ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สลับร่างอลวนรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : Start!

    • อัปเดตล่าสุด 20 ธ.ค. 48


                    สลับร่างอลวนรัก

    ๑.จุดเริ่มต้น

         “อีหนู”

    “ขออีก ๕ นาทีคะแม่”

    คนปลุกถอนหายใจก่อนตะโกนใส่หูคนที่นอนขี้เซา  หลังจากเรียกก็แล้ว  สะกิดก็แล้ว

        “อีหนู   ตื่นได้แล้ว”

        เสียงตะโกนข้างหูทำให้ร่างบางที่นอนอยู่สะดุ้งตื่น

        “ทำไมขี้เซาอย่างนี้วะ”

        เสียงบ่นพึมพำต่อทำให้ร่างบางลุกขึ้นมาเสยผมอย่างไม่เต็มใจตื่น   และทำท่าจะล้มตัวลงนอนต่อ    มะเหงกก็ถูกประเคนใส่ดังป๊อก  ทำให้ร่างบางลืมตาตื่นโอดครวญแกมบ่น   เงยหน้าขึ้นมามองคนที่ทำร้ายร่างกาย   ชายร่างสูงวัยกลางคน  หน้าเหี้ยม  หนวดเคราครึ้ม  ผิวสีทองแดง  ไม่ใส่เสื้อ  นุ่งโจงกระเบนสีแดงเข้ม  สังวาลย์พาดสีแดงเลือดนก     ร่างบางสะดุ้งโหยง  รีบถอยห่างทันที

        [โจรขึ้นบ้านหรือนี่   โอย   ตายแน่   นอนขี้เซาจริงๆเลยชั้น]

        “ข้าไม่ใช่โจร   แต่เอ็งนอนขี้เซา   กินบ้านกินเมืองจริงๆ”

              เสียงตอบรับอย่างทันควัน   ทำให้ร่างบางสะดุ้งอีกครั้ง  รีบลุกขึ้นยืน  

        [ทำไมตาลุงหนวดเฟิ้มนี่พูดเหมือนอ่านใจได้เลยแฮะ    แล้วเป็นใครล่ะ]

        “ข้าเป็นยมทูต”

        คำตอบของคนตรงหน้าทำให้ร่างบางตะลึง   สมองหมุนคว้างเหมือนลูกข่าง

        [ย..ยม..ยมทูต.......อะ..... ไม่จริง]

           “ข้าเป็นยมทูต”

              ร่างบางสลัดหัวเบาๆก่อนหัวเราะแห้งๆ

        “อย่าล้อเล่นสิคะลุง   พี่เอจ้างพี่น้ำจ้างลุงมาใช่ไหมคะ”

        “ตัวจริงเสียงจริง   รับประกัน   100%”

        “โจ๊กหรือคะลุง   วันนี้ไม่ใช่วันที่  ๑ เมษาสักหน่อย”

        “ข้าไม่ได้ล้อเล่น   เอ็งลองดูให้ดีสิ”

        ร่างบางกวาดตามองรอบตัว   รอบกายมืดสลัวว่างเปล่าไร้สรรพสิ่ง   เดียวดายอ้างว้าง

        “ไม่จริง   ต้องฝันชัวร์ๆ”

        ร่างบางทำท่าล้มตัวลงนอนอีกรอบ

        “เฮ้ย   อย่านอน   ข้าขี้เกียจแบกเอ็งไป   กว่าจะหาเจอก็เสียเวลาหลายเพลา   ไปกันได้แล้ว”

        “เดี๋ยวก่อนคะลุง   ขอเวลาตั้งตัวแป็บนึง”

        ร่างบางลองหยิกแก้มตัวเองทดสอบก่อนรู้ตัวว่าไม่ใช่ความฝัน   นิ่งงันไปชั่วขณะ   สมองเบลอเหมือนโดนค้อนทุบหัว   พยายามรวบรวมสติพูดออก ไปแต่เสียงก็ยังสั่น

        “ลุงเป็นยมทูต    งั้น.....  อย่าบอกนะว่ามารับ....”

        “เออ    ใช่    มารับเอ็งแหละ”

              คำตอบจากยมทูตตรงหน้าทำให้ร่างบางมึนไปอีกรอบ

        “ไปกันได้แล้ว   อีหนูน้อย”

    คำยืนยันนั้นทำให้ร่างบางแทบทรุดลงไป

        “ชั้นตายแล้วหรือลุง     แล้วทำไมถึงไม่เจ็บล่ะ”  

        “นั่นเพราะว่าวิญญาณออกจากร่างแล้วนะสิ   ไปกันได้แล้ว”

    ร่างบางวูบเหมือนถูกกระชากไปข้างหน้า   เมื่อทรงตัวได้   ต้องเบิกตากว้างอย่างตะลึง

    “ว้าว”

    ปราสาทสีขาวที่อยู่ตรงหน้าช่างใหญ่โตมโหฬาร   เสาสูงใหญ่ขนาดสิบคนโอบยังไม่พอ  สูงขนาดตึก ๕ ชั้นเป็นอย่างน้อย  หลังคาเป็นสามเหลี่ยมหน้าจั่ว เหมือนปราสาทในหนังจักรๆ วงศ์ๆ  ทางเดินสีขาวปูด้วยกระเบื้องอย่างดีไม่มีรอยต่อ  แม้เดินเท้าเปล่าก็ไม่มีเสียง  ก้าวขึ้นบันไดกว้าง ๕ ขั้นก่อน   ทวารเหล็กใหญ่หนาหนักเปิดออกอย่างช้าๆโดยไร้เสียงสากระคายหู  แสงสว่างเรืองรองออกมาเหมือนเชื้อเชิญให้เข้าไป  ยมทูตหันมากวักมือเรียกเมื่อเห็นร่างบางลังเล   ร่างบางอดเหลียวหลังกวาดตามองประตูที่ปิดเองไม่ได้   ทางเดินปูพรมสีแดงเข้มนุ่มเท้า   สุดทางยกพื้นสูงตั้งบัลลังก์ใหญ่ไว้     สองฟากตั้งโต๊ะใหญ่ไว้ข้างละตัว   หนังสือสีทองหนาเปิดอยู่ฝั่งซ้าย  หนังสือสีดำเปิดอยู่ทางฝั่งขวา    ยมทูตผู้นำทางคุกเข่าลงทำความเคารพบัลลังก์นั้น   ร่างบางทำตามอย่างเก้ๆกังๆ

    “กระหม่อมนำนางสาวภารดีมารับการตัดสินแล้วพะยะค่ะ”

    “ตาชั่งแห่งความดีและความชั่วจงปรากฏออกมาเทอญ”

    เสียงทุ้มกังวานทรงอำนาจดังมาจากบัลลังก์สูงที่ว่างเปล่า    เสียงกระดาษหนาบนโต๊ะสองฟากพลิกเองเหมือนใช้เวทมนตร์  ทำให้ร่างบางหัวเราะไม่ออก   ฉากที่เห็นตรงหน้าเหมือนในหนังไทยสมัยเด็กที่เคยดูแทบไม่ผิดเพี้ยน   ต่างตรงที่ดูนั้นเป็นการแสดง   แต่ตรงหน้าเป็นของจริงที่ตนได้มาประสบเอง

    “นางสาวภารดี   จิระตระกูล    อายุ ๒๙ ปี   ความดีที่เคยทำคือ.......”

    ร่างบางสะดุ้งเมื่อเสียงทรงอำนาจดังเหมือนตะโกนใส่ข้างหู

    “คะ   ว่าไงนะคะ   คือดิฉันไม่ได้ฟัง   เอ้ย   ไม่ได้ยินคะ  ขอโทษคะ”

    เสียงถอนหายใจเบาๆ จากบัลลังก์เปล่า

    “ไม่มีความดีที่แท้จริง   บริจาคเงินเพื่อฐานะทางสังคม”

    “ความชั่วคือ  ใช้รูปร่างหน้าตายั่วยวนสามีของผู้อื่น   ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น......”

    ร่างบางรวบรวมสติฟังตามอย่างตั้งใจ  คิ้วเรียวบางขมวดมากขึ้นตามความชั่วที่บรรยาย   ยกมือขึ้นท้วง

    “ขอโทษนะคะ   ช่วยพูดทวนใหม่อีกครั้งได้ไหมคะ”

    ลุงยมทูตเหลียวมามองอย่างตกใจ    เสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากบัลลังก์

    “นานมากแล้วนะที่ไม่เจอคนใจกล้าอย่างนี้   มีข้อข้องใจอันใด”

    “ถึงแม้ดิฉันจะไม่ค่อยได้ทำบุญอะไร   แต่ดิฉันแน่ใจว่าตนเองไม่เคยแย่งสามีใครแน่นอนคะ   แล้วเรื่องอื่นๆ  ก็นึกไม่ออกว่าไปทำตอนไหนด้วยคะ”

    “เจ้ากล้ายืนยันว่าตัวเองไม่เคยทำงั้นหรือ”

    “คะ  ดิฉันกล้าสาบาน”

    จำเลยกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ  กำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ   กล่าวอย่างหนักแน่น

    “ฮะ ๆๆ”

    หลังเสียงหัวเราะเย้ยหยันหยุดลง   ทุกอย่างเหมือนตกอยู่ในความเงียบ   ร่างบางหันหน้าไปมองยมทูตร่างใหญ่ที่ทำหน้าเหมือนกลืนอะไรติดคอ

    “ช่างยึดมั่นในตนเองมากนัก   ภารดี   จิระตระกูล”

    ร่างบางรีบชูมือขึ้นอีกครั้ง    ลุงยมทูตหันมาทำหน้าตำหนิ   ทำให้ร่างบางเบ้ปาก

    “มีอันใดหรือ”

    เสียงทุ้มทรงอำนาจเย็นห้วนขึ้น

    “ดิฉันชื่อ นางสาวภารดี   จิรภักร์สกุล  คะ”

    เสียงหวานก้องกังวานอย่างดีใจ    คำภาวนาตลอดทางที่มาเป็นจริงแล้ว

    “ท่านนำมาผิดคนแล้วคะ”

    เสียงอุทานดังรอบด้านก่อนจางหาย   ทำให้ร่างบางเหลียวมองรอบตัวอย่างหวาดๆ

    “เจ้าเห็นพวกข้าหรือไม่”

    ร่างบางนิ่งหน้าเล็กน้อย   อดค่อนขอดคนถามในใจไม่ได้  

    [มองไม่เห็นแล้วยังจะถามอีก ]

    “เจ้าคงจะยังไม่ถึงฆาตจริงๆ     เป็นความผิดของคนของข้า     ข้าพญายมราชจะชดใช้ให้เจ้าเอง           เด็กน้อย”

    “ขอบคุณคะ”

    รอยยิ้มจางลงเมื่อได้ยินประโยคถัดไป

    “แต่ว่า   คงต้องหาที่พำนักใหม่”

    “หมายความว่าไงคะ”

    ร่างบางถามอย่างงงๆ    ที่พักเกี่ยวอะไรกับที่ตนจะกลับไป

    “หมายความว่า    ร่างเจ้าสูญไปแล้ว   จึงต้องหาร่างใหม่ให้วิญญาณของเจ้าอาศัยอยู่”

    “สูญ    หมายความว่าตายแล้วหรือคะ”

    ร่างสูงบนบัลลังก์พยักหน้ารับ    แต่นึกขึ้นมาได้ว่าร่างบางตรงหน้ามองไม่เห็นตน    ค่อยตอบรับ...

    ร่างบางมึนงง    จนไม่รู้ตัวว่าออกมาจากที่นั่นได้อย่างไร    มารู้ตัวเมื่อถูกสะกิดที่หัวดังโป๊กไม่เบานัก

    “อูย     ลุงเบาๆ หน่อยสิ    เจ็บนะ”

    “เออ   ทำโทษเอ็งที่ไปนินทาท่านอย่างนั้น   ดีนะที่ท่านไม่ถือสา”

    “ก็มองไม่เห็นนี่นา    ไม่งั้นจะได้พูดราชาศัพท์ได้ถูก    ทำไงได้”

    ร่างบางย่นจมูกใส่   คนนำหน้าถอนหายใจอย่างหน่ายๆ   เสียงสวดมนต์ดังมาจากบ้านที่ยืนอยู่ตรงหน้า

    “บ้านนี้เขามีงานอะไรกันหรือคะลุง”

    “เสียงสวดนำวิญญาณ   ร่างที่ใกล้ตาย คือ   นางกิ่ง   แก้วใจ   อายุ   ๖๗ ปี ....”

    “ไม่เอานะลุง   หนูอายุแค่ ๒๒ เอง จะให้อยู่แบบอายุ ๖๗ ไม่ไหวหรอก   เอาที่อายุน้อยกว่านี้   ไม่มีโรคได้ไหมคะ”

    “จะเอาหรือไม่เอา   ถ้าไม่เอาก็เป็นสัมภเวสีนะ”

    ร่างบางส่ายหัวปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

    “ไม่เอา   No way  คะ  งั้นลุงพากลับไปหาท่านใหม่ได้ไหมคะ”

    คำพูดตอนท้ายทำให้ร่างสูงใหญ่เปลี่ยนเรื่อง

    “งั้นไปดูที่อื่นก็แล้วกัน”

    ร่างบางเดินตามจนเหนื่อย   แต่ก็ยังไม่ได้ร่างที่ถูกใจ    ร่างสูงหยุดพักก่อนตะโกนเรียกร่างขาวที่ผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว   เสียงสนทนาภาษาที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นก่อนร่างสีผิวทองแดงจะพยักหน้ารับ

    “@@#$$%@#^&()_CVUJKFEIP:
    “#sdgu$RFHJL:D2e0-lmffjERVDGJv~W”

    ร่างบางฟังไม่รู้เรื่อง  เลยได้แต่มองร่างสูงในชุดอาภรณ์สีขาวตรงหน้า   ร่างนั้นพยักหน้าและตอบคำถามอย่างสุภาพโดยไม่เหลือบมองมาเลย

    หลังจากร่างนั้นลับตา   ยมทูตก็นำร่างบางไปยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง   ในห้องพิเศษที่แยกเป็นสัดส่วน   เตียงเหล็กที่วางอยู่กลางห้องเป็นจุดที่ดึงดูดสายตาที่สุด   ภารดีพิจารณาร่างที่นอนอยู่บนเตียงก่อนหันไปคนที่นำมา

    “นี่มันเด็กนี่ลุง    อย่าบอกนะว่า   จะให้ใช้ร่างนี้”

    ยมทูตผู้ซึ่งนำวิญญาณผิดดวงพยักหน้า

    “ลุงคะ   หนูโตแล้วนะคะ   เด็กนี่ก็อายุประมาณ 12-13  ปีเอง   แล้วนี่หนูจะกลับไปหาที่บ้านได้อย่างไรคะ”

    “เอ็งนี่เรื่องมากจริงๆ เลย    ร่างก่อนก็อายุใกล้เคียง”

    “ขี้ยาออกอย่างนั้น   ทั้งยาบ้า  กัญชา  หนูไม่อยากตายเพราะถูกวิสามัญคะ”

    “เลือกมากมักได้แร่นะ  ”

    “สมัยนี้ถ้าได้แร่เพชร   ทองคำรวยนะคะลุงยม  ถ้าหนูใช้ร่างนี้  ใครจะเชื่อว่า นี่คือหนูคะ”

    “อย่าได้ยึดติดกับร่างเดิม  เอ็งหมดวาสนากับร่างนั้นแล้ว  หมดพันธะสัญญาไปแล้ว  อย่าเสียดายกับสิ่งที่ไม่จีรังอย่างสังขาร  เอ็งต้องมองไปข้างหน้า  ทำวันนี้และพรุ่งนี้ให้ดีเพื่อจะไม่เสียใจในวันข้างหน้า”

    คำพูดสั่งสอนเชิงปรัญญาทำให้ร่างบางอึ้งไปเล็กน้อย

    “แต่ว่า..”

    “เอ็งไม่มีสิทธิ์เลือกแล้ว” หน้าเหี้ยมดุตัดบททันควัน

    “ทำไมคะ”

    ร่างบางถามอย่างงงๆ

    “เพราะว่า   เวลาได้สิ้นสุดลงแล้ว”

    มือหนาใหญ่ผลักร่างบางที่ไม่ทันระวังตัวถลาเข้าร่างเด็กตรงหน้า    ภาพสุดท้ายที่เห็นคือเด็กน้อยลุกจากร่างออกมา ยื่นมือให้ร่างสูงในชุดขาวที่เห็นก่อนหน้านั้น

    “ข้าเกือบลืมบอกเอ็งว่า..........”

    ร่างบางหมดสติไปก่อนที่จะได้ยินคำพูดที่ตามมา

            …………………………………………..    



                    













        















































        































        















































        













































        



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×