ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศักราชมืดราชันย์รัตติกาล ตอน คำลวงของท่านหญิง

    ลำดับตอนที่ #3 : คนผู้กลับมา

    • อัปเดตล่าสุด 30 ก.ย. 53


     คนผู้กลับมา


    สิ่งที่ทำให้ซัสรู้สึกแปลกใจกับคำว่า ‘โชคชะตา’ นั้นเกิดขึ้นจริงๆ เมื่อเขาเดินทางมาถึงนครเมราโน่ในเช้าวันหลังจากการเดินทางแรมเดือน สิ่งที่เห็นอยู่กับตาก็คือเหตุการณ์ฆ่าฟันกลางตลาด ตัวเขาที่พุ่งเข้าไปช่วยชีวิตเด็กชายชาวบ้านกลับได้พบกับหญิงสาวนางหนึ่ง หญิงสาวผมสีดำสนิทในคราบของเด็กหนุ่มสามัญชน นัยน์ตาสีฟ้าใสดุจสีสันของท้องทะเลยามกระจ่าง นั่นคือนาง....ที่สะดุดตาเขาตั้งแต่แรกพบ

    แต่ความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการพบพานที่ราวกับชะตาลิขิตนั้นก็คือการที่นางนั้นคือลูกจ้างของคอลลิน ลอเรนซ่า คนที่เขาเดินทางมาเพื่อเข้าพบในครั้งนี้

    “เป็นสีผมที่แปลกจริงๆนะ” ซัสทักขึ้นขณะที่หญิงสาวนั้นกำลังสั่งงานคนงานให้ปรุ่งแต่งเครื่องหอมตามสูตรเก่าแก่ของครอบครัวตน ในขณะที่ลูกจ้างอีกคนเข้ามาขอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องของลวดลายบนผ้าทอพื้นเมืองที่เป็นสินค้าส่งออกสำคัญของเอสเทเนีย

    เพียงแค่อาทิตย์เดียวที่ได้มองอาเดอเรียทำงาน ชายหนุ่มก็มั่นใจแล้วว่าหญิงสาวนางนี้เป็นมือขวาของลอเรนซ่าอย่างแท้จริง นางไม่เพียงขยันขันแข็ง แต่ยังฉลาดเฉลียวและคล่องแคล่ว ทำงานได้ไม่ต่างจากบุรุษเพศแม้แต่น้อย ในบรรดาคุณสมบัติที่น่าสนใจเหล่านั้น สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกสงสัยใคร่รู้ที่สุดก็คือสีผมและสีนัยน์ตาของนาง

    “ไม่หรอก เพียงแต่หายากเท่านั้น” อาเดอเรียตอบเมื่อนางสั่งงานเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “เจ้าสัญญาว่าจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับท่านพี่เอเทลให้ข้าฟัง จนป่านนี้ข้าได้ฟังแต่เจ้าพล่ามเกี่ยวกับเรื่องตัวเองเท่านั้น” เอเทล นั่นคือนามของหลานชายของคอลลิน ลอนเรนซ่าที่ออกจากบ้านไปพร้อมกับผู้เป็นน้องสาวต่างบิดานานกว่าสามปี แล้วจู่ๆเมื่อสัปดาห์ก่อนชายที่ชื่อซัสผู้นี้ก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับข่าวคราวว่า....พี่ชายคนนั้น...กำลังจะกลับบ้าน

    “เจ้าควรจะฟังเรื่องของข้าให้มากๆนะอาเดอเรีย ข้าอุตส่าห์เล่าเรื่องของที่เมืองหลวงเอลวาน่ากับเรื่องการผจญภัยต่างแดนให้เจ้าฟัง มันน่าจะสนุกกว่าฟังเรื่องการเดินทางน่าเบื่อของเอเทลเยอะเลยนะ” หัวเราะเบาๆและยิ้มให้กับคนตรงหน้า มันเป็นรอยยิ้มหวานที่เขาพึงพอใจที่จะมอบให้คนที่ต้องตา

    “ใครจะฟังเจ้าพล่ามโกหกกัน เรื่องที่ว่าตนเองเป็นเจ้าชายที่หนีออกมาท่องโลก นั่นคงฟังแล้วเชื่อถือได้อยู่หรอก” เบ้หน้าใส่ จะให้เชื่อถืออะไรจากผู้ชายคนนี้กัน เพราะหลังจากการพบกันในวันนั้นซัสก็เอาแต่พล่ามเรื่องของการผจญภัยในต่างบ้านต่างเมืองของตนเอง จริงอยู่ว่าจากสำเนียงการพูดแปล่งๆหมอนี่อาจเป็นคนต่างชาติจริง แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเจ้าชายพลัดบัลลังก์ไปได้หรอก

    “หึ”

    “หัวเราะอะไรน่ะ” อดที่จะถามยามที่ฝ่ายนั้นแสยะยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัยขึ้นมาไม่ได้ ยามที่ชายผู้นี้ยิ้ม จริงอยู่ว่าหลายครั้งมันดูงดงามและน่ามอง แต่ในเวลาเดียวกันมันก็ให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังดูถูกดูแคลนอะไรบางอย่างอยู่เสมอเลยทีเดียว

    “จริงคือเท็จ เท็จคือจริง เรื่องเหลือเชื่อในโลกนี้อาจจะมากมายกว่าที่เจ้าคาดคิดก็ได้นะ อาเดอเรีย เอสเตอร์” เอ่ยชื่อของนางอย่างเต็มยศและเริ่มบังเกิดข้อสรุปบางอย่างให้กับตนเอง 

     ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้นเองที่คอลลิน ลอเรนซ่าเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจเฉกเช่นเคย วันนี้เขากำลังอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ นอกจากเรื่องที่หลานชายหลานสาวจะกลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากหายหน้าหายตาไปหลายปีแล้ว วันนี้ยังเป็นวันดีที่ใครบางคนจะมาหาอีกด้วย

    “คาทริโอน่าจะมากี่โมงหรือ อาเดอเรีย” ลอเรนซ่าเอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้ม

    “เห็นว่าจะมาราวๆบ่ายโมงน่ะขอรับ” อาเดอเรียตอบ เรื่องของเรื่องก็คือสตรีผู้ได้ชื่อว่าเป็นมารดาของนางนั้นเพิ่งจะปรุงเครื่องหอมกลิ่นใหม่ที่ได้รับงานมาจากท่านลอเรนซ่าเสร็จเมื่อคืนจึงตั้งใจที่จะเอาชิ้นงานมาส่งด้วยตนเอง ข้างฝ่ายท่านลอเรนซ่าที่...เป็นคนที่คบหากันมานานหนักหนานั้นก็กระตือรือร้นที่จะต้อนรับขับสู้นางอย่างเต็มที่

    “งั้นนางคงจะทานอาหารมาแล้ว ไม่เป็นไรๆ ข้าเตรียมหนังสือใหม่ๆให้คาทริโอน่าไว้แล้ว นางน่าจะชอบนะ” ว่าพลางก็ยกหนังสือเล่มหนาขึ้นอวด ทั้งซัสและอาเดอเรียสังเกตว่านั่นเป็นหนังสือประวัติศาสตร์การค้าขายของเอสเทเนียยุคกลาง หนังสือล้ำค่าหายากที่ราคาแพงเทียบเท่าข้าวสารสามกระสอบ การที่ชายคนหนึ่งจะให้สตรีสักคนหยิบยืมหนังสือสูงค่าเยี่ยงนี้ย่อมแน่นอนว่าสตรีผู้นั้นย่อมมีความพิเศษเหนือใคร

    ลอเรนซ่าฮัมเพลงแล้วเดินจากไปอย่างอารมณ์ดีหนักหนา ในขณะที่ซัสสังเกตเห็นว่าอาเดอเรียนั้นมองตามหลังของผู้เป็นเจ้านายไปอย่างสนอกสนใจ

    “นี่เจ้าห่วงใยมารดา หรือว่าหมายปองหนังสือนั่นกันนะ”

    “!” คำทักนั้นดูจะแทงใจดำจนใบหน้าของหญิงสาวพลันขึ้นสีชาด “ อะ...ข้า...ข้าก็ต้องอยากให้ท่านแม่พบกับคนที่ดีสิ!”

    “อาฮะ ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังน้ำลายสอคิดว่าหนังสือนั่นมันช่างน่าอ๊านน่าอ่านเสียเต็มประดาหรอกรึ” ขยิบตาพร้อมกับเหล่มองใบหน้าของหญิงสาวที่ตอนนี้เสไปทางอื่นอย่างคนที่กำลังเขินอาย ทั้งที่เป็นหญิงสาวที่เหมือนผู้ชาย แต่แท้จริงแล้วนางก็เป็นหญิงสาวขี้อายที่น่ากลั่นแกล้งไม่หยอกเลยนั่นล่ะ

    “ข้าจะอยากอ่านหนังสือสักเล่มมันผิดตรงไหนกัน!” ตะเบ็งเสียงเล็กน้อยและรู้สึกอายขึ้นมาเมื่อถูกทักจากคนที่ดูราวกับว่าจะอ่านความคิดของนางได้จนปรุโปร่ง นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนนอกรู้เท่าทันความชอบพอของนาง

    “ไม่ผิดนิ”เดินเข้าใกล้ก่อนจะยื่นใบหน้าเข้าไปจนเกือบประชิดใบหน้าของหญิงสาว ดวงตาของพวกเขาสบประสานกันก่อนที่ซัสจะยื่นมือซ้ายออกและแตะลงข้างแก้มนุ่มของนางอย่างแผ่วเบา “ข้ากำลังคิดว่าเจ้าช่างเป็น  ‘ตัวจริง’ ที่น่าสนใจจริงๆเลยล่ะนะ”

    “เอ๋?”คำที่ชายหนุ่มพูดออกมานั้นช่างแปลกประหลาดดูราวกับว่ามันมีความนัยที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง “ตัวจริง? หมายความว่าอย่างไรกัน?”

    “ก็หมายความว่า คุณหนูอาเดอเรียผู้ซึ่งเป็นตัวจริงนั้นมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมเกินกว่าที่ข้าหรือตัวเอเทลคาดเดาไว้น่ะสิ” ยิ่งพูดจาก็ยิ่งชวนสับสนและไม่เข้าใจ ซัสนั้นยังคงยิ้มอย่างเป็นต่อ ในขณะที่อาเดอเรียได้แต่จ้องมองชายเบื้องหน้าของนางอย่างสับสนว้าวุ่นใจ

    คำพูดที่มีนัย

    วาจาที่สื่อความหมายแปลกประหลาด


    “ไม่ต้องคิดมากหรอก เพราะหากเอเทลจัดการทุกอย่างได้ เจ้าก็จะไม่ต้องออกโรงด้วยตนเองหรอกนะ.....อาเดอเรีย เอสเตอร์” กระซิบแผ่วเบาข้างหูและฉีกยิ้มที่เต็มไปด้วยเลศนัยและความน่าฉงนกังขาก่อนที่จะเป็นฝ่ายเดินจากไปทั้งอย่างนั้น

    “นั่นหมายความว่ายังไงกัน...” ลูบที่ข้างแก้มของตนพลางนึกสงสัยอย่างเหลือคณาว่า ชายที่ชื่อซัสผู้นี้...ต้องการสื่ออะไรกัน

     ซัสยังคงยิ้มให้กับตนเองยามที่เขาเหลียวมองอาเดอเรีย และยังคงยิ้มอยู่เช่นนั้นทั้งวันจวบจนตะวันตกดิน อาเดอเรีย เอสเตอร์ หญิงสาววัยสิบแปดปีผู้อยู่อาศัยกับมารดานาม คาทริโอน่า เอสเตอร์กันสองคนเพียงลำพังในเมราโน่มาตลอดสิบแปดปี หญิงสาวผู้ไม่เคยเหยียบย่างออกนอกนครแห่งสายน้ำที่ห่างไกลจากเมืองหลวง หญิงสาวผู้ไม่เคยรับรู้เรื่องราวของโลกภายนอกไปมากกว่าข่าวสารและคำบอกเล่าของผู้คนเดินทางที่ผ่านสัญจร หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูเฉกเช่นบุรุษผู้หนึ่ง ทั้งอ่านหนังสือได้แตกฉาน รู้รอบในศาสตร์ความรู้มากมาย และโปรดปรานหนังสือเสียยิ่งกว่างานเย็บปักถักร้อย

    “ดูท่าว่าคาทริโอน่า เอสเตอร์จะไม่ได้เลี้ยงดูเจ้ามาเพื่อให้อยู่ที่นี่จริงๆนั่นล่ะ” บอกกับตนเองในยามที่นั่งอยู่บนหลังคาชั้นสามในท่ามกลางความมืดและทอดสายตามองอาเดอเรียกำลังเตรียมปิดร้าน คืนนี้ที่นางต้องอยู่พำนักค้างคืนที่นี่อีกวันเพื่อเตรียมการจัดส่งสินค้าในเช้าตรู่วันถัดไป หญิงสาวนั้นยังคงทำงานอย่างขยันขันแข็ง ดวงตาสีฟ้าที่ซัสมองเห็นนั้นสวยงามถูกใจเขาอย่างไม่ต้องสงสัย หากแต่ถ้าจะมีสิ่งใดที่ผิดปกติ คงจะเป็นสายตาของอาเดอเรียที่ทอดมองสายน้ำที่ตัดผ่านใจกลางเมืองด้วยสายตาทอดอาลัย นางเหลียวหันมองไปเบื้องหลัง ยืนนิ่งและทอดถอนใจเล็กน้อยก่อนที่จะกลับเข้าไปในตัวอาคาร

    “หึ” ชายหนุ่มแค่นยิ้มและหยัดกายขึ้น เขาแลเห็นสีหน้าของนางแล้ว และพลันรู้สึกเข้าใจในบางสิ่ง หากแต่ช่างน่าเสียดายว่าในท้ายที่สุดละครบทนี้อาจไม่มีที่ให้นางได้โลดแล่น

       และในค่ำคืนนั้นเองที่ความเปลี่ยนแปลงได้มาเยี่ยมเยือนเมราโน่ ด้วยตามปกติสามัญแล้วบ้านเมืองช่วงหลังเที่ยงคืนนั้นมักจะเงียบเชียบและไร้ซึ่งเสียงฝีเท้าของผู้สัญจร หากแต่คืนนี้กลับหาได้เป็นเช่นนั้นไม่  เสียงกรีดร้องดังก้องตัดกับผืนฟ้ายามราตรีที่ย้อมด้วยเปลวเพลิงสีแดงฉาน ประกอบกับเสียงย่ำเท้าของกองทหารนั้นพลุกพล่านไปทั่วเมือง ทุกสิ่งดั่งเสียงฆ้องสัญญาณเตือนถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังย่างกรายเข้ามา 

    ห่างออกมาจากจวนผู้ว่าการแห่งนครที่กำลังลุกไหม้และระงมด้วยเสียงร่ำรำพันแสนโศกศัลย์ของเหล่าขุนนางฉ้อราษฎร์   ชายในชุดดำผู้หนึ่งยืนนิ่งอยู่พร้อมกับคมดาบที่ย้อมหยาดเลือดจนแดงชาด  เส้นผมสีบลอนด์ที่ยาวประบ่านั้นพลิ้วไหวต้องลมในฤดูเหมันต์ ในขณะที่ดวงตาสีฟ้านั้นนิ่งสงบและไร้สิ้นซึ่งความลังเลต่อสิ่งใด   ตอนนั้นเองที่เสียงหนึ่งกลับเอ่ยทักขึ้นจากในความมืด

    “ช่างเป็นบทเปิดม่านละครที่แสนตระการตาจริงๆล่ะนะ ท่านชายเอเทล ฟรีด้า” เสียงล้อเลียนระคนเย้ยหยันของชายหนุ่มอีกคนดังขึ้นเรียกให้ฝ่ายที่กำลังนิ่งงันต้องหันกลับไปมอง 

    “เจ้ากำลังล้อข้าเล่นใช่หรือไม่ล่ะ ซัส” ผู้ถูกเรียกยิ้มให้อย่างใจเย็น เขาไม่นึกถือสากับคำพูดของอีกฝ่าย การนัดพบปฏิบัติภารกิจกันในค่ำคืนนี้สำเร็จลงได้ด้วยดีก็เพราะการให้ความร่วมมือของซัสที่เข้ามาดูต้นทางไว้ก่อนแล้วตั้งแต่หนึ่งอาทิตย์ก่อน

    “เป็นคำชมหรอกน่า สังหารเจ้าเมืองเพื่อส่งสารเตือนไปยังราชสำนัก และยังสร้างชื่อให้กับทางนี้อีก เป็นทางเลือกที่ไม่เลวไม่ใช่หรืออย่างไรกัน หืม” ซัสหัวเราะพร้อมกับปรบมือเบาๆ ที่ข้างกายของเขานั้นดาบที่ห้อยสะพายถูกบรรจงเก็บเข้าฝักอย่างสะอาดหมดจดไร้ซึ่งคาวเลือดให้ต้องสงสัย ใบหน้าคมคายยิ่งดูร้ายเล่ห์และไม่น่าวางใจ อย่างน้อยก็สำหรับหญิงสาวที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดยามที่เดินออกมาจากอีกฟากของถนน

    “ท่านพี่เอเทล เราควรจะไปกันได้แล้ว พวกทหารกำลังกระจายกำลัง ข้าไม่อยากเหนื่อยแรงเปล่านะเจ้าคะ” สตรีเพียงนางเดียว ณ ที่นั้นบอก นางเหลือบสายตาดูซัสเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองใบหน้าที่อ่อนโยนเด็ดเดี่ยวของพี่ชายอย่างขอความเห็น แน่นอนว่าเอเทลพยักหน้ารับ เขาเองก็ยังไม่ต้องการเปิดเผยตนเองเช่นกัน ยังมีเรื่องที่จะต้องทำอีกมากนักในนามของ....เอเทล  ฟรีด้า   

    “เข้าใจแล้วล่ะ คารีน่า” เอเทลตอบรับผู้เป็นน้องสาวต่างบิดา พวกเขาควรจะต้องไปหลบซ่อนตัวจนถึงยามอรุณก่อนที่จะเข้าไปพบกับท่านลุงของเขา...คอลลิน ลอเรนซ่า 
    หากแต่ทันใดนั้นเอง ก่อนที่พวกเขาจะได้เคลื่อนไหวอีกครา เสียงกรีดร้องของหญิงสาวพลันแผดดังมาจากตรอกด้านข้างที่ไม่ห่างกันนัก  

    “อะไรกัน!” ไม่ทันสิ้นคำอุทานของคารีน่า ร่างของเอเทลกลับหายไปอย่างรวดเร็วจนทั้งซัสและคารีน่าได้แต่มองตามอย่างเหนื่อยอ่อน

     “พี่ชายเจ้านี่ช่างเป็นพ่อพระเสียจริงๆนะ คารีน่า ”  ซัสเย้ยยิ้มอย่างไม่อาจอ่านใจ  สำหรับเขาแล้วเอเทลเป็นแบบนี้เสมอมานับตั้งแต่เริ่มต้นคบหา และดูท่าว่านิสัยเช่นนี้ก็คงจะแก้ไม่ได้ไปจนวันตาย นิสัยที่รู้สึกอยู่เสมอว่าบางทีสักวัน


    นั่นจะ

    นำพามาซึ่งเรื่องร้าย


     อย่างที่ซัสว่าไว้ เอเทลยืนอยู่เบื้องหน้าเหล่าคนที่เขาคาดเอาเองว่าคงเป็นทหารปลายแถวสี่คนของเมราโน่  ตรงกลางวงล้อมนั่นคือหญิงสาวผมบลอนด์ยาวกำลังถูกฉุดกระชากอย่างไม่ปรานีปราศรัย    ในสายตาของเขา คนเหล่านี้คือสิ่งมีชีวิตที่แสนเลวทรามต่ำช้า มีดีเพียงการรังแกผู้ไร้ทางสู้และย่ำยีผู้พ่ายแพ้ 

    “ปล่อยนางเสีย! หากยังรักตัวกลัวตายอยู่ล่ะก็!” เอเทลว่าพลางแผดเสียงก้องก่อนจะยกดาบขึ้นข่มขวัญ  แต่สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นเสียงหัวเราะอย่างไม่รู้สึกรู้สาของฝ่ายตรงข้าม

    “ไอ้หนุ่ม!คนที่ไม่เจียมเงาหัวน่ะคือเจ้าต่างหาก! ไม่ใช่เรื่องของตนเอง ก็อย่ามาแส่ให้มากความนัก!” เป็นข้อความกรรโชกตอกกลับ ในขณะที่พรรคพวกอีกสามสี่คนทำท่าจะกลุ้มรุมทำร้ายหญิงสาว สตรีแปลกหน้านั้นร้องขอความช่วยเหลือด้วยน้ำตานองใบหน้า

    “สารเลว!” ชายหนุ่มตะคอกกลับ และทันใดนั้นเองที่เขาถีบตัวกระโดดขึ้นทันที มือขวากระชับดาบเปื้อนเลือดฟาดสะบั้นลงที่กลางใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ แม้ทางศัตรูจะยกดาบขึ้นปกป้อง แต่กลับไม่อาจทานแรงมหาศาลของชายหนุ่มที่ช่างต่างจากรูปลักษณ์ที่สะโอดสะองโปร่งบางนั้นได้เลย  เสียงปะทะกันของอาวุธนั้นดังก้องก่อนที่ดาบเล่มหนึ่งจะหักสะบั้นกระเด็นขึ้นฟ้า และคมดาบอาบเลือดจะผ่าทะลวงร่างของคู่ต่อสู้จนแยกเป็นสองเสี่ยง  โลหิตทะลักพวยพุ่งอาบพื้นถนน ประกายอาวุธต้องแสงจันทร์ที่ตระการตา สะท้อนไหวในดวงตาสีฟ้าอันน่าพรั่นพรึงจนพวกทหารที่เหลือต่างก็ต้องรีบปล่อยมือจากเหยื่อและหันกลับมาชักอาวุธหันคมเข้าใส่

    “ไอ้หนุ่มเจ้าจะกล้ามากเกินไปแล้ว!”

    “จะมากแค่ไหนกันหากเทียบกับความเลวทรามของพวกเจ้า!!!” เอเทลประกาศและกระชับดาบมั่นหันคมใส่ศัตรูอย่างไม่เกรงต่อสิ่งใด ในขณะที่ส่งสัญญาณให้หญิงสาวนั้นคลานหลบออกไป แต่ช่างโชคร้ายที่วินาทีนั้นเองที่ศัตรูคนแรกกระโจนพุ่งใส่เขา พรรคพวกอีกคนหนึ่งกลับเข้าตะครุบตัวหญิงเคราะห์ร้ายไว้

    เสียงโลหะกระทบกัน และตอนนี้ที่เอเทลแลเห็นว่าต่อหน้าเขาศัตรูกลับใช้คมดาบจ่อลำคอระหงของหญิงสาวไว้เป็นตัวประกัน

    “ถ้าเจ้ากล้าชนะพวกข้าล่ะก็ ผู้หญิงนั่น ตาย!!!!” ฝ่ายคู่ต่อสู้ที่พุ่งเข้ามาประกาศโต้อย่างไร้ยางอายในขณะที่เอเทลนั้นเบิกดวงตาวาวโลดด้วยความแค้นเคือง ตามปกติแล้วก็ควรที่จะต้องทำตามคำขู่ แต่ในกรณีของเอเทลแล้ว เขารู้ว่าเขาไม่สามารถที่จะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ตรงนี้ได้

    “น่าเสียใจนะ แต่ว่า...คนที่ต้องตายคือพวกเจ้า!!!” ออกแรงและฟาดดาบปะทะเข้าไปจนอาวุธของฝ่ายตรงข้ามหักสองท่อนมือขวานั้นฟาดคมดาบผ่าร่างศัตรูเป็นสองส่วนในขณะที่เท้าซ้ายเตะเอาคมมีดที่หล่นอยู่บนพื้นพุ่งไปเบื้องหน้าแทงทะลุคอหอยของฝ่ายที่ริบังอาจจับหญิงชาวบ้านเป็นตัวประกัน 

    “จ เจ้า....” ฝ่ายผู้ตายที่ถูกเจาะคอหอยนั้นถึงกับทำอะไรไม่ถูกและใช้มือปาดมองดูเลือดของตนเองก่อนจะล้มลงบนพื้น หากแต่วินาทีถัดมานั้นเองที่ทำให้เอเทลต้องร้องตะโกนออกมาเมื่อทหารนายสุดท้ายที่ควรจะวิ่งเข้ามาหาเขากลับพุ่งเป้าไปที่ตัวประกันที่ทรุดลงบนพื้น

    “ระวัง!!” สายเกินกว่าที่เอเทลจะวิ่งไปทัน ดาบของทหารที่เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายแทงเข้าที่สีข้างของหญิงสาวจากทางด้านหลัง นางนั้นล้มลงบนพื้นและโลหิตสีแดงก็ไหลเอ่อลงมา “เจ้าคนชั่วช้า!!!” กระโจนเข้าไปขวางกั้นก่อนจะจ้วงแทงเข้าที่ช่องท้องของฝ่ายนั้นเล็งให้ตายสนิทในทันใด

    “ท่านพี่พวกทหารตามมาแล้วเจ้าค่ะ!” เสียงของคารีน่าที่วิ่งตามมาร้องตะโกนบอก แน่นอนว่านางเห็นร่างของหญิงสาวแปลกหน้าในอ้อมแขนของผู้เป็นพี่ชายแล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการเอาชีวิตรอดไปจากที่นี่

    “ช่วยพี่แบกนางไปที นางกำลังจะตาย!” เอเทลร้องขอความช่วยเหลือ หากแต่คารีน่ากลับเลือกในทางตรงกันข้าม

    “เราไม่มีเวลาแล้วนะเจ้าคะ!!!” นางยังคงร้องบอก

     แต่แทนที่สองพี่น้องจะต้องทุ้มเถียงกันต่อไปกลับเป็นซัสที่พุ่งเข้าไปถึงตัวของเอเทล ชายหนุ่มฉีกแขนเสื้อของตนเป็นริ้วใช้เศษผ้ากดปิดปากแผลของหญิงสาว เขากระซิบบอกนางด้วยถ้อยคำสุภาพ

    “กดไว้ ทนแค่แป๊บเดียวเท่านั้น” ซัสบอกก่อนจะหันไปสบตาเอเทล

    “ซัส” มองหน้าและเรียกชื่อนั้นเพื่อขอความเห็น

    “เอเทล เราต้องไปขอความช่วยเหลือ”

    “แต่ว่า!” ความช่วยเหลือที่ว่านั่นหมายถึงอะไรย่อมรู้ดีแก่ใจอยู่ เพียงแต่ว่าหากไปในยามวิกาลเช่นนี้หากใครพบเห็นเข้าความลับที่เขาปรารถนาจะปิดซ่อนก็จะไม่อาจเป็นความลับได้อีกต่อไป

    “โทษที่เจ้าเสียเวลามาช่วยนางเถอะ” มองตาสหายและพูดอธิบายความจริงที่ว่าพวกเขาเสียเวลาในการหลบหนีไปแล้วเพราะความใจอ่อนของเอเทล “แต่ตอนนี้ เราจะปล่อยให้นางตายที่นี่ก็คงไม่ได้” คำพูดนั้นช่วยให้เอเทลรู้สึกเย็นใจขึ้นแต่กลับทำให้ฝ่ายคารีน่าต้องมุ่นคิ้ว

    “ขอบใจนะ ซัส” ชายหนุ่มยิ้มอย่างยินดีและเป็นฝ่ายที่อุ้มหญิงสาวขึ้นในอ้อมแขน

    “รีบไปกันเถอะ” ซัสย้ำอีกครั้งก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายนำคนทั้งหมดวิ่งผ่านซากศพของทหารและเลี้ยวเข้าไปทางตรอกซึ่งเขาได้ใช้เวลาทั้งสัปดาห์ในการเที่ยวสำรวจเส้นทางลับ

     อาเดอเรียสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึกเพราะเสียงตะโกนและเสียงฝีเท้ามากมายที่ลั่นดังสลับกันในยามวิกาล นางสงสัยใคร่รู้จนต้องเปิดหน้าต่างของห้องบนชั้นสองออกดู ภาพที่ปรากฏแก่สายตาคือภาพของเปลวเพลิงที่โหมไหม้จากจวนเจ้านครและความโกลาหลของการเที่ยวดับไฟ เสียงร้องตะโกนว่า ‘กบฏ’ ดังสลับกับเสียงฆ้องร้องป่าว นั่นมันราวกับนรกบนดินเมื่อไฟนั้นโหมแรงเข้าจากลมที่พัดกรรโชกแรง และยามนี้ที่ไฟเริ่มจะลามไปตามบ้านเรือนของผู้คน นางรีบเปลี่ยนเครื่องแต่งกายและตัดสินใจที่จะลงไปช่วยดับไฟ

     ทว่าดูเหมือนจะมีสิ่งที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นอีก เมื่อครั้งนี้นางได้ยินเสียงคนจากทางด้านหลังบ้าน เสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยแผ่วเบาที่น่าฉงน มีอะไรบางอย่าง มีใครบางคน ไม่สิกลุ่มคน....กำลังใกล้เข้ามา

    “พวกไหนกัน....” รู้สึกคอแห้งผากและความไม่ไว้วางใจก็ทำให้เหงื่อกาฬพาลไหล อาเดอเรียจุดตะเกียงก่อนจะหยิบมันขึ้นและเดินลงไปตามแนวบันไดในยามค่ำคืน สัญชาตญาณของนางกำลังร้องถกเถียงกันอยู่ ฝ่ายหนึ่งมันบอกว่าให้นางกลับขึ้นไปเสีย หลับตาลงให้สบายและวางใจได้ว่าร้านของคอลลิน ลอเรนซ่านั้นห่างจากต้นเพลิงมากและมันจะปลอดภัยอย่างแน่นอน แต่อีกใจก็ร้องเรียกบอกนางว่านางควรจะต้องออกไป ออกไปช่วยผู้คน ทำอะไรบางอย่างเท่าที่จะทำได้ และเสียงสุดท้ายบอกกับนางว่านางต้องตามหา ตามหาว่าต้นเสียงที่นางได้ยินว่านั่นคืออะไร และ.....มีความจริงอะไรที่นางจะพอสืบเสาะหาได้บ้าง

    “นั่นใครน่ะ” ร้องเรียกก่อนจะฉวยเอามีดดาบที่แขวนไว้ข้างประตูขึ้น นางก้าวไปที่ประตูหลังทีละน้อยๆ รอคอย และวินาทีนั้นเองที่ประตูพลันถูกผลักออก

    “เฮ้ย!” เสียงของชายหนุ่มร้องขึ้นในความมืดก่อนที่จะกระชากคมดาบออกจากฝักและรับคมมีดของฝ่ายตรงข้ามในความมืดไว้ได้  ดวงตาของพวกเขาพลันสบประสานกันอีกครั้ง และซัสนั้นแน่ใจว่าเขาได้แลเห็นประกายสีฟ้าจากนัยน์ตาของคนที่กำลังคิดจะฆ่าเขาจริงๆ

    “เป็นเจ้าได้ยังไง....” อาเดอเรียนั้นชะงักค้าง มีดของนางปะทะเข้ากับดาบของฝ่ายตรงข้ามอย่างแรงจนท่อนแขนถึงกับรู้สึกชา นั่นคือซัส ผู้ชายที่ตอนนี้น่าจะควรกำลังหลับสนิทอยู่บนห้อง

    “นั่นเป็นคำถามของข้าต่างหาก” เป็นผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงที่กล้าเอามีดสับลงบนคนแปลกหน้าที่น่าสงสัยอย่างไม่มีลังเลแม้เพียงนิด หากว่าเขาเป็นคนอื่น...คงจะได้ตายไปแล้วจริงๆ

     ก่อนที่ชายหนุ่มกับหญิงสาวจะไถ่ถามหรือโต้เถียงอะไรกัน อาเดอเรียกลับเป็นฝ่ายที่สังเกตเห็นคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังของซัส ชายหนุ่มผมสีทองผู้กำลังอุ้มหญิงสาวผมยาวไว้ในอ้อมแขน และหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกายเขา

    “ไม่ได้พบกันเสียนานนะ อาเดอเรีย” ชายหนุ่มทักทายขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม

    “ท่านพี่..เอเทล..” เป็นคนๆนี้

    คนที่กลับมา

    พร้อมกับความเปลี่ยนแปลง


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×