ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คู่ชีวิตลิขิตฟ้า

    ลำดับตอนที่ #2 : แล้วเธอกับฉัน จะกลับมา

    • อัปเดตล่าสุด 20 มิ.ย. 53


    ตอนที่ 2
    แล้วเธอ กับ ฉัน จะกลับมา


        รวงข้าวจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นหน้าผู้เป็นบิดานั้นคือเมื่อไหร่   จำได้เพียงคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นผู้ชายท่าทางเป็นผู้ดีเหมือนในละคร  ตัวสูง  สุภาพ  และพูดภาษาไทยไม่ชัดนัก   ไม่เคยถามผู้เป็นมารดาว่าทำไมถึงต้องแยกจากบิดา  ไม่เคยถามว่าทำไมเธอถึงต้องเป็นเด็กกำพร้าพ่อ  ไม่เคยถามเรื่องราวของครอบครัวทางฝ่ายคุณพ่อแม้เพียงครั้ง   

    จนกระทั่งในค่ำคืนนี้  ค่ำคืนที่เธอเปิดประตูเข้าบ้านและพบว่ามีหญิงชายแปลกหน้าคู่หนึ่งกำลังนั่งสนทนากับแม่ของเธออยู่ด้วยท่าทางเคร่งขรึม   คุณแม่ของเธอวางกระเป๋าหนังสือไว้ข้างๆตัวและใบหน้าก็หลุบลงในฝ่ามือ   สองคนที่แลเห็นดูราวกับพยายามจะปลอบโยนบางอย่าง  

    “ คุณแม่คะ  หนูกลับมาแล้วค่ะ” รวงข้าวเอ่ยขึ้นเรียบๆ  น้ำเสียงหวานของเธอเรียกความสนใจจากคนทั้งสามในห้องนั้น  หญิงสาวแปลกหน้าเงยหน้าขึ้นจ้องเธอก่อนเป็นคนแรก  เธอนั้นเป็นหญิงต่างชาติอย่างไม่ต้องสงสัย  มีดวงตาสีฟ้าและเส้นผมนั้นก็เป็นสีน้ำตาลอ่อน  จมูกโด่งคมสัน   อายุอานามน่าจะไล่เลี่ยกันกับมารดาของเธอ  ไม่ต่างกันนักชายที่นั่งอยู่ข้างๆก็เงยหน้าขึ้นมองตาม  เส้นผมสีบลอนด์  นัยน์ตาสีฟ้า  ท่าทีสุภาพและดูเป็นผู้ดีทุกระเบียดนิ้ว

    “ เธอน่ะรึ  รวงข้าว....”ฝ่ายหญิงถามคำถามนั้นเป็นภาษาอังกฤษ  และแน่นอนนอนว่ารวงข้าวเองก็ตอบไปด้วยภาษาเดียวกันนั้น

    “ ค่ะ  หนูชื่อรวงข้าว  คุณแม่คะ   คุณสองคนนี้คือ....” พยายามจะถามหาคำตอบ   แต่ทันใดนั้นเองที่ชายวัยกลางคนนั้นเอื้อมมือเข้ามาจับที่ข้อมือของเธอในทันที  “ !”

    “ โตขึ้นขนาดนี้แล้วสินะ  แม่หนูน้อยของอา” คำพูดนั้นที่ทำให้ความเงียบพลันโรยตัวเข้ามาอย่างไม่ทันได้ตั้งใจ  

    “ คุณอา...งั้นหรือคะ” รวงข้าวทวนคำพูดนั้น  อางั้นหรือ   นี่เธอมีญาติเป็นชาวต่างชาติงั้นหรือ  งั้นคุณพ่อของเธอก็คง....  “ คุณแม่คะ...” พยายามที่จะถามอีกครั้ง  หากแต่แม่ของเธอกลับทำได้แต่เพียงสะอึกสะอื้นร่ำไห้ราวกับเศร้าโศกกับอะไรบางอย่างอย่างสุดซึ้ง

    “ เธอคงไม่รู้จักพวกเราหรอกจ้ะ  มาเถอะ  นั่งลงสิจ๊ะรวงข้าว” ฝ่ายหญิงสาวเป็นคนเชื้อเชิญและค่อยๆพยุงเธอนั่งลงบนโซฟา  “ พวกเราเพิ่งจะเดินทางมาจากวาราเรียจ้ะ  สาธารณรัฐวาราเรียคงเคยได้ยินสินะจ๊ะ”

    “ เอ่อ...ทราบว่าเป็นประเทศทางยุโรปตะวันออกค่ะ   แล้วก็....”  ใช่  วันนี้ถ้าเธอจำไม่ผิดดูเหมือนเธอจะได้ฟังข่าวบางอย่างเกี่ยวกับประเทศนี้   “ เอ่อ  ใช่ประเทศที่เครื่องบินพระที่นั่งเพิ่งจะ...ตก..รึเปล่าคะ” พูดแล้วก็ก้มหน้าลงหลบหน้าหลบตา  และตอนนั้นเองที่รวงข้าวรู้แน่แก่ใจว่าเรื่องนี้มันต้องมีอะไรไม่ธรรมดาแน่เมื่อแม่ของเธอกลับยิ่งร้องไห้ฟูมฟายหนักขึ้นไปอีก  ส่วนชายหญิงสองคนข้างๆเธอก็มีท่าทีตึงเครียดขึ้นมาอย่างชัดเจน

    “ ใช่แล้วล่ะ   แต่ว่านั่นเป็นข่าวเก่า  จริงๆแล้วเหตุการณ์ที่เสด็จพี่ประสบอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันนั่น....มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะนะ” ผู้ที่อ้างว่าเป็นคุณอาพูดประโยคที่ชวนพิศวงนั้นหน้าตาเฉย   คำเรียกขานแต่ลำคำนั้นทำให้รวงข้าวต้องมองไปทางมารดาสลับกับใบหน้าของผู้พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    “ เสด็จพี่.....”  คำสรรพนามแปลกๆนั่นมันอะไรกัน

    “ ตอนนี้  ก่อนที่จะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเราคงต้องทำอะไรสักอย่างกับปัญหาเฉพาะหน้าแล้ว   เธอเข้าใจหรือเปล่า  รวงข้าว”  ฝ่ายชายวัยกลางคนยังคงคาดคั้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและจ้องมายังดวงตาของหญิงสาวแรกรุ่นที่กำลังงุนงง  

    “ เอ่อ.....แล้ว  มันเกี่ยวอะไรกับหนูงั้นหรือคะ”


    แล้วมัน

    เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ


    “ รวงข้าว! อย่าพูดอะไรเสียมารยาทแบบนั้นนะจ๊ะ!” คนที่แผดเสียงขึ้นมาก็คือฝ่ายคุณแม่ที่ตอนนี้มองมายังฝ่ายลูกสาวอย่างดุดันผิดวิสัย   ดวงตาที่บวมช้ำเพราะผ่านการร้องไห้มายาวนานหลายชั่วโมงนั้นแสดงออกถึงความโศกเศร้าเหลือแสนอย่างมิอาจพรรณนา

    “ คุณแม่คะ  นี่มันอะไรกัน  หนูไม่เข้าใจว่าคุณอามาหาเราทำไม  แล้วก็ไม่เข้าใจว่าเรื่องของสาธารณรัฐวาราเรียนั่นเกี่ยวข้องกับเรายังไงนี่คะ.....” ถามด้วยน้ำเสียงเซื่องซึม   เกี่ยวกันยังไง  สามัญชนคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขอย่างเธอกับแม่จะไปเกี่ยวข้องอะไรกับโลกที่อยู่อีกฟากนั้นล่ะ  

    “ นี่ยังไม่เข้าใจหรือจ๊ะ”  เสียงของฝ่ายหญิงจากต่างแดนเอ่ยขึ้น

    “ ท่านดัสเชส  ท่านดยุค  ได้โปรดอภัยให้กับรวงข้าวที่เสียมารยาทด้วยเถอะนะเพคะ   เธอไม่รู้เรื่องของดิฉันกับท่านอเลสมาก่อนเลยค่ะ  ดิฉัน...ดิฉันไม่เคยเล่าให้แกฟังเลย...” ร่ำไห้ออกมาและกอดบุตรสาวไว้แนบอกราวกับว่าตัวเธอและรวงข้าวนั้นได้ทำเรื่องเลวร้ายแสนสาหัสไว้อย่างนั้น

    “ เดี๋ยวสิคะ! นี่มันเรื่องอะไรกัน  ท่านดัสเชส...ท่านดยุคงั้นหรือ!” นี่มันอะไรกัน   ดัสเชส  ดยุค  สาธารณรัฐวาราเรีย   อเลส...อเลส...ชื่อนี่มัน....  “ อย่าบอกนะว่า.....”   อย่าบอกนะว่าเรื่องในละครน่ะ.....


    นั่นน่ะ

    กลายเป็นจริง


    “ ใช่แล้วล่ะ  หลานคือลูกสาวของพี่ชายฉัน  บุตรีของพระราชาธิบดีอเลสโซ่ที่เจ็ด  แห่งราชวงศ์วาราเรียกับแม่ของหลาน   และตอนนี้  เพราะว่าพี่ชายของฉันไม่มีทายาทกับผู้หญิงอื่นเลย  หลานจึงเป็นเจ้าหญิงรัชทายาทอันดับหนึ่งของวาราเรียในเวลานี้ไงล่ะ” พูดเรื่องน่าพิศวงออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน  ท่านดยุคเพียงหันมาสบสายตากับท่านดัสเชสผู้เป็นภรรยาก่อนจะจับมือทั้งสองข้างของรวงข้าวด้วยความทนุถนอม

    “ ท่าน...ดยุค...”

    “ เราปรึกษากับแม่ของหลานแล้ว   ก่อนที่จะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้น  เราจะต้องรีบพาหลานเดินทางกลับบ้านไปถวายบังคมพระอัยกาให้ทันการแต่งตั้งองค์รัชทายาท   รวงข้าว  หลานจะต้องไปกับเราในเช้าวันพรุ่งนี้นะ”

    “ไม่ค่ะ!!!” ไม่ทันที่ฝ่ายนั้นจะพูดจบ  หญิงสาวก็พลันโพล่งออกมาด้วยถ้อยคำไม่สุภาพที่สุดในชีวิต   “ หนุไม่ใช่รัชทายาทอะไรนั่นนะคะ!  หนูชื่อรวงข้าว   แสนประเสริฐ   เป็นคนไทย  และก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดนะคะ!   จะไปเป็นเจ้าหญิงรัชทายาทของประเทศทางยุโรปอย่างวาราเรียได้ยังไงกัน!!!” เข้าเรียนชั้นอนุบาลอย่างธรรมดา  ศึกษาเล่าเรียนอย่างธรรมดา  มีเพื่อนฝูง  มีคนรักที่ถึงขนาดสัญญาว่าจะอยู่ร่วมกันไปตลอดชีวิตอย่างธรรมดาสามัญ    นั่นน่ะ.....นั่นน่ะ.....

    “ แม่ขอโทษจ้ะ  แม่ขอโทษ...” ร้องไห้ออกมาอีก  และรีบโผเข้ากอดลูกสาวอีกครั้ง  “ แม่ขอโทษที่ปิดบังลูก  ก็   ก็แม่นึกว่า”

    “ นึกว่าชื่อของเธอจะถูกขับออกจากราชวงศ์แล้วน่ะสิ”  ท่านดัสเชสเอ่ยขึ้นบ้าง  และนั่นก็ทำให้หญิงสาวต้องมองอีกฝ่ายด้วยความพิศวงงงงวยอีกครั้ง

    “ ชื่อของหนูรึคะ”

    “ ใช่จ้ะ  ชื่อจริงของเธอ   เจ้าหญิงรีซาเนีย  โดมานิเอล  แห่งวาราเรีย  นี่เป็นพระนามที่ได้รับการบันทึกลงในพระสุพรรณบัฏ   และเสด็จพี่  ฉันหมายถึงสมเด็จพระรามาธิบดี  ก็เป็นผู้ที่ขอให้เสด็จพ่อยังคงบรรจุชื่อเธอไว้ในฐานะผู้สืบสันตติวงศ์อันดับหนึ่งด้วย”

    “ ชื่อของหนู......”

    “ ไม่ว่าเธอจะยอมรับหรือไม่   หรือคิดที่จะปฏิเสธสิทธินี้  ฉันกับท่านดยุคก็ขอแนะนำให้เธอไปเยือนวาราเรียสักครั้ง   เธอคงไม่คิดอยากให้แม่ของเธอต้องถูกต่อว่าจากพระอัยกาว่าเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกอย่างผิดๆหรอกนะ” ปรายตามองไปยังหญิงผู้โศกเศร้า  และหันกลับมามองเข้าไปในแววตาของรวงข้าวอีกครั้ง  ท่านดัสเชสนั้นรู้แน่อยู่แก่ใจว่า  หากผู้หญิงคนนี้ไม่กลับไปยังวาราเรีย   ราชสมบัติก็อาจมีอันต้องตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย  ไม่ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลัง  วาราเรียก็จำเป็นที่จะต้องได้ตัวเจ้าหญิงรัชทายาทกลับไปเป็นอันดับแรก

    “ แต่ว่าหนู....ไม่รู้จักวาราเรียเลยนะคะ....” ไม่รู้จัก  ไม่เข้าใจ   และไม่ได้อยากรับรู้เรื่องวุ่นวายอะไรเลย

    “ ก็แค่ไปด้วยกันเท่านั้น   ถึงตอนนั้นหากพระอัยกาหรือประชาชนไม่ชอบใจเธอจนชื่อเธอถูกถอดออกจากพระสุพรรณบัฏ  ถึงตอนนั้นแม่ของเธอก็จะไม่เป็นที่ครหานะจ๊ะ” ท่านดัสเชสยังคงกล่อมต่อไป  ใบหน้าที่ซีดเผือดของหญิงสาวที่ชื่อว่ารวงข้าว  ท่าทีเก้ๆกังๆไม่ประสีประสา  ประกอบกับใบหน้าแดงก่ำของฝ่ายอดีตพระชายาของพระราชา  ไม่ว่าจะดูอย่างไรฝ่ายของพวกเธอที่เป็นเชื้อพระวงศ์ก็เป็นฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่าอย่างปราศจากข้อสงสัย   “ ว่ายังไงจ๊ะ”

    “ เอ่อ....... แต่ว่า......” รวงข้าวยังคงอ้ำอึ้ง  เธอควรจะเลือกอะไร  ประเทศที่ไม่รู้จัก  ความวุ่นวายที่ไม่คุ้นเคย  แม้แต่พ่อที่ไม่รู้จักหน้าตา    ถ้าต้องเลือกล่ะก็   เธอก็ไม่มีวันเลือกทางนั้นหรอก  แต่ว่า  แต่ว่า...แม่ล่ะ  แม่ที่ร้องไห้ไม่ยอมหยุดนี่ล่ะ  แล้ว...แล้ว  แต่ถ้าเธอเลือกล่ะ  แล้ว....แล้ว.....วารินล่ะ  

    “ รวงข้าวจ๊ะ...” นั่นคือเสียงของแม่ที่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

    “ แม่คะ....” ทำไมถึงรู้สึกไม่ดีเอาเสียเหลือเกิน

    “ ถ้าลูกไม่ไปวาราเรีย.....แม่....ก็ไม่มีวันยอมรับเรื่องลูกกับวารินหรอกนะ” สิ้นเสียงของมารดา  นั่นก็คือวินาทีที่รวงข้าวรู้แน่แก่ใจแล้วว่าแม่ของเธอ....


    แม่

    เลือกอะไร


        เช้าวันต่อมานั้นเองที่รวงข้าว  หรืออีกชื่อหนึ่งที่ท่านดยุคกับท่านดัสเชสเรียกขานยามนี้ก็คือ  “รีซาเนีย” จำเป็นต้องเก็บข้าวของเตรียมตัวเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกในชีวิต    เธอเหลียวมองห้องนอนของตนเองพลางทอดถอนหายใจ  ห้องของเธอที่มีเพียงเตียงเดี่ยว และโต๊ะหนังสือที่ทำจากพลาสติกราคาถูก   หนังสือจำนวนมากที่ถูกวางอยู่บนชั้นวาง  หนังสือแต่ละเล่มที่เธอเก็บเงินซื้ออย่างยากลำบาก  ภาพถ่าย  อัลบั้มรูปที่เธอถ่ายคู่กับแม่   กับเพื่อนฝูง และก็..

    “ วาริน....” หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและกดหาอีกฝ่าย  มีเสียงต่อสัญญาณอยู่ไม่กี่วินาทีก่อนที่จะเป็นเสียงของชายหนุ่มที่แว่วมาจากอีกทาง  “ ว่างมั้ยจ๊ะ  ฉัน...มีเรื่องจะพูดด้วย”   เสียงที่ดังผ่านมานั้นตอบรับช้าๆและค่อนข้างเนิบนาบอย่างผิดปกติวิสัย  

    “ วาริน...ฉัน...จะไม่อยู่ไทยสักพักนะจ๊ะ  ช่วงนี้อาจจะติดต่อกันไม่ได้  จ้ะ....จะไปเยี่ยมญาติจ้ะ” รวงข้าวบอก  แต่เธอกลับไม่ได้พยายามอธิบายเหตุผลที่ดีให้กับชายหนุ่มฟัง    เธอไม่อยากโกหก  ไม่อยากโกหกคนๆนี้   แค่เพียงบอกปฏิเสธไม่เจอหน้า   แค่เพียงต้องโกหกว่าจากไปไกลเพื่อเยี่ยมเยียนญาติมิตรชั่วครั้งชั่วคราว  เพียงเท่านี้...ก็รู้สึกเจ็บปวดเกินพรรณนาเสียแล้ว

    “ ฉันจะรีบโทรหานะ   จะรีบโทรหาทันทีที่กลับมาเลยล่ะ” จะรีบโทรหา  จะรีบไปหา   จะให้วันที่เราสองคนได้อยู่ด้วยกันดั่งคำสัญญามาถึงในเร็ววัน   วางโทรศัพท์ลงไปแล้ว  และก็หลับตาลงพร้อมกับใบหน้าที่หมองเศร้า   

    เวลาผ่านไปชั่วอึดใจหนึ่งก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจะค่อยๆลืมขึ้นมองหนังสือที่ยังอ่านค้างไว้บนโต๊ะอีกครั้ง   นาฬิกาบอกเวลาแปดโมงเช้า   ได้เวลา....ที่จะต้องไปแล้ว   หยัดกายขึ้นและเดินไปที่ประตูห้อง   ขยับกรอบแว่นและเมียงมองรอบห้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะค่อยๆเผยอยิ้มออกมาเล็กน้อย  หากจะมีสิ่งใดที่สูญเสียไปไม่ได้ในชีวิตล่ะก็   สิ่งเหล่านี้เท่านั้น....ที่จะไม่ยอมปล่อยไป  “  จะรีบกลับมานะจ๊ะ  ไม่นานหรอกจ้ะ  ”


    ใช่

    ฉันไม่เสียเวลา

    อยู่นานนักหรอก


        วารินวางสายโทรศัพท์ไปพร้อมกับใบหน้าตึงเครียด  แม้ใจหนึ่งจะนึกยินดีที่เขาไม่ต้องเป็นฝ่ายปฏิเสธ  แต่ก็เศร้าใจราวกับว่าเขานั่นล่ะที่เป็นฝ่ายหลอกใช้   หลอกลวง  และใช้ธุระของอีกฝ่ายให้เป็นประโยชน์กับตนเอง  เขาต้องการพบรวงข้าว  ต้องการพบหญิงสาวคนที่แสนสำคัญ  คนที่เขาสัญญาว่าจะปกกป้อง  จะอยู่เคียงข้าง    จะได้ใช้ชีวิตร่วมกัน  แต่.....

    “ ลูกคงรู้นะจ๊ะว่าแม่....เศร้าเสียใจแค่ไหน...” เจ้าของคำพูดนั่นหาใช่ใครอื่นนอกจากแม่ของเขาที่ตอนนี้กำลังนั่งจ้องหน้าเขาเขม็งอยู่ในห้องครัว   ที่ประตูหน้าบ้านผู้ชายสามสี่คนในชุดสูทสีดำยืนรออยู่แล้ว

    “ คุณแม่ก็น่าจะเลิกถือมีดอยู่แบบนั้นได้แล้วล่ะครับ  ยังไงซะ...ผม....ผมก็ต้องไปวาราเรียอยู่แล้ว” ตีหน้าเศร้า  ความเจ็บปวดท่วมท้นประดังเข้ามา  ใครจะรู้ล่ะว่าเมื่อวานสิ่งที่รอคอยเขาหลังจากกลับมาถึงบ้านกลับกลายเป็นมารดาที่คว้ามีดขึ้นมาหมายที่จะฆ่าตัวตายตามพ่อที่เขาไม่เคยเห็นหน้าไป  ความตายที่ประชดประชันจากคามผิดหวังที่บุตรชายเพียงคนเดียวอาจนำพามาให้

    “ ก็ถ้าลูกตัดสินใจแบบนั้น  แม่  ก็มีหน้า  ที่จะไปสู้พ่อเขาในปรโลกแล้วล่ะจ้ะ” แย้มยิ้มให้อย่างอ่อนโยนพลางชายตาแลไปยังคนที่มารับตัวเธอกับลูก

    “ ครับ...แต่ผมคงไม่ดีใจหรอกถ้าแม่จะรีบไปหาคุณพ่อน่ะ   ดังนั้น....วางมีดลงนะครับ ” ถอนหายใจยาวและเอื้อมมือกอบกุมมือที่เย็นชืดของมารดา   ก่อนที่จะชายตามองไปยังชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาหาเขา

    “ คุณชายครับ   ตอนนี้รถมาถึงแล้ว   เราคงจะต้องเดินทางกันแล้วล่ะครับ”  ชายผู้นั้นบอกพลางค่อยๆเสยเส้นผมสีบลอนด์ทองของตนเองให้เรียบแปล้อีกครั้ง  รอยยิ้มมาดมั่นนั้นปรากฏอยู่บนใบหน้าคมสันและดวงตาสีมรกตเข้มนั้นก็แฝงแววเจ้าเล่ห์ไว้อย่างเจนจัดชัดเจน

    “ ผมนึกว่าเราจะไปกันตอนเที่ยงเสียอีก  เครื่องออกตอนบ่ายไม่ใช่รึครับคุณริชมอน ” เรียกขานนามของชายผู้นั้น  ชายผู้ซึ่งมาที่นี่พร้อมกับเรื่องร้าย และพามาเพียงความเจ็บปวดที่แสนเศร้า    สำหรับวารินเขานึกอะไรไม่ออกอีกแล้ว  ถ้าไม่ไปวาราเรียแม่ของเขาก็คงตรอมใจตาย  ไม่สิ   อาจจะฆ่าตัวตายตามพ่อของเขาที่ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกไปตามๆกัน   เขาไม่ใส่ใจหรอกว่าพ่อที่ไม่เคยพบหน้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ประเทศที่ไม่เคยไปเหยียบย่างจะสับสนวุ่นวายแทบล้มประดาตายแค่ไหน   แต่กับแม่....แต่กับแม่.....จะให้เขาใจร้ายเห็นแก่ตัวได้อย่างนั้นน่ะหรือ

    “ เครื่องออกตอนบ่ายก็จริง  แต่ผม   อยากจะพาคุณชายไปรับประทานอาหารกลางวันกันก่อนน่ะครับ  ผมคิดว่าเรามีเรื่องที่ต้องคุยกันมากก่อนที่จะไปถึงวาราเรียนะครับ   คุณชายวาซ  ซี  เอสต้า” ยื่นมือให้กับอีกฝ่ายเพื่อสัมผัสแสดงไมตรีจิต   และแน่นอนว่าชายหนุ่มผู้ถูกเรียกขานว่า  วาซ  ซี  เอสต้าก็ตอบรับ

    “ ยินดีเช่นกันครับ....ท่านเลขาธิการพรรคเสรีประชาธิปไตย” ก้มหน้าลงและปฏิเสธที่จะสบสายตา  รู้สึกได้ถึงรอยยิ้มเยาะที่เมียงมองมา  หากแต่เขานั้นย่อมไร้ทางเลือก  ไม่มีอะไรให้เลือก  ไม่มีอะไรให้สามารถเจ็บแค้น  แค่ไปที่นั่นแล้วถูกถีบหัวส่งกลับมา   หากทำแค่นั้นแล้วมารดาของเขาพอใจล่ะก็  นั่นน่ะ.....


    ผมน่ะ

    จะทำเพื่อแม่


        ประตูรถเบนซ์สีดำปิดลงพร้อมกับวารินที่ก้าวขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังเคียงข้างกับมารดา   ชายหนุ่มตัดสินใจแน่วแน่ที่จะทำในสิ่งที่ตนตั้งใจให้ประสบผล  เขาใช้นิ้วมือขยับกรอบแว่นเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆมองประตูบ้านอีกครั้ง   ริมฝีปากค่อยคลี่ยิ้มยามที่หูนั้นสดับฟังเสียงบทสนทนาระหว่างมารดากับคุณริชมอนสลับกัน   ค่อยๆพึมพำออกมาเล็กน้อยยามที่รถค่อยวิ่งออกไปอย่างเชื่องช้าหากแต่คลับคล้ายย้ำเตือนกับตนเอง

    “ เดี๋ยวก็กลับมานะครับ  ไม่นานหรอก”


    ผมน่ะ

    ไม่เสียเวลา

    อยู่นานนักหรอก


    จบตอน


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×