ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คู่ชีวิตลิขิตฟ้า

    ลำดับตอนที่ #1 : เธอกับฉัน ณ วันที่ฟ้าใส

    • อัปเดตล่าสุด 26 พ.ค. 53


    คู่ชีวิตลิขิตฟ้า

    ตอนที่ 1 เธอกับฉัน ณ วันที่ฟ้าใส

     
    คนธรรมดา  คนธรรมดา   คนธรรมดาที่ใช้ชีวิตอย่างธรรมดาสามัญ  เกิดมาด้วยความรักของหญิงชายคู่หนึ่ง   เข้าเรียนอนุบาลตอนอายุสามขวบ   เข้าเรียนชั้นประถมตอนอายุหกขวบ  เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนอายุสิบสามปี  เรียนอย่างขยันขันแข็งเพื่อสอบเอนทรานซ์ให้ติดเข้ามหาวิทยาลัย  เรียนต่ออีกสี่ถึงหกปี  เรียนจบ  หางาน  แต่งงาน  มีลูก  รอเกษียณ   และก็..... ตายซะ 

    นั่นล่ะ

    ชีวิตคน


    “ ในที่สุดก็จะเรียนจบสักทีนะ” ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังบิดขี้เกียจและยิ้มร่าให้กับวันใหม่ของเขา  เดินลงจากบันไดชั้นสองของบ้านทาวน์เฮาส์ราคาไม่เกินสองล้านบาทเศษในย่านชานเมืองหลวง  เดินผ่านคอมพิวเตอร์ที่เปิดโหลดบิทไว้ทั้งคืนจนฮาร์ดดิสใกล้เต็มเข้าไปทุกทีก่อนจะโผล่เข้าไปในห้องครัวตามเสียงของวิทยุที่แว่วมาเป็นปกติวิสัย

    “ อรุณสวัสดิ์ครับคุณแม่!” เยี่ยมหน้าเข้าไปและลอบกอดมารดาไว้จากด้านหลัง ขณะที่ฝ่ายนั้นหัวเราะคิกคักก่อนจะเทไข่ดาวลงบนจานเปล่าที่วางไว้ข้างไฟฟ้า

    “ ทำเป็นเด็กไม่รู้จักโตไปได้นะ วาริน  กำลังจะเรียนจบแล้วแท้ๆนะ” ว่าพลางก็เตือนสติลูกชายคนสำคัญพร้อมกับรอยยิ้ม 

    “ นี่ๆๆๆ  ต้องบอกว่านี่เป็นเรื่องที่แม่ต้องทนไปตลอดชีวิตต่างหาก  เพราะถึงอีกสิบปีผมเป็นพ่อคนแล้ว ผมก็จะอ้อนแม่แบบนี้อยู่ดีนั่นล่ะ” วารินยิ้มให้และต่างคนต่างก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะอาหารในห้องครัวเล็กๆนั่นเอง 

    “ ปากหวานจริงๆนะลูกชายฉันนี่” หัวเราะเบาๆพลางมองลูกชายเพียงคนเดียวด้วยสายตาชื่นชม  ลูกชายวัยยี่สิบสามปีที่ไม่ว่าจะมองยังไงในสายตาคนเป็นแม่ก็ช่างรูปงามนามเพราะอย่างไม่ต้องสงสัย  รูปร่างสมส่วนสะโอดสะอง  เส้นผมสีดำขลับ  นัยน์ตาก็เป็นสีดำสนิท แม้จะโดนเจ้าเลนส์แว่นน่ารำคาญนั่นบดบังไว้ก็ตามเถอะ   ไม่นับโครงหน้าทรงรีได้รูปไม่มีอ้วนเกินหรือว่าเจ้าเนื้อเกินเลยสักนิด  ซ้ำยังเป็นชายหนุ่มตามมาตรฐานชายไทยอย่างที่สมควรจะเป็น  รูปหล่อ มารยาทงาม  กตัญญูรู้คุณคน  และแน่นอนรักครอบครัว!  แค่คิดว่าเธอจะต้องยกลูกชายให้กับผู้หญิงธรรมดาๆสักคนที่กำลังจะผ่านเข้ามาในชีวิตก็ให้พาลรู้สึกแสนเสียดายเหลือเกิน

    “ รวงข้าว ก็ต้องว่าอย่างนั้นแน่  นี่ถ้าแม่ของรวงข้าวกับแม่อยู่ด้วยกันล่ะก็  ผมก็จะอ้อนเสียทั้งคู่เลยล่ะครับ” หัวเราะเบาๆอย่างแสนสุภาพยามที่กัดกร้วมไข่ดาวเข้าปากและขยับแว่นตาเล็กน้อย  หารู้ไม่ว่าประโยคนั้นของเขาได้ทำร้ายจิตใจของผู้เป็นมารดาไปแค่ไหนแล้ว 

    “ รวงข้าว....นี่ตกลงว่าลูกจะ...” อา....ลูกชายฉัน  เธอได้แต่วิงวอนอยู่ในใจขอให้สิ่งที่คิดไว้นั้นไม่เป็นจริง

    “ ครับ  ผมกะจะขอรวงข้าวแต่งงานเร็วๆนี้ล่ะ” ยิ้มกริ่มไร้พิษภัย  สู้อุตส่าห์รอมาสี่ปีตั้งแต่แรกย่างเข้ามหาวิทยาลัย  นั่นคือรักแรก  รักเดียว  รักที่เฝ้ารอ   ลองคิดดูสิ  ครอบครัวแสนสุขที่มีพ่อแม่  แม่ยายของทั้งสองฝ่าย  ลูกๆน่ารักๆ  ทำงานกินเงินเดือนเก็บเงินรอเกษียณ  ไปเที่ยวนอกบ้านในวันเสาร์  นอนอยู่บ้านช่วยลูกทำการบ้านในวันอาทิตย์  ทำประกันสังคมและประกันชีวิตกันการเจ็บไข้ได้ป่วย  ไม่ลืมว่าจะต้องซื้อหน่วยลงทุนความเสี่ยงต่ำเพื่อลงทุนประกันอนาคตลูก  ชีวิตที่ธรรมดา  แต่ว่า....เพอร์เฟ็ค

    “ อา....แล้วลูกคุยกับหนูรวงข้าวแล้วรึจ๊ะ” 

    “ หึๆๆๆ  รวงข้าวต้องเห็นด้วยกับผมแน่นอนครับ  ไม่เป็นปัญหาหรอก  บ้านที่จะอยู่หลังแต่งน่ะ ผมกับรวงข้าวจะเอาทาวน์เฮาส์ของเราสองครอบครัวเข้าแบงค์กู้เงินซื้อบ้านสักหลังครับ  เอาสักสี่ห้องนอน ผมกับรวงข้าว  แม่กับคุณป้าคนละห้อง  ส่วนลูกสาวกับลูกชายผมก็นอนห้องเดียวกันได้นี่เนอะ”  ยิ้มกริ่มไร้พิษภัยพลางวาดฝันถึงอนาคตที่สวยหรูเรียบง่ายและเลิศเลอ  
    “ นั่นสินะจ๊ะ” ผู้เป็นมารดาพยักหน้ารับและจำเป็นต้องเห็นด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้  เธอไม่ชอบขัดใจลูก  ไม่ชอบเห็นลูกทุกข์ใจลำบาก    อะไรที่พอจะตามใจได้ก็ตามใจ   อย่างไรเสียในเวลานี้ก็ไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องขัดใจกันให้กินแหนงแคลงใจเสียหน่อย “ ก็ถ้าลูกเลือกแบบนั้น  ก็ตามใจลูกเถอะนะ วาริน”  อย่างน้อยก็คงการันตีตัวเองได้ว่า  ลูกสะใภ้ของแม่ก็เป็นคนดีล่ะนะ

    คนดี

    คนธรรมดา

     
    “ เอาล่ะ งั้นผมไปล่ะนะครับ  วันนี้ผมกับรวงข้าวมีนัดกันตอนบ่าย  แต่จะกลับถึงบ้านก่อนหกโมงเย็นนะครับ” ยกมือไหว้ผู้เป็นมารดาอย่างแสนสุภาพอ่อนโยนมีสัมมาคารวะ   ก่อนที่จะฉวยเป้สีดำและวิ่งออกไปจากบ้านอย่างกระตือรือร้น  ทิ้งให้อีกฝ่ายได้แต่ทอดถอนใจนั่งมองท้องฟ้าใสผ่านกระจกต่อไปตามลำพัง

    “ อืม   เป็นวันที่ดีนะ”  ให้กำลังใจกับตนเองเช่นนั้นก่อนจะเอื้อมมือเร่งเสียงของวิทยุทันทีที่ได้ยินเสียงเพลงของนักร้องคนโปรด  เพลงภาษาอังกฤษของนักร้องสาวผู้มีสัญชาติเดียวกับสามีผู้ห่างไกล   เพลงที่ชวนให้รู้สึกสลดหดหู่เช่นเดียวกับที่ชวนให้รู้สึกปลดปลงกับชีวิตและสังขาร  “ หรือจะเพราะฉันเปิดเพลงนี้ให้วารินฟังบ่อยไปกันนะ”  ทอดถอนใจและจินตนาการชีวิตหลังจากนี้อีกสิบปีตามที่พ่อลูกชายสุดที่รักวาดหวัง  กรุงเทพฯเมืองฟ้าอมร  ลูกชายลูกสะใภ้   หลานชายหลานสาว  ส่วนพวกเธอแม่ๆ.....

    “ อา....ต้องนุ่งขาวห่มขาวเข้าวัดสินะ....” ถอนหายใจเฮือกใหญ่  หากแต่ทันใดนั้นเองที่หูพลันได้ยินเสียงกริ่งหน้าประตูบ้าน   วารินมีกุญแจจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมากดกริ่งรบกวนเธออีกครั้ง  แต่เธอก็แน่ใจว่าตนเองไม่มีทั้งเพื่อนบ้านหรือว่าแขกที่ไหนเช่นกัน

    “ หรือว่าจะโดนทวงหนี้....” จะว่าไปค่างวดมอร์เตอร์ไซด์ของเดือนนี้เธอจ่ายไปหรือยังนะ  คิดซ้ำไปซ้ำมาถึงบรรดาหนี้ของสถาบันการเงินในระบบ  แต่ก็เดินไปเปิดประตูเพราะอย่างน้อยก็วางใจได้ว่าเธอคงไม่โดนเจ้าหนี้ทุบหัวลากไปไหนหรอก

    “ สวัสดีครับ  มาดาม” นั่นคือเสียงของชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสวมแว่นตาดำที่ราวกับหลุดมาจากภาพยนตร์ฮอลีวู้ด

    ความธรรมดาเรียบง่ายน่ะ

    มันมีอยู่จริงรึเปล่านะ


     วาริน   รุ่งรืองกิจ  เป็นคนดี  อย่างน้อยเขาก็เป็นชายหนุ่มที่ดีจนแทบไม่มีใครเคยว่ากล่าวเขาในแง่ร้าย  ผ่านชีวิตชั้นอนุบาลมาโดยไม่เคยมีเรื่องไปมากกว่าการร้องไห้มากจนเกินไปในตอนที่รู้ว่ากลายเป็นลูกกำพร้าพ่อ   เป็นนักเรียนประถมที่แสนสุภาพนั่งหน้าชั้นอย่างไม่เคยถูกตีแม้แต่หนเดียว   จบมัธยมมาอย่างสามัญชนคนธรรมดาด้วยคะแนนกลางๆ   เข้าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยคะแนนกลางๆ   เรียนคณะที่ใช้คะแนนกลางๆ   เจ้าตัวนั้นจำได้ว่าตอนที่เลือกเรียนสาขาภาษาต่างประเทศแม่ของเขารู้สึกซาบซึ้งมากจนไม่พูดด้วยไปสามวัน  แม้ว่าจะไม่เข้าใจเลยก็เถอะว่าทำไม  ก็ในเมื่อการเรียนภาษาต่างประเทศน่ะ เป็นสาขาที่กว้างขวางมากพอแก่การหางานทำ  เป็นล่ามก็ได้  เป็นนักแปลก็ได้  หรือถ้าต้องการความมั่นคงมากกว่านั้นก็ไปสมัครรับราชการกินเงินเดือนรับเบี้ยเลี้ยงเช้าชามเย็นชามก็ยังได้   แต่ไม่ว่าใครจะว่ายังไง  วารินก็เชื่อว่าชีวิตเขามีทุกอย่างที่สงบสุข  และที่ถือว่าโชคดีแจ็คพ็อตแตกสุดๆก็เมื่อเขาได้พบกับ....เทพธิดาของเขา

    “ วารินจ๊ะ ทางนี้จ้า” บ่ายวันนั้นหลังจากที่เข้าเรียนวิชาสุดท้ายในชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยและรับฟังคำอวยพรจากอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ชายหนุ่มก็รีบเก็บข้าวของวิ่งสุดฝีเท้ามาพบกับเพื่อนหญิงที่ตนเฝ้านับวินาทีรอ    ตอนนี้หญิงสาวกำลังโบกมือเรียกเขาอยู่ด้านหน้าตึกเรียนรวมขนาดสี่ชั้นของมหาวิทยาลัย  เธอยืนอยู่ที่นั่นเพียงลำพังในอ้อมแขนของเธอคือหนังสือสามสี่เล่มที่วารินเชื่อว่าเธอเพิ่งจะยืมมาจากห้องสมุดนั่นเอง

    “ รวงข้าว! ” แทบจะจับมือของหญิงสาวไว้ด้วยความทะนุถนอมยามที่ได้เห็นหน้ากัน  “ ขอโทษที่ผมมาสายนะครับ ” 

    “ ไม่เป็นไรจ้ะ ก็อุตส่าห์เป็นคาบสุดท้ายทั้งทีนี่นา ” คาบสุดท้ายในชีวิตนักศึกษา  และคงเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้พบกันในฐานะของนักศึกษาด้วย 

    “ ไม่ได้ครับ! ปล่อยให้ผู้หญิงรอน่ะเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดเลยนะ! ” วารินยืนยันและสิ่งที่ตอบกลับคำพูดที่จริงใจของเขามาก็คือรอยยิ้มงดงามของอีกฝ่าย    

    “ จ้าๆ ” รับคำพร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆและรอยยิ้ม 

    เช่นเดียวกับวารินที่กำลังปลาบปลื้มกับการเดินคู่กับคนรักของเขาไปตามทางเดินนอกอาคารเรียนในเวลานี้    รวงข้าว  แสนประเสริฐ   ก็กำลังมองกลับไปยังพ่อหนุ่มคนรักด้วยความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจเช่นกัน  เส้นผมสีน้ำตาลเข้มของเธอถูกรวบเป็นหางม้า ดวงตาสีดำกลมโตถูกปกปิดด้วยแว่นตาหนาไม่ต่างกับคนที่เดินอยู่เคียงกันสักเท่าไหร่  

    “ทีหลังถ้าคิดว่าจะสายก็โทรศัพท์มาบอกได้นะจ๊ะ   ถ้าวิ่งกระหืดกระหอบมากเกินไปจะดูไม่เรียบร้อย  คุณแม่ของวารินต้องไม่ชอบแน่ ”

    “ อา  นั่นสิ  ผมนี่ไม่รอบคอบเลย ” ยิ้มกลับให้และรับหนังสือของหญิงสาวมาใส่ในกระเป๋าเป้ของเขา  เขามีความสุข  มีความสุขกับทุกคำตำหนิและมีความสุขกับทุกคำตักเตือนของเธอ  รวงข้าวเป็นคนเรียบร้อย  และก็สุภาพในทุกจังหวะการดำรงชีวิตของเธอ  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็อย่างเช่นการที่เสื้อชุดนักศึกษาของเธอถูกระเบียบทุกระเบียดนิ้ว   ตั้งแต่พบกันมาหลายปี   วารินไม่เคยเห็นรวงข้าวสวมเสื้อรัดรูป  ไม่เคยเห็นเธอสวมกระโปรงสั้นขึ้นมาเหนือหัวเข่า  ไม่เคยเห็นเธอสวมรองเท้าแตะกับชุดนักศึกษา  ไม่เคยเห็นเธอปล่อยผมรุ่งริ่งรุงรังเวลาต้องไปพบหน้าอาจารย์  แน่นอนว่าไม่เคยเห็นเธอพูดจาสบถด่าหรือตะคอกใส่ใครเลยสักครั้ง   นอกจากในวิชาพลศึกษา  เขาแทบจะไม่เคยเห็นเธอวิ่งเลย   คำพูดที่ว่ากุลสตรีไทยน่ะ  ยังคงหาได้จากผู้หญิงตรงหน้าเขาคนนี้  ผู้หญิงที่เขาปรารถนาที่จะร่วมชีวิตด้วยคนนี้

    “ วันนี้ผมไม่ได้บอกคุณแม่ว่าเรากำลังจะไปดูผลการสัมภาษณ์งาน  บอกแค่ว่ามีนัดกับรวงข้าวน่ะครับ  ” พูดขึ้นราวกับกำลังจะสารภาพบาป  และแทนคำตอบปลอบใจกลับเป็นมือของหญิงสาวที่ลูบศีรษะของชายหนุ่มเบาๆ

    “ ไม่ดีนะจ๊ะ โกหกคุณแม่แบบนั้น” การโกหกนั้นไม่ดี  และจะไม่ดีอย่างที่สุดหากว่าเราโกหกเช่นนั้นกับบุพการีของพวกเราเอง  

    “ ผมกลัวว่าท่านจะพลอยตื่นเต้นไปด้วยนะสิครับ” ยิ้มอย่างขวยเขินแล้วก็สบตากันแวบหนึ่ง  ชั่วพริบตาที่ชายหนุ่มหญิงสาวต่างคนต่างหน้าขึ้นสีแดงเรื่อด้วยความเขินอาย

    “ เอ่อ...นั่นสินะจ๊ะ” รวงข้าวหลบสายตาเล็กน้อย  เธอแว่บมองใบหน้าคมคายของชายหนุ่มด้วยความประหม่าระคนยินดี   วารินเป็นชายหนุ่มที่พิเศษกว่าใครในสายตาของเธอ  เขาซ่อนใบหน้าที่งดงามไว้ใต้กรอบแว่น  หลบสายตาใครต่อใครด้วยกระจกใสของเลนส์แว่นตา  แต่ไม่ใช่เพียงแค่หน้าตาหรอก  วารินเป็นคนสุภาพ   รวงข้าวเชื่ออย่างสนิทใจว่าวารินนั้นเป็นคนสุภาพไปจนถึงเนื้อแท้จิตวิญญาณของเขาทีเดียว   สี่ปีที่คบหาพูดคุย  แม้แต่ตัวของวารินที่คนภายนอกมองเข้ามา  เขาคือผู้ชายที่สมควรได้รับการเรียกขานว่าเป็นสุภาพบุรุษโดยแท้  ไม่เคยขาดแคลนรอยยิ้ม  ช่วยเหลือผู้หญิง  เด็ก  คนชรา  และเคารพนบน้อมผู้หลักผู้ใหญ่   มีค่อยมีปากเสียงและยังมีความรับผิดชอบสูง  หากจะมีใครที่เธอหวังให้ยืนอยู่เคียงข้าง  ก็จะมีแต่ผู้ชายคนนี้เท่านั้น  

     ชายหนุ่มกับหญิงสาวเดินออกจากรั้วมหาวิทยาลัยไปด้วยกัน  พวกเขาเดินไปตามถนนที่มากไปด้วยผู้คนของเมืองหลวง  หลากหลายผู้คน  หลากหลายความคิด  เรื่องราวต่างๆมากมายของคนที่เดินสวนกันไปมา  รู้หน้า  ไม่รู้ใจ  วุ่นวายเบียดเสียด  แต่ก็ต่างคนต่างอยู่   ทั้งวารินและรวงข้าวนั้นมองไปยังสภาพแวดล้อมที่ล้อมรอบพวกเขาอยู่  มันเป็นกิจวัตร  มันเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดา  เด็กวัยรุ่นที่แต่งตัวตามแฟชั่นร่วมสมัยที่กำลังหัวเราะกันอยู่  คนวัยทำงานที่เดินเกาศีรษะด้วยความว้าวุ่นใจ  คนแก่เฒ่าที่ยามนี้ปลดเกษียณเดินไปมาเพื่อรื่นเริงกับทุกโมงยามของชีวิต  ผู้คนมากมายที่กอปรเป็นสังคมนี้  เป็นเมืองนี้  เป็นโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่นี่   

    “ ผมกำลังหวังว่าจะได้งาน ” วารินเริ่มประโยคสนทนาขึ้นก่อน  เขาหันมามองหญิงสาวพร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจที่ทำให้ฝ่ายผู้ถูกมองต้องร้อนผ่าวบนใบหน้า  “ จะได้มีงานทำทันทีที่เรียนจบ   จะได้มีเงินเลี้ยงดูแม่  และก็....”

    “ และก็อะไรคะ” รวงข้าวย้ำถามเขา  ใบหน้าของทั้งคู่ขึ้นสีเรื่อคลับคล้ายว่าจะต่างรู้ดีอยู่แล้วว่าประโยคถัดไปนั้นคืออะไร   

    “ อยากจะ...ดูแลเธอ ” พูดเสียงเบา  และเอื้อมคว้ามือซ้ายของหญิงสาวมาจับไว้เบาๆ 

    “ ...........................” ไม่มีคำตอบจากหญิงสาว  หากแต่เธอกลับปล่อยให้วารินจับมือเธอไว้เช่นนั้น  คนทั้งคู่เดินผ่านข้ามถนนบริเวณสี่แยกไปอย่างเงียบๆ  ตึกที่ติดประกาศรายชื่อคนที่จะได้งานในฐานะนักแปลหนังสือของสำนักพิมพ์ชื่อดังนั้นอยู่เบื้องหน้า   พวกเขาอาจจะผ่านทั้งสองคน  ตกทั้งสองคน  หรือคนใดคนหนึ่งผ่านแล้วอีกคนสอบตก  ในความธรรมดาของโลกใบนี้  มันเป็นได้ทั้งสองอย่าง  “ นี่ วาริน”

    “ ครับ” ตอบรับและมองไปยังบอร์ดติดประกาศ   ตอนนี้พวกเขาเดินเข้ามาใต้อาคาร  และอีกเพียงไม่กี่ก้าวพวกเขาก็จะเห็นรายชื่อพวกนั้น

    “ ฉันตกลงล่ะ”

    “!”

    “ ไม่ว่าใครในระหว่างเราจะสอบผ่านหรือได้งานรึเปล่า  แต่ฉัน....อยากให้เธอเป็นคนดูแลล่ะจ้ะ ” ยิ้มกริ่มและจับมือของชายหนุ่มไว้แทนคำตอบ  ณ  วินาทีนั้นที่แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนที่พลุกพล่านมากหน้าหลายตาเพียงใด  แต่ชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองกลับรู้สึกราวกับพวกเขานั้นอยู่กันแต่เพียงลำพัง  คำพูดง่ายๆ  คำสารภาพง่ายๆ  คำของ่ายๆ  แต่นี่ก็คือ....

    ชีวิต

    ที่เราพอใจ


    “ แต่ผมว่า   พวกเราไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกครับ” วารินพูดขึ้นหลังจากที่เขาขยับกรอบแว่น  ดวงตามองตรงไปยังบอร์ดรายชื่อ  ที่ตรงนั้น  ชื่อของเขาถูกพิมพ์ไว้เป็นลำดับสองของรายการ  ในขณะที่ชื่อของหญิงสาวผู้ซึ่งเขาขอรับรองดูแลนั้นอยู่เป็นอันดับแรก  “ เรามีเงินเดือนเดือนแรกไปให้พวกคุณแม่แล้วนะ”

    “ อา.....” มองรายชื่อประกาศผลการสอบเข้าทำงานแล้วก็ใบหน้าร้อนวูบวาบ   วันนี้เป็นวันดีอย่างไม่ต้องสงสัย  วันสุดท้ายของการเข้าห้องเรียน  วันที่ชายที่เธอชอบพอสารภาพถ้อยคำหวานหูแก่เธอ  และเป็นวันที่เธอมั่นใจว่าชีวิตนับต่อจากนี้ของเธอไปสักระยะหนึ่งจะไม่ลำบากจนเกินไปนัก  “ ดีใจจัง...”

    “ ผมด้วยล่ะ   ต้องฉลองนะรู้มั้ย”

    “ จ้า” ยิ้มให้กันและกัน  จับมือของกันและกัน  เดินไปเคียงข้างกัน   ชีวิตที่เดินมาถึงจุดที่พอเหมาะพอควรแก่การก่อร่างสร้างตัวของชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่ง  

    ความสุขที่ปรารถนา

    อยู่เพียงแค่เอื้อม


    “ ขณะนี้เป็นรายงานข่าวจากสาธารณรัฐวาราเรีย  เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาได้เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินพระที่นั่งตก  ณ  บริเวณเทือกเขาซาลเซีย   ขณะนี้ได้รับการยืนยันว่าผู้โดยสารนั้นได้แก่  สมเด็จพระราชาธิบดีอเลสโซ่ที่เจ็ด   และ  ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี  จีโอลินี่   เอสต้า   และคณะผู้ติดตามค่ะ  ข่าวความคืบหน้านั้นจะได้รายงานให้ทราบต่อไป ”

    เสียงรายงานข่าวเจื้อยแจ้วของผู้ประกาศข่าวที่ได้รับชมผ่านทางร้านขายโทรทัศน์มือสอง   ชื่อของประเทศที่เคยได้ยินแต่เพียงในข่าวและบนหน้ากระดาษ  ชื่อของคนที่แทบไม่รู้จักคุ้นหู   ทุกสิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้สำคัญไปกว่าความจริงที่ว่ายามนี้ทั้งวารินและรวงข้าวกำลังมองกันและกันและแย้มยิ้มให้แก่กันและกันอย่างมีความสุขเลยแม้แต่น้อย 

    “ อะ   โทรศัพท์! ” รวงข้าวพูดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเพลงมาร์ช La Marseillaise ดังขึ้น  เธอหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอขึ้นมา   และทันทีนั้นที่เสียงของมารดาร้องขอบางอย่างกับเธออย่างกะทันหัน    หากแต่ไม่ทันที่เธอจะได้บอกข่าวนั้นให้กับชายหนุ่ม  เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ทำนองเพลงของ Gloomy  Sunday  ของวารินก็ดังขึ้นเช่นกัน

    “ คุณ แม่หรือครับ   อะไรนะครับ   จะให้รีบกลับงั้นหรือครับ?  อะ  ครับๆๆๆ   แล้วเจอกันนะครับ” วางหูอย่างงงๆ  และไม่ค่อยเข้าใจนักว่าฝ่ายนั้นรีบร้อนในเรื่องอะไร

    “ ดูเหมือนจะต้องรีบกลับเหมือนกันสินะจ๊ะ” 

    “ ใช่  ไม่รู้ว่าอะไร  แต่ดูคุณแม่จะรีบร้อนอยู่” วารินตั้งข้อสังเกตก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ทุกอย่างดูจะไม่เป็นไปตามที่คิดเสียแล้ว  “ ต้องขอโทษจริงๆนะครับ  งั้นไว้พรุ่งนี้วันเสาร์   เรา...เอ่อ.... เจอกันหน่อยมั้ยครับ”

    “ ได้สิจ๊ะ” เอียงคอและยิ้มรับ  เธอรับหนังสือคืนจากวารินและต่างคนต่างก็โบกมืออำลาให้แก่กัน   ความหวังที่จะพบกันในวันใหม่   ความคิดคำนึงที่อิ่มเอิบที่จะร่วมชีวิตอยู่คู่เคียงกันนั้นพรั่งพรูงดงามหนักหนา   “ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะจ๊ะ  วาริน!”

    “ ครับ! เจอกันพรุ่งนี้ครับ  รวงข้าว!” 

    โบกมืออำลา

    เจอกันพรุ่งนี้

    เจอกันพรุ่งนี้

    พรุ่งนี้....ที่คงต้องมาถึงในสักวัน

       

    จบตอน

    นำมาลงระหว่างที่ยังเรียบเรียงเรื่องเก่าในสมองอยู่ค่ะ   

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×