คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : อาเดอเรีย เอสเตอร์
อาเดอเรีย เอสเตอร์
อาณาจักรเอสเทเนียเป็นอาณาจักรใหญ่ที่ตั้งอยู่ในแถบตอนล่างของคาบสมุทร นับตั้งแต่กษัตริย์องค์ปัจจุบันคือ พระเจ้าอเล็คซานโดร แม็กน่าขึ้นครองราชย์ ประเทศนั้นก็ปราศจากความเสถียรทางการเมืองและเต็มไปด้วยกบฎก่อการจลาจลที่แสนสับสนวุ่นวายจากคำครหานินทาว่าทรงแย่งชิงบัลลังก์มาจากพระเชษฐา รัชสมัยของพระองค์เป็นรัชสมัยที่เต็มไปด้วยปัญหาการคอร์รัปชั่นและการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจเสื่อมทราม และแม้ตัวองค์กษัตริย์เองก็ยังได้ชื่อว่าเป็นเพียงหุ่นเชิดของพระราชมารดา
แผ่นดินลุกเป็นไฟและกลุ่มกบฏต่างก็ลุกขึ้นต่อต้านหวังล้มล้างราชบัลลังก์ ไฟสงครามนั้นเริ่มลุกลามและความเดือดร้อนก็ครอบคลุมไปทุกหย่อมหญ้า ในท่ามกลางสิ่งเหล่านั้นนครเมราโน่ ก็เป็นหนึ่งในดินแดนที่กำลังจะถูกเพลิงกาฬแห่งศาสตราแผดเผา
ไฟสงครามลามเลียลุกไล่ นั่นอาจเป็นโชคชะตาหรืออาจเป็นเพียงความปรารถนาของใครบางคนที่เฝ้ารออธิษฐานมานานแสน โชคร้ายที่เป็นดั่งอัคคีแห่งสงครามถูกนำพามาและกำลังไถ่ถามหาอนาคตจากคนผู้หนึ่ง ณ เวลานี้
“กวาดหน้าร้านแล้วก็จัดของต่อเลยนะ อาเดอเรีย!” เสียงของชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของร้านค้าเครื่องอุปโภคบริโภคขายส่งที่ใหญ่ที่สุดของเมืองเมราโน่ตะโกนบอกลูกจ้างสาวที่กำลังง่วนกับการทำความสะอาดยามเช้าอย่างขะมักเขม้น
“ทราบแล้วขอรับ! นายท่าน!” หญิงสาวตอบกลับไปอย่างห้วนๆ เนื่องจากแม้จะเป็นนายบ่าวแต่ก็รู้จักนับถือกันมาช้านาน อาเดอเรีย เอสเตอร์ เก็บไม้กวาดพิงกับผนังก่อนจะยกถังน้ำมาราดโครมใหญ่เพื่อทำความสะอาดขั้นสุดท้าย
“แบบนี้สิ ถึงจะสะอาด” อาเดอเรียพึมพำกับตัวเองก่อนจะดึงผ้าคาดศีรษะออก ปล่อยให้เส้นผมสีดำที่ผูกเป็นหางม้าไว้หลุดออกมาพร้อมกับเหงื่อที่ซึมใบหน้า ดวงตาสีฟ้านั้นดูภูมิอกภูมิใจกับผลงาน ในฐานะลูกจ้างและในฐานะคนรับใช้ เมื่อรับเงินมาแล้วทุกอย่างต้องสมบูรณ์ นี่ล่ะคือคติประจำใจของนางผู้นี้
“จัดของต่อสินะ”ล้างมืออย่างเกลี้ยงเกลาพลางผูกผมขึ้นเป็นหางม้าอีกครั้งก่อนจะยกลังสัมภาระที่แม้แต่ลูกจ้างชายยังเกี่ยงงอนออกมาอย่างไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย ท่ามกลางสายตาของเหล่าเพื่อนบ้านและผู้คนสัญจรขาประจำที่ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมกับความขยันขันแข็งที่ไม่เคยขาดตกบกพร่อง
“เจ้าน่าจะขอไปทำงานครัวนะอาเดอเรีย ฝีมือเจ้าก็ใช่จะเป็นรองพวกแม่ครัว แต่ดันเหมางานใช้แรงซะแบบนั้น” หนึ่งในลูกค้าประจำที่กำลังยื่นใบสั่งของให้เปรยขึ้นแต่เด็กสาวกลับไม่มีเปลี่ยนสีหน้า นอกจากจะเงยหน้าขึ้นสบตาเล็กน้อยและยิ้มให้เพียงนิดตามมารยาท
“เป็นแบบนี้ดีแล้วล่ะขอรับ” ภาษาที่ใช้ตอบกลับมานั้นเป็นวาจาอย่างบุรุษ และมันก็ช่างเข้ากับเสื้อและกางเกงสีเทามอซอของเจ้าตัวเป็นอย่างดี หากดูแต่ผิวเผินก็แทบจะคิดไปว่าหญิงสาวอายุอานามสิบแปดปีตรงหน้านั้นเป็นเด็กหนุ่มผอมบางรูปงามคนหนึ่ง
ในขณะที่เนื้อหาของคำตอบนั้นแสนง่ายดายนักเมื่อเจ้าตัวเป็นมนุษย์จำพวกที่รำคาญความวุ่นวายของบรรดาคนรับใช้ที่เกี่ยงงานหนัก ยัดงานเบา เอาแต่หน้า ไอ้เรื่องแบบนั้น มันช่างรกหูรกตาจนนางไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
“ก็นั่นล่ะนะ เอาเถอะ ข้าเองคุยกับเจ้าก็ง่ายดี” อีกฝ่ายว่าเพราะจากประสบการณ์แรมปี เขาพบว่าวันใดก็ตามที่อาเดอเรียลาหยุดนั่นก็นับเป็นโชคร้ายของเถ้าแก่และลูกค้า เพราะดูเหมือนทุกอย่างจะรวนไปหมด ออเดอร์ผิดๆถูกๆ มารยาททรามๆของบรรดาลูกจ้างที่ไม่เข้าใจธรรมเนียมการค้ากันนัก
“รอครึ่งชั่วโมงนะขอรับ ข้าจะบอกให้หลังร้านเอาไปส่งให้”
“ตกลง”
แต่ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั่นเองที่เสียงจ้อกแจ้กจอแจพลันดังขึ้นผิดปกติ ผู้คนออกไปมุงดูอะไรสักอย่างจนแม้แต่คนที่ไม่ค่อยจะอยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านสักเท่าไหร่อย่างอาเดอเรียยังต้องเหลือบมอง ปฏิกิริยาของเพื่อนบ้านร้านตลาดราวกับพบเจอสิ่งที่น่าตื่นตระหนกเสียอย่างนั้น
ที่ตรงหน้านั้นเองที่อาเดอเรียแลเห็นทหารลาดตระเวนสี่นายกำลังยืนห้อมล้อมเด็กชายวัยไม่น่าเกินสิบขวบไว้ พอสังเกตดูให้ดีก็แลเห็นว่าที่ปลายเท้าของคนเหล่านั้นมีน้ำสีดำสกปรกเปื้อนอยู่ คาดเดาได้ว่านั่นคงเป็นสาเหตุของเรื่องราวในครั้งนี้
“ไอ้เด็กสารเลว! อย่างเจ้ามันสมควรตายจริงๆ!!” เสียงสบถกร่นด่าด้วยถ้อยคำนั้นรุนแรงสแลงหู ทหารนายหนึ่งถึงกับใช้เท้าเหยียบขยี้ลงไปบนมือขวาของเด็กน้อย
“ขอประทานโทษขอรับ! ขอประทานโทษข้าซุ่มซ่ามไร้ตาเองขอรับ! นายท่าน!!” เด็กน้อยลุกลี้ลุกลนก้มกราบขอความเมตตาในขณะที่เหล่าทหารผู้เสียหายนั้นแสดงท่าทีโกรธขึ้งและหันไปสบสายตากันอย่างขอความเห็น
“เจ้ารู้ไหมว่าพวกข้าเป็นใคร! ระหว่างชีวิตเจ้ากับปลายเท้าข้า อย่างไหนมันจะมีค่ากว่ากัน หา!!!”
“ปลายเท้าของนายท่านขอรับ!” อีกฝ่ายรีบตอบด้วยความรักตัวกลัวตาย ยามนี้ที่ฝ่ายตรงข้ามชักดาบออกจากฝักจนแลเห็นแสงสะท้อนแวววาวที่ต้องลงมาบนพื้น ไม่มีสิ่งใดจะสำคัญไปกว่าการหนีไปให้พ้นจากที่แห่งนี้และสถานการณ์นี้อีกแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นก็คงรู้สินะ ว่าควรจะต้องชดใช้ความผิดยังไง!” พริบตานั้นเองที่นายทหารพลันหงายคมดาบขึ้นก่อนที่ฟันลงมาบนหลังต้นคอของเด็กชายท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้คน
ทว่าในพริบตานั้นเองที่เงาสองเงาพลันโฉบออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย หนึ่งหมายเข้าประคองปกป้องร่างของเด็กชายผู้เคราะห์ร้าย และอีกหนึ่งนั้นเหวี่ยงคมดาบฟาดปะทะเข้ากับอาวุธของศัตรู คมโลหะแวววาวปะทะกันเพียงชั่วพริบตาก่อนที่คมดาบหนึ่งจะหักกลางหมุนคว้างกลางอากาศและตกลงปักลงตรงหน้าของเหล่านายทหารแห่งเมราโน่
“เกิดเป็นคนได้เสียชาติเกิดซะจริงๆคุณทหารทั้งหลาย”นั่นคือเสียงของชายหนุ่มผู้เพิ่งได้รับชัยชนะมาครอบครอง อาเดอเรียเงยหน้าจากการกอดประคองเด็กชายขึ้นมองคนที่พุ่งเข้ามาพร้อมกับนาง ชายหนุ่มนักดาบผู้มีเส้นผมสีน้ำตาลเข้มตัดสั้นและดวงตาสีเปลือกไม้สุกใส รูปร่างนั้นสมส่วนสะโอดสะอง แต่กลับมีใบหน้าที่เปื้อนยิ้มและแสดงความมาดมั่นคมคายดุจดั่งนักรบผู้ไม่เคยปราชัยให้กับผู้ใด กับเพียงใบหน้าด้านข้างคนผู้หนึ่ง กลับทำให้นางรู้สึกประทับใจได้ถึงเพียงนั้น
“เจ้าเป็นใคร!!!” ทหารที่เหลือต่างก็ชักดาบออกมาและเข้าห้อมล้อมชายหนุ่มแปลกหน้าไว้ หากแต่ฝ่ายที่ตกอยู่ภายในวงล้อมกลับเสยเส้นผมยุ่งเหยิงที่ปรกลงมาที่ดวงตาเล็กน้อยก่อนจะยืดกายตรงและแสยะยิ้มออกมาอย่างไม่ยี่หระต่อภยันตรายเบื้องหน้า
“คนแปลกหน้าน่ะสิ หรือว่าใครแถวนี้จะรู้จักข้ากันบ้างล่ะ”ว่าแล้วก็หัวเราะน้อยๆอย่างติดตลก ท่าทีที่ทำให้ใครก็ตามที่พบเห็นอาจรู้สึกหมั่นไส้ แต่หญิงสาวกลับรู้สึกว่าคนผู้นี้มีความหมายตามที่พูดจริงๆ
“ไอ้สารเลว! เตรียมตัวตายได้แล้ว!!!” ต่อจากการดวลดดาบตัวต่อตัวก็คือการกลุ้มรุมทำร้ายแทน อาเดอเรียรีบลากเอาเด็กชายในอ้อมแขนนั้นปลีกตัวออกไปทางด้านข้าง คิดไว้ว่าในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็จะรีบพาเด็กคนนี้วิ่งหนีไปเสีย แต่ดูเหมือนว่าทันทีที่เสียงคมดาบลั่นปะทะกันอีกครั้งนางก็รู้ว่าตนเองไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้นเลย
นักดาบหนุ่มกระชับดาบมั่นในกำมือ ดวงตาสีน้ำตาลนั้นพลันฉายแววมุ่งมั่นและไอรังสีฆ่าฟันที่รุนแรงนั้นก็ราวกับจะปรากฏออกมาอวดโอ้จนคู่ต่อสู้กลับเป็นฝ่ายที่ต้องก้าวถอยหลังไปอย่างไม่ทันตั้งตัว และฉับพลันนั้นเองที่ชายหนุ่มพลันพุ่งตัวออกไปเบื้องหน้า ฟาดคมดาบพุ่งตรงไปประหนึ่งคันศรและแทงกระหน่ำเข้าปะทะกับศัตรูอย่างไม่มีผิดพลาด
“ถ้ายังตามมาราวีที่นี่อีก ครั้งหน้าข้าก็ไม่รับประกันว่าจะออมมือไหวหรอกนะ พวกคุณทหารรกโลกทั้งหลาย” กล่าวจบในวินาทีที่อาวุธของศัตรูทั้งหมดหักสะบั้นเป็นสามท่อนและใบมีดเหล่านั้นกลับกลายเป็นเศษซากไร้ค่าไปในทันที เหล่าทหารไม่เพียงแต่รีบสาบถสาบานว่าจะไม่กลับมา ซ้ำยังจรลีหนีฝ่าวงล้อมของคนที่มากลุ้มรุมมองไปอย่างรวดเร็ว เสียงไชโยโห่ร้องพลันดังขึ้นก้องกึก และนั่นก็คือเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นว่าเมืองแห่งนี้ต้องการวีรบุรุษมากมายเพียงใด
“ยืนไหวมั้ยเจ้าน่ะ” ชายหนุ่มหันกลับไปทางอาเดอเรีย รอยยิ้มของเขานั้นเปลี่ยนจากการยิ้มเหยียดมาเป็นรอยยิ้มนุ่มนวลแทนที่ ยิ้มที่หวานและทรงเสน่ห์จนเชื่อแน่ว่าไม่ว่าสตรีนางใดได้ยลก็คงจะต้องเหลียวมองในทุกคราไป แต่ว่า...นั่นไม่ใช่ในกรณีนี้
“อืม ขอบใจ” อาเดอเรียตอบพลางพยักหน้าน้อยๆอย่างไม่รู้สึกรู้สา จังหวะเดียวกับที่เด็กชายนั้นชี้ไปเบื้องหน้า หญิงนางหนึ่งวิ่งออกมาจากกลุ่มคนและเด็กชายก็วิ่งเข้าสู้อ้อมอกของนางในทันใด คนทั้งสองรีบกุลีกุจอวิ่งหนีตัดผ่านฝูงชนไปในชั่วอึดใจโดยไม่ได้เหลียวหันกลับมาแสดงความขอบคุณแม้แต่น้อย
“แหม๋ๆๆกลายเป็นฝ่ายที่ถูกทิ้งคือเจ้าสินะ” น้ำเสียงของชายหนุ่มนั้นกึ่งจะถากถางถึงภาพที่เกิดขึ้น แน่นอนว่ามันควรจะน่าน้อยใจอยู่นิดๆที่ความช่วยเหลือโดยแลกด้วยชีวิตนี่ไม่มีแม้แต่คุณค่าพอให้สำนึกระลึกถึง
“ไม่เห็นเป็นไร” อาเดอเรียกล่าวตอบและหยัดกายขึ้นยืน เงยหน้ามองคนผู้นั้นตรงๆอย่างชัดแจ้ง หากพิจารณาจากส่วนสูงดูเหมือนนางจะเตี้ยกว่าคนผู้นี้เกือบห้าเซนติเมตรดังนั้นชายผู้นี้จึงไม่น่าจะสูงเกินกว่าหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรอย่างแน่นอน “หรือว่าเจ้าทำดีโดยหวังคำขอบคุณกันล่ะ”
“อ้อ” พยักหน้าและกลับรู้สึกขึ้นมาว่านั่นช่างเป็นคำถามย้อนที่เย่อหยิ่งสิ้นดี
แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรอีกต่อไป ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็พุ่งสวนเข้ามาและแทบจะสวมกอดอาเดอเรียไว้ในทันทีโดยเจ้าตัวไม่ทันได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย
“อาเดอเรีย! เจ้าเด็กบ้า!” ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็น คอลลิน ลอเรนซ่า ผู้เป็นเจ้านายของอาเดอเรียนั่นเอง เขาเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ตอนที่หญิงสาวลูกจ้างของเขาพุ่งออกไปช่วยเหลือเด็ก ทั้งห่วงแสนห่วงและทั้งหวาดวิตกกังวลอย่างเหงื่อโทรมกาย กร่นด่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงความโง่เขลาของคนของตน
“ข้าขออภัย นายท่าน” หญิงสาวกอดตอบเบาๆและรู้สึกผิดอยู่บ้างที่ทำให้เจ้านายของตนต้องเป็นห่วง
“ต้องขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลืออาเดอเรีย นางนี่ช่างขยันทำให้ข้าต้องวิตกกังวลจริงๆนั่นล่ะ”ทักทายและกล่าวขอบคุณชายหนุ่มอย่างแสนสุภาพ แต่ฝ่ายตรงข้ามที่ได้ยินคำสรรพนามนั่นกลับยักคิ้วเล็กน้อยก่อนจะกวาดสายตาแลคนทั้งคู่อีกรอบ อดที่จะหัวเราะขึ้นเบาๆพร้อมกับชี้นิ้วไปยังสตรีตรงหน้าไล่มองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไม่ได้ ดวงตานั้นก็เบิกกว้างขึ้นอย่างเหลือเชื่อกับภาพที่เห็น
“ผู้หญิงหรอกเรอะ!!!ไอ้ข้าล่ะก็นึกว่านางเป็นหนุ่มน้อยผู้กล้าหาญเสียอีก นี่เป็นคุณหนูหรอกหรือนี่” หัวเราะเบาๆจนเกือบจะเหมือนการยิ้มเย้ย ในขณะที่สายตาของหญิงสาวในคราบของเด็กหนุ่มนั้นมองมาทางเขาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว เขาเดาเอาได้เลยว่าสตรีนางนี้คงจะเจอคนทักผิดเช่นนี้บ่อยๆอย่างแน่นอน
“เสียมารยาทจริงนะท่านน่ะ!” เป็นฝ่ายคลอลิน ลอเรนซ่าที่เถียงขึ้นแทน อย่างไรเสียนี่ก็เป็นหญิงสาวที่เขาดูแลอุปถัมภ์ดุจลูกในไส้การที่ชายใดจะมาพูดจาดูแคลนเช่นนี้ย่อมไม่เพียงระคายหูแต่ยังน่าตำหนิอีกด้วย
“ข้าต้องขออภัยท่านจริงๆที่หัวเราะขึ้นมาน่ะนะ แต่นั่นก็เพราะข้ารู้สึกชื่นชมในตัวนางหรอก ใครจะนึกว่าสตรีจะกล้าเอาหัวมาขวางคมดาบกันล่ะ โดยเฉพาะ....ในยุคสมัยนี้น่ะ” เจตนาเน้นย้ำในคำพูดสุดท้าย เฉกเช่นเดียวกับอาเดอเรียที่เงยหน้าขึ้นสบตาของเขาอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตื่นตะลึงระคนสนอกสนใจในความนัยแต่ละอย่างที่ชายผู้นี้เพียรบอกกล่าวออกมา
‘ในยุคสมัยนี้’ ในยุคสมัยที่โหดร้ายและความเห็นแก่ตัวนั้นมีอยู่ท่วมท้นแผ่นดิน
“แล้วเจ้าเป็นใครกัน คนแปลกหน้าที่กล้าเสี่ยงเพื่อเด็กไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างนั้นหรือไง” อาเดอเรียถามย้อน นางรู้สึกแปลกใจระคนสนใจในตัวชายผู้นี้ ทั้งที่วาจาไม่น่าฟังและผิดวิสัย ทั้งที่เพิ่งจะได้พบพาน แต่ก็กลับรู้สึกได้ว่าคนผู้นี้ช่าง...ไม่อาจละสายตา
“ซัส”
“หืม?” อาเดอเรียพึมพำ รู้สึกเหมือนได้ยินไม่ถนัดเพราะตอนนั้นเองที่สายลมฤดูหนาวนั้นพัดกรรโชกแรงเข้ามา
“นามของข้าคือ ซัส คุณหนูอาเดอเรีย” โค้งให้และฉีกรอยยิ้มเย็นแกมเอ็นดูให้อีกฝ่าย วินาทีที่ได้จ้องมองนัยน์ตาซึ่งกันและกัน และความรู้สึกบางอย่างที่อาจสัมผัสได้ก็พลันก่อกำเนิด
ยามแรกพบ
คือซัสกับอาเดอเรีย
ความคิดเห็น