ้าฝันละเมอถึงรักอันหอมหวาน 'ความรักของฉันน่ะวิเศษที่สุดในโลกเลย'


             ความรักของโจลี่..หากจะให้เปรียบเปรยแล้ว มันก็คงเป็นเหมือนกับผลแอปเปิ้ลบนกิ่งก้านของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์, กลิ่นหอมล่องลอยคละคลุ้งอยู่ในสายลม รูปลักษณ์อันชดช้อย ล่อลวงชวนน้ำลายสอ อยากจะเด็ดมาลิ้มรส หากกลับถูกตราหน้าไว้ว่ามันคือความผิดบาป

             พี่ชายของเธอคือผลแอปเปิ้ลผลนั้น

             และเธอปรารถนาเหลือเกินว่าจะได้ลิ้มลองมันแต่เพียงผู้เดียว..


             ชีวิตของโจลี่เหมือนกับบทละครน้ำเน่าสักบท..ตั้งแต่จำความได้ ก็พบว่าน้อยครั้งขนาดที่คงนับนิ้วได้ว่าเธอใช้ขาของตนเดินไปสักกี่ครั้ง..เพราะโรคทางกายที่เป็น ทำให้ไม่สามารถใช้ร่างกายได้อย่างปกติ โจลี่นั่งอยู่บนวีลแชร์เก่ากรุ จ้องมองโลกหมุนไป ในขณะที่ตัวเธอหยุดนิ่ง..นั่นแหละคือความสามัญของเธอ

             โลกทั้งใบนั้นคับแคบและเล็กจ้อย เป็นเพียงพื้นที่ไม่กี่ตารางวาในบ้านหลังเล็ก ที่แม้แต่ในสถานที่สุดท้ายนี้ ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ดั่งใจ มันน่าสมเพชสิ้นดีกับสารรูปแบบนั้น เด็กหญิงวัยเยาว์เคยร้องไห้ออกมาหนึ่งครั้ง ก่อนจะไม่ร้องอีกเลย เมื่อพบว่ามันไม่ได้ทำให้ขาของเธอกลายมาเป็นเหมือนดั่งคนปกติ โจลี่ยังคงพิการ แม้กระทั่งในหัวสมองของเธอ มันก็ไม่ปกติ

             แต่ถึงอย่างนั้น..ก็ยังมีอยู่คนหนึ่งที่ไม่แยแสความผิดปกติเหล่านี้

             "ไม่เป็นไรนะ"

             นั่นคือคำพูดที่เขามักเอ่ยบอกเธออยู่เสมอ พี่ชายของเธอ วางมือลงบนศีรษะนี้แล้วออกแรงลูบเบา ๆ..น่าประหลาดดีที่รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้นมา บีบรัดเข้าหากันจนรู้สึกเจ็บแต่ก็น่ายินดี โจลี่ชอบสัมผัสจากมืออันอบอุ่นของพี่ชายมากจริง ๆ

             โลกที่เหมือนกับถังขยะใบโตนี่ อย่างน้อยที่สุด ก็ยังมีอคูลัสที่เปรียบเป็นดั่งผืนฟ้ากว้างทั้งใบของเธอ..


             มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

             โลกที่หมุนวนผ่านไป สีเทาและดำอันจืดชืด ไม่มีอะไรน่าสนใจสักอย่าง..ท่ามกลางความเบื่อหน่าย กลับมีแสงอันอ่อนโยน ดวงอาทิตย์ดวงโตในร่างมนุษย์ บุรุษที่ไม่คิดรังเกียจหรือเวทนาเธอ เขาคนนั้นคอยส่งยิ้มมาให้ด้วยความห่วงใยเสมอ

             ไม่รู้ว่าควรเรียกความรู้สึกนั้นว่าอะไร..ในตอนแรกเริ่ม โจลี่เพียงแค่คิดว่าถ้าห้วงเวลาทั้งหมดคือตอนที่ได้อยู่กับพี่ชาย เธอก็ขอมีชีวิตให้ยืนยาว อยู่ไปอีกนับสิบนับร้อยปี เพียงเพื่อได้เคียงกายเขา และมองเห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นที่มีให้เธอแค่คนเดียว

             ใช่..มันควรจะเป็นแบบนั้น

             แต่น่าเสียดายที่โลกไม่ได้อนุญาตให้เธอทำตามใจ เพียงเพราะพวกเขาบอกว่ามัน 'ไม่ปกติ' 


             "โจลี่น่ะขาดเรียนบ่อยจนเกินไปแล้วนะคะ ขืนเป็นแบบนี้ มันจะมีปัญหาเอาได้นะ"

             เสียงของอาจารย์ประจำชั้นเอ่ยพูดกับผู้เป็นพ่อยามที่มาเยี่ยมบ้านเธอ โจลี่นั่งอยู่บนวีลแชร์ ถัดจากโซฟาขาด ๆ ที่พ่อนั่งอยู่ ดวงตาก้มต่ำมองฝ่ามือทั้งสองข้างบนตัก ไม่ได้ใคร่สนใจฟังนักว่าจะมีคำครหา ตำหนิติเตียน หรือเรื่องใด ๆ เล็ดรอดเข้าหูเธอมาหรือไม่

             ผู้หญิงคนนั้นอยากให้เธอไปโรงเรียน แต่โจลี่ไม่อยากไป..เธออยากที่จะอยู่กับพี่ชายที่บ้านหลังนี้ ดังนั้นแล้วเธอจึงแกล้งป่วย ใช้สีหน้าวอนขออีกสักหน่อย ไม่นานพ่อผู้แสนใจอ่อนก็ยอมตามใจให้เธอได้หยุดพัก และพี่ชายเองก็เป็นห่วงถึงขั้นมาดูแลอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา

             เธอชอบช่วงเวลาแบบนั้น แต่หล่อนบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดเรียนตลอด เพราะเธอมีหน้าที่ที่ต้องทำ

             'ถ้าอย่างนั้น ออกจากโรงเรียนมาซะก็สิ้นเรื่องแล้วใช่ไหม?'


             เสียงกรีดร้องของเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งดังลั่นไปทั่วตรอกแคบใกล้กับโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง

             ดวงตาคู่นั้นจดจ้องมาที่เธอ เขาดูหวาดกลัวกับภาพที่เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กสาวบนวีลแชร์จงใจใช้คัตเตอร์ในมือทิ่มปักลงไปบนหน้าขาจนเลือดมันไหลอาบท่วมออกมาเต็มไปหมด

             "เธอทำบ้าอะไรของเธอ! เป็นบ้าอะไรห๊ะโจลี่!?" ไมค์ เด็กหนุ่มเกเรที่จงใจเข้ามากลั่นแกล้งเธอแหกปากร้องตะโกนออกมา สีหน้าสั่นผวา

             โจลี่กะพริบตาถี่หลายต่อหลายครั้ง เลือดที่ไหลออกมาทำให้สติติด ๆ ขาด ๆ ลมหายใจเธอแกว่งคล้ายจะสะดุดและเจือจางหายไปได้ทุกเมื่อ แต่เด็กสาวกลับยกยิ้ม..เป็นยิ้มวิปริตเปรอะเปื้อนทั่วใบหน้า

             "ไม่ใช่ฉัน.." โจลี่เอ่ยปากเสียงยานคาง เธอเอื้อมมือไปหาไมค์ คว้ามือเขาเอาไว้ในตอนที่เด็กหนุ่มไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะยัดคัตเตอร์ใส่มือเขา ที่กำลังยืนมองเธอด้วยสีหน้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง

             "นายต่างหากที่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้"


             ไมค์ถูกไล่ออกจากโรงเรียนโทษฐานใช้ความรุนแรง และต่อให้เขาจะพยายามร้องตะโกนโวยวาย เอ่ยปากบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขาซ้ำซากแค่ไหน..มันก็ไม่มีใครเชื่อเขาเลย

             แน่ล่ะว่าระหว่างเรื่องที่ 'นักเรียนจอมเกเรไร้อนาคตทำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมชั้นพิการจนบาดเจ็บหนัก' กับเรื่องที่ว่า 'เด็กสาวพิการกรีดขาตัวเองจนเลือดอาบด้วยคัตเตอร์' ผู้คนย่อมต้องเชื่ออย่างแรก — โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคู่กรณีคือโจลี่ เด็กสาวหน้าตาสะสวย ที่ดูน่าสงสารเหลือเกินบนวีลแชร์เก่า ๆ ตัวนั้น แถมพวกเพื่อน ๆ ในชั้นเรียนก็บอกกล่าวกันเป็นเสียงเดียว ว่าไมค์มักไม่ฟังคำเตือนของใคร และเขาไปกลั่นแกล้งเธออยู่เสมอ

             อันที่จริงไม่ใช่แค่ไมค์หรอกที่พยายามแกล้งโจลี่ แต่ว่านะ..พอถึงคราวจะซวย มันก็แค่อยากให้มีสักคนรับผิดชอบแทนโดยที่ไม่ใช่ตัวเองกันทั้งนั้นแหละ

             ในตอนที่เด็กหนุ่มกำลังร้องไห้ฟูมฟายท่ามกลางเสียงด่าทอของคนเป็นพ่อแม่ และได้รับสายตาหวาดระแวงจากคนรอบตัว โจลี่เพียงแค่นั่งเงียบ ๆ อยู่บนวีลแชร์ตัวเก่าของเธอ ปล่อยให้พี่ชายโอบกอดเธอเอาไว้ และเธอก็กอดเขากลับไป โดยที่ไม่แม้แต่จะสนใจ ว่าไมค์กำลังตะโกนแหกปากด่าเธอด้วยคำพูดที่แสนหยาบคายถึงขนาดไหนออกมา

             โจลี่ไม่สนหรอกว่าเขาจะเป็นยังไง..เด็กคนนั้นก็แค่ดวงซวย ที่ดันเข้ามาแกล้งเธอในวันนั้น มิหนำซ้ำเพราะสันดานแบบนั้น เลยเลือกสถานที่ที่ลับตาที่สุด ปลอดคนที่สุด และง่ายต่อการทำอะไรต่อมิอะไรที่สุด

             เพราะแบบนั้นแหละเขาถึงได้ต้องร่วงหล่นไปทั้งอย่างนั้น

             

             เหตุการณ์โดนทำร้ายร่างกายภายในสถานศึกษายังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ

             ไม่ว่าจะย้ายไปที่ไหน ทุกที่ล้วนแต่มีกลุ่มคนจำพวกที่เรียกว่า 'เกเรจนเสียสันดาน' โจลี่เองก็มักเป็นเป้าหมายให้กับคนกลุ่มนั้นได้เข้ามากลั่นแกล้งความพิการแปลกประหลาดของเธอ และใช่..พวกเขาเองก็เป็นเป้าหมายที่เธอเลือกไว้ ว่าจะใช้เพื่อทำให้ความปรารถนาของเธอเป็นจริง

             คัตเตอร์แหลมคมกรีดลงบนผิวเนื้อ เส้นผมยาวถูกตัดจนแหว่งเละ ใบหน้าบวมช้ำจากการถูกทุบตี และพวกเขาล้วนแต่เป็นคนผิด

             ..แม้ว่าเธอจะเป็นคนลงมือทำทุกสิ่งด้วยมือเธอเองก็ตาม..


             "กลับบ้านเรากันเถอะ"

             ในท้ายสุด ก็ได้ยินเสียงที่แสนรื่นหูเอ่ยออกมาเช่นนั้น พี่ชายไม่อาจทนเห็นภาพน้องสาวถูกทำร้ายได้อีกแล้ว เขากอดเธอแน่น ร้องไห้ออกมาและขอสาบานว่าจะไม่ให้ใครมาทำร้ายเธออีก ก่อนจะตัดสินใจร่วมกับผู้เป็นพ่อ ให้โจลี่ออกจากสถานศึกษา กลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านแทน

             โดยที่ไม่รู้เลยว่า ใต้ใบหน้าหม่นหมองของคนที่เขาโอบกอดเอาไว้ เธอกำลังยกยิ้มขึ้นมาราวกับว่าได้รับของเล่นชิ้นโตมาไม่มีผิด


             โจลี่ชอบเวลาที่พี่ชายเรียกชื่อของเธอ เธอชอบที่เขารักและดูแลเอาใจใส่เธอยิ่งกว่าใคร ดวงตาอันแสนสวย ราวกับบรรจุดารานับล้านไว้ด้านใน เธออยากให้มันจ้องมองมาแค่ที่เธอ..ไม่ว่าอย่างไร ก็อยากจะให้เขาเป็น 'ของเธอ' แค่เพียงคนเดียวเท่านั้นและตลอดไป..

             แต่ทำไมกันนะ, โลกถึงได้พยายามจะแย่งชิงเขาไปจากเธอตลอดเวลาแบบนี้?


             ครั้งแรกที่โลกนี้พยายามจะแย่งชิงเขาไป นั่นคือตอนที่พ่อของเธอ 'บังเอิญ' มาเจอเข้ากับเธอที่พยายามจะใช้มีดในครัวกรีดมือตัวเองให้ดูเหมือนกับอุบัติเหตุ แต่ก็เหมือนว่าเขาจะรู้..ว่าเลือดที่ไหลออกมานั่นน่ะ มันไม่ใช่ความบังเอิญหรอกนะ

             "ทำอะไรน่ะโจลี่!?" คำถามเดิม ๆ ที่พวกเขามักจะถามเธอ ผู้เป็นพ่อพุ่งเข้ามาแย่งมีดแหลมคมไป ดวงตาสั่นระริกหวาดผวา

             อีกแล้ว..เป็นแบบนี้อีกแล้ว

             สายตาพวกนี้ — มีแต่ความรังเกียจ หวาดกลัว ไม่รัก และสมเพช

             "ก็ถ้าทำแบบนี้..พี่เขาจะสนใจ"

             ต้องเป็นเขา เป็นเขาเท่านั้นถึงจะเข้าใจเธอ

             "ก็ถ้าหนูปกติ..พี่เขาจะไม่มาหาหนู"

             เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก จะเจ็บอีกสักเท่าไหร่ก็ได้ ต้องทรมานกว่านี้ก็ไม่เป็นไร เพราะยิ่งเจ็บ, พี่ก็จะยิ่งรักเธอมากขึ้นไง

             ครอบครัวของเรามีกันแค่สามคน..เรามีกันแค่นี้เท่านั้น มีแค่เราที่รักกันและเข้าใจกัน แต่ถึงตอนนี้พ่อจะเริ่มมองเธอแปลกไป มันก็ไม่เป็นไร..เพราะเขาจะต้องเข้าใจเธอ โจลี่รู้ ว่าพ่อจะต้องเข้าใจในความรักที่เธอเทิดทูนเอาไว้ได้อย่างแน่นอน

             หากแต่..

             "ลูกเป็นบ้าอะไร?"

             ทุก ๆ อย่าง — มันกลับขาดสะบั้นลง

             จินตภาพอันสวยงาม แตกสลายและโรยราลงดั่งกระจกที่ถูกทุบ ร่างกายนิ่งงันดั่งถูกสาป โจลี่ทำได้เพียงจดจ้องดวงตาเขม็งมองไปด้วยความสับสนและสงสัย ทำไมกันล่ะ?..ทำไมพ่อถึงพูดออกมาแบบนั้น ทำไมถึงได้ไม่เข้าใจเอาซะเลย

             โจลี่ได้ยินเสียง..เสียงที่เหมือนกับจังหวะหัวใจ มันเต้นระรัว หนักขึ้น แรงขึ้น และเร็วขึ้น มากจนแทบหายใจไม่ออก เด็กสาวงอตัวคู้คุ้ม ยกมือขึ้นขยำเสื้อตรงช่วงอกอย่างแรงราวกับจะควักเอาสิ่งที่อยู่ด้านในออกมาขยำทิ้งเสีย

             "ทำไมลูกถึงได้ทำแบบนี้.."

             ดังขึ้น ดังขึ้น และดังขึ้น

             "มันไม่ถูกต้อง..มันไม่ควรที่จะเป็นแบบนี้เลย โจลี่ ลูก.." เสียงของบิดาสั่นเครือและฟังดูสับสน เขายกมือขึ้นปิดริมฝีปาก พยายามกลั้นก้อนอาเจียนที่พวยพุ่งขึ้นมา ดวงตานั้นพร่าเลือนมองภาพลูกสาวได้ไม่ชัดเจนเอาเสียเลย แล้วท้ายสุด เขาก็หลุดพูดออกมาว่า "ที่นี่..มันไม่ใช่ที่ของลูกอีกแล้ว"

             และแล้วตัวเธอ, ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย

             กร็อบ!!!!

             ร่าง ๆ หนึ่งค่อย ๆ ร่วงโรยลง เข่าสองข้างทรุดลงกับพื้น ฝ่ามือตกขนาบข้างลำตัว เช่นเดียวกับศีรษะที่ถูกบิดจนหันผิดด้าน มันห้อยต่องแต่งไร้ทิศทางหากไม่อาจจะทิ้งตัวนอนราบพื้นได้อย่างที่ควร เพราะเส้นใยประหลาดที่ไม่อาจมองเห็น มันเชื่อมต่อร่างของเขาเอาไว้กับปลายนิ้วเรียวทั้งสิบนั่น

             เสียงหอบหายใจดังหนักหน่วง ดวงตาเบิกกว้างตกตะลึงมองภาพตรงหน้าที่เห็น โจลี่ค่อย ๆ คลายมือที่กำแน่นออก แล้วใยนั่น..ใยที่มีแค่เธอที่เห็นมาแต่แรก มันก็ปลดปล่อยพันธนาการร่างของบิดาเธอลง ให้ผู้เป็นพ่อได้นอนหลับใหล จากลาไปอย่างไม่อาจหวนกลับมาได้อีก

             "พระเจ้า.."

             เด็กสาวพึมพำ ยกมือขึ้นปิดใบหน้าช่วงล่าง ห่อตัวลงและพยายามใช้ฟันขบกัดริมฝีปากตนเอาไว้

             เพราะมันวิปริตสิ้นดี  ที่ตอนนี้เธอกำลังยิ้มออกมาอย่างไม่อาจห้ามตนเองไว้ได้เลย.


             ไม่ว่าใครก็จะมาพรากพี่ชายไปจากเธอไม่ได้

             จะเป็นพ่อที่ไม่เคยเข้าใจอะไร จะเป็นเพื่อนของพี่ชายงี่เง่าที่ชอบมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ หรือจะเป็นงานพิเศษเส็งเคร็งที่ทำให้เขาแทบไม่กลับบ้าน..ไม่ว่าอะไรก็ตาม โจลี่จะไม่ยอมให้มันมาพาพี่ชายของเธอไป เพราะเขาจะต้องอยู่กับเธอเท่านั้น

             ความรู้สึกมากมาย ปรากฏขึ้นเหมือนกับเพลิงร้อนที่แผดเผาอยู่ในอก หลอมละลายจิตวิญญาณของเธอไปทีละน้อย

             โจลี่รู้ดีว่าทุกอย่างที่เธอทำมันผิดบาป แต่เมื่อได้ลิ้มลองรสชาติความหวานของผลไม้ต้องห้ามนั้นไปเสียหนึ่งครั้ง ก็มีแต่จะละโมภอยากได้มากขึ้นไปอีก..จากแรกเริ่มที่แค่คิดว่าให้อยู่ข้างกายกันไปเรื่อย ๆก็พอแล้ว สุดท้ายมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น โจลี่ไม่เคยรู้สึกพอเลย เธออยากให้เขารักเธอ ให้เติมเต็มหัวใจดวงนี้เสีย และเธอไม่ต้องการให้พี่ชายเรียกชื่อใครหรือมองผู้ใดอีกแล้วนอกจากเธอ

             พี่ชายน่ะ..เป็นของเธอแค่คนเดียว

             แต่ทั้งที่มันเป็นแบบนั้น — ทำไมทุกคนถึงได้ไม่เข้าใจอะไรเลย..


             ไม่เว้นแม้แต่พี่ชายของเธอเองก็ด้วย


             เปรี้ยง!

             สายฟ้าเส้นโตฟาดผ่าลงมา ก่อนสายฝนจะโหมกระหน่ำโปรยปรายกระทบพื้นก่อเกิดเสียงดังน่ารำคาญไปหมด แสงไฟสั่นคลอนตอนหลอดไฟโยกไหว ดวงตาคู่งามสองคู่จดจ้องกันและกันอยู่เช่นนั้น ท่ามกลางบรรยากาศที่หนักอึ้งไปหมด

             "โจ.." เป็นอคูลัสที่เอ่ยออกมาเป็นคนแรก น้ำเสียงของเขาแหบพร่า สั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด

             โจลี่ไม่ได้ตอบอะไรเขา เด็กสาวบนวีลแชร์หลุบสายตาต่ำ เห็นสมุดไดอารี่ของเธออยู่ในมือเขา และมันถูกกำเอาไว้แน่น มากซะจนตัวกระดาษยับยู่แทบแหลกคามือ แน่นอน..เธอรู้ว่าเขาไม่ได้ทำแบบนั้นเพราะกลัวหรือว่าตกใจที่อยู่ ๆ เธอก็โผล่ออกมาหรอก

             แต่มันเป็นเพราะเขาขยะแขยงสิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้ในนั้นต่างหาก

             "รู้แล้วใช่ไหม" เด็กสาวพึมพำ ค่อย ๆ เหลือบตาขึ้นมอง "รู้ทุกเรื่องเลยสินะ?" เอ่ยถามออกไปเช่นนั้น จดจ้องเพื่อเฝ้ารอคำตอบจากอีกฝ่าย แต่มันไม่ใช่แค่เรื่องในกระดาษที่ถูกเขียนเอาไว้ที่เธอกำลังเอ่ยถาม โจลี่หมายถึงตลอดเวลาที่ผ่านมาต่างหาก

             เพราะเธอเฝ้ามองพี่ชายของเธออยู่เสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม, เช่นนั้นแล้วทำไมโจลี่ถึงจะไม่รู้ตัวล่ะ? ว่ามีสายตาเคลือบแคลงคอยจดจ้องมาที่เธอตลอด..

             "ทำไม.."

             "ทำไมถึงทำแบบนี้น่ะเหรอ?" ก่อนที่คนตรงหน้าจะพูดจบ เธอก็เอ่ยแทรกออกไป "ก็เพราะว่ารักพี่ไง"

             เสียงฟ้าผ่าดังซ้ำซากจนน่าหงุดหงิด

             เด็กสาวใช้ฝ่ามือของเธอเข็นล้อรถวีลแชร์ให้มันขยับไปด้านหน้า มุ่งเข้าไปหาพี่ชายที่ยืนตัวสั่นเทิ้มราวลูกนก ทุกครั้งที่ล้อยางบดเบียด ก็เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด และด้วยระยะเพียงเท่านี้ ไม่นานก็เข้ามาประชิดตัวได้แล้ว โจลี่จ้องมอง เห็นพี่ชายที่กำลังยกมือกอดตัวเองไว้แน่นหมายหยุดอาการสั่นทั่วร่าง

             "ทำได้ยังไงกัน"

             "...."

             "เธอ..ฆ่าพ่อของเราไปได้ยังไง?"

             มีเสียงที่เหมือนกับจังหวะหัวใจดังขึ้นในหัวของเธอ..และมันกำลังดังขึ้นเรื่อย ๆ

             "ก็แค่หักคอเขา"

             ร่างตรงหน้าสะดุ้งโหยง อคูลัสเงยหน้ามองเธอคล้ายกับว่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

             "เขาจะพาพี่ไปจากหนู" หากเด็กสาวก็ยังไม่แยแส เอ่ยต่อไปและทำสีหน้าเช่นว่าทุกอย่างที่เธอทำไปนั้น มันถูกต้องแล้ว

             ความรักของเธอไม่ใช่ความผิดบาป

             "คน ๆ นั้นนั่นแหละที่ผิด..เพราะแบบนั้น ถึงควรที่จะหายไป"

             มันสวยงาม หอมหวาน และวิเศษที่สุด

             "อย่ากลัวเลยนะ พี่" เด็กสาวพยายามยกยิ้ม เป็นยิ้มแบบที่พี่ของเธอชอบที่สุด "เพราะหนูจะไม่ทำร้ายพี่.."

             เอื้อมมือออกไปหาเขา คาดหวังให้เขารับมันไปจับเอาไว้เหมือนอย่างเช่นทุกครา

             "ถ้าพี่อยู่กับหนูตลอดไปล่ะก็ —"

             เพี๊ยะ!!

             แต่ฉันบอกเธอแล้วไง..ว่าทุกคนล้วนแต่อยากจะพรากพี่ชายคนนั้นไปจากเธอ

             ฝ่ามือทุกสะบัดทิ้ง เสียงกรีดร้องที่ฟังดูหวาดกลัว ก่อนที่พี่ชายที่เธอรักยิ่งกว่าใคร จะพยายามวิ่งหนีไปจากบ้านหลังนี้..ไปจากเธอ..หนีไปจากเธอเพราะไม่อาจยอมรับในสิ่งที่ 'ผิดบาป' นี้ได้อีกต่อไปแล้ว

             โจลี่ได้ยินเสียงได้บางอย่างดังอยู่ในหัว..และมันดังขึ้นเรื่อย ๆ

             "พี่.." เด็กสาวหันกลับไปมอง พยายามใช้มือเข็นวีลแชร์เพื่อตามร่าง ๆ นั้น "อย่าไปนะ.."

             อย่าหนีหนูไป..อย่าทำแบบนี้

             โครม!!

             เสียงกระแทกดังลั่น ร่างที่พยายามเอื้อมมือไขว่คว้าไปด้านหน้า ร่วงหล่นลงมาจากพาหนะเพียงหนึ่งเดียวของเธอ โจลี่รู้สึกเจ็บ มันชาวูบและเธอก็ได้กลิ่นสนิม แต่เด็กสาวกลับไม่ใส่ใจแม้จะยกมือขึ้นซับหยดเลือดจากปลายจมูก รีบหันไปมองหาพี่ชายคนนั้นเพื่อเอ่ยปากรั้ง

             "พี่!!"

             เด็กสาวร้องตะโกนก้อง เช่นเดียวกับฝ่าเท้าของอคูลัสที่หยุดลง

             เขาหันกลับมาหาเธอ ดวงตาสั่นคลอน ทั้งเจ็บปวด หวาดกลัว ผิดหวัง และโศกเศร้า ความรู้สึกมากมายผสมผสาน..โจลี่พยายามที่จะเอื้อมมือไปหาเขา เธอเฝ้าขอร้อง ได้โปรดเถิด ได้โปรด อย่าไปเลย ขอร้อง จับมือหนูเอาไว้ได้ไหม..

             แต่สุดท้ายแล้วเขาก็จะจากเธอไป..อคูลัสพึมพำคำว่า "ขอโทษ" แผ่วเบา และพยายามจะหันหลังกลับไป

             และตอนนั้นเอง, ที่เธอไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย

             "หนูบอกว่าอย่าไป!!!"

             พรึ่บ —!!

             เสี้ยววินาทีที่เรากำลังจะละสายตาออกจากกัน มันกลับมีกระแสบางอย่างไหลพล่านจากออกมาพร้อมกับเสียงตะโกนของเธอ มันพุ่งเข้าหาอคูลัส พลันประกายแสงในดวงตาคู่นั้นก็มอดดับลง..เลือนหายไป และร่วงหล่นเหมือนกับผีเสื้อที่ถูกเด็ดปีกในท้ายสุด..

             โจลี่จ้องมองร่างของพี่ชายค่อย ๆ ล้มลงกระแทกพื้น หัวใจของเธอบีบรัดแน่น ความสั่นกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่าง

             สองมือพยายามพาร่างตัวเองคลานเข้าไปหาอีกฝ่าย โจลี่หอบหายใจหนัก รู้สึกเจ็บไปทั่วอก มือสั่นระริกยกขึ้นสัมผัสลงบนร่างที่นอนแน่นิ่ง อคูลัสหลับไป..ด้วยเหตุผลบางอย่าง ด้วยพลัง..

             พลัง..ของเธอ?

             "ไม่..ไม่.."

             เด็กสาวซบตัวลงกับร่างของพี่ชาย โอบกอดเอาไว้ ฝังใบหน้าลงกับช่วงอก..เธอได้ยินเสียงหัวใจของเขา มันเต้นอยู่เช่นนั้น หากแผ่วเบาจนเสมือนว่ากำลังมอดดับ และเขากำลังจะตาย ด้วยสองมือของเธอเอง


             ในตอนนั้น โจลี่ไม่รู้เลยว่าร่างที่กอดอยู่แท้จริงยังมีชีวิตหรือเป็นเพียงซากศพ

             สิ่งที่เข้าใจ ก็มีแค่เรื่องที่เธอสูญเสียพี่ชายไป..ตลอดกาล


             นับจากวันนั้น ก็ไม่ได้เจอพี่ชายอีกเลย

             หนึ่งปี..สองปี..สามปี..เวลาผ่านไปอย่างไร้ความหมาย

             โลกกลับไปเป็นสีสันที่จืดชืด ไม่หลงเหลือความสวยงามใด ๆ อีกแล้ว หรือต่อให้มี, ผู้คนที่ไหลเวียนผ่านเข้ามาในชีวิต ก็ไม่อาจทำให้รู้สึกอบอุ่นในหัวใจได้เหมือนกับที่พี่ชายของเธอทำได้เลย


             หมับ!

             ร่างที่กำลังร่วงจากวีลแชร์ถูกช่วยรับเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด หญิงสาววัยยี่สิบเอ็ดจ้องมองพื้นที่ค่อย ๆ ถอยห่างจากตัวเธอ นั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ความสับสนก่อเกิดในหัว มีใครบางคนช่วยเธอไว้ก่อนที่จะล้มลง..?

             สัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา ใครคนหนึ่งย่อกายลงนั่งจนระดับความสูงเทียบเท่ากับเธอบนวีลแชร์ ดวงตาสีทมิฬหม่นแสงช้อนขึ้นมองคน ๆ นั้น พลันเสมือนโลกหยุดนิ่ง ดวงตาเบิกกว้างตกตะลึง จ้องมองสายตาห่วงใยที่ได้รับและชวนให้คิดถึง

             "พี่..?"

             เผลอพลั้งหลุดปากพูดไป หากอีกฝ่ายกลับแสดงสีหน้ามึนงงต่อสรรพนามที่ถูกเอ่ยขานเรียกตนจากปากเธอ

             ชายหนุ่มตรงหน้าดูประหลาดใจที่ถูกเรียกแบบนั้น เขาลุกลี้ลุกลนพยายามทำอะไรสักอย่าง ก่อนจะหยิบกระดาษออกมาเขียนข้อความลงไป

             'ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหมครับ?'

             โจลี่ไล่สายตาอ่านข้อความนั้นเพียงชั่วขณะ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปกวาดตาสำรวจอีกฝ่ายอีกครั้ง จากนั้นดวงตาจึงหม่นแสง ใบหน้าก้มลงต่ำจนเส้นผมตกลงหลบซ่อนดวงตาเอาไว้ได้หมดจด

             "ไม่เป็นไร.."

             กระซิบบอกออกไปแผ่วเบาหลังจากได้อ่านคำถามนั้นสักหนึ่งนาที ต่อมานางพยาบาลก็เข้ามาหาพวกเรา กล่าวขอโทษชายแปลกหน้า แล้วช่วยเข็นวีลแชร์ของเธอ เพื่อที่จะได้พาหญิงสาวกลับไปยังห้องพักผ่อน

             โจลี่หันกลับไปมองคนที่ช่วยเธอเอาไว้อีกครั้ง และพบว่าเขาเองก็กำลังมองมาที่เธอ ดวงตาของพวกเราสบกัน

             และดวงตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยความห่วงใย..มันทำให้เธอคิดถึงพี่ชายของเธอมากเสียเหลือเกินจริง ๆ..


             ความรักของฉันมันไม่ใช่ความผิดบาป

             เพราะมันบริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบ และไม่มีวันเสื่อมสลาย

             แล้วเหตุใดกันเล่า..รักนั้นถึงได้จากลาไปเสียทุกที?


    " you said you loved me. and then, you left me here alone. "

    - Jolie Gianna -

            
    Z K T
       
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×