ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ☼ il était une fois ☼

    ลำดับตอนที่ #1 : il était une fois - the princess fall in love the sky.

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.พ. 62



    ยินดีต้อนรับทุกๆ ท่านสู่วงล้อมนิทานของผม
    วันนี้ผมอยากจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้คุณฟัง มันเป็นเรื่องของเจ้าหญิงคนหนึ่ง
    เรื่องราวของเจ้าหญิง..ที่อาศัยอยู่ภายในห้องพักสีขาวกับความทรงจำที่ขมพร่าเหมือนกับรสชาติของกาแฟ

    [ ก า ล ค รั้ ง ห นึ่ ง 
    เ จ้ า ห ญิ ง ไ ด้ ต ก ห ลุ ม รั ก ท้ อ ง ฟ้ า ]

          


    ✿  A p p l i c a t i o n  

    [ 1st ] 
    the tale told about her story - The lady who grows up with the smile, imagination and dream.

    "because I fall in love the sky like the cloud fall for sun
    same with the big moon love the blue ocean."

    - (เพราะฉันตกหลุมรักท้องฟ้า เช่นเดียวกับก้อนเมฆที่ตกหลุมรักพระอาทิตย์
    เหมือนกับพระจันทร์ดวงโต ที่รักท้องทะเลสีน้ำเงิน) -

    ______________________________

    I M A G I N E  ll  D R E A M  ll  S M I L E
     


    'princess of the dream, the girl in wonderland, pleasure in smile'

    Couple :: Hyuuga Junpei ll Almond.


    ชื่อ :: อิซาเบลล่า ไดนาดิน ll Isabella Dynadin

     
    ชื่อเล่น :: เบลล์ ll Bell *ทุกๆ คนมักเรียกเธอด้วยชื่อนี้เสมอ*

     
    ความหมายของชื่อ :: 
               อิซาเบลล่า - ผู้ซื่อสัตย์ต่อพระผู้เป็นเจ้า ll ไดนาดิน - อัศวิน ll ฮิซาเบลล่า ไดนาดิน - อัศวินผู้ซื่อสัตย์ของพระผู้เป็นเจ้า
     

    อายุ :: 24ปี
     

    ลักษณะรูปร่างหน้าตา ::

    "คุณคงได้ยินเรื่องราวของเจ้าหญิงมามากมาย..ถ้าอย่างนั้น คุณเคยพบกับเธอรึเปล่า..?"

               รูปร่างของเธอเล็ก บอบบาง และน่าทะนุถนอม เธอดูเหมือนตุ๊กตาเเก้ว ผิวขาวนวลเนียนละเอียด มันนุ่มมาก..เหมือนกับผิวของเด็ก ดวงหน้าที่เล็ก โครงรูปหัวใจทำให้ดูน่าเอ็นดู ผมชอบดวงตาของเธอมาก มันโตเหมือนกวาง มีสีที่เหมือนกับสีของดวงดาว เป็นสีเงินสกาวใสที่เจิดจรัส ถ้าคุณจ้องมองเข้าไปในนั้น คุณจะเห็นกลุ่มดาวที่บิดพลิ้วอยู่ด้านใน งดงามมากใช่ไหม? ขนตาของเธอหนาและงอน มันเป็นแพสวย เหมือนกับเรียวคิ้วที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ จมูกเล็กๆ ของเธอดูน่ารักในรูปของทรงหยดน้ำที่รั้นขึ้นเล็กน้อย ผมชอบริมฝีปากของเธอ สีที่เหมือนกับเชอร์รี่บลอสซั่ม ชอบที่สุดก็คือรอยยิ้ม และ ผมหวังว่าสักวันเธอจะยิ้มให้ับกผมเหมือนกับที่ยิ้มให้เหล่าท้องฟ้า ดวงตะวัน พระจันทร์ และมหาสมุทรสุดที่รักของเธอ
               กลิ่นที่เหมือนกับวานิลลา มันเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ติดอยู่กับเส้นผมเส้นเล็กละเอียด สัมผัสของมันเหมือนไหม ถักทอเป็นเส้นเรียวยาวระต้นคอ ผมของเธอเป็นลอนนิดหน่อย มันทำให้เธอดูเหมือนกับตุ๊กตาที่สร้างโดยจิตกรเอก โดยเฉพาะสีของเเพลทตินั่มบลอนด์ที่สวยงาม วินาทีแรกที่ได้เจอหน้า เชื่อผมเถอะว่าคุณจะตกหลุมรักในภาพรักแสนบอบบางนั้นเข้าอย่างจัง

    ถ้าให้เปรียบเปรย เธอดูเหมือนกับเจ้าหญิง
    บางทีอาจจะเป็นเจ้าหญิงหิมะ..หรือคงเป็นเจ้าหญิงฟันน้ำนม
    - เอาเถอะ เธอจะเป็นอะไรผมก็ชอบมันทั้งนั้นนั่นแหละ -
     

    ลักษณะคำพูด ::

    "ผู้คนน่ะบอกว่าเสียงของเธอเพราะเหมือนนกไนติงเกล"

               ครั้งหนึ่งเคยมีใครสักคนได้สนทนากับเธอ..เสียงที่หวานและเล็ก นุ่มนวลและแผ่วเบา มันเหมือนกับเสียงของนกไนติงเกลที่ขับขานบทเพลงรับกับรุ่งอรุณใหม่ที่มาเยือน ความไพเราะประหนึ่งว่าระฆังแก้วถูกเคาะลงด้วยไม้คทาในเทพนิยาย  โทนเสียงของเธอเรียบลื่นเป็นปกติเสมอ ระดับเสียงของเบลล์ค่อนข้างเบา หลายครั้งที่ทุกคนต้องเงียบเสียง แล้วเงี่ยหูฟังหญิงสาวตัวเล็กคนนี้ขยับริมฝีปากพูดบางสิ่ง จังหวะของเธอค่อนข้างช้า และบางครั้ง มันก็จะวรรคออกเป็นช่วงๆ เพราะเธอไม่สามารถนึกคำออกมาได้ คุณอาจนึกรำคาญเวลาที่มีคนมาพูดจาอืดอาดต่อหน้าคุณ แน่นอนว่าเบลล์เป็นคนแบบนั้น ดังนั้นแล้วเธอถึงได้ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ แต่เด็กคนนี้จะหัวเราะอยู่เสมอเพื่อตอบรับคำพูดของคุณ มันเป็นเสียงหัวเราะที่เรียกได้ว่าค่อนข้างเบา แต่แฝงด้วยความละมุนที่ทำให้โลกดูเหมือนกับจะถูกสายน้ำโอบอุ้มไว้ เพราะแบบนั้น ผมถึงได้ชอบเวลาที่เธอหัวเราะออกมาที่สุด
               เบลล์ชอบแทนตัวว่า เรา แต่บางครั้งเธอก็แทนตัวเองว่า ฉัน กับอะไรที่เป็นพิธีการ หญิงสาวคนนี้ไม่ได้มีลักษณะภาษาที่สุภาพในกรอบมารยาทไปซะหมด คำพูดของเธอมีความเป็นกันเอง และในสายตาคนอื่น บางครั้งเธอก็ดูเหมือนคนชอบพูดเพ้อเจ้อ เบลล์ชอบที่จะเรียกคนอื่นด้วยชื่อ เธอรัก และยินดีที่พวกเขาจะขานเสียงตอบรับตอนตนเรียกพวกเขาด้วยชื่อของเขา เด็กคนนี้ไม่มีหางเสียงในรูปประโยค แต่โทนเสียงของเธอก็พอบอกได้ถึงความเคารพเช่นกัน
               เสียงใสๆ พวกนี้ไม่ค่อยเปลี่ยนโทนจังหวะเท่าไรนัก กระทั่งในตอนที่โกรธหรือเศร้า เบลล์มักไม่พูดอะไรในตอนที่เธอรู้สึกไม่ดี ไม่แม้แต่จะหัวเราะ มันเป็นการง่ายที่จะสังเกตว่าเธอรู้สึกอย่างไร และภาพของเจ้าหญิงแสนสวยที่นั่งเงียบไม่กล่าวคำจาใดๆ ด้วยดวงตาหมองเศร้านั้น เชื่อผมเถอะว่า คุณต้องไม่อยากเห็นมันอย่างแน่นอน

    }}ตัวอย่างประโยคสนทนา{{

    "อิซาเบลล่า เราชื่ออิซาเบลล่า" รอยยิ้มน้อยๆ แย้มออกมาประดับดวงหน้าน่ารัก เสียงหวานใสเอื้อนเอ่ยด้วยความเป็นกันเองเมื่อมีคนเข้ามาทำความรู้จักด้วย

    "เราเรียนรู้ไม่ไวเท่าไหร่ ถ้าตามไม่ทัน ช่วยสอนเราด้วยนะ" หญิงสาวยิ้มแหยพลางหัวเราะแหะๆ ออกมา ดวงตาสีเงินใสสบมองมาอย่างคาดหวังและหมายฝากเนื้อฝากตัว

    "ช่วยเราหน่อยได้ไหม ครั้งนี้ครั้งเดียว อ๊ะ ไม่..ครั้งแรกก็ได้ แต่ช่วยเราหน่อยนะ นะ นะ" ดวงตากลมช้อนมองส่อแววขอร้อง มือเล็กเกี่ยวปลายเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้เเน่น ราวกับกลัวที่พึ่งสุดท้ายของเธอจะหายวับไปต่อหน้า

    "ไม่ได้..เหรอ?" กลีบปากบางเม้มเข้าหากัน นิ้วมือเล็กสอดประสานระหว่างเรียวนิ้วเล็ก ใช้ปลายนิ้วโป้งทั้งสองถูกันไปมาทั้งหลุบตาขึ้นมองเป็นระยะๆ เพื่อออดอ้อน

    "อีกฝากของสายรุ้งมีอะไรอยู่กันเหรอ.." เสียงหวานพึมพำแผ่วเบา ใบหน้าโครงหัวใจแนบอยู่กับฝ่ามือทั้งสองข้าง หญิงสาวมองไปยังสุดขอบฟ้า สายรุ้งสีจางพาดจรดอยู่ในคลองสายตา "จะมีความสุขอยู่ที่นั่นรึเปล่านะ?"

    "ช็อกโกแลต..อื้ม ช็อกโกแลตหวาน แล้วก็.." หญิงสาวเงียบเสียงลง ครุ่นคิดอยู่อึดใจ คิ้วเรียวของเธอขมวดมุ่นเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี "บางที..น่าจะขมด้วย ล่ะมั้ง?"

    "....." เบลล์นิ่งไปชั่วอึดใจ เธอมองหน้าคู่สนทนา หลุบตาไปทางซ้าย ก่อนจะร้องอ้อออกมา "หมายถึงยากิโอระใช่รึเปล่า? อ้าว..ไม่ใช่เหรอ.." หญิงสาวทำหน้างง เกาศีรษะแกร่กๆ พลางบุ้ยปาก จะว่าไปผมว่าบางทีเธอคงอยากพูดว่า ยากิโซบะ มากกว่าแฮะ..

     

    ส่วนสูง :: 153 ซม. 
     

    น้ำหนัก :: 40 กก.
     

    อาชีพ :: จิตกร วิจิตศิลป์แบบอิมเพรสชั่น [ รูปแบบลักษณะแบบงานสไตล์ van gogh ]
     

    วันเกิด :: 3 มีนาคม
     

    ราศี :: ราศีกุมภ์
     

    กรุ๊ปเลือด :: AB
     

    ลักษณะนิสัย ::

    "ผมกำลังจะเล่าเรื่องราวของเด็กสาวคนหนึ่ง แต่ก่อนอื่น ผมอยากให้คุณรู้จักเธอซะก่อน..
    คุณสามารถเปรียบเปรยเธอกับอะไรได้หลายอย่าง แต่ เจ้าหญิงของผม..เธอยังคงเป็นเจ้าหญิงของผม
    เด็กคนนี้น่ะ มีความเป็นตัวเองที่ไม่เหมือนใคร "

    .....................................................................

    " ตุ๊กตาตัวน้อยที่น่าทะนุถนอม "

               ถ้าคุณได้ลองเจอกับหญิงสาวที่ชื่อ อิซาเบลล่า ไดนาดิน สักครั้งหนึ่งในชีวิต ผมเชื่อว่าคำอุทานแรกที่คุณอยากจะพูดนั่นก็คือ พระเจ้าช่วย..เพราะเธอคนนี้..งดงามอย่างถึงที่สุด น่ารักอย่างที่ไม่อาจมีคำใดมาบรรยาย ดูราวกับตุ๊กตาเรซิ่นราคาแพงของพวกเศรษฐีรวยล้นฟ้า รูปร่างเล็ก บอบบาง น่าถนอม ผิวขาวและริมฝีปากสีเชอร์รี่บลอสซั่ม เธอดูเหมือนกับเจ้าหญิงบนยอดหอคอยที่รอคอยอัศวินของเธออยู่บนนั้น เบลล์น่ารักมาก ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาของเธอหรือการกระทำก็ตาม เธอไม่ใช่คนที่เข้าหาง่าย แต่การได้มองเธอห่างๆ กลับทำให้คุณรู้สึกมีความสุขได้อย่างน่าเหลือเชื่อ หญิงสาวคนนี้มีรอยยิ้มให้กับธรรมชาติและสิ่งไม่มีชีวิตทั้งหลาย ไล่ตั้งแต่สุนัข แมว นก ลามไปจนถึงท้องฟ้าหรือพระอาทิตย์ รอยยิ้มที่แบบาง อ่อนหวานและงดงาม มันเหมือนกับจะทำให้คุณตกหลุมรักเธอได้อย่างง่ายดายในตอนที่เฝ้ามองภาพนั้น และเมื่อคุณได้สบตากับเธอ ทุกอย่างจะเหมือนกับว่าหยุดหมุน และลอยเคว้งไปสู่อวกาศที่เต็มไปด้วยกลุ่มดาวที่งดงามเกินกว่าจะบรรยายในแก้วตาแสนสวยนั้น

    " เทพธิดาที่แสนบริสุทธิ์และขาวสะอาด "

               คุณว่าคนๆ หนึ่งจะใสสะอาดดูราวกับไม่เคยผ่านความเลวร้ายใดๆ มาก่อนเลยได้รึไม่? ถ้าเกิดว่าคุณส่ายหน้าล่ะก็..ผมอยากให้คุณลองพิจารณาดูหญิงสาวคนนี้สักครั้ง เธออายุยี่สิบกว่าแล้ว แต่ทั้งใบหน้า การกระทำ และคำพูด มันเหมือนกับเธอเป็นเด็กสาวแรกรุ่นที่เพิ่งแย้มบาน ผ้าขาวที่สะอาดสะอ้านปราศมลทิน นั่นคือสิ่งที่ทุกคนคิดเมื่อได้ใกล้ชิดกับเบลล์ พวกเขาบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า โลกของเธอนั้นสร้างมาจาก สายรุ้ง เครื่องเทศ และสารพัดของกุ๊กกิ๊ก เบลล์มองโลกในแง่ดีจนน่าประหลาด เหมือนกับเธอไม่เคยสัมผัสโลกเบื้องนอก พวกเขาต่างตั้งคำถามว่า ทำไมคนวัยยี่สิบกว่าถึงได้เห็นทุกอย่างเป็นสีขาวสะอาด? นั่นสินะ..มันคงเป็นอะไรที่ยากจะเข้าใจหากไม่ได้ลองเป็นเด็กคนนั้น อย่างไรก็ตาม นิสัยส่วนนี้ของเธอทำให้ผมหนักใจ เธอใสซื่อเกินไป..บริสุทธิ์เกินไป..มันเหมือนกับว่าเธอจะถูกหลอกได้ทุกเมื่อ ก็ได้แต่หวังว่าเธอจะถูกขัดเกลาให้ทันคนขึ้นมาซะบ้างทีละนิดทีละหน่อยในชีวิตที่เหลือนี้

    " เธอโกหกไม่เป็น เพราะเธอไม่รู้ว่าอะไรคือคำโกหก "

               เรื่องที่น่าหนักใจอีกอย่างของผู้หญิงคนนี้ นั่นคือ เธอโกหกไม่เป็น เบลล์เป็นคนซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเองเสมอ เธอโกหกไม่เป็น แสดงละครไม่ได้ ให้ปิดบังสีหน้าก็ทำได้ไม่ดีเอาซะเลย ใบหน้าน่ารักนั้นมักจะส่อทุกอารมณ์ที่เธอรู้สึกออกมาเสมอ ผู้คนบอกกับผมว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ ผมไม่เคยเชื่อจนกระทั่งมาเจอกับเธอ ทั้งเบื่อหน่าย ยินดี สนุกสนาน และมีความสุข มันแสดงออกมาอย่างชัดเจนทางใบหน้าที่งดงามนั้น และมันยากสำหรับเธอที่จะให้ไปหลอกลวงความรู้สึกของตัวเอง เพราะเธอไม่รู้ ว่าอะไรที่เรียกว่าคำโกหก อย่างที่ผมบอก บางทีโลกที่เธอเติบโตมาคงเเตกต่างกับโลกของทุกคนมาก..ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่เคยตามใครทัน และไม่เคยรู้ตัวเลยเวลาที่ถูกใครสักคนโกหก เมื่อสิ่งที่รู้ไม่เป็นดั่งที่ทราบ เบลล์ก็มักครุ่นคิดสงสัยว่าทำไม? แต่เธอไม่เคยหาคำตอบให้ตัวเอง เพราะอะไรที่มันหนักอก เบลล์ไม่เคยคิดจะเก็บเอามันมาคิดใส่ใจ เธอปล่อยมันไปกับสายลม ถ้าให้พูดแบบภาษาบ้านก็คือ ช่างมันทุกเรื่องที่น่าปวดหัว ผมชอบนะ เพราะบางทีคนเราก็คิดมากจนเกินไป ลองเอาแบบอย่างเด็กคนนี้บ้างก็ดี อะไรหนักก็ทิ้ง อะไรเหนื่อยก็ไม่ต้องสน ชีวิตมันคงสบายขึ้นเยอะ

    " เสียงของเธอหวาน แต่ไม่ค่อยมีใครได้ยินมันร้อยเรียงเป็นถ้อยคำสักเท่าไหร่ "

               เบลล์เป็นคนที่พูดไม่เก่งเอาซะเลย จังหวะการพูดของเธอช้า และบางทีก็อ้ำอึ้ง สมองของเธอก็รันผลได้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ในเรื่องของการสื่อสาร เบลล์มีปัญหาบกพร่องด้านความจำและการสื่อสาร นั่นทำให้เธอมักหลงๆ ลืมๆ การออกเสียงกับรูปคำ ทำให้การพูดกับเธอเป็นอะไรที่เรียกได้ว่าต้องใช้ความอดทนสูง เพราะนอกจากเบลล์จะพูดช้าแล้ว เธอยังเสียงเบามากๆ ด้วย ผมว่าถ้าเกิดคนที่คุยด้วยไม่ความอดทนสูงมาก การนั่งคุยกับเด็กคนนี้นานเกินสิบนาทีอาจจะทำให้คุณประสาทกิน..น่ารักขนาดไหน ความรำคาญก็อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างนั่นแหละ เบลล์ไม่ใช่ข้อยกเว้นแบบพวกเด็กฝึกพูดที่อ้อแอ้ไปคนเขาก็ไม่ว่า เธอยี่สิบสี่แล้ว ทุกคนบอกว่ามันบ้ามากที่ผู้ใหญ่จะยังมีทักษะการพูดที่ห่วยแตกอยู่แบบนี้ ดังนั้นเวลาที่เธอเปิดปากพูด มันเลยมีบ้างที่มีคนมาหัวเสียใส่เธอ..ซึ่งมันทำให้เธอนอยน์พอสมควรเวลาโดนหงุดหงิดใส่เพราะอะไรเเบบนี้ เบลล์บอกกับทุกคนเสมอว่าเธอไม่ใช่คนช่างพูด แต่นั่นไม่ใช่เพราะเธอไม่ชอบ มันเป็นเพราะว่าเธอกลัวต่างหากว่าคนพวกนั้นจะรำคาญ..น่าสงสารเจ้าหญิงน้อยของผม จิตใจเธอบอบบางไม่ต่างจากรูปลักษณ์ที่เหมือนตุ๊กตาแก้วนั้นเลย

    " เธอบอกกับทุกคนว่า รอยยิ้มและเสียงหัวเราะคือยาวิเศษ "

               มีสำนวนหนึ่งกล่าวไว้ว่า เสียงหัวเราะคือยาวิเศษที่ดีที่สุด และผมก็คิดว่ามันไม่ผิดซะทีเดียว..เบลล์คือข้อพิสูจน์นั้น ในเวลาที่ต้องสนทนากับผู้อื่น เธอมักหัวเราะออกมา คุณรู้ไหมว่าทำไม? ก็เพราะว่าเธอรู้ตัวน่ะสิว่าเสียงหัวเราะของเธอสามารถสร้างความสุขให้ผู้อื่นได้ เรื่องดีหนึ่งอย่างของเบลล์คือเธอรู้จุดด้อยจุดเสียของเธอดี ถึงจะหัวช้าไม่ทันคนไปซะบ้าง เธอก็ปรับตัวไปกับอะไรหลายๆ อย่างได้ดีพอสมควรเลย..มันทำให้ผมค่อนข้างวางใจขึ้นมาได้บ้าง ว่าเธอจะไม่กลายเป็นลูกแกะบูชาในโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้ เบลล์ใช้เสียงหัวเราะของเธอเยียวยาทุกคนเสมอ ถ้าคุณเคยได้ฟังเสียงหัวเราะของเธอ ความหวานนุ่มหูนั้นมันจะทำให้เหมือนคุณถูกสะกดไปชั่วอึดใจเลยล่ะ..แต่ในขณะที่เธอใช้เสียงหัวเราะเยียวยาผู้คน เธอก็สร้างรอยยิ้มขึ้นเพื่อเยียวยาตนเองเช่นกัน เบลล์ไม่ใช่คนที่ชอบยิ้มให้คนอื่นไปเรื่อย แต่เธอชอบยิ้มกับตัวเอง ส่องกระจก แล้วก็ยิ้ม เฝ้ามองใบหน้าที่ประดับด้วยยิ้มนั้นเพื่อให้กำลังใจในเวลาที่รู้สึกท้อ เพราะคำว่ารอยยิ้มสำหรับเธอมันหมายความว่าความสุขอย่างไรล่ะ

    " คำว่าดูออกง่ายไม่เหมาะกับเด็กคนนี้สักเท่าไหร่ "

                ลักษณะของเบลล์ที่ผู้คนมักกล่าวเสมอนั่นคือ ดูออกง่ายและบอบบาง ซึ่งสำหรับผม มันถูกแค่ข้อหลังเท่านั้น ซึ่งไว้เราจะพูดถึงมันอีกทีในคราวหน้า ก่อนอื่น คำว่า ดูออกง่าย นั้นไม่เหมาะกับเบลล์เอาซะเลย คุณรู้ไหมว่า ระบบความคิดของคนเป็นศิลปินนั้นค่อนข้างซับซ้อนกว่าคนทั่วไปมากๆ ถ้าไม่ ผมก็อยากจะขอให้คุณรู้เอาไว้ตรงนี้เลย เพราะผู้หญิงที่ชื่อ อิซาเบลล่า ไดนาดิน คนนี้ก็คือหนึ่งในศิลปินเหล่านั้น ที่สำคัญ เธอเป็นคนพิเศษ..เบลล์มีระบบความคิดที่ซับซ้อนมากสำหรับคนทั่วไป อย่างแรก อารมณ์ความรู้สึก และ การนึกคิด เธอแยกออกจากกันอย่างชัดเจนเหมือนใช้สมองคนละซีกสำหรับคิดในส่วนต่างๆ นั้น ช่วงเวลาหนึ่งเบลล์อาจจะกำลังยิ้ม แต่ความนึกคิดของเธออาจจะนึกไปว่า อ่า พรุ่งนี้ส่งงานแล้ว จะทำยังไงดีนะ เพิ่งร่างเส้นลงไปเอง..อยู่ก็ได้ สรุปก็คือเธอสื่ออารมณ์ของตัวเองออกมาชัดเจน แต่เรื่องของความคิดประมาณว่าแบบ คิดเรื่องอะไร มีความเห็นแบบไหน อันนี้จะค่อนข้างดูยากสักหน่อย เพราะพวกมันหลบอยู่ใต้เปลือกของอารมณ์เธอ แล้วก็ ถึงจะบอกว่าเบลล์แสดงอารมณ์ทุกอย่างผ่านสีหน้า แต่จริงๆ เธอเป็นพวกมนุษย์โทนเดียวนะ ผู้หญิงคนนี้ไม่ค่อยมีมู้ดอื่นนอกจากอาการเอื่อยๆ เฉื่อยๆ หน้าเอ๋อปนเบลอ กับยิ้มให้ต้นไม้ใบหญ้าของเธอไปเรื่อยหรอก นานทีจะเปลี่ยนหน้าสักทีโน่น..

    " ความคิดของเธอมีระบบที่ซับซ้อน "

               เบลล์เป็นคนที่ซับซ้อนนะเอาจริงๆ จะว่าไงดี เหมือนกับว่าเธอชอบคิดอะไรหลายๆ อย่างไปพร้อมกัน เรื่องความหัวช้าจะไม่ค่อยเป็นอุปสรรคสักเท่าไหร่หรอก เพราะต่อให้คิดพร้อมกันสิบอย่าง เบลล์ก็ยังค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณาระดับความเร็วแบบหอยทากโบกธงขาวอยู่ดี..เอาเป็นว่าอย่าพยายามเร่งด่วนอะไรกับเธอแล้วกัน มันเป็นไปไม่ได้---อีกอย่าง ทัศนคติของเบลล์ค่อนข้างแปลกจากคนทั่วไป มีหลายเรื่องที่ความคิดของเธอย้อนแย้งกับสังคม เช่น ภาพวาดของเธอ เบลล์บอกว่าลักษณะการวาดแบบอิมเพรสชั่นของเธอ คือการถ่ายทอดความสุข แต่สิ่งที่ผู้คนทั่วไปมองเห็นจากภาพวาดนั้นกลับเป็นความทุกข์ในลายเส้นที่บิดเย้ และสีสันที่ฉูดฉาด นั่นทำให้หญิงสาวมักรู้สึกแย่อยู่บ่อยครั้งที่คนอื่นจับอารมณ์ที่เธออยากสื่อไม่ได้ เพราะฉะนั้น ภาพวาดของเบลล์จึงถูกขายให้เฉพาะกับคนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น แล้วก็ ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะหัวช้า เรียนรู้อะไรไม่ค่อยเก่ง แต่เพราะว่าเป็นจำพวกค่อยๆ คิดนั่นแหละ เธอถึงได้มักสร้างสรรค์ไอเดียที่ดูอลังการงานสร้าง มหัศจรรย์พันดาวอยู่ตลอดเวลา แต่คือมันไม่ได้เข้าข่ายคำว่าความคิดเจิดนิยมสร้างสรรค์อะไรแบบนั้น ให้พูดคือมันแปลก แปลกมากจนบางทีเอเลี่ยนว่ายท่ากรรเชียงทวนน้ำมายังแปลกน้อยกว่า อีกอย่างกว่าจะคิดได้สักอย่างชาวบ้านเขาก็เริ่มกันเเล้ว ไอเดียแปลกๆ ของเธอเลยไม่ค่อยได้เอาไปทำอะไรสักเท่าไหร่ เว้นแต่จะใช้กับภาพวาดของเธอ

    " ความจริงแล้วก็เป็นคนที่หัวแข็งโป๊กระดับฟอสซิลพันปีอยู่เหมือนกัน "

               ต่อจากข้างบน (บนและบน ๆ) ที่บอกว่า เบลล์เชื่อคนง่าย ผมอยากจะขอขยายคำจำกัดความเกี่ยวกับตรงนี้อีกสักหน่อย เพราะว่า คำว่าเชื่อคนง่ายนี้มันกำหนดเฉพาะแค่กับเรื่องที่เธอแค่ยึดมั่นมาก่อนเเล้วเท่านั้น ขอแสดงความน่าตื่นเต้นแก่ทุกคน อิซาเบลล่า ไดนาดินเป็นผู้หญิงหัวแข็ง ใช่ เธอคือคนที่ยึดมั่นในความคิดของตัวเอง และ แทบจะไม่ยอมอ่อนให้ใครเลย ความเชื่อของเธอมันเป็นอะไรที่เชื่อมั่นได้อย่างสุดโต้งมาก เพราะฉะนั้นอะไรที่มันขัดแย้งกับสิ่งที่หญิงสาวเชื่อ เบลล์ก็ตัดมันทิ้งออกไปจากสารบบความคิดในทันที ขอบคุณสวรรค์อยู่อย่างที่ความเชื่อของเธอไม่ได้พิสดารอะไรมาก (เว้นแต่เซนส์ความอาร์ตที่ดูจะอาร์ตหนักจนเกินจินตนาการไปสักหน่อย..) เบลล์ยังคงอยู่ในกรอบของศีลธรรมและจรรยาบรรณเสมอ แค่ว่ากับค่านิยมที่ถูกปลูกฝังไว้ในใจเธออย่าง คนป่วยไม่ควรอยู่รวมกับคนปกติ หรือ หากยังไม่หายดีก็จะไม่สามารถมีชีวิตแบบธรรมดาได้ นั้น มันค่อนข้างยาก (มาก) ที่จะเปลี่ยนระบบความคิดในส่วนนี้ นั่นเพราะเบลล์เติบโตมากับชุดความคิดดังกล่าวนั่นเอง

    " เด็กคนนี้เปราะบางเหมือนกับเยื่อกระดาษ "

               ก่อนอื่นผมต้องเกริ่นก่อนว่า สมัยเด็กเบลล์คือหนึ่งในคนที่ขึ้นชื่อว่า ป่วยหนักจนไม่สามารถออกไปไหนได้ ดังนั้นเเม้ตอนนี้เธอจะหายแล้ว หญิงสาวก็ยังมีร่างกายที่อ่อนแอกว่าคนทั่วไปมากอยู่ดี สำคัญคือโรคทาลัสซีเมียของเธอทำให้เบลล์อยู่กลางแจ้งนานๆ ไม่ได้ ร่มคันเล็กมักถูกพกติดตัวไว้ตลอดเวลา พร้อมกระเป๋าหอบใหญ่ที่เต็มไปด้วยยาสารพัดอย่างเผื่อฉุกเฉินกับอุปกรณ์เครื่องเขียน การที่มียามากมายคอยให้กินอยู่ตลอดเวลาตามแต่ละช่วงนั้น ฝึกให้เธอเป็นคนที่มีระเบียบวินัยและรอบคอบเป็นอย่างมาก เบลล์มักตรงต่อเวลาเสมอ เธอไม่ชอบการเปลี่ยนแบบแผนกลางคัน เพราะกลัวว่าผลกระทบจะทำให้เกิดเรื่องอะไรไม่คาดคิดขึ้นมาได้ เบลล์ไม่ชอบอะไรที่มันแบบว่า ไปตายเอาดาบหน้า หรือ ให้คุกกี้ทำนายกัน (?) เธอเป็นมนุษย์ที่อยู่กับปัจจุบันและเพ้อฝันไปพร้อมกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ (บางทีผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าเด็กนี่จะย้อนแย้งอะไรนักหนา..) การเบี้ยวนัดหรือทำตัวโยเยเปลี่ยนไปมาจึงถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำที่สุด หากไม่อยากให้เบลล์เดินหนีคุณด้วยความเซ็งนั่นเอง

    " บางทีดวงตาคู่นั้นอาจกำลังมองเห็นแดนมหัศจรรย์และกระต่ายขาวแขวนนาฬิกา "

               เคยมีสักคนบอกว่าเบลล์เป็นคนเพ้อเจ้อ ผมได้แต่กระแอมแล้วพยายามแก้ต่างว่า เธอแค่มีจินตนาการล้ำเลิศเท่านั้นเอง..แต่เอาเถอะ..คงไม่มีคนทั่วไปที่ไหนมานั่งคุยกับต้นไม้ แล้วพร่ำบอกว่าตัวเองตกหลุมรักท้องฟ้าแบบเธอหรอก แต่ผมว่านั่นคือเสน่ห์อย่างหนึ่งนะ..การที่เบลล์มักเปรียบเทียบสิ่งรอบตัวให้เหมือนกับโลกของเทพนิยาย มองโลกไปในทางแง่ดี และพยายามจินตนาการถึงสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ มันทำให้คนมองรู้สึกว่า การเอ็นจอยกับชีวิตโดยไม่ต้องคิดอะไรมากๆ นี่มันก็ดีเหมือนกัน เพราะภาพลักษณ์ของเธอไม่ใช่คนเพ้อเจ้อที่ดูราวกับจะขายฝัน แต่มันเป็นลักษณะของคนที่เพ้อฝันและพยายามไล่ตามดวงดาวของเธอ เบลล์เป็นคนมีความพยายาม และเมื่อมันรวมเข้ากับตัวตนของเธอ เบลล์จึงมักทำให้ความฝันที่ดูไม่มีวันเป็นไปได้เป็นจริงขึ้นมาอยู่บ่อยครั้ง เธอถือเป็นจิตกรที่เก่งและยังเป็นนักประดิษฐ์ที่มากความสามารถอีกด้วย ถ้าโลกนี้ไม่มีคนแบบเบลล์ไว้ซะบ้าง ผมว่ามันคงขาดสีสันน่าดู

    " จริงๆ แล้วเธอก็แอบเอาแต่ใจในแบบของเธอ "

               เบลล์คือเด็กที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยได้รับทุกสิ่งที่เธอปรารถนาโดยไม่ขาดสาย จะบอกว่าพ่อแม่รังแกฉันมันก็ไม่ผิด แต่ส่วนหนึ่งแล้วก็เป็นตัวเธอที่รังแกตัวเอง..งงรึเปล่า? ถ้าจะให้อธิบายมากขึ้นล่ะก็ คงเป็นเพราะเธอมักทนอารมณ์หมองๆ นอยน์ๆ ของตัวเองเวลาไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการไม่ไหว เลยพยายามจะหาทางให้ได้มา ซึ่งเด็กหัวช้าแบบนี้ก็นึกอะไรไม่ค่อยออกนอกจากพยายามเอาข้อดีตัวเองมาใช้ อย่างที่บอก..เบลล์เป็นคนที่น่ารักมาก ทั้งหน้าและการกระทำนั่นแหละ แถมใครสักคนก็บอกเธอไว้ว่า คนเราน่ะมักจะแพ้ของน่ารักๆ แล้วยังไงต่ออีก? ก็เสร็จคุณเธอเลยสิ---เวลาอยากได้อะไรสักอย่าง เบลล์ก็ชอบเข้าไปอ้อน ไปทำตาวิบวันเหง้างอขอร้องใส่อีกฝ่าย ไม่ใช่ว่าตามอ้อนตามขอจนติดเป็นตังเมนะ ออกจะเป็นอารมณ์แบบว่าค่อยๆ กระแซะ คอยส่งสายตาตลอดเวลาไม่ห่างอะไรแบบนั้นซะมากกว่า ส่วนผลลัพธ์น่ะเหรอ..ผมว่าคงไม่ต้องพูดสักเท่าไหร่หรอกมั้ง? ฮะๆ อ้อ ใช่ เหมือนว่าเธอจะติดนิสัยตรงนี้ไปแบบเหนียวหนึบ ทำให้เป็นคนที่ขี้อ้อนสุดๆ ไปเลยล่ะ ถ้าเกิดว่าไม่เห็นภาพ ผมก็อยากจะให้คุณจินตนาการถึงลูกแมวที่ชอบมาอ้อนมาเคล้าเคลียใกล้ๆ เราดูนะ ไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไหร่หรอก

    " มีสิ่งหนึ่งที่เธอไม่ชอบบอกให้ใครรู้ "

               รู้อะไรไหมว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนที่อารมณ์อ่อนไหวสักเท่าไหร่..มันทำให้เธอไม่ค่อยเศร้า อิน หรือรู้สึกโกรธกับอะไรรอบตัวนัก นิสัยช่างปล่อยวางของเบลล์ทำให้เธอดูเรื่อยๆ เฉื่อยๆ หน้าโทนเดิมอยู่ตลอดเวลาจนเหมือนตุ๊กตาเข้าไปทุกที แต่ก็ไม่ได้หมายความเธอจะรู้สึกเศร้าหมองโกรธเคืองอะไรไม่เป็นหรอก..กล่าวเสียก่อนว่า เด็กคนนี้เคยได้ยินใครบางคนบอกกับเธอมาว่า ความรู้สึกแง่ลบนั้นทำให้โลกหม่นหมอง เพราะแบบนั้น เบลล์จึงพยายามเก็บอารมณ์แง่ลบของเธอทั้งหมดเอาไว้ใต้รอยยิ้มของเธอเสมอ แน่นอนว่ามันไม่เคยได้ผล เพราะเธอไม่เคยแสดงได้เนียน ภาพของหญิงสาวตัวน้อยที่พยายามฝืนยิ้มทั้งที่ในใจเศร้าหมอง จึงยิ่งทำให้ใครหลายคนรู้สึกโศกเศร้าตามเธอกันไป กล่าวว่าเบลล์คือหญิงสาวที่ร้องไห้ออกมาแล้วสามารถทำให้ใจของผู้ฟังแหลกเป็นเสี่ยง มันอัดแน่นด้วยอารมณ์ เต็มไปด้วยความหมองหม่น เธอไม่อยากร้องไห้ เพราะเธอกลัวว่ามันจะทำให้คนอื่นเศร้าไปด้วย เบลล์พยายามอดทนอดกลั้นเสมอ เมื่อหยดน้ำตาไหลรินออกมาโดยไม่สามารถกลั้นไว้ได้อีกต่อไป ความรู้สึกทุกอย่างจึงไหลทะลักออกมา อัดแน่นเป็นเสียงร้องคร่ำครวญ เช่นเดียวกับเด็กน้อยที่หลงทาง คอยกรีดใจผู้ฟังให้เป็นแผลเหวอะไม่มีผิด

    " คำว่า ขอโทษ ก็ดูเป็นอะไรที่ง่ายดายสำหรับเธอ "

               เบลล์เกลียดเวลาที่เธอรู้สึกเจ็บหรือทรมาน แต่ที่เกลียดยิ่งกว่าคือตอนที่เธอคือสาเหตุที่ทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด ถ้าจะบอกว่า เบลล์มักคิดถึงความรู้สึกคนอื่นมากกว่าตัวเองนั้นก็ไม่ผิดนัก และ เธอไม่ชอบแบกเรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่ไว้กับตัว เมื่อไหร่ที่คิดไปว่าเผลอทำตัวไม่ดี หรือรู้สึกว่ากำลังมีปัญหากับใคร เบลล์จะขอโทษออกมาในทันทีก่อนใครเพื่อน เธอเลือกที่จะจบกันไปโดยไวเพื่อความสบายใจ มากกว่าศักดิ์ศรีที่รังแต่จะทำให้อึดอัด หลายคนอาจบอกว่านั่นมันไม่สมเกียตริเอาซะเลย แต่ผมอยากบอกว่า กับผู้หญิงที่เจอแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้มาตลอดชีวิตอย่างเบลล์ บางครั้งนั่นก็คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว เท่าที่คนที่เติบโตมากับโลกใบเล็กของเธออย่างเด็กคนนี้จะเลือกได้ แต่ผมก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการที่เธอเอ่ยคำขอโทษออกมาได้ง่ายๆ ตลอด มันทำให้คำๆ นี้ดูว่างเปล่าสำหรับเธอ..เวลาผิดใจอะไรกัน ขอแค่เขาบอกว่า ขอโทษ เธอก็พร้อมยกโทษให้แบบนั้น มันจะทำให้ใครหลายๆ คนเคยชินน่ะสิ..ว่าต่อให้ทำให้เจ้าหญิงน้อยคนนี้เจ็บสักแค่ไหน แค่บอกว่า ขอโทษ ออกมาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว

    " ถึงอย่างนั้นไม่ใช่ว่าเธอจะโกรธไม่เป็น "

               ผู้คนมักชอบคิดไปว่าเด็กคนนี้โกรธไม่เป็น แต่ความจริงแล้วความขุ่นมัวก็สามารถเกิดขึ้นได้ในใจของเธอเช่นกัน เพียงแต่ว่า สำหรับคนทั่วไป..มันอาจจะเป็นเคสที่ฟังแล้วชวนมุ่นคิ้วอยู่นิดหน่อย..เบลล์มักโกรธกับอะไรที่..ไม่เป็นเรื่องสักเท่าไหร่ ไม่สิ จริงๆ ต้องบอกว่าเรื่องที่ควรโกรธเธอไม่โกรธ แต่กับไอ้เรื่องที่ชาวบ้านเขาไม่โกรธ เธอดันโกรธซะอย่างนั้น เบลล์ชอบโกรธเวลาที่ถูกแกล้งหยอกหรือทำให้ตกใจ แล้วบางทีก็ชอบโกรธตอนที่ใครสักคนมายุ่งวุ่นวายกับงานศิลปะของเธอ เบลล์ไม่ชอบเวลาที่จู่ๆ ก็มีคนเข้ามาแต่งแต้มภาพของเธอ ไม่ว่าเขาจะขอหรือไม่ขอก็ตาม และเธอไม่ชอบให้ใครมาบอกว่าควรวาดอย่างไรหรือลบตรงไหนด้วย มันน่าหงุดหงิดมากสำหรับหญิงสาวตัวน้อยคนนี้ ประเด็นร้อนที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องที่เธอชอบโกรธตอนที่สภาพอากาศไม่ดี เด็กนี่รักแสงอาทิตย์กับสายลมเย็นๆ ยิ่งกว่าอะไร เพราะแบบนั้นเธอถึงเข้ากันได้ไม่ดีเอาซะเลยกับสายฝนและหิมะ ช่วงที่อากาศแย่ จิตใจของเธอก็ขุ่นมัวไปด้วย เป็นอันรู้กันดีล่ะนะว่าถ้าฝนตกฟ้าร้อง ก็อย่าไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับเธอเชียว

    " เธอใจดีจนเกินไป มากซะจนบางครั้งก็ทำร้ายตัวเองได้ง่าย ๆ "

               เบลล์ใจดีมาก เธอมีความเมตตาและห่วงใยผู้อื่นเสมอ แค่ว่าความใจดีของเธอ มันจะถ่ายเทไปยังพวกธรรมชาติกับสิ่งสาราสัตว์ซะมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้น ความใจดีที่มีให้กันต่อเพื่อนมนุษย์ก็ยังมากเกินไปอยู่ดี หลายครั้งที่บางคนบ่นกับเธอว่า เธอไม่ควรใจดีกับคนอื่นจนเกินไป เบลล์ก็ชอบหัวเราะแล้วบอกว่าไม่เห็นจะเป็นอะไรอยู่ตลอด ทั้งที่ความจริงแล้วมันตรงกันข้าม..ความใจดีของเธอทำให้หลายคนเข้าหาเบลล์เพียงเพราะแค่เพราะหวังผล ถ้าไม่ได้มีความติสท์เกินมนุษย์กับความพิลึกเกินบรรยายเป็นโล่กัน ผมก็ไม่อยากจะนึกเหมือนกันว่าเด็กคนนี้จะถูกชักจูงไปทางใด จนทำให้เกิดเรื่องอะไรกับตัวขึ้นบ้างรึเปล่า..อันที่จริง ไม่ช้าก็เร็วเบลล์ก็รู้ได้เองนั่นแหละว่าตนกำลังโดนหลอก แต่ผู้หญิงคนนี้กลับไม่ค่อยโกรธเคืองอะไรใครเขาเลย ล่าสุดที่ผมเห็นเธอโกรธใครสักคน เห็นจะเป็นสุนัขที่วิ่งมากระโจนงาบลูกชิ้นเธอไปล่ะมั้ง..และเพราะแบบนี้นั่นแหละ ผมถึงคิดว่าควรจะมีใครสักคนมาคอยดูแลเธอ ไม่อย่างนั้นบางทีอิซาเบลล่า ไดนาดินคงได้กลับนอนแอ้งแม้งในห้องผู้ป่วยสีขาวอีกในเร็ววันแน่ ๆ..

    " บางทีอาจเพราะเธอชอบที่จะมองท้องฟ้ามากกว่าผู้คน "

               งานอดิเรกเล็กๆ ของหญิงสาวคนนี้มักแตกต่างจากคนอื่น เธอชอบที่จะมองท้องฟ้า..ใช้สายตาจดจ้องไปกับสีสันที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา จมดิ่งอยู่กับห้วงความคิดในหัวที่ไม่ใครรู้ ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ในตอนที่แก้วตาสีสวยนั้นสะท้อนสีสันเหล่านั้นออกมา เบลล์มักจมจ่อมกับบางสิ่งบางอย่างจนถึงก้นบึ้งของมัน หลายๆ คนเรียกอาการเเบบนี้ของเธอว่า ความเหม่อลอย แต่ผมว่าที่จริงเธอก็แค่เอาแต่สนใจสิ่งตรงหน้ามากเกินไป จนไม่สนรอบข้างต่างหาก..ถึงอย่างนั้น เด็กคนนี้ค่อนข้างไวต่อปฏิกิริยารอบด้าน เธอมักสะดุ้ง หรือ ตกใจได้ง่ายๆ หากมีเสียงอะไรที่ดังโพล่งขึ้นมา ไม่ก็มีใครสักคนเข้ามาแตะเธอจากด้านหลัง เบลล์ค่อนข้างจะขี้ตกใจมากพอสมควร กระทั่งเสียงของหล่นจากไกลๆ เธอยังสะดุ้งซะตัวโยน เด็กคนนี้ไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่หรอกกับอะไรที่มันโผล่มาแบบปุปปับพวกนั้น ดังนั้นไอ้พวกที่ชอบมาแกล้งจ๊ะเอ๋ให้ตกใจ จึงไม่ต่างอะไรจากพวกบ้าในสายตาเธอ แถมเบลล์ยังแอนตี้หนังจัมป์สแกร์ทุกชนิดอีกต่างหาก หัวใจเธอมันบอบบางนะรู้ไหม ให้ตาย

    " เธอไม่ได้พบปะสังสรรค์กับใครเขาสักเท่าไหร่ "

               เบลล์มักโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางฝูงชนมากมาย และเธอก็มักหายไปจากกลุ่มฝูงชนอยู่เสมอเลยด้วย เด็กคนนี้ เขาไม่ชอบการสังสรรค์นัก เบลล์รักจะอยู่คนเดียวและหาอะไรทำเพียงลำพังมากกว่าการทำอะไรรวมกันเป็นกลุ่ม บางทีอาจเป็นความเคยชิน? นั่นสิ พวกงานอดิเรกต่างๆ ของเธอมันก็เหมาะสำหรับทำคนเดียวด้วยล่ะนะ..ผมมักเห็นเบลล์ชอบพาตัวเองไปนอนเกลือกกลิ้งในห้อง มากกว่าการออกไปเดินเตร็ดเตร่ด้านนอก ผมมักเห็นเบลล์ชอบอ่านหนังสือเงียบๆ คนเดียว มากกว่าคุยโทรศัพท์หรือแชทสนทนากับใคร และผมมักเห็นเธอยิ้มให้กับท้องฟ้า เหม่อมองก้อนเมฆ มากซะยิ่งกว่าตอนที่มองตาใครสักคนแล้วเอ่ยคุยกับเขา เธอรักจะอยู่คนเดียว เธอไม่ชินที่จะอยู่กับฝูงชน มันไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความรู้สึกบอกว่า อ่า ฉันไม่ควรไปอยู่กับพวกเขานะ เพราะอะไร? ถ้าคุณอยากให้ผมตอบ..ผมก็คงพูดได้แค่มันเป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังมาในหัวของเธอนั่นแหละ..

    และตอนนี้ ผมคิดว่าคุณได้รู้จักผู้หญิงที่ชื่อ อิซาเบลล่า ไดนาดิน พอแล้ว
    - คุณอยากจะฟังเรื่องราวที่ทั้งหวาน ขม และคลุกเคล้าเครื่องเทศสารพัดอย่างของเธอแล้วหรือยัง? -


    ประวัติส่วนตัว :: 

    "ก่อนที่ผมจะเล่าเรื่องราวเหล่านี้ ผมอยากให้คุณสัญญาบางอย่าง
    ว่าไม่ว่าทุกสิ่งจะดำเนินไปอย่างไร ในท้ายที่สุดแล้ว
    - คุณจะโอบกอดเด็กคนนี้ แล้วบอกกับเธอว่า ทุกอย่างจะต้องโอเค - "

    [ chapter 1 - ฉันอาศัยอยู่ในห้องสีขาว ]

               อิซาเบลล่า ไดนาดิน เป็นเด็กหญิงที่ป่วยหนัก
               เธออาศัยอยู่ในห้องสีขาวที่มีแค่สายน้ำเกลือที่ห้อยระโยงระยางอยู่รอบตัว


               เรื่องราวของเธอไม่ได้เริ่มต้นตั้งแต่วัยแบเบาะเหมือนกับใครเขา หรืออย่างน้อย สำหรับเบลล์แล้ว เรื่องของเธอก็เริ่มขึ้นเมื่อตัวเธอลืมตาตื่นขึ้น พร้อมกับเสียงสัญญาณชีพจรที่ดังก้องไปทั่วห้อง
               สีขาวโพลน..นั่นคือสิ่งที่เธอเห็นเป็นอย่างแรก
               "ตื่นแล้วเหรอ"
               และนั่นคือสิ่งที่สอง..
               ผู้หญิงวัยกลาง ดวงหน้ามีริ้วรอยประปรายและมีนัยน์ตาสีนิลที่ดูแฝงแววโศกเอาไว้ หล่อนยืนอยู่ข้างเตียงในตอนที่เบลล์ตื่นขึ้นมา ใบหน้าและน้ำเสียงของเธอ มันคุ้นเคยราวกับว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน..
               แต่ถึงอย่างนั้น..นึกเท่าไหร่ ก็นึกไม่ออก
               เด็กหญิงจำไม่ได้เลยว่าคนตรงหน้าเธอเป็นใคร
               "หลานก็แค่ความจำเสื่อม" นั่นคือสิ่งที่เธอบอก "ตอนนี้หลานป่วย หลานต้องนอนพักให้มากๆ นะ" และบางทีนั่นอาจจะเป็นคำสั่ง..
               เบลล์ในวัยสิบขวบไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการพยักหน้ารับ หลับตา แล้วจมจ่อมไปห้วงนิทราอีกครั้ง ตามคำสั่งที่บอกให้เธอพักผ่อนให้มาก แต่ถึงอย่างนั้น แม้กระทั่งตอนที่หญิงวัยกลางเดินออกไปแล้ว เธอก็ยังคงไม่สามารถข่มใจตัวเองให้หลับได้
               เพราะคำถามที่เอาแต่ถามตัวเองซ้ำๆ ว่า เธอคือใคร มันวนเวียนอยู่ในหัวไม่ยอมคลายสักที..


               เรื่องราวของเธอเริ่มขึ้นในตอนที่เธอลืมตาตื่น
               แต่ก็เหมือนว่าเรื่องราวได้หยุดเดินไปพร้อมกับตอนที่มันเริ่มต้นขึ้นเช่นกัน
               แกร๊ก..แกร๊ก..
               เสียงของกรรกไกรที่กระทบกัน เบลล์หันไปมอง เธอเห็นแจกันทรงสูง มันถูกปักด้วยดอกไม้สีขาว เหมือนกับทั่วทั้งห้องที่มีเพียงแค่เฟอร์นิเจอร์สีขาวยกเว้นแต่ทีวีทรงเหลี่ยมด้านหน้า
               "นั่นอะไรเหรอ" เธอถาม สายตาจดจ้องดอกไม้ที่ถูกตัดแต่งเล็มก้านในมือป้าของตัวเอง
               "แจกันดอกไม้" ท่านตอบ หันมายิ้มแล้วยื่นกุหลาบดอกหนึ่งให้เธอ "ป้าคิดว่ามันคงดีถ้าหลานจะได้เห็นอะไรสวยๆ งามๆ บ้าง"
               เบลล์รับมันมาถือ จ้องมองกลีบสีขาวเหล่านั้น ก่อนเงยขึ้นมองไปรอบตัวของเธอ
               สีขาว..
               เธอเกลียดสีขาว..

               "หนูอยากออกไปข้างนอก" แล้วเด็กหญิงก็เอ่ยปาก จดจ้องมองด้วยสายตาเว้าวอน
               "ไม่ได้"
               "ทำไม?"
               "เพราะหลานป่วย"
               ถ้าอย่างนั้นแค่แข็งแรงขึ้นก็พอใช่ไหม?

               คิดเท่านั้น เด็กหญิงก็ปิดเปลือกตาลง พยายามจมดิ่งไปกับห้วงนิทรา ด้วยหวังว่าถ้าพักผ่อนให้มากขึ้น มันก็จะทำให้เธอกลับมาแข็งแรงไว ๆ
               แล้วพอถึงวันนั้น..ก็จะได้ออกไปจากสถานที่แห่งนี้
               ออกไปจากโลกที่มีแต่สีขาวน่าอึดอัดพวกนี้ซะ..

               คำขอของฉันคือการได้ออกไปเล่นข้างนอกเหมือนกับเด็กคนอื่น

               "หนูแข็งแรงพอรึยัง?"
               "ยัง..ยังหรอก"
               "แล้วเมื่อไหร่?"
               "เมื่อหลานหายป่วย"
               บางทีมันคงหมายความว่าไม่มีวันนั้น?

               หน้าต่างบานใหญ่ มันเปิดกว้างในวันที่ลมแรงที่สุด ฉันเห็นสีฟ้าครามบนท้องฟ้าที่กว้างไกลออกไป
               และคงเป็นเพราะทุกสิ่งรอบตัวนั้นมีเพียงแค่สีขาวโพลน
               ฉันจึงได้ตกหลุมรักสีฟ้าครามของท้องฟ้ากว้างนั้นอย่างหมดใจ


    [ Chapter 2 - เขาดูเหมือนกับคุณกระต่ายขาวตัวน้อย ]

               อิซาเบลล่าไม่เคยออกไปนอกห้องพักผู้ป่วยของเธอตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนถึงอายุสิบสอง
               สองปีผ่านไปกับการใช้ชีวิตซ้ำซากจำเจในห้องแคบๆ มีเพียงแค่เสียงทีวีที่กำลังเล่นไปเรื่อยๆ โดยไม่มีคนดู กับหนังสือเล่มหนาบนตักที่พอคลายเหงาให้ได้บ้าง วันหนึ่งเธอถูกย้ายไปอยู่ในห้องชั้นหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเดิม เบลล์ยังคงนอนอยู่บนเตีย จ้องมองสีขาวที่ติดแปะอยู่รอบตัวกับคำถามเดิมๆ ในหัว
               เมื่อไหร่ฉันจะหายป่วย?
               คำตอบของคำถามช่างดูเลื่อนลอยเสียเหลือเกิน..


               โลกของเบลล์มีเพียงแค่สีขาวและสีฟ้าครามของท้องฟ้า
               จนกระทั่งวันหนึ่ง เธอก็ได้เห็นสีสันอื่นที่ตัดตรงกับทุกสีที่เธอเคยเห็นมาแทบจะทั้งชีวิตที่เธอจำได้..
               ในวันที่สายลมพัดแรง เด็กหญิงชะโงกหน้าออกไปด้านนอกนั่น มองไปยังสวนกว้างที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักอย่างเหมือนกับทุกที
               ตอนนั้นเอง ที่เธอได้สบสายตากับใครบางคน
               เขานั่งนิ่งงัน ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย วูบหนึ่งเบลล์เห็นระลอกคลื่นบางอย่าง ก่อนมันจะมลายหายไปเมื่อหางตาหยีเป็นจันทร์เสี้ยว เด็กหนุ่มยกยิ้มบางเพื่อตอบรับคำกล่าวของเด็กหญิงตัวน้อย
               "สวัสดี คุณกระต่าย" 
               แล้วเขาก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหวานนุ่มที่ทำให้เด็กหญิงใจเต้นแรง
               "อรุณสวัสดิ์ขอรับ เจ้าหญิงน้อย"
               มันเป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่ชายใจดีเจ้าของเส้นผมสีดำขลับคนนั้น..


               เรื่องราวของเธอเหมือนเริ่มดำเนินขึ้นอีกครั้งเมื่อได้พบกับเด็กหนุ่มคนนั้น
               เด็กคนนั้นมาที่นี่เสมอ และเขาก็มักหอบหิ้วสิ่งแปลกๆ มาให้เธออยู่ตลอด

               "ลูกอมไง เธอไม่ชอบเหรอ"
               เขาถาม สีหน้าแปลกใจในตอนที่เด็กหญิงทำหน้างงตอนเขายื่นบางสิ่งที่ห่อเอาไว้ด้วยกระดาษมาให้กับเธอ เบลล์ได้แต่ทำหน้างงหนักกว่าเก่า เธอไม่เคยได้ยินชื่อขนมแบบนั้นมาก่อน ไม่สิ..ความจริง..เด็กหญิงแทบไม่ได้ทานของหวานอะไรเลยด้วยซ้ำ
               "คุณป้าบอกว่าอะไรหวานๆ ทำให้ป่วยหนักกว่าเดิม" เสียงเล็กเอ่ยเบาหวิว มองลูกอมสีสวยที่เด็กหนุ่มแกะออกมาตาไม่กะพริบ มันทำให้เขาหัวเราะ เด็กหนอเด็ก..ปากบอกว่าไม่ควรกิน แต่สายตานี่อยากได้ใจแทบขาด
               "บางทีคนเราก็ต้องการเติมน้ำตาลให้ร่างกายบ้าง"
               "แต่จะไม่หายป่วยนะ"
               "ทำเหมือนกับว่าไม่กินแล้วจะหาย"
               เบลล์ชะงัก นิ่งงันไปทันทีกับคำพูดของเด็กหนุ่ม เช่นเดียวกับรอยยิ้มของเขาที่ค่อยๆ หุบลง ดวงตาสีนิลเอ่อคลอด้วยความหมอง เขาเม้มปากแน่นตั้งท่าพึมพำอะไรสักอย่างที่คล้ายกับคำว่า ขอโทษ ออกมา แต่ไม่ทันได้พูด เขาก็ต้องชะงักกับเสียงร้องอ้ามจากใครอีกคน
               มองเด็กหญิงตัวน้อยอ้าปากกว้างเหมือนรออะไรสักอย่าง ดวงตากลมกะพริบปริบมองมาแบบอ้อน ๆ
               "เราอยากได้น้ำตาลบ้าง" เด็กน้อยเอ่ยเสียงงุบงิบ ทำสายตาวิบวับอย่างถึงที่สุด
               "อะ อื้ม!"
               แล้วนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เบลล์ได้ลองลิ้มรสชาติของน้ำตาลที่หวานเจี๊ยบจนแทบละลาย


               ทุกวันเวลาประมาณช่วงสาย เขาจะเดินมานั่งตรงม้านั่งใกล้กับหน้าต่างห้องพักของเธอ
               "ฉันมีนิทานเรื่องใหม่มาเล่าให้เธอฟังด้วยล่ะ"
               เขามักจะเอาของแปลกๆ ติดตัวมาด้วยเสมอ
               "กาลครั้งหนึ่งมีเจ้าหญิงแสนสวยบนหอคอยงาช้าง.."
               "เอางาช้างไปทำหอคอยได้เหรอ?"
               แล้วเธอก็มักถามอะไรที่ทำให้เขาใบ้กริบอยู่ตลอดเวลา
               เรื่องราวของพวกเราไม่ได้มีอะไรมากมายสักเท่าไหร่..
               เพียงแค่เวลาไม่กี่ชั่วโมง เด็กหนุ่มเรือนผมสีดำขลับคนนั้น เขาจะเล่าเรื่องราวต่างๆ เอาขนมอร่อยๆ มาให้ แล้วก็คอยอยู่เป็นเพื่อนเพื่อรับฟังเธอพูดสิ่งที่อยู่ในใจ แม้ว่าจะต้องใช้ความพยายามค่อนข้างมากก็ตาม
               เบลล์ไปวิ่งเล่นไม่ได้ เธอกระโดดไม่ได้ ก่อปราสาททราย หรือไกวชิงช้าก็ไม่ได้ สิ่งเดียวที่เด็กหญิงสามารถทำได้ก็มีแต่การนั่งอยู่บนเตียง เดินไปเดินมาในห้อง แล้วมาจบกับการนั่งฟังเขาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ
               แต่ถึงอย่างนั้น เด็กคนนี้ก็ไม่เคยเบื่อที่จะคุยกับเธอ..
               เขายังคงมาหาเธอทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน คุณเชื่อรึเปล่าว่า ในตอนนั้นเบลล์แทบจะนั่งเฝ้านับเวลารอให้ถึงช่วงสายของทุกวันอยู่แล้ว
               
               "คุณเหมือนท้องฟ้า" วันหนึ่งเด็กหญิงเอ่ยขึ้น ยิ้มขึ้นมาตอนที่เด็กหนุ่มถามว่าตรงไหน "เหมือน..เพราะเราหลงรักท้องฟ้า"
               ริมฝีปากที่กำลังขยับเอื้อนเอ่ยนั้นเงียบเสียงลง ดวงตาสีนิลสวยสบมองลึกเข้ามา ตอนนั้น เบลล์รู้สึกถึงบางอย่าง..เด็กหญิงเอียงคอ กะพริบตามองคนที่เสตาหลบออกไปไม่ยอมมองหน้าเธอ
               "เป็นอะไรเหรอ"
               ศีรษะทุยนั้นส่ายไปมา ก่อนเขาจะหันกลับมายิ้มให้เธอ แต่..มันเป็นยิ้มที่ฝืดเฝือนมาก..
               ฝ่ามืออุ่นนั้นเอื้อมมาลูบศีรษะเธอ เขาพยายามยิ้ม ทั้งที่ดูทรมานขนาดนั้นเเท้ ๆ..
               "ขอบคุณนะ..ที่เธอยังรักฉัน"
               ..ยังเหรอ..?
               เด็กหญิงนิ่งคิด ได้แต่มองสายตาเจ็บปวดแบบนั้น เพราะอะไรกันนะถึงได้รู้สึกไม่สบายใจเอาซะเลย..
               "เบลล์"
               พลันทุกอย่างหยุดชะงัก เสียงของบุคคลที่สามที่เบลล์เหมือนกับไม่ได้ยินมันมานานนับเดือน ดวงตาสีเงินใสหันกลับไปมอง คุณป้าของเธอ ท่านยืนอยู่ตรงข้างเตียงพร้อมกับช่อดอกไม้สีขาวหอบใหญ่ในมือเหมือนกับทุกครั้ง
               "คุณป้า คุณป้ามาหาเราเเล้ว" เด็กหญิงฉีกยิ้มกว้าง แม้ว่า เธอจะเกลียดดอกไม้สีขาวพวกนั้น แต่มันก็เป็นสิ่งที่คนที่คอยดูแลเธอคอยหามาให้ "จริงสิ เรามีเพื่อนคนหนึ่งด้วยล่ะ เราอยากแนะนำเขา---"
               หมับ!
               ไม่ทันจะได้พูดจนจบ ร่างของเธอก็ถูกกระชากอย่างแรง เด็กหญิงถลาตกลงจากขอบเตียงไปสู่อ้อมแขนผู้เป็นป้า เบลล์เจ็บ เธออยากจะร้องอวดครวญ หากแต่เสียงตวาดของหญิงวัยกลางกลับทำให้ร่างกายเธอแข็งทื่อ
               "ไปให้พ้น!!"
               ไม่..เธอไม่ได้บอกกับเบลล์หรอก..
               เป็นเด็กหนุ่มคนนั้นที่ยืนตัวสั่นระริกดวงตาเบิกโพล่งนั่นต่างหาก
               "ไป! ฉันบอกให้แกไปให้พ้น! อย่ามายุ่งกับหลานฉัน!!"
               "คุณป้า.."
               เบลล์พยายามเรียกอีกฝ่ายหมายให้หญิงสาวใจเย็นลงบ้าง แต่ไม่เลย เสียงของเธอส่งไปไม่ถึงเลยสักนิด หญิงวัยกลางยังคงตวาดด่าใส่เด็กหนุ่มคนนั้น ดวงตาสีนิลเอ่อคลอหน่วงด้วยหยาดน้ำสีใส มันกลั่นออกมาอาบหน้าตอนเขาเหลือบมาสบตาเข้าเธอพอดิบพอดี
               ..ทำไม..?
               มันเป็นคำถามที่ผลุดขึ้นมา แต่ ไม่มีใครตอบเธอได้หรอก..เพราะทันทีทั้งคู่ได้สบตากัน เด็กหนุ่มคนนั้นก็หันหลังวิ่งออกไปทันที

               แล้วเขาก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย..ไม่เลย..แม้แต่สักครั้งเดียว..

    [ Chapter 3 - ฉันกำลังตามหานาฬิกาที่หายไป ]

               เวลามักผ่านไปเร็วราวกับเรื่องโกหก
               สวนย่อมขนาดกลางในโรงพยาบาลเอกชนราคาแพง ต้นไม้สีเขียวขจี แซมด้วยดอกไม้หลากสีสัน สัมผัสที่ชื้นนิดหน่อยบนเท้าและฝ่ามือ ไรแดดอ่อนๆ ช่วงเช้าไม่แรงมากนัก สายลมเย็นพัดโอบล้อมรอบตัวเธออย่างแผ่วเบา
               เบลล์นั่งอยู่ในสวนย่อมของโรงพยาบาล ถัดออกมาจากตึกที่เธอพักอาศัยอยู่ประมาณสองตึก ร่มคันเล็กถูกกางกั้นเพื่อบังไม่ให้แสงแดดมาลามเลียผิวกายมากจนเกินไป พยาบาลสาวคอยส่งยิ้มให้เธออยู่ห่างๆ ไม่ไกลพลางเฝ้าระวังคอยดูเผื่อเด็กหญิงจะล้มฟุ่บไป
               สามเดือนแล้วที่ไม่ได้เจอกับเขา..
               และนี่ก็อาทิตย์หนึ่งแล้วที่เธอสามารถออกมานอกห้องพักผู้ป่วยได้สักที
               "อาการของหนูเบลล์ดีขึ้นมากแล้ว ถ้าให้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง ก็จะดีกับเธอมากขึ้นครับ"
               เชื่อเถอะว่าเด็กคนนี้ถึงกับร้องไห้ตอนที่คุณป้าของเธอบอกว่า อยากจะออกไปรึเปล่า? มันเป็นความยินดีที่ไม่อาจจะสรรหาคำไหนมาบรรยาย..กับคนที่ต้องอยู่แต่ในห้องสีขาวมาตลอดที่จำความได้ นี่ถือเป็นความฝันอย่างหนึ่งของเธอเลย
               แต่อีกสาเหตุหนึ่งที่เธออยากออกมา..ก็เพราะเธออยากจะตามหาเขา..
               นาฬิกาสีดำที่ทำให้เรื่องราวของเธอดำเนินต่อไปได้เรือนนั้น..
               เด็กหญิงมักใช้เวลาช่วงสายในการนั่งชะเง้อมองอยู่ตรงหน้าต่าง และออกมาเดินในช่วงเช้ากับช่วงเย็นเพื่อมองหาใครบางคนที่หายตัวไปไม่ยอมบอกลาคนนั้นเสมอ แต่..ไม่ว่าเบลล์จะพยายามแค่ไหน เธอก็ไม่เคยได้พบกับเขาอีกเลย
               เหมือนกับว่าเด็กคนนั้นแค่หายไปเฉย ๆ..
               หรือบางทีเขาอาจจะไม่มีตัวตนมาตั้งแต่แรก
               ไม่รู้..ไม่รู้อะไรทั้งนั้น มันมากเกินกว่าที่เธอจะสามารถทำความเข้าใจเเล้ว
               ลมหายใจยาวถอดถอนออกมา ดวงตาสีเงินใสส่อแววหมองเศร้าแหงนมองฟ้าครามพลางพึมพำออกมาว่า
               "คุณอยู่ไหนกันนะ..ท้องฟ้าของเรา.."


               คุณคงสงสัยรึเปล่าว่าเด็กหนุ่มคนนั้นหายไปไหน
               บางที..ถ้าคุณลองมองรอบๆ อีกครั้ง สังเกตให้มากอีกสักหน่อย คุณก็จะพบเองว่าเขาไม่ได้ไปไหนไกลเลย..
               เขายังคงอยู่ข้างๆ กับเด็กคนนั้นเสมอ ยังคงนั่งอยู่ข้างๆ และคอยเฝ้ามองเธอ..แม้ว่าดวงตาคู่นั้นจะไม่สามารถสะท้อนภาพของเขาออกมาได้อีกแล้วก็ตาม
               ดวงตาสีดำหมองเศร้า เฝ้ามองดวงหน้าที่ตนเฝ้าถนอมมาแล้วคลี่ยิ้มแบบาง
               'จะต้อง..มีความสุขมากๆ นะ..'
               ก็เป็นเพียงข้อความที่ฝากฝังไว้กับสายลม โดยที่ไม่มีใครจะได้ยินมันอีกแล้ว..

               
               ในโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยสีขาวโพลน มีพี่น้องคู่หนึ่งพักรักษาตัวอยู่ในที่แห่งนั้น
               พวกเขาประสบอุบัติเหตุไฟไหม้ บ้านทั้งหลังวอดวายลงภายในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง บิดาและมารดาเสียชีวิต ในขณะที่เด็กหญิงวัยเจ็บขวดในตอนนั้นถูกวัตถุหล่นทับศีรษะอย่างรุนแรง และหลับไปนานถึงสามปี..
               ครอบครัวของพวกเขามีเพียงแค่สี่คน..คนเดียวที่รอดและยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติมีแค่บุตรชายคนโต มิเกล ไดนาดิน เพียงเท่านั้น
               ไม่สิ..นั่นคงเรียกว่าปกติไม่ได้
               เพราะสิ่งที่รออยู่หลังจากลืมตาตื่นนั้น ได้ทุบทำร้ายหัวใจเขาจนแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี..

               และเปลวเพลิงที่ลุกโชนในวันนั้น มันเป็นเพราะเขาเองที่ทำให้มันเกิดขึ้น..


               'มิเกล! แกจะเอาแต่เล่นไร้สาระไปถึงเมื่อไหร่ห๊ะ!?'
               เสียงของพ่อที่เอาบ่น คำตวาดของท่านที่มักดังอยู่ใกล้ๆ หู
               ตัวเขาในวัยสิบห้าทำเพียงแค่ชักสีหน้าใส่แล้วเดินหนี เขาเบื่อ..เบื่อพ่อที่เอาแต่บ่น เบื่อแม่ที่เอาแต่โอ๋น้องสาว และเขาแสนจะเบื่อยายเด็กตัวเล็กเหมือนตุ๊กตาที่ป่วยกระเซาะกระแซะตลอดเวลานั่น
               'พี่จ๋า..'
               เขาเกลียดเสียงของหล่อนที่เอาแต่ร้องเรียก..
               มิเกลมักเดินหนีเบลล์อยู่เสมอ เขาไม่ชอบให้เด็กตัวเล็กนั่นมาวุ่นวายเกาะแกะตัวเอง สายตาของเขามองเห็นหล่อนเป็นแค่อะไรที่น่ารำคาญ ช่วยตัวเองไม่ได้ แถมยังทำให้พ่อแม่รักเขาน้อยลงกว่าเดิมอีกต่างหาก
               'พี่จ๋า เราหิวแล้ว'
               'ก็ทำอะไรกินเอาเองสิ'
               ในตอนนั้นเขาเอ่ยปากไล่อย่างไม่ไยดี ไม่สนด้วยว่าเด็กนั่นจะทำหน้ายังไง หรือไปทำอะไรต่อจากนั้น
               'แล้วพี่จ๋าอยากกินอะไรไหม?'
               ดวงตาสีนิลสวยเงยมองอย่างรำคาญ 'ข้าวผัดมั้ง' เเล้วเขาก็ตอบไปสั่วๆ หวังแค่ว่าเด็กนั่นจะออกไปให้พ้นสายตาได้สักที และขอบคุณพระเจ้า เบลล์เดินออกไปจากห้องของเขาพร้อมกับท่าทีกะตือรือร้น หลังจากนั้นไม่นานเท่าไหร่ เขาก็ผล็อยหลับไปเพราะความง่วงงุน..

               และตื่นขึ้นมาพร้อมกับความร้อนที่กำลังแผดเผาร่างกาย..
               'แค่ก..!?'
               เด็กหนุ่มสำลัก ดวงตาเบิกกว้าง มองควันสีเทาเข้มที่ลอยผ่านช่องว่างระหว่างประตูเข้ามาด้วยความตระหนก ราวกับสมองรันความคิดออกมาได้อย่างรวดเร็ว เขารู้ทันทีว่าต้นเหตุควันพวกนี้มาจากไหน
               'เบลล์..เบลล์ ยายเด็กโง่! เธออยู่ไหน?!'
               เขาพยายามตะโกนเรียก เดินฝ่าควันเข้าไปยังห้องครัว วินาทีนั้น หัวใจเหมือนถูกกระชากหล่นไปอยู่ปลายเท้า น้องสาวของเขานอนสลบอยู่ภายในครัวพร้อมกับเลือดที่อาบท่วมศีรษะ
               หมับ!
               ทว่าไม่ทันได้วิ่งเข้าไป แขนของเขากลับถูกคว้าโดยมือของใครสักคนที่นึกเบื่ออยู่เสมอ
               'หนีไปกับแม่ก่อนเร็ว!'
               พ่อของเขาสั่ง ผลักร่างเด็กหนุ่มไปให้กับมารดาแล้ววิ่งฝ่าไฟเข้าไป มิเกลร้องลั่น เขาไม่ฟังคำสั่งของมารดาบิดาเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มยังคงพยายามที่จะวิ่งเข้าไปหาคนทั้งคู่ที่ผลุบหายเข้าไปในเปลวไฟร้อนระอุนั้นอย่างสุดกำลัง
               เขาเบื่อ..เบื่อเหลือเกินที่ต้องเจอแต่อะไรแบบเดิม
               แต่เขา..ไม่เคยเกลียดคนเหล่านั้น

               'มิเกล! มากับแม่!!'
               'ไม่เอา! พ่ออยู่ในนั้นนะแม่ เบลล์ก็ด้วย..ผมต้องไปพาน้องออกมาก่อน!'
               'แม่บอกว่าให้ไปกับมะ---กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด!!?'
               
               เสียงกรีดร้องของแม่คือสิ่งสุดท้ายที่ฝังอยู่ในหัวของเขา..
               แชนเดอเรียแสนสวยร่วงหล่นลงมาโดยไม่ทันตั้งตัว ความงดงามนั้นกรีดทิ้งผิวกาย เปลวเพลิงร้อนระอุแผดเผาทุกอย่างพังพินาศไปจนหมด
               เช่นเดียวกับชีวิตทั้งสองที่สูญเสียไปเพราะความโง่งมของเขา


               'แกทำให้พ่อแม่ของแกต้องตาย! แล้วน้องสาวของแกก็กำลังจะตายเพราะแก! เพราะแก! ทั้งหมดมันเป็นเพราะแกคนเดียว!!'
               เสียงของคนที่ขึ้นว่าชื่อว่าป้ากล่าวก่นด่าเขาอยู่ตลอด มันดังซ้ำๆ อยู่ในหัวเหมือนกับเทปซ้ำ กรอวนไปมาจนเด็กหนุ่มวัยสิบห้าได้แต่ขดตัวร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่ม เขาพึมพำคำว่าขอโทษออกมาซ้ำๆ ไม่รู้กี่จบ น้ำตาไหลพรากเป็นสาย เล็บจิกทิ้งเนื้อตัว แต่มันกลับไม่ทำให้ความรู้สึกผิดในใจเบาบางลงได้เลย
               ทุกครั้งที่คิดถึงใบหน้าของทุกคน น้ำตาเขาไหลออกมาอย่างไม่อาจห้าม
               และทุกครั้งที่นึกถึงเสียงกรีดร้องสุดท้ายของมารดา มิเกลรู้สึกเหมือนทุกอย่างมันพังทลายลงไปต่อหน้า
               เพราะเขา..มันเป็นเพราะเขา..
               ราวกับโลกนี้ได้สาปแช่ง ให้เด็กหนุ่มต้องทนทุกข์ทรมานในความผิดบาปนี้ตลอดกาล

               'สวัสดี คุณกระต่าย'
               เสียงเล็กๆ ที่คุ้นเคย ใบหน้าและดวงตาคู่นั้น เขาคิดถึงมันเหลือเกิน..
               อิซาเบลล่า..น้องสาวที่น่ารักของฉัน
               ราวกับว่าโลกทั้งใบได้หยุดหมุน ฉันอยากหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้ โอบกอดเเล้วหัวเราะกับเธอให้นานที่สุด
               แต่ฆาตกรแบบฉันคงไม่สามารถอยู่กับเจ้าหญิงตัวน้อยแสนเดียงสาเช่นเธอได้หรอก..

               สายลมค่ำคืนช่างเย็นเยียบเหลือเกิน
               ดวงจันทร์บนฟ้ากว้าง ทำไมถึงได้ดูเดียวดายขนาดนั้นกันนะ?
               หยดน้ำตาไหลออกมาอาบแก้ม เด็กหนุ่มทำได้เพียงแค่เหม่อมองออกไป

               ก่ อ น ทิ้ ง ตั ว ใ ห้ ร่ ว ง ห ล่ น แ ล ะ ห ลั บ ใ ห ล ไ ป ต ล อ ด ก า ล


               "ลาก่อน เจ้าหญิงของฉัน"

    [ Chapter 4 - ที่โลกใบนั้นมีแมวแชสเชียร์ ช่างทำหมวก และราชินีโพแดงใจร้าย ]

               "คนๆ นั้นเป็นพี่ชายของหลาน"
               คำตอบของคุณป้าเอ่ยบอกแก่เด็กหญิงที่เอ่ยปากรบเร้า นานสองนานกว่าจะยอมเอ่ย และคำที่อีกฝ่ายได้เอ่ยออกมา ก็ทำให้ดวงตาสีเงินใสเบิกกว้างด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งตกใจ ตื่นเต้น และยินดี
               "เราอยากเจอเขา คุณป้าพาเราไปเจอเขาหน่อยนะ" เด็กหญิงรบเร้าซ้ำสอง ส่งสายอ้อนวอนมากยิ่งกว่าครั้งใดๆ ในชีวิต
               ป้าของเธอ ท่านนั่งเงียบ จ้องมองมาก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ ทำให้เด็กหญิงมีสีหน้าหมองเศร้า
               ไม่เข้าใจ..ไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่างกระทั่งหล่อนเอ่ยปากพูด
               "เขาไปแล้วเบลล์.."
               "มิเกล..ไปในที่ที่เราไม่สามารถไปหาเขาได้อีกแล้ว"


               เด็กหญิงวัยสิบสอง เธอไม่เคยคิดว่าครั้งหนึ่งจะต้องสวมชุดสีดำ และยืนถือช่อดอกไม้สีขาวที่เกลียดแสนเกลียดอยู่หน้าหลุมศพของใครคนหนึ่งที่จากไปโดยไม่ทันได้บอกลากันเช่นนี้
               'Miguel Dinadin'
               ชื่อของเขา..สลักอยู่บนหินอ่อนเย็นเฉียบ
               เช่นเดียวกับร่างกายของเขาที่หลับใหลอยู่ใต้ผืนดินตลอดกาล
               
               แหมะ..แหมะ..
               ไม่ใช่สายฝนที่กำลังพร่างพราย หากแต่เป็นหยดน้ำตาของเธอที่เอ่อล้นออกมาไม่ยอมหยุด
               ร่างเล็กยอบกายลงนั่งกับพื้นดิน สัมผัสฝ่ามือกับเนินดินและหินอ่อนอันเย็นยะเยือก จ้องมองชื่อที่สลักอยู่บนนั้นด้วยความพร่าเลือนจากหยาดน้ำใสที่เอ่อคลอปิดบังวิสัยทัศน์
               "..คุณกระต่ายขาว"
               คุณจะไปที่ไหนกัน..?
               เราอยู่ตรงนี้..แล้วทำไมคุณถึงทิ้งเรา..
               นิทานที่คุณเล่ามา..กระต่ายขาวจะต้องอยู่กับเจ้าหญิงในตอนจบด้วยไม่ใช่เหรอ..?
               "ฮึก..ฮืออ!"
               เพราะการจากลานั้นเจ็บปวดเสมอ..

               แม้ว่าไม่อาจจำได้ว่าคุณเคยโอบกอดฉันอย่างไร แม้ว่าไม่อาจนึกชื่อของคุณได้ออกในยามนั้น ฉันกลับร้องไห้จนเหมือนจะตายลงเสียเดี๋ยวนั้นเมื่อคุณได้จากไป
               เคยมีคนกล่าวว่า สมองของเราเเบ่งแยกความทรงจำและความรู้สึกออกจากกัน
               เช่นนั้นแล้วนั่นคงเป็นเหตุผล..ว่าทำไมน้ำตาของเด็กหญิงถึงได้ไม่ยอมหยุดไหลเสียที..



               "เบลล์ เก็บของเสร็จรึยัง?"
               ประตูห้องนอนถูกเปิดออก ร่างของหญิงวัยห้าสิบกว่าก้าวเข้ามา เอ่ยถามหญิงสาวร่างเล็กประหนึ่งตุ๊กตาที่นั่งอยู่บนเตียงนอนสีขาวพิสุทธิ์
               ดวงหน้างดงามเงยขึ้นมองสบกับดวงตาสีนิลสวย ส่ายศีรษะเบาๆ เพื่อเป็นการตอบกลับ
               "..อีกแค่สิบนาทีเท่านั้นนะ..ไม่งั้นเราจะตกเครื่อง"
               หล่อนกล่าวเช่นนั้น แล้วปิดประตูห้องนอนลงดั่งเดิม

               อิซาเบลล่า ไดนาดิน เหม่อมองตามร่างของผู้เป็นป้าไปเล็กน้อย หญิงสาววัยยี่สิบสองหันกลับมาให้ความสนใจอัลบั้มเล่มโตบนตักอีกครั้ง เมื่อได้รับเวลาส่วนตัวกลับคืนมา
               ปลายนิ้วเกลี่ยไล้ไปตามรูปภาพในนั้น ภาพของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่คุ้นเคย..
               
               หลังจากวันนั้น เวลาผ่านไปนานนับสิบปี..เบลล์ออกจากโรงพยาบาลในท้ายสุดเมื่อเธออายุได้สิบแปดปี ตัวเธอในตอนนั้นได้รับการศึกษาแบบโฮมสคูล มันเป็นระบบปิด..เธอไม่ได้เจอเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน หรือ ใครอื่นนอกจากอาจารย์ที่คุณป้าจ้างมาสอนส่วนตัว
               แม้ว่าจะหายป่วยและกลับมาเดินเหินได้คล่องแล้ว เธอก็ยังคงต้องอยู่แต่ในห้องสีขาวโพลน
               เบลล์เคยสงสัยว่าทำไม และคุณป้าของเธอก็ตอบกลับมาแค่ว่า
               "ป้าไม่อยากให้หลานไปเสี่ยงอันตรายอีกแล้ว"
               มันเหมือนกับคำที่บอกว่าห่วงใย แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนถูกตรวนเอาไว้ด้วยโซ่..

               อิซาเบลล่า ไดนาดิน ใช้เวลาตลอดชีวิตของเธอไปกับโลกที่มีเพียงตัวเอง ผู้เป็นป้า อาจารย์สาววัยสามสิบหก กับนางพยาบาลสาวที่คอยให้การดูเเลเธออย่างใกล้ชิดอยู่เสมอ
               โลกของเธอมีเพียงแค่นั้น
               ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใด หรือจะกาลเวลาจะหมุนผ่านไปเพียงเท่าไร มันก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
               เรื่องราวของเธอหยุดเดินไปนานมากแล้ว..
               นาฬิกาสีดำเรือนนั้น ได้จางหายไปพร้อมไวท์แรบบิทที่จากลาไปทั้งที่ยังไม่ถึงฉาก The End


               " ฉันอาศัยอยู่ในห้องสีขาว
               ที่นั่นไม่มีสีสันอื่นใดยกเว้นเพียงแต่สีของท้องฟ้าจากหน้าต่างบานโต
               แล้ววันหนึ่ง ฉันได้พบคุณกระต่ายขาวและนาฬิกาสีดำของเขา
               ก่อนที่เขาจะหายไป..พร้อมกับวันที่เรื่องราวของฉันได้หยุดเดิน "


    - เจ้าหญิงที่แสนงดงาม บริสุทธิ์ และแสนเดียงสา.. 
    ทุกวันนี้เธอก็ยังแย้มยิ้ม เฝ้ามองท้องฟ้าที่กว้างไกลแล้วเอ่ยบอกกับทุกคนเสมอว่า
    " ฉั น ห ล ง รั ก ท้ อ ง ฟ้ า "

    เพราะที่นั่น..คุณกระต่ายขาวของเธอได้หลับใหล และเฝ้ามองเธออยู่เสมอ..


    _____________ { To be continue. } _____________


    งานอดิเรก :: 
               วาดรูป ll เบลล์ชอบวาดรูปมาก สมมติว่าถ้าคุณปล่อยให้เธอว่างงาน คุณก็อาจเห็นเด็กคนนี้หยิบปากกา ดินสอ พู่กัน หรืออะไรสักอย่างที่ขีดเขียนได้ขึ้นมาขีดเขียนวาดร่างภาพลงไปเสมอ อินสไปเรชั่นของเธอฟังเเล้วดูให้ความรู้สึกน่ารักน่าเอ็นดู แต่ในขณะเดียวกัน ลักษณะการวาดภาพแบบสไตล์อิมเพรสชั่นกลับทำให้ผู้มองรู้สึกหดหู่มากเสียกว่าจะนึกชื่นชมในความน่ารักเหล่านั้น
               อบขนม ll เบลล์น่ะชอบอบขนม เพราะเธอมักบอกว่าร่างกายเธอขาดน้ำตาลก็เลยต้องหาอะไรหวานๆ มาเติมใส่กระแสเลือดให้มันชื่นใจน่ะสิ
               นอน ll มันเป็นงานอดิเรกรึเปล่า? ไม่รู้สิ ผมแค่เห็นว่าเด็กคนนี้นอนอยู่ตลอดเวลา ถ้าเธอว่างแล้วไม่วาดรูป เธอก็จะนอน แถมแค่ห้านาทีคอเธอยังพับได้ง่ายๆ เลยด้วย
               เล่นดนตรี ll บางทีสายเลือดความเป็นศิลป์ในตัวเธอคงเข้มข้นมาก เบลล์เล่นดนตรีได้ และเธอก็รักจะฟังเสียงของอะคูเลเล่ตัวจิ๋วที่มักหยิบมาดีดคลายเหงา มิหนำซ้ำเธอยังชอบดีดมันให้คนที่โรงพยาบาลฟังบ่อยๆ ด้วย
               มองท้องฟ้า ll ผมไม่รู้ว่ามันมีอะไรที่น่ามอง แต่ตอนที่มีใครสักคนถาม เธอจะบอกว่าเธอมองเพราะเธอหลงรักท้องฟ้า..ฟังดูแปลกใช่ไหม? นั่นสิ..บางทีอาจเพราะความรักของเธออยู่บนนั้นก็ได้..

    ชอบ ::
               ท้องฟ้า ll เธอพูดเสมอว่าเธอหลงรักท้องฟ้า เพราะฉะนั้นเธอจึงรักมัน รักสีครามในยามทิวา รักสีแสดในยามตะวันลับ และรักสีน้ำเงินแสนสวยในยามราตรี
               การวาดรูป ll มันกลายเป็นชีวิตของเธอไปแล้ว อิซาเบลล่า ไดนาดินที่ไม่ได้จับพู่กันแต่งแต้มสีสันบนผ้าใบ..ผมจินตนาการภาพนั้นไม่ออกเลย
               ของหวาน ll บางครั้งคนเราก็หงุดหงิดเหนื่อยหน่ายกับอะไรสักอย่าง ผมว่าเบลล์คงคิดว่าการเติมน้ำตาลให้ตัวเองมันคงไม่แย่สักเท่าไหร่
               ดอกไม้ ll กลิ่นของมันหอม สีของมันสวย และเธอรักที่จะอยู่ท่ามกลางกองดอกไม้พวกนั้น
               รอยยิ้ม ll เพราะใครสักคนบอกเธอเอาไว้ ว่ารอยยิ้มนั้นคือสัญลักษณ์ของความสุข
               อ้อมกอด ll เวลาที่ได้กอดใครสักคน..มันรู้สึกอบอุ่นมากๆ เลยล่ะ..
     
    ไม่ชอบ ::
               รสชาติขมฟาด ll เธอเหมือนกับเด็ก รักในรสชาติหวานและเกลียดในความขมที่บาดลิ้น มันทำให้รู้สึกอยากจะอาเจียน เพราะแบบนี้รึเปล่าเบลล์ถึงได้ไม่ชอบทานยาไปด้วย?
               สุนัข ll บางทีอาจเป็นเพราะเสียงเห่าที่ทำให้รู้สึกกลัวล่ะมั้ง..
               การเรียน ll เบลล์เรียนไม่เก่ง เธอเรียนรู้ช้ากว่าคนทั่วไป ผมว่าการที่ต้องโดนทิ้งให้อยู่ข้างหลังมันเป็นอะไรที่แย่ และเพราะแบบนั้นนั่นแหละ เธอถึงได้ปฏิเสธที่จะเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง
               เสียงดัง ll เบลล์ขี้ตกใจอยู่แล้ว ผมไม่แปลกใจถ้าเธอจะไม่ชอบเสียงที่ดังโครมครามไม่ให้ทันตั้งตัวพวกนั้น
               เวลาโดนคนที่ไม่เข้าใจในอารมณ์ศิลป์ (ติสท์?) ของเธอมาวิจารณ์ภาพวาด ll เบลล์รับได้กับคำว่า งานดีต้องมีการติเพื่อก่อ นะ แต่เธอไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่หรอกถ้าคนที่ชอบกันคนละสายทางจะมาวิจารณ์มั่วๆ ซั่วๆ อารมณ์ศิลปินมันเดือดดาล อยากจะเอาพู่กันฟาดหน้าเอาน่ะสิ..
               จัมป์สแกร์ ll คนยิ่งตกใจง่ายๆ อยู่..เจอแบบนั้นไปเธอก็กรี๊ดแตกกันพอดี
               สีขาว ll เบลล์อยู่กับมันมาทั้งชีวิต..จากความเคยชินก็กลายเป็นความรู้สึกเกลียดและขยาด ถึงขนาดบางครั้งที่ส่องกระจก เธอยังรู้สึกว่าสีผมของเธอนี่มันน่าหงุดหงิดจริงๆ เลย..
     

    แพ้ :: -
     

    Character Voice :: C.
     

    พิ่มเติม ::
    -สามารถอ่านข้อมูลของอิซาเบลล่า ไดนาดินฉบับรวบรัดได้ที่นี่ ll Click! ll
    -นิสัยเสียๆ คือไม่ชอบทานข้าว กินแต่ขนม
    -ชอบสะพายกระเป๋าใบโตกับย่ามใส่ยากับอุปกรณ์วาดภาพและกระดานผ้าใบเดินไปไหนมาไหนตลอด จนหลายครั้งก็มีคนเข้ามาช่วยถือบ่อยๆ เพราะทำท่าเหมือนจะล้มแหล่มิล้มแหล่ตลอดศก..
    -ปัจจุบันก็ยังจำเรื่องในอดีตไม่ได้สักอย่างอยู่ดี (สาเหตุหลักคือป้าของเธอไม่ต้องการให้เบลล์ฟื้นความทรงจำในอดีตขึ้นมา เพราะกลัวหลานสาวตัวน้อยคนนี้จะเจ็บปวดจนทนรับไม่ได้)
    -ป้าของเธอมักโทรมาหาเธอทุกๆ วันอย่างไม่คิดเสียดายค่าโทรศัพท์
    -เบลล์รักป้าของเธอมาก แม้ว่าจะรู้สึกเศร้านิดๆ ที่ถูกจำกัดอิสระ แต่หญิงสาวก็อยู่กับมันมานานเกินกว่าจะมานึกเศร้าอะไร มันเป็นความเคยชิน..อีกอย่าง ถ้าไม่นับเรื่องนั้น เบลล์ก็คิดว่าชีวิตของเธอมันก็มีความสุขดีนะ
    -เบลล์แทบไม่ได้ติดต่อกับครอบครัวฝั่งพ่อเลย..ส่วนมากแล้วเธอจะอยู่กับครอบครัวฝั่งแม่ซะมากกว่า
    -ชีวิตส่วนมากก็อยู่แต่ในบ้าน นอกจากเวลามีคนมาเยี่ยมซึ่งก็นานทีปีหน เบลล์เลยแทบไม่รู้จักหน้าค่าตาของญาติตัวเองเลยสักคน
    -เธอชอบอ่านหนังสือวรรณกรรมเป็นพิเศษ
    -เคยเขียนนิยายแนวเทพนิยายเรื่อง ฉันตกหลุมรักท้องฟ้า - เป็นเรื่องราวที่กล่าวถึงเด็กสาวคนหนึ่งที่ตลอดชีวิตอาศัยอยู่ใต้ดิน ก่อนจะได้ออกไปผจญภัยในโลกกว้าง และตกหลุมรักในสีสันของท้องฟ้า แน่นอนว่า เธอมีต้นฉบับเเรงบันดาลใจหนังสือเล่มนี้มาจากชีวิตของตัวเอง
    -เบลล์ไม่ได้เปิดเผยตัวว่าเป็นคนเขียนหนังสือ ปัจจุบันนวนิยายเรื่อง ฉันตกหลุมรักท้องฟ้า ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำถึงห้าครั้ง และขึ้นเป็นอันดับนิยายขายดีตลอดฤดูกาลที่ออกวางขาย
    -ปัจจุบันเบลล์กำลังเขียนเรื่อง คุณกระต่ายสีขาวไปไหน? - มันเป็นภาคต่อของเรื่อง ฉันตกหลุมรักท้องฟ้า ที่เด็กสาวคนเดิมได้พยายามตามหาเพื่อนของเธอที่พัดหายไปกับพายุในตอนท้ายของเรื่อง 
    -ทั้งนี้ในโลกโซเชี่ยลบอกว่าเธอเขียนเพื่อตอบรับคำขอของแฟนๆ แต่เหตุผลแท้จริงคือ เบลล์เขียนขึ้นเพื่อระลึกถึงพี่ชายที่จากไปแล้วนั่นเอง
     

    เพิ่มเติมเนื้อหาตัวละคร
     
    [ ครอบครัว - บ้านของเบลล์นั้นจัดได้ว่ารวยในทุกสายวงศ์ตระกูล ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่งพ่อหรือฝั่งแม่ก็ตาม จะกล่าวว่า อิซาเบลล่า ไดนาดิน คือลูกคุณหนูคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดก็ไม่ผิดนัก ทั้งครอบครัวมีกันสี่คน คือ เธอ พี่ชาย และพ่อกับแม่ สมัยเด็กเบลล์อาศัยอยู่กับครอบครัวในคฤหาสน์ที่ประเทศอังกฤษ มันไม่ใหญ่มากนักเพราะแม่ของเธออยากได้อะไรที่เป็นส่วนตัว แต่หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้ง โรงพยาบาลก็ได้กลายเป็นบ้านหลังที่สองของเธอ เบลล์สูญเสียพ่อและแม่ในเหตุไฟไหม้ ในขณะที่พี่ชายของเธอเสียชีวิตในตอนอายุสิบแปดจากการฆ่าตัวตาย ]
                  { ญาติ ๆ - เบลล์มีญาติอยู่หลายคนมาก ทั้งฝั่งพ่อและแม่ เเต่เธอแทบจะไม่รู้จักพวกเขาเลย โดยเฉพาะทางฝั่งพ่อที่รู้จักแค่กับคุณปู่คุณย่า ที่มักข้ามน้ำข้ามทะเลมาเยี่ยมเธอตอนท้ายปีบ่อยๆ เท่านั้นเอง ส่วนฝั่งแม่ที่สนิทสนมกันดีก็คือผู้อุปการะอย่างคุณป้าของเธอ นอกเหนือซะจากนั้น เบลล์จำชื่อไม่ได้สักเท่าไหร่ เพราะกว่าจะเจอกันสักครั้งเธอก็แทบลืมหน้าอีกฝ่ายไปแล้วล่ะนะ }

     
    [ การศึกษา - เบลล์เรียนโฮมสคูลตั้งแต่เด็กจนโต บ้านของเธอมักจ้างติวเตอร์ส่วนตัวมาสอนเธอตลอด แต่เพราะตอนเด็กป่วยบ่อย ทำให้เบลล์หยุดเรียนหลายครั้งหลายครา เป็นเหตุแห่งความหัวช้า สมองไม่แล่น คลิ๊กไม่ไปกับวิชาการคำนวณเอยอะไรเอยทั้งหลาย อนึ่ง เธอไม่มีปริญญาหรือตัวยืนยันการจบการศึกษาสักใบ เพราะคุณป้าของเธอไม่เห็นความเป็นต้องขูดเข็ญลากถูอะไรให้หลานสาวต้องไปเหนื่อยดั้นด้นสอบเทียบเอามาครอง ]

     
    [ มิตรสหาย - แต่เด็กจนโตก็อยู่แต่ในบ้านกับโรงพยาบาล ถ้าจะนับแมวเป็นเพื่อนได้ล่ะก็ เจ้าเหมียวสายพันธุ์เบอร์มีสหน้าดุสุดที่รักของเธออย่าง มิเกล ก็คงจะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแล้วนั่นแหละ (และ..ใช่เลย เบลล์ตั้งชื่อแมวตามพี่ชายของเธอ บอกตามตรงว่าบางทีผมก็แอบคิดว่าเจ้าแมวนี่มันคือมิเกลกลับชาติมาเกิดเหมือนกันนะ..รักเด็กคนนี้จะเป็นจะตาย แถมหวงเจ้าของเป็นจงหางหวงไข่อีกต่างหาก..ทั้งที่เป็นแค่แมวแท้ๆ เชียว..) ]

     
    [ ความรัก - 404 not found ]

     
     [ ประวัติกิจกรรม - N O N E ]

     
    [ การกีฬา - ของหนักสุดที่ยกได้คือถุงข้าวสารหนึ่งกิโลครึ่ง ดังนั้นอย่างหวังเลยว่าเธอจะเล่นกีฬาอะไรได้ ]

     
    [ ที่อยู่อาศัย - ปัจจุบันพักอาศัยอยู่ที่บ้านสองชั้นแนวสไตล์โมเดิร์น [1] ที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านส่วนตัวของย่านคนรวยในนากาโนะ อันที่จริงแล้วบ้านของเธอไม่ได้ใหญ่สักเท่าไหร่ เพราะพื้นที่ส่วนมากถูกใช้ทำเป็นสวนหญ้าสวนย่อม สำหรับให้เบลล์ออกมากางผ้าใบเพนท์รูปเล่นซะมากกว่า แถมเธอยังชอบหอบหิ้วอาหารไปทานบนชั้นดาดฟ้าอีกต่างหาก เรียกได้ว่าใช้ชีวิตล่องลอยสบายชิวๆ แบบคนมีเงินก็ว่าได้ล่ะนะ ]

     

    T a l k  T o  M e

     
    ✿ สวัสดีค่ะ..เราไดอาน่าเองง จะเรียกไดอาก็ได้นะ! แล้วผปค.ชื่ออะไรเอ่ย?
    :: ฮะโหลลลล รันรันเองค่าาา 
     
    ✿ ใบสมัครกับคำถามเราอาจจะเยอะไป(ไม่)หน่อย ขออภัยด้วยนะคะ! *กราบงามๆ*
    :: ไม่มีปัญหาค่ะ! ปกติเราก็ใส่รายละเอียดตัวละครค่อนข้างมากเหมือนกัน พอใบสมัครคีพมาก็สบายขึ้นเยอะเลย (?) ฮาา
     
    ✿ ทำไมถึงเลือกคู่กับคนนี้คะ?
    :: ไม่มีอะไรเลยค่ะ จู่ๆ นึกถึงหน้าพี่เขาแล้วก็ตกหลุมรัก-------/แค่ก ๆ.
     
    ✿ ทำไมถึงมาสมัครเรื่องนี้ค---แค่ก
    :: กลับมาย้อนความคิดถึงค่ะ จริงๆ แอบเล็งไว้หลายบทเลย แต่เพิ่งส่งได้แค่สองเอง ฮื่อ;-;
     
    ✿ เรื่องนี้อาจจะมีการดองหรือลงช้าเป็นบ้างครั้งนะคะ รอได้รึเปล่าเอ่ย?
    :: เราเป็นคนรอเก่งนะคะ 555555
     
    ✿ ถ้าไม่ติด..เราขอโทษนะคะ ,_, ))
    :: แอมโอเค แอมไอสตรอง โนพรอมเบิ้ลนะคะ
     
    ✿ สุดท้ายนี้ มีอะไรจะบอกเรามั้ยคะ? รักนะ ❤ 。◕‿◕
    :: อยากบอกว่ารักเหมือนกันค่ะ รักนะคะ รักนะ รักนะ รักนะ รัก รัก รัก รัก #โดนเตะ.


    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×