ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : แล้วเธอกับฉัน จะกลับมา
ตอนที่ 2
แล้วเธอ กับ ฉัน จะกลับมา
แล้วเธอ กับ ฉัน จะกลับมา
รวงข้าวจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นหน้าผู้เป็นบิดานั้นคือเมื่อไหร่ จำได้เพียงคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นผู้ชายท่าทางเป็นผู้ดีเหมือนในละคร ตัวสูง สุภาพ และพูดภาษาไทยไม่ชัดนัก ไม่เคยถามผู้เป็นมารดาว่าทำไมถึงต้องแยกจากบิดา ไม่เคยถามว่าทำไมเธอถึงต้องเป็นเด็กกำพร้าพ่อ ไม่เคยถามเรื่องราวของครอบครัวทางฝ่ายคุณพ่อแม้เพียงครั้ง
จนกระทั่งในค่ำคืนนี้ ค่ำคืนที่เธอเปิดประตูเข้าบ้านและพบว่ามีหญิงชายแปลกหน้าคู่หนึ่งกำลังนั่งสนทนากับแม่ของเธออยู่ด้วยท่าทางเคร่งขรึม คุณแม่ของเธอวางกระเป๋าหนังสือไว้ข้างๆตัวและใบหน้าก็หลุบลงในฝ่ามือ สองคนที่แลเห็นดูราวกับพยายามจะปลอบโยนบางอย่าง
“ คุณแม่คะ หนูกลับมาแล้วค่ะ” รวงข้าวเอ่ยขึ้นเรียบๆ น้ำเสียงหวานของเธอเรียกความสนใจจากคนทั้งสามในห้องนั้น หญิงสาวแปลกหน้าเงยหน้าขึ้นจ้องเธอก่อนเป็นคนแรก เธอนั้นเป็นหญิงต่างชาติอย่างไม่ต้องสงสัย มีดวงตาสีฟ้าและเส้นผมนั้นก็เป็นสีน้ำตาลอ่อน จมูกโด่งคมสัน อายุอานามน่าจะไล่เลี่ยกันกับมารดาของเธอ ไม่ต่างกันนักชายที่นั่งอยู่ข้างๆก็เงยหน้าขึ้นมองตาม เส้นผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้า ท่าทีสุภาพและดูเป็นผู้ดีทุกระเบียดนิ้ว
“ เธอน่ะรึ รวงข้าว....”ฝ่ายหญิงถามคำถามนั้นเป็นภาษาอังกฤษ และแน่นอนนอนว่ารวงข้าวเองก็ตอบไปด้วยภาษาเดียวกันนั้น
“ ค่ะ หนูชื่อรวงข้าว คุณแม่คะ คุณสองคนนี้คือ....” พยายามจะถามหาคำตอบ แต่ทันใดนั้นเองที่ชายวัยกลางคนนั้นเอื้อมมือเข้ามาจับที่ข้อมือของเธอในทันที “ !”
“ โตขึ้นขนาดนี้แล้วสินะ แม่หนูน้อยของอา” คำพูดนั้นที่ทำให้ความเงียบพลันโรยตัวเข้ามาอย่างไม่ทันได้ตั้งใจ
“ คุณอา...งั้นหรือคะ” รวงข้าวทวนคำพูดนั้น อางั้นหรือ นี่เธอมีญาติเป็นชาวต่างชาติงั้นหรือ งั้นคุณพ่อของเธอก็คง.... “ คุณแม่คะ...” พยายามที่จะถามอีกครั้ง หากแต่แม่ของเธอกลับทำได้แต่เพียงสะอึกสะอื้นร่ำไห้ราวกับเศร้าโศกกับอะไรบางอย่างอย่างสุดซึ้ง
“ เธอคงไม่รู้จักพวกเราหรอกจ้ะ มาเถอะ นั่งลงสิจ๊ะรวงข้าว” ฝ่ายหญิงสาวเป็นคนเชื้อเชิญและค่อยๆพยุงเธอนั่งลงบนโซฟา “ พวกเราเพิ่งจะเดินทางมาจากวาราเรียจ้ะ สาธารณรัฐวาราเรียคงเคยได้ยินสินะจ๊ะ”
“ เอ่อ...ทราบว่าเป็นประเทศทางยุโรปตะวันออกค่ะ แล้วก็....” ใช่ วันนี้ถ้าเธอจำไม่ผิดดูเหมือนเธอจะได้ฟังข่าวบางอย่างเกี่ยวกับประเทศนี้ “ เอ่อ ใช่ประเทศที่เครื่องบินพระที่นั่งเพิ่งจะ...ตก..รึเปล่าคะ” พูดแล้วก็ก้มหน้าลงหลบหน้าหลบตา และตอนนั้นเองที่รวงข้าวรู้แน่แก่ใจว่าเรื่องนี้มันต้องมีอะไรไม่ธรรมดาแน่เมื่อแม่ของเธอกลับยิ่งร้องไห้ฟูมฟายหนักขึ้นไปอีก ส่วนชายหญิงสองคนข้างๆเธอก็มีท่าทีตึงเครียดขึ้นมาอย่างชัดเจน
“ ใช่แล้วล่ะ แต่ว่านั่นเป็นข่าวเก่า จริงๆแล้วเหตุการณ์ที่เสด็จพี่ประสบอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันนั่น....มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะนะ” ผู้ที่อ้างว่าเป็นคุณอาพูดประโยคที่ชวนพิศวงนั้นหน้าตาเฉย คำเรียกขานแต่ลำคำนั้นทำให้รวงข้าวต้องมองไปทางมารดาสลับกับใบหน้าของผู้พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ เสด็จพี่.....” คำสรรพนามแปลกๆนั่นมันอะไรกัน
“ ตอนนี้ ก่อนที่จะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเราคงต้องทำอะไรสักอย่างกับปัญหาเฉพาะหน้าแล้ว เธอเข้าใจหรือเปล่า รวงข้าว” ฝ่ายชายวัยกลางคนยังคงคาดคั้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและจ้องมายังดวงตาของหญิงสาวแรกรุ่นที่กำลังงุนงง
“ เอ่อ.....แล้ว มันเกี่ยวอะไรกับหนูงั้นหรือคะ”
แล้วมัน
เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ
เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ
“ รวงข้าว! อย่าพูดอะไรเสียมารยาทแบบนั้นนะจ๊ะ!” คนที่แผดเสียงขึ้นมาก็คือฝ่ายคุณแม่ที่ตอนนี้มองมายังฝ่ายลูกสาวอย่างดุดันผิดวิสัย ดวงตาที่บวมช้ำเพราะผ่านการร้องไห้มายาวนานหลายชั่วโมงนั้นแสดงออกถึงความโศกเศร้าเหลือแสนอย่างมิอาจพรรณนา
“ คุณแม่คะ นี่มันอะไรกัน หนูไม่เข้าใจว่าคุณอามาหาเราทำไม แล้วก็ไม่เข้าใจว่าเรื่องของสาธารณรัฐวาราเรียนั่นเกี่ยวข้องกับเรายังไงนี่คะ.....” ถามด้วยน้ำเสียงเซื่องซึม เกี่ยวกันยังไง สามัญชนคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขอย่างเธอกับแม่จะไปเกี่ยวข้องอะไรกับโลกที่อยู่อีกฟากนั้นล่ะ
“ นี่ยังไม่เข้าใจหรือจ๊ะ” เสียงของฝ่ายหญิงจากต่างแดนเอ่ยขึ้น
“ ท่านดัสเชส ท่านดยุค ได้โปรดอภัยให้กับรวงข้าวที่เสียมารยาทด้วยเถอะนะเพคะ เธอไม่รู้เรื่องของดิฉันกับท่านอเลสมาก่อนเลยค่ะ ดิฉัน...ดิฉันไม่เคยเล่าให้แกฟังเลย...” ร่ำไห้ออกมาและกอดบุตรสาวไว้แนบอกราวกับว่าตัวเธอและรวงข้าวนั้นได้ทำเรื่องเลวร้ายแสนสาหัสไว้อย่างนั้น
“ เดี๋ยวสิคะ! นี่มันเรื่องอะไรกัน ท่านดัสเชส...ท่านดยุคงั้นหรือ!” นี่มันอะไรกัน ดัสเชส ดยุค สาธารณรัฐวาราเรีย อเลส...อเลส...ชื่อนี่มัน.... “ อย่าบอกนะว่า.....” อย่าบอกนะว่าเรื่องในละครน่ะ.....
นั่นน่ะ
กลายเป็นจริง
กลายเป็นจริง
“ ใช่แล้วล่ะ หลานคือลูกสาวของพี่ชายฉัน บุตรีของพระราชาธิบดีอเลสโซ่ที่เจ็ด แห่งราชวงศ์วาราเรียกับแม่ของหลาน และตอนนี้ เพราะว่าพี่ชายของฉันไม่มีทายาทกับผู้หญิงอื่นเลย หลานจึงเป็นเจ้าหญิงรัชทายาทอันดับหนึ่งของวาราเรียในเวลานี้ไงล่ะ” พูดเรื่องน่าพิศวงออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน ท่านดยุคเพียงหันมาสบสายตากับท่านดัสเชสผู้เป็นภรรยาก่อนจะจับมือทั้งสองข้างของรวงข้าวด้วยความทนุถนอม
“ ท่าน...ดยุค...”
“ เราปรึกษากับแม่ของหลานแล้ว ก่อนที่จะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้น เราจะต้องรีบพาหลานเดินทางกลับบ้านไปถวายบังคมพระอัยกาให้ทันการแต่งตั้งองค์รัชทายาท รวงข้าว หลานจะต้องไปกับเราในเช้าวันพรุ่งนี้นะ”
“ไม่ค่ะ!!!” ไม่ทันที่ฝ่ายนั้นจะพูดจบ หญิงสาวก็พลันโพล่งออกมาด้วยถ้อยคำไม่สุภาพที่สุดในชีวิต “ หนุไม่ใช่รัชทายาทอะไรนั่นนะคะ! หนูชื่อรวงข้าว แสนประเสริฐ เป็นคนไทย และก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดนะคะ! จะไปเป็นเจ้าหญิงรัชทายาทของประเทศทางยุโรปอย่างวาราเรียได้ยังไงกัน!!!” เข้าเรียนชั้นอนุบาลอย่างธรรมดา ศึกษาเล่าเรียนอย่างธรรมดา มีเพื่อนฝูง มีคนรักที่ถึงขนาดสัญญาว่าจะอยู่ร่วมกันไปตลอดชีวิตอย่างธรรมดาสามัญ นั่นน่ะ.....นั่นน่ะ.....
“ แม่ขอโทษจ้ะ แม่ขอโทษ...” ร้องไห้ออกมาอีก และรีบโผเข้ากอดลูกสาวอีกครั้ง “ แม่ขอโทษที่ปิดบังลูก ก็ ก็แม่นึกว่า”
“ นึกว่าชื่อของเธอจะถูกขับออกจากราชวงศ์แล้วน่ะสิ” ท่านดัสเชสเอ่ยขึ้นบ้าง และนั่นก็ทำให้หญิงสาวต้องมองอีกฝ่ายด้วยความพิศวงงงงวยอีกครั้ง
“ ชื่อของหนูรึคะ”
“ ใช่จ้ะ ชื่อจริงของเธอ เจ้าหญิงรีซาเนีย โดมานิเอล แห่งวาราเรีย นี่เป็นพระนามที่ได้รับการบันทึกลงในพระสุพรรณบัฏ และเสด็จพี่ ฉันหมายถึงสมเด็จพระรามาธิบดี ก็เป็นผู้ที่ขอให้เสด็จพ่อยังคงบรรจุชื่อเธอไว้ในฐานะผู้สืบสันตติวงศ์อันดับหนึ่งด้วย”
“ ชื่อของหนู......”
“ ไม่ว่าเธอจะยอมรับหรือไม่ หรือคิดที่จะปฏิเสธสิทธินี้ ฉันกับท่านดยุคก็ขอแนะนำให้เธอไปเยือนวาราเรียสักครั้ง เธอคงไม่คิดอยากให้แม่ของเธอต้องถูกต่อว่าจากพระอัยกาว่าเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกอย่างผิดๆหรอกนะ” ปรายตามองไปยังหญิงผู้โศกเศร้า และหันกลับมามองเข้าไปในแววตาของรวงข้าวอีกครั้ง ท่านดัสเชสนั้นรู้แน่อยู่แก่ใจว่า หากผู้หญิงคนนี้ไม่กลับไปยังวาราเรีย ราชสมบัติก็อาจมีอันต้องตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ไม่ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลัง วาราเรียก็จำเป็นที่จะต้องได้ตัวเจ้าหญิงรัชทายาทกลับไปเป็นอันดับแรก
“ แต่ว่าหนู....ไม่รู้จักวาราเรียเลยนะคะ....” ไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ และไม่ได้อยากรับรู้เรื่องวุ่นวายอะไรเลย
“ ก็แค่ไปด้วยกันเท่านั้น ถึงตอนนั้นหากพระอัยกาหรือประชาชนไม่ชอบใจเธอจนชื่อเธอถูกถอดออกจากพระสุพรรณบัฏ ถึงตอนนั้นแม่ของเธอก็จะไม่เป็นที่ครหานะจ๊ะ” ท่านดัสเชสยังคงกล่อมต่อไป ใบหน้าที่ซีดเผือดของหญิงสาวที่ชื่อว่ารวงข้าว ท่าทีเก้ๆกังๆไม่ประสีประสา ประกอบกับใบหน้าแดงก่ำของฝ่ายอดีตพระชายาของพระราชา ไม่ว่าจะดูอย่างไรฝ่ายของพวกเธอที่เป็นเชื้อพระวงศ์ก็เป็นฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่าอย่างปราศจากข้อสงสัย “ ว่ายังไงจ๊ะ”
“ เอ่อ....... แต่ว่า......” รวงข้าวยังคงอ้ำอึ้ง เธอควรจะเลือกอะไร ประเทศที่ไม่รู้จัก ความวุ่นวายที่ไม่คุ้นเคย แม้แต่พ่อที่ไม่รู้จักหน้าตา ถ้าต้องเลือกล่ะก็ เธอก็ไม่มีวันเลือกทางนั้นหรอก แต่ว่า แต่ว่า...แม่ล่ะ แม่ที่ร้องไห้ไม่ยอมหยุดนี่ล่ะ แล้ว...แล้ว แต่ถ้าเธอเลือกล่ะ แล้ว....แล้ว.....วารินล่ะ
“ รวงข้าวจ๊ะ...” นั่นคือเสียงของแม่ที่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ แม่คะ....” ทำไมถึงรู้สึกไม่ดีเอาเสียเหลือเกิน
“ ถ้าลูกไม่ไปวาราเรีย.....แม่....ก็ไม่มีวันยอมรับเรื่องลูกกับวารินหรอกนะ” สิ้นเสียงของมารดา นั่นก็คือวินาทีที่รวงข้าวรู้แน่แก่ใจแล้วว่าแม่ของเธอ....
แม่
เลือกอะไร
เลือกอะไร
เช้าวันต่อมานั้นเองที่รวงข้าว หรืออีกชื่อหนึ่งที่ท่านดยุคกับท่านดัสเชสเรียกขานยามนี้ก็คือ “รีซาเนีย” จำเป็นต้องเก็บข้าวของเตรียมตัวเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกในชีวิต เธอเหลียวมองห้องนอนของตนเองพลางทอดถอนหายใจ ห้องของเธอที่มีเพียงเตียงเดี่ยว และโต๊ะหนังสือที่ทำจากพลาสติกราคาถูก หนังสือจำนวนมากที่ถูกวางอยู่บนชั้นวาง หนังสือแต่ละเล่มที่เธอเก็บเงินซื้ออย่างยากลำบาก ภาพถ่าย อัลบั้มรูปที่เธอถ่ายคู่กับแม่ กับเพื่อนฝูง และก็..
“ วาริน....” หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและกดหาอีกฝ่าย มีเสียงต่อสัญญาณอยู่ไม่กี่วินาทีก่อนที่จะเป็นเสียงของชายหนุ่มที่แว่วมาจากอีกทาง “ ว่างมั้ยจ๊ะ ฉัน...มีเรื่องจะพูดด้วย” เสียงที่ดังผ่านมานั้นตอบรับช้าๆและค่อนข้างเนิบนาบอย่างผิดปกติวิสัย
“ วาริน...ฉัน...จะไม่อยู่ไทยสักพักนะจ๊ะ ช่วงนี้อาจจะติดต่อกันไม่ได้ จ้ะ....จะไปเยี่ยมญาติจ้ะ” รวงข้าวบอก แต่เธอกลับไม่ได้พยายามอธิบายเหตุผลที่ดีให้กับชายหนุ่มฟัง เธอไม่อยากโกหก ไม่อยากโกหกคนๆนี้ แค่เพียงบอกปฏิเสธไม่เจอหน้า แค่เพียงต้องโกหกว่าจากไปไกลเพื่อเยี่ยมเยียนญาติมิตรชั่วครั้งชั่วคราว เพียงเท่านี้...ก็รู้สึกเจ็บปวดเกินพรรณนาเสียแล้ว
“ ฉันจะรีบโทรหานะ จะรีบโทรหาทันทีที่กลับมาเลยล่ะ” จะรีบโทรหา จะรีบไปหา จะให้วันที่เราสองคนได้อยู่ด้วยกันดั่งคำสัญญามาถึงในเร็ววัน วางโทรศัพท์ลงไปแล้ว และก็หลับตาลงพร้อมกับใบหน้าที่หมองเศร้า
เวลาผ่านไปชั่วอึดใจหนึ่งก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจะค่อยๆลืมขึ้นมองหนังสือที่ยังอ่านค้างไว้บนโต๊ะอีกครั้ง นาฬิกาบอกเวลาแปดโมงเช้า ได้เวลา....ที่จะต้องไปแล้ว หยัดกายขึ้นและเดินไปที่ประตูห้อง ขยับกรอบแว่นและเมียงมองรอบห้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะค่อยๆเผยอยิ้มออกมาเล็กน้อย หากจะมีสิ่งใดที่สูญเสียไปไม่ได้ในชีวิตล่ะก็ สิ่งเหล่านี้เท่านั้น....ที่จะไม่ยอมปล่อยไป “ จะรีบกลับมานะจ๊ะ ไม่นานหรอกจ้ะ ”
ใช่
ฉันไม่เสียเวลา
อยู่นานนักหรอก
วารินวางสายโทรศัพท์ไปพร้อมกับใบหน้าตึงเครียด แม้ใจหนึ่งจะนึกยินดีที่เขาไม่ต้องเป็นฝ่ายปฏิเสธ แต่ก็เศร้าใจราวกับว่าเขานั่นล่ะที่เป็นฝ่ายหลอกใช้ หลอกลวง และใช้ธุระของอีกฝ่ายให้เป็นประโยชน์กับตนเอง เขาต้องการพบรวงข้าว ต้องการพบหญิงสาวคนที่แสนสำคัญ คนที่เขาสัญญาว่าจะปกกป้อง จะอยู่เคียงข้าง จะได้ใช้ชีวิตร่วมกัน แต่.....
“ ลูกคงรู้นะจ๊ะว่าแม่....เศร้าเสียใจแค่ไหน...” เจ้าของคำพูดนั่นหาใช่ใครอื่นนอกจากแม่ของเขาที่ตอนนี้กำลังนั่งจ้องหน้าเขาเขม็งอยู่ในห้องครัว ที่ประตูหน้าบ้านผู้ชายสามสี่คนในชุดสูทสีดำยืนรออยู่แล้ว
“ คุณแม่ก็น่าจะเลิกถือมีดอยู่แบบนั้นได้แล้วล่ะครับ ยังไงซะ...ผม....ผมก็ต้องไปวาราเรียอยู่แล้ว” ตีหน้าเศร้า ความเจ็บปวดท่วมท้นประดังเข้ามา ใครจะรู้ล่ะว่าเมื่อวานสิ่งที่รอคอยเขาหลังจากกลับมาถึงบ้านกลับกลายเป็นมารดาที่คว้ามีดขึ้นมาหมายที่จะฆ่าตัวตายตามพ่อที่เขาไม่เคยเห็นหน้าไป ความตายที่ประชดประชันจากคามผิดหวังที่บุตรชายเพียงคนเดียวอาจนำพามาให้
“ ก็ถ้าลูกตัดสินใจแบบนั้น แม่ ก็มีหน้า ที่จะไปสู้พ่อเขาในปรโลกแล้วล่ะจ้ะ” แย้มยิ้มให้อย่างอ่อนโยนพลางชายตาแลไปยังคนที่มารับตัวเธอกับลูก
“ ครับ...แต่ผมคงไม่ดีใจหรอกถ้าแม่จะรีบไปหาคุณพ่อน่ะ ดังนั้น....วางมีดลงนะครับ ” ถอนหายใจยาวและเอื้อมมือกอบกุมมือที่เย็นชืดของมารดา ก่อนที่จะชายตามองไปยังชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาหาเขา
“ คุณชายครับ ตอนนี้รถมาถึงแล้ว เราคงจะต้องเดินทางกันแล้วล่ะครับ” ชายผู้นั้นบอกพลางค่อยๆเสยเส้นผมสีบลอนด์ทองของตนเองให้เรียบแปล้อีกครั้ง รอยยิ้มมาดมั่นนั้นปรากฏอยู่บนใบหน้าคมสันและดวงตาสีมรกตเข้มนั้นก็แฝงแววเจ้าเล่ห์ไว้อย่างเจนจัดชัดเจน
“ ผมนึกว่าเราจะไปกันตอนเที่ยงเสียอีก เครื่องออกตอนบ่ายไม่ใช่รึครับคุณริชมอน ” เรียกขานนามของชายผู้นั้น ชายผู้ซึ่งมาที่นี่พร้อมกับเรื่องร้าย และพามาเพียงความเจ็บปวดที่แสนเศร้า สำหรับวารินเขานึกอะไรไม่ออกอีกแล้ว ถ้าไม่ไปวาราเรียแม่ของเขาก็คงตรอมใจตาย ไม่สิ อาจจะฆ่าตัวตายตามพ่อของเขาที่ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกไปตามๆกัน เขาไม่ใส่ใจหรอกว่าพ่อที่ไม่เคยพบหน้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ประเทศที่ไม่เคยไปเหยียบย่างจะสับสนวุ่นวายแทบล้มประดาตายแค่ไหน แต่กับแม่....แต่กับแม่.....จะให้เขาใจร้ายเห็นแก่ตัวได้อย่างนั้นน่ะหรือ
“ เครื่องออกตอนบ่ายก็จริง แต่ผม อยากจะพาคุณชายไปรับประทานอาหารกลางวันกันก่อนน่ะครับ ผมคิดว่าเรามีเรื่องที่ต้องคุยกันมากก่อนที่จะไปถึงวาราเรียนะครับ คุณชายวาซ ซี เอสต้า” ยื่นมือให้กับอีกฝ่ายเพื่อสัมผัสแสดงไมตรีจิต และแน่นอนว่าชายหนุ่มผู้ถูกเรียกขานว่า วาซ ซี เอสต้าก็ตอบรับ
“ ยินดีเช่นกันครับ....ท่านเลขาธิการพรรคเสรีประชาธิปไตย” ก้มหน้าลงและปฏิเสธที่จะสบสายตา รู้สึกได้ถึงรอยยิ้มเยาะที่เมียงมองมา หากแต่เขานั้นย่อมไร้ทางเลือก ไม่มีอะไรให้เลือก ไม่มีอะไรให้สามารถเจ็บแค้น แค่ไปที่นั่นแล้วถูกถีบหัวส่งกลับมา หากทำแค่นั้นแล้วมารดาของเขาพอใจล่ะก็ นั่นน่ะ.....
ผมน่ะ
จะทำเพื่อแม่
ประตูรถเบนซ์สีดำปิดลงพร้อมกับวารินที่ก้าวขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังเคียงข้างกับมารดา ชายหนุ่มตัดสินใจแน่วแน่ที่จะทำในสิ่งที่ตนตั้งใจให้ประสบผล เขาใช้นิ้วมือขยับกรอบแว่นเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆมองประตูบ้านอีกครั้ง ริมฝีปากค่อยคลี่ยิ้มยามที่หูนั้นสดับฟังเสียงบทสนทนาระหว่างมารดากับคุณริชมอนสลับกัน ค่อยๆพึมพำออกมาเล็กน้อยยามที่รถค่อยวิ่งออกไปอย่างเชื่องช้าหากแต่คลับคล้ายย้ำเตือนกับตนเอง
“ เดี๋ยวก็กลับมานะครับ ไม่นานหรอก”
ผมน่ะ
ไม่เสียเวลา
อยู่นานนักหรอก
ไม่เสียเวลา
อยู่นานนักหรอก
จบตอน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น