ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศักราชมืดราชันย์รัตติกาล ตอน คำลวงของท่านหญิง

    ลำดับตอนที่ #6 : ลาจาก

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ย. 53


    บทที่ 5
    ลาจาก

    ลิขิตเขียนบิดเบือนชะตากรรม

    บาปทำซ้ำซัดสนองผู้ประสงค์

    ลวงหลอกล่อเปลี่ยนชีวิตขีดบรรจง

    แม้นปลดปลงวายปราณไม่อนาทร

    จากเรื่องเมื่อเย็นวานอาเดอเรียพยายามที่จะหาเวลาคุยกับซัสตรงๆอีกหลายครั้งแต่ก็ปรากฏว่าชายผู้นั้นกลับหายตัวไปในจังหวะเหมาะทุกครั้ง ทว่าแม้จะพบกันไม่นานแต่นางก็พอรู้ว่าชายผู้นั้นไม่ใช่คนหลบหน้าที่ชอบหนีปัญหา การที่ไม่เจอตัวนั้นน่าจะเป็นเพราะ.....

    “กำลังจะทำอะไรน่ะ...” จากที่ได้ฟังเมื่อวานแสดงว่าซัสน่าจะต้องไปตระเตรียมการบางย่างสำหรับคืนนี้ และมันจะต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากพอที่จะสร้างความปั่นป่วนเสียหายให้กับเมราโน่ไม่ต่างกับครั้งที่เพิ่งผ่านมา ที่สำคัญในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเองที่นางได้ยินข่าวจากลูกค้าที่มาติดต่อที่ร้านว่าเจ้านครคนใหม่ของเมราโน่จะเดินทางมาถึงในเย็นวันนี้ ด้วยข้อมูลหลักฐานทั้งหมดอาเดอเรียจึงประมวลความและพอคาดการณ์ได้ว่าซัสกับเอเทล...ต้องการที่จะทำอะไร

    “ท่านพี่.....” จากหน้าร้านพอมองออกไปเห็นเอเทลกับรีอันน่ากำลังสนทนาบางอย่างกันอยู่ ก่อนที่หญิงสาวจะโค้งคำนับชายหนุ่ม อาเดอเรียเดาว่านั่นคงเป็นการแสดงความขอบคุณที่เขาช่วยนางไว้จากความตายกระมัง

    “ท่านพี่เอเทลเป็นกบฏ และคิดจะทำบางอย่างในคืนนี้..คิดจะ...ลอบสังหารอีกหรือเปล่า..” คาดการณ์กับตนเองและได้แต่ก้มหน้ากวาดลานบ้านต่อ นางเริ่มไม่แน่ใจว่าควรจะถามเอเทลดีไหม ตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมาช่างน่าแปลกว่าคนที่ทำให้นางรู้สึกวางใจนั้นหาใช่พี่ชายบุญธรรมที่กลับจากการเดินทางแต่เป็นชายมากปริศนาที่ชื่อซัสผู้นั้น

     แต่ครั้งนี้มันผิดกัน นางตั้งใจว่าอย่างไรก็ต้องรู้เรื่องราวว่าเอเทลคิดที่จะทำและเขานั้นคาดหวังอะไรไว้  และท้ายที่สุดเขาจะตัดสินใจไปในทิศทางไหนกันแน่

    “ท่านพี่!” ร้องเรียกเอเทลเมื่อเขาเดินกลับเข้ามาในร้านของคอลลิน ลอเรนซ่า รีอันน่านั้นขอตัวไปช่วยงานที่หลังร้านจึงเหลือแต่เอเทลที่หยุดยืนอยู่ตามที่อาเดอเรียร้องเรียก

    “มีอะไรงั้นรึ อาเดอเรีย” เอเทลนั้นยิ้มให้อย่างงดงาม เขาดีใจที่อาเดอเรียยอมเรียกเขาไว้และดูราวกับมีบางอย่างที่ต้องการพูดจา

    “เอ่อ...ท่านพี่จะไปเอลวาน่าเมื่อใดหรือขอรับ” เริ่มบทสนทนาด้วยสิ่งที่คิดว่าธรรมดาสามัญ

    “น่าจะภายในสามวันนี้ล่ะนะ” ชายหนุ่มอธิบาย เขาเองก็มีเรื่องที่ต้องเร่งทำที่นี่ให้สำเร็จแล้วหลังจากนั้นก็จำเป็นที่จะต้องใช้สิ่งที่แย่งชิงมาเพื่อที่จะได้เข้าใกล้เป้าหมายของตนเองมากยิ่งขึ้น

    “ไปเพื่ออะไรหรือขอรับ”

    “!” สะดุ้งเมื่อถูกถามอย่างตรงไปตรงมาเช่นนั้น เขาจำได้ว่าเคยบอกกับนางไปแล้วว่าสถานะของเขาในยามนี้คืออะไร แต่เพราะเหตุใดอาเดอเรียจึงได้ถามในสิ่งที่บาดใจเช่นนี้  “ข้าอยู่ในฐานะอะไรเจ้าก็ทราบดีไม่ใช่รึ”

    “แต่ข้าทราบมาจากนายท่านว่าท่านพี่อาจจะไปพบกับบิดาด้วยเช่นกัน บิดาท่านพี่เป็นขุนนางใหญ่มิใช่รึขอรับ” นางทราบแต่เพียงเท่านั้น คารีน่ากับเอเทลเป็นพี่น้องต่างบิดา และบิดาของเอเทลนั้นก็เป็นขุนนางใหญ่อยู่ที่นครหลวง ส่วนเรื่องที่ว่าจะมีฐานะเช่นใดและคือผู้ใดนั้นยังคงเป็นเรื่องลับสำหรับนาง

    “ข้าจะไปพบบิดาน่ะใช่ แต่ก็มีเรื่องที่ต้องทำเช่นกัน อาเดอเรีย....ข้าลำบากใจหากว่าเจ้าจะสงสัยใคร่รู้ในเรื่องนั้นนะ” ไม่ควรรู้ และไม่ปรารถนาที่จะให้รับทราบ

    “แต่ว่า!”

     ขณะนั้นเองที่อาเดอเรียตั้งท่าที่จะเถียงต่อเพื่อซักไซ้เอาความ แต่เวลานั้นที่คาทริโอน่า เอสเตอร์พลันเดินเข้ามาจากทางด้านหลังร้าน วันนี้นางมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือในการแต่งกลิ่นน้ำหอมให้กับคอลลิน ลอเรนซ่า

    “ท่านแม่”

    “ข้ามีธุระสำคัญจะคุยกับเอเทล ท่านคอลลินเรียกเจ้าแน่ะอาเดอเรีย” ชี้ไปทางด้านหลังร้าน และแม้ว่าอาเดอเรียจะไม่ต้องการทิ้งเรื่องให้ค้างคาเช่นนี้แต่นางก็ไม่มีทางเลี่ยงได้

    “ขอรับ” ตอบรับและหันหลังไปในทันที  แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น อาเดอเรียกลับพลันรู้สึกแปลกใจที่มารดา...ไม่สิ น้าสาวของนางกลับมีเรื่องที่จะพูดคุยกับเอเทล และยิ่งดูราวกับว่าคาทริโอน่าเจตนาที่จะผลักไสนางไปจากบทสนทนานี้มากกว่าที่คอลลิน ลอเรนซ่าจะมีธุระจริงๆ

     อาเดอเรียแกล้งเดินไปทางหลังร้าน แต่ครั้นพอแน่ใจว่าลับสายตาของคนทั้งสอง นางก็เดินย้อนกลับอย่างเงียบเสียง ทำฝีเท้าให้แผ่วเบาก่อนจะย่อกายลงและหลบอยู่ทางด้านหลังของลังสินค้าจำนวนมากที่ระเกะระกะอยู่

    “จะว่าไปเรายังไม่มีเวลาที่จะได้คุยกันเป็นกิจจะลักษณะเลยนะ” เป็นเสียงของคาทริโอน่าที่พูดทักขึ้น  จากวาจาเช่นนี้ทำให้อาเดอเรียมั่นใจได้ว่าเอเทลมีเจตนาที่จะหลบหน้าอีกฝ่าย

    “ขอรับ” เอเทลตอบ แม้ไม่สามารถสังเกตเห็นสีหน้าแต่ก็คาดเดาได้จากน้ำเสียงว่าไม่สู้ดีนัก

    “ของที่เอาไปยังอยู่ดีอยู่รึ”

    “!”

    “หรือว่าได้เอาไปให้ผู้อื่นด้วยวัตถุประสงค์อื่นใดเสียแล้ว” คาทริโอน่ายังคงไล่ถามต่อไป  อาเดอเรียจับใจความได้เพียง ‘ของ’ ของบางอย่างที่เอเทลเอาไป และยามนี้คาทริโอน่าก็สงสัยว่าเขาจะนำมันไปให้ผู้อื่น

    “ข้า......”

    “นั่นเป็นของสำคัญ  เจ้าเองคงรู้ดีอยู่ เป็นของที่จะให้สูญหายไปจากเอสเทเนียเสียมิได้”

    “ข้าทราบ และปรารถนาที่จะก้มหัวคุกเข่าขอโทษท่านกับอาเดอเรียนับร้อยครั้ง” ต่อให้ต้องโขกศีรษะกับพื้นจนศีรษะแตกเลือดระรินไหล แต่มันก็คงยังไม่สาสมกับความผิดที่เขาได้กระทำ

    เป็นโจรร้าย

    ผู้เลวทราม


     ทว่าแทนที่จะมีคำกล่าวโทษหรือคำครหาใดๆ กลับมีเพียงความเงียบงันที่เข้าครอบคลุมในบรรยากาศ  อาเดอเรียนั้นไม่อาจรู้ว่ายามนี้คาทริโอน่าต้องการอะไรและของสิ่งนั้นที่นางกล่าวถึงคือะไร แต่นางแน่ใจว่ามันต้องเป็นของสำคัญ สำคัญพอที่จะให้เอเทลกล่าวขอโทษอย่างสำนึกผิดเช่นนั้น

    “ท่านให้มันกับผู้ใดไป เอเทล ฟรีด้า”

    “!” ชื่อสกุลที่เอ่ยออกมานั้นทำให้ทั้งเอเทลและอาเดอเรียต้องชะงักงัน คนหนึ่งนั้นตระหนกที่ถูกล่วงรู้ความจริง ส่วนอีกคนนั้นถึงกับต้องตกใจระคนกังขา

     นามนั้น....

    สกุลฟรีด้า

    แห่งเอสเทเนีย


    “สร้อยที่เจ้าสวมอยู่นั้นคือสัญลักษณ์แทนความอ่อนน้อมของตระกูลฟรีด้า ของท่านอัครมหาเสนาบดีอัสเทเรียส ฟรีด้า”

    “ข้า.........”

    “ข้าเดาว่า  เจ้าคงจะกลับไปพบบิดาเพื่อวัตถุประสงค์บางสิ่งและของสิ่งนั้น....คงอยู่กับผู้สูงส่งบางคน”

    “คนผู้นั้น..........” รู้สึกผิดในขณะเดียวกับที่รู้สึกว่าตนเองนั้นช่างโง่เขลา คาทริโอน่า  เอสเตอร์รู้ทุกสิ่ง และนางก็รู้ไปจนถึงขั้นที่ว่าตัวเขานั้นมีความประสงค์ที่ต้องการจะทำอะไร  “ข้า......บอกไม่ได้”

    “งั้นรึ”

    “ข้า....จะขอขมาต่อท่านและอาเดอเรีย เมื่อกลับมาเยือนเมราโน่อีกครั้ง  แต่ยามนี้ ข้าคงต้องขอพูดว่าตัวข้า...หาได้เสียใจต่อการกระทำของตนแม้แต่น้อย  นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าอาจทำเพื่อแผ่นดินนี้ได้ และนี่เป็นสิ่งที่สตรีเช่นอาเดอเรียทำไม่ได้!” ไม่เสียใจ และจะไม่มีวันเสียใจ เลือกไปแล้ว ตั้งแต่สามปีก่อนที่ขโมยของสิ่งนั้นและหนีจากไป  เขาที่สร้างเรื่องราวโกหกโป้ปดและสลับชะตาชีวิตของตนกับอาเดอเรีย  เขา...ไม่มีทางที่จะหนีไปจากความผิดนั้นได้

    “หึ” คาทริโอน่าแค่นหัวเราะ อดชื่นชมมิได้ว่าช่างเป็นคนหนุ่มที่กล้าหาญ  แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ชายผู้นี้ไม่ทราบ และเขา...ก็ผิดพลาดไปเพราะสิ่งนั้น “เจ้าน่ะ จะต้องเสียใจหากว่ารู้ความจริง เอเทล”

    “ความจริง”

    “ความจริงที่เจ้ารู้เพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น  เอเทล ฟรีด้าผู้กล้าหาญ” แย้มยิ้มให้เล็กน้อยและส่ายศีรษะให้

     นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่คาทริโอน่าเอ่ยพูดก่อนที่นางจะเดินจากไปโดยไม่คาดคั้นเอาความใดๆอีก  ในขณะที่ทิ้งให้ทั้งเอเทลและอาเดอเรียต้องจมอยู่กับความคิดของตน

    “นี่มัน...อะไรกันนี่” อาเดอเรียพึมพำกับตนเอง เพลานั้นที่นางรู้สึกคลับคล้ายว่าตนจะเป็นลมเสียให้ได้ นี่มันอะไรกัน เอเทลเป็นกบฏนั่นว่าแย่แล้วแต่ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือการที่เขามีนามที่แท้จริงคือ เอเทล ฟรีด้าบุตรชายของอัครมหาเสนาบดีแห่งเอสเทเนีย

    “ของสิ่งนั้น...คืออะไรกัน” ของ  ของที่เอเทลขโมยไปจากคาทริโอน่า  ของสิ่งนั้นคงสำคัญกับเขาและคาทริโอน่ามากมายนัก และยังเกี่ยวข้องกับตัวนางอีกด้วยนี่มัน...เรื่องอะไรกัน

    หนึ่งสมบัติสืบทอดมอบให้ต่อ

    หนึ่งคำขอมอบไว้ยังแลเห็น

    หนึ่งของหายลาลับล่วงถูกซ่อนเร้น

    หนึ่งคนเป็นผู้เฝ้ามองไม่รู้ความ


     แม้จะสงสัยหรือไม่เข้าใจต่อสถานการณ์อย่างไรก็ตาม  แต่เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว อาเดอเรียไม่ได้พบกับซัส ในขณะเดียวกับที่นางก็ไม่ได้พูดไถ่ถามอะไรกับเอเทลหรือว่าคาทริโอน่าเป็นพิเศษ  บ่ายวันนั้นผ่านไปอย่างปกติสุข ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง หามีสิ่งใดเปลี่ยนผัน มันเรียบง่าย เรียบง่ายจนไม่ได้คาดคิดเลยว่า

    บางสิ่ง

    กำลังมาเยือน


    คืนนั้นอาเดอเรีย เอสเตอร์ทำงานจนมืดค่ำและปล่อยให้คาทริโอน่ากลับบ้านไปก่อน เอเทลกับคารีน่าขอตัวไปทำธุระตั้งแต่ยามบ่าย ส่วนรีอันน่านั้นหลังจากที่รับงานทอผ้าจากคอลลิน ลอเรนซ่าแล้วก็เก็บตัวทอผ้าไม่ได้เสวนากับผู้ใดอีก

    ยามที่อาเดอเรียปิดประตูร้านนางมั่นใจว่าไฟจากห้องของคอลลิน ลอเรนซ่าและรีอันน่า เอลซ่านั้นปิดลงแล้ว 

     หญิงสาวเดินไปบนถนนข้างริมแม่น้ำเรื่อยๆ ระยะทางจากย่านชุมชนเมืองไปถึงที่พักนั้นใช้เวลาเดินร่วมชั่วโมง ทว่าสำหรับคนที่เดินด้วยขาตนเองจนชินชา การเดินทางกลับบ้านก็เสมือนกับการพักผ่อนหลังเลิกงาน ไม่ได้เหนื่อยหรือยากลำบากแต่อย่างใด  นางยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องที่ได้ยินมาตลอดวัน เรื่องที่เอเทลปิดบังไว้ เรื่องที่เขามีท่าทีสำนึกผิดต่อบางสิ่งบางอย่าง ดูเหมือนว่าโลกของนางที่เคยคิดว่าปกติสุขมาตลอดจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว

    ตอนนั้นเองที่จู่ๆก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมากของกลุ่มคนสนั่นดังมาจากอีกฟากฝั่งหนึ่งของสะพานสุดท้ายก่อนที่จะข้ามไปยังเมืองฝั่งตะวันตกที่เป็นย่านชุมชนแออัดและชายป่า เสียงเหล่านั้นดังมาจากทางย่านสลัมที่นางพักอาศัยอยู่กับน้าสาวนั่นเอง เหงื่อกาฬพาลผุดขึ้นเต็มใบหน้า ในขณะที่ฝีเท้านั้นวิ่งเต็มกำลังข้ามสะพานไปอย่างรวดเร็ว

    “ท่านแม่!” ตะโกนร้องเรียกสุดเสียง ไม่เพียงแต่นาง แต่ชาวบ้านในบริเวณนั้นทั้งหมดต่างวิ่งกันออกมายืนอออยู่หน้าบ้าน   เบื้องหน้านั่น กองทหารในชุดเสื้อเกราะอ่อนของเมืองเมราโน่กรูกันเข้ามาควบคุมผู้คนไว้พร้อมอาวุธครบมือ

    “พวกเจ้าทั้งหมดจงอยู่เฉยๆ! กลับเข้าบ้านของพวกเจ้าไปเสีย!” หัวหน้าของกองทหารสั่งกรรโชกโดยไม่สนใจข้อเท็จจริงว่าที่ชายป่าทางด้านหลังย่านสลัมนั้น ไฟกำลังลุกไหม้ลามมาอย่างรวดเร็ว

    “จะได้ยังไงกัน! ท่านควรจะรีบให้ประชาชนหนีข้ามไปฝั่งเมืองสิ!” คาทริโอน่าตวาดตอบพร้อมกับใบหน้าเครียดขมึง มีบางสิ่งเกิดขึ้นและพวกทหารกำลังพยายามปิดบังมันจากประชาชน

    ทันใดนั้นเองที่ทหารนายหนึ่งไม่พอใจกับเสียงตวาดของหญิงชาวบ้านเช่นคาทริโอน่า คมดาบพลันถูกชักออกจากฝักและฟาดลงมาเบื้องหน้านาง ทว่าจังหวะนั้นเองสิ่งที่คมดาบสะบั้นลงไปนั้นหาใช่ศีรษะของสตรีผมดำปากกล้า แต่กลับเป็นไม้ท่อนหนึ่งที่ถูกใช้รับคมอาวุธต่างหากเล่า

    “ ท่านปลอดภัยนะ! ท่านแม่!” หญิงสาวเจ้าของท่อนไม้ที่หักคาสองมือร้องถาม

    “อาเดอเรีย!” คาทริโอน่าแปลกใจอยู่บ้างที่นางมาได้ทันเวลา แต่กลับไม่นึกประหลาดใจที่อาเดอเรียจะเข้ามาขวางคมดาบนั่นแทนนาง

    “ถอยออกไป! หากพวกท่านไม่ให้ชาวบ้านอพยพ! ข้าจะบอกท่านคอลลิน ลอเรนซ่าให้ตัดส่วยที่จะมอบให้ทางการในเดือนหน้า!” อาเดอเรีย เอสเตอร์ประกาศ ใช้ฐานะความเป็นคนสนิทเก่าแก่คุมบัญชีการเงินของเถ้าแก่ลอเรนซ่าพ่อค้าใหญ่แห่งเมราโน่ให้เป็นประโยชน์โดยไม่รอช้า

    “นี่เจ้ากล้ารึ!” หัวหน้ากองโพล่งตวาดพลางกระชากคอเสื้อหญิงสาวขึ้น ใบหน้าอัปลักษณ์ ฝ่ามือหยาบกร้าน และน้ำเสียงเจตนาขู่ขวัญให้สั่นไหว หากแต่ชายผู้นี้คิดผิด หญิงสาวผมดำตรงหน้าเขาหาใช่สตรีขวัญอ่อน  ดวงเนตรสีฟ้าใสจ้องกลับอย่างดุดัน เสียงของอาเดอเรีย เอสเตอร์นั้นไม่มีสั่นสะท้านหวาดกลัวแม้เพียงนิด

    “การใดที่พวกท่านคิดกว่าตนกล้า ไฉนสามัญชนเฉกเช่นพวกข้าจะกระทำบ้างมิได้เล่า!”  เกลียดชัง ไม่พอใจ และต่อหน้าหมูสกปรกเหล่านี้ นางจะไม่มีวันถอยหนีโดยเด็ดขาด

    “แน่มากนะนังหนู!” โยนร่างของอีกฝ่ายลงกับพื้นอย่างชั่งใจ คอลลิน ลอเรนซ่าเป็นพ่อค้าขึ้นชื่อของเมราโน่ อิทธิพลทางการค้านั้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านักการเมืองและข้าราชการ ต่อให้เปลี่ยนเจ้าเมืองอีกกี่สิบคน ฐานะอำนาจทางการเงินก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น และเด็กตรงหน้านี่ ใครก็ต่างรู้ดีว่าเป็นคนสนิทของลอเรนซ่า จะไปพินอบพิเทาทำการอย่างไรนั้น ใครบ้างจะคาดเดา 

    “งั้นก็รีบพากันไสหัวออกไปซะ!” 

    สิ้นคำอนุญาต ชาวบ้านต่างไม่รอช้า หอบลูกเด็กเล็กแดงผู้เถ้าผู้แก่ข้ามสะพานไปยังฝั่งเมือง ในเวลาเดียวกับที่แสงไฟจากชายป่านั้นโหมแรงขึ้นจนน่าตระหนก  และฉับพลันเสียงกรีดร้องลั่นของหญิงสาวก็กลับดังลั่นขึ้นจนก้องกึก เสียงโหยไห้ เสียงร่ำไห้คร่ำครวญแห่งความสิ้นหวังที่กังวานเสียดแทงหัวใจดังมาจากบนภูเขา

    “อาเดอเรีย....” คาทริโอน่าจับแขนเสื้อของลูกสาวคนสำคัญไว้ ไม่ว่าในฐานะของบุตรสาวหรือหลานสาวนี่ก็เป็นคนสำคัญที่สุดในเวลานี้ของนาง นึกสังหรณ์ใจบางอย่างขึ้นมา ลางสังหรณ์เดียวกับในอดีต ในคืนแห่งการสูญเสียคนสำคัญที่สุดในชีวิตไปตลอดกาล

    “เดี๋ยวข้ามานะ ท่านน้า..” เอ่ยด้วยสรรพนามเรียกขานอันแท้จริง

    ทันใดนั้นเองขณะที่คนทุกผู้ถูกตรึงด้วยเสียงกรีดร้องของสตรีนิรนาม อาเดอเรีย เอสเตอร์สะบัดแขนของน้าสาวหลุดออก สองขานั้นออกวิ่งสวนกับขบวนของผู้คนไปในทิศทางตรงกันข้าม นางไม่ได้ฝ่ากองทหารไป แต่กลับลัดเลาะมุ่งไปทางด้านหลังของหมู่บ้าน  บางอย่างที่กระตุ้นให้ใจสั่น เสียงที่หาใช่เป็นเพียงเสียงสามัญ นางรู้จักเสียงนั่น เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงคนหนึ่งในวานวันจากอดีต เสียงของ...น้องสาว

    เสียงของ

    คารีน่า


    “อาเดอเรีย!!!!” คาทริโอน่าตะโกนสุดเสียง แต่กลับไม่อาจรั้งลูกสาวบุญธรรมของตนไว้ได้ นางสิ่งออกไปแล้ว วิ่งออกไปสู่อันตรายและสิ่งที่ไม่อาจคาดหมาย นาง....

    วิ่ง

    ออกไปแล้ว


     ท่ามกลางควันไฟที่รายล้อมรอบกาย กลางป่าที่ปกคลุมด้วยต้นไม้และพุ่มไม้ที่หนาทึบ  โลหิตของชายหนุ่มผู้หนึ่งไหลรินอาบบนพื้นดิน ที่เบื้องหน้านั่นสตรีนางหนึ่งยืนกำดาบเมียงมองมาอย่างไร้สิ้นแววอาทรห่วงหา  ข้างกายของชายผู้กำลังหายใจรวยรินสิ้นแรงนั้นนางผู้เป็นน้องสาวร่วมสายเลือดครึ่งหนึ่งวิ่งเข้ามาโอบประคองพร้อมกับกรีดร้องลั่นปานหัวใจสลาย 

    พวกเขา

    ติดกับ


    “ เสียใจด้วยนะท่านเอเทล ไม่สิ ท่านผู้นำกบฏ!” เส้นผมหยักศกสีทองปลิวไสวต้องสายลมแห่งความสิ้นหวัง ณ บัดนี้ นางได้ทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จเสร็จสิ้นลงแล้ว    ละครล่อลวงที่เชื้อเชิญเหยื่อก้าวสู่ห้วงนรก

    “ ร...รีอันน่า....” เอเทล ฟรีด้ากัดฟันกรอด

    นี่เป็นแผนการที่ผิดพลาด พวกเขาพลาดตั้งแต่ได้ยินข่าวการมาของเจ้าเมืองคนใหม่ที่ว่าจะเข้าเมืองมาอย่างลับๆผ่านทางชายป่านอกนครแห่งนี้  ตัวเขาเป็นผู้สั่งการให้พรรคพวกลอบเข้าเมืองมาและซุ่มโจมตีในคืนนี้ด้วยมาดหมายให้เป็นเยี่ยงอย่าง และเด็ดหัวขุนนางทุจริตจากเมืองหลวง
    แต่กลับเป็นว่าทั้งหมดนั่นคือข่าวลวง สิ่งที่พบนอกจากเจ้าเมืองคนใหม่ตัวปลอม พวกเขายังถูกทหารเข้าล้อมต้อนและถูกสุมไฟดักไว้ทุกทิศทาง  ในเวลาน่าสิ่วน่าขวานแบบนี้ ซัสที่นำกำลังคนออกไปดักซุ่มในอีกทางย่อมไม่สามารถกลับมาได้ทันเวลา ซ้ำร้าย......

    “อย่ามองมาด้วยสายตาเช่นนั้นสิท่านเอเทล จะโทษก็โทษที่ความอ่อนโลกของท่านเถอะ” รีอันน่าบอก มือขวานั้นควงดาบอย่างคล่องแคล่ว ดวงตาสีมรกตที่เคยคิดว่าแสนงามนั้นกลับดูราวกับเพชฌฆาตเลือดเย็นขึ้นมาในทันใด

    “ทั้งหมดนั่น...เจ้า.....” หลวงลวง ล่อหลอก ดูท่าว่าเขาจะตกหลุมพรางของทางการเข้าอย่างจัง รีอันน่า...นางเข้าใกล้เขาด้วยเหตุผลเช่นนี้เองสินะ ยอมกระทั่งเสี่ยงชีวิตให้เชื่อถือ นางผู้นี้คือ.....นักฆ่ามืออาชีพ  

    “นังแพศยา! ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ!” คารีน่าฉวยดาบพร้อมกับยืนขึ้นตั้งรับ เสียงทหารที่รุมล้อมเข้ามา เสียงดาบที่ฟาดฟันกันโดยรอบบ่งบอกถึงกองกำลังซุ่มโจมตีของทางเมราโน่ที่ดาหน้าเข้ามาล้อมจับพวกเขา  ซัสเอง บางทีอาจจะเสียท่าไปแล้วก็ได้ ไม่สิ เวลาแบบนี้ ไม่อาจจะวางใจในผู้ใดได้อีกแล้วต่างหาก 
    ว่าแล้วคารีน่า ลอเรนซ่าก็กระชับดาบมั่น โถมแรงทั้งหมดเท่าที่มีปะทะเข้ากับหญิงสาวที่เคยคิดว่าบอบบางไร้พิษสง หากแต่ผลลัพธ์ช่างออกมารวดเร็วนัก รีอันน่าเพียงเบี่ยงกายหลบ ดวงตาของนางอ่านวิถีดาบของฝ่ายตรงข้ามได้จนขาด  มือขวานั้นวาดคมดาบว่องไวเฉียบคม ยามที่คารีน่ารู้ตัวอีกที คมมีดก็วาดเข้ามาประชิดลำคอระหงของนางเสียแล้ว

    “แม่เด็กน้อย เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมากนักนะ” รอยยิ้มของรีอันน่านั้นหวานฉ่ำหากแต่ก็เสมือนยาพิษร้าย  
    ในขณะที่คารีน่ากำลังคับขันนั้นเองที่เอเทลกลับหยัดกายขึ้นจากพื้นดิน มือซ้ายเกาะกุมช่องท้องของตนที่ชุ่มโชกไปด้วยหยาดเลือดสีแดงชาดที่ล้นทะลัก  ชีพจรและหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ  ทุกสิ่งที่แลอยู่เบื้องหน้านั้นช่างพร่าเลือนและไม่อาจทำได้แม้เพียงหยิบดาบขึ้นต่อกรศัตรู

    “อย่า...อย่าทำร้ายคารีน่า คนที่เจ้าต้องการชีวิต...คือข้า!” เอเทล ฟรีด้าประกาศ ความรู้สึกที่ยากแก่การเอื้อนเอ่ย  ทั้งที่ช่วยชีวิตแต่กลับถูกหักหลังช่วงชิงความฝันไปโดยไม่ไยดี ตอนนี้....แทบจะไร้ซึ่งความหวังใดๆ

    “ถูกของท่าน” หญิงสาวผู้ทรยศเอ่ยเสียงเรียบ  ไฟกำลังโหมลามเข้ามา หน้าที่ของทหารเมราโน่คือการสังหารพวกกบฏไร้เงาหัว ส่วนหน้าที่ของนางนั้น..มีเพียงหนึ่ง  

    ทันใดนั้นเองที่รีอันน่ากระชับด้ามดาบในกำมือ เร็วยิ่งกว่าสายตาของคารีน่า เร็วยิ่งกว่าเสียงถอนหายใจของตัวเอเทล  คมดาบแหลมแหวกกระแสลมแทงทะลวงผ่านช่องท้องของหัวหน้ากบฏหนุ่มผู้เป็นความหวังของคนทั้งแผ่นดิน เลือดสดทะลักพุ่งสาดกระทบใบหน้าของหญิงสาวนักฆ่า ในขณะที่ร่างของเอเทลทรุดลงกับพื้น คารีน่ากรีดร้องลั่นพร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาอย่างมิอาจหักห้าม   ยามที่คมดาบถูกดึงออกโดยแรง ร่างของชายหนุ่มกลับสั่นอีกครา ก่อนจะล้มลงนอนนิ่งสนิทอยู่แทบเท้าของศัตรู

    “จบกันเท่านี้ล่ะนะ...ท่านเอเทล” คำพูดสุดท้ายพร้อมกับสายตาเย็นชาที่เมียงมองมา รีอันน่าชายตาแลทุกสิ่งอีกครา ไม่ได้คิดปลิดชีวิตของหญิงสาวเพราะไม่ช้านานพวกทหารก็คงรุดมา หากไม่ตายด้วยคมอาวุธก็คงถูกไฟคลอกจนดับดิ้นนั่นแล  “ ลาก่อน” ว่าพลางกระโดดหายลับไปโดยพลัน ทิ้งไว้เพียงเสียงร่ำไห้โหยหวนของคารีน่าที่กรีดร้องปานจะขาดใจ

    ความตาย

    ที่ใกล้เข้ามา
     

    วินาทีนั้นเองที่ใครคนหนึ่งที่เพิ่งจะมาถึงนั้นพลันถลาเข้ามากอดประคองร่างที่หายใจรวยรินของชายหนุ่มไว้ด้วยเช่นกัน  เส้นผมสีดำที่พลิ้วต้องสายลมแรง ดวงหน้าของหญิงสาวผู้รีบรุดมาตามเสียงร่ำไห้ สิ่งที่พานพบนั้นช่างยากแก่การหักใจ

    “ท่านพี่เอเทล!” อาเดอเรียตะโกนร้องสุดเสียง ไม่ต่างกับคารีน่า นางเองก็แทบจะทรุดลงไป ณ ตรงนั้นคือสีแดง สีแดงที่ระรานนัยน์ตา สีแดงที่คาวคลุ้งเหม็นสาบ นางไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส 
    ดวงตาสีฟ้านั้นเบิกกว้าง นิ่งงัน ไม่อาจขยับกาย ไม่อาจทำสิ่งใดได้มากไปกว่าการนิ่งค้าง และมองดูดวงตาสีฟ้าหม่นหมองของเอเทลที่เหลือกมองมาที่นาง โลหิตที่กระอักออกมาทางริมฝีปาก และไหลออกมาจากดวงตาและใบหู

    “อ..อา เดอ..เรีย” ชายหนุ่มพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะร้องเรียกชื่อนั้น เขากำลังจะตาย หัวใจนี้กำลังจะหยุดเต้น ลมหายใจกำลังจะขาดช่วง ความฝัน ความหวัง ความมุ่งมั่นทั้งมวลกำลังจะตายลง และไม่เพียงตัวเขา...ความโง่เง่าดึงดันที่อ่อนโลก กำลังจะพาพวกพ้องให้พินาศตายตาม คนที่นี่ คนที่ตามหลังมา  อุตส่าห์ฝ่าฟันมาถึงเพียงนี้ จะให้จบสิ้นลงได้อย่างไร

    “ท่าน...พี่....” หญิงสาวผมดำก้มลงข้างกายของชายหนุ่ม ส่วนคารีน่านั้นร้องไห้สะอึกสะอื้นจนไม่อาจแม้เงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมอกพี่ชาย มือซ้ายของเอเทลที่ค่อยๆเอื้อมจับมือขวาของน้องสาวแต่เพียงในนามของตน  อาเดอเรียรู้สึก รู้สึกว่าเอเทลกำลังพยายามบีบมือของนางด้วยแรงทั้งหมดเท่าที่มี

    “ข้า....ไป..ไม่ถึง ” เอเทลว่าพลางปล่อยให้หยาดน้ำตานั้นพร่างลงมาบนใบหน้าของตน ชายหนุ่มใช้กำลังเฮือกสุดท้ายกระชากสร้อยคอของตนออกจากลำคอ ก่อนจะพยายามส่งมันให้กับอีกฝ่าย  “ ข้า....ถ้า...เป็นเจ้า....”  เสียงของเอเทลขาดช่วง เขากัดฟันพยายามที่จะสั่งเสียในลมหายใจสุดท้ายของชีวิตที่แสนสั้นนี้ ไม่มีใครอีกแล้ว ไม่มีผู้ใดอีกแล้ว แต่ต้องเป็นนางผู้นี้ น้องสาวที่เขาวาดหวังให้เป็นสุขผู้นี้  นางผู้นี้....

    ทุกสิ่ง

    ขอคืนให้กับเจ้า


    “ข้า....ขอ...โทษ” เอเทลว่า อธิษฐานในลมหายใจสุดท้ายของชีวิต อธิษฐานด้วยความรักและความภักดีต่อแผ่นดินมารดรผืนนี้ด้วยหัวใจ “ อา...เดอเรีย”

    “ท่าน..........” ทันใดนั้นเองก่อนที่อาเดอเรียจะทันรับสร้อยเส้นนั้นมาไว้ในกำมือ มือที่เคยจับด้ามดาบกระชับฟาดฟันเพื่อปณิธานของตนและผู้คนนั้นกลับ....ทิ้งน้ำหนัก....ลงสู่ผืนดิน ดวงตาสีฟ้าที่เบิกโพลงอย่างมิอาจสงบใจ  ริมฝีปากที่ขมึงทึงเคียดแค้นอย่างมิอาจแย้มยิ้ม  ณ เวลานั้นเองที่ หญิงสาวสองคน ณ ที่นั้นรับรู้ว่า

    เอเทล ฟรีด้า

    จากไปแล้ว


    “ท่านพี่เอเทล!!!!!!!” เสียงกรีดร้องในค่ำคืนนี้...คงมิอาจดังไปถึงสรวงสวรรค์


    จบตอน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×