สร้างคน สร้างชาติ สร้างที่นี่
การจะสร้างอะไรสักอย่างนั้นมีนัยและวิธีการของมันอยู่เสมอ ประเทศหนึ่งจะเจริญเติบโตได้ ก็ต้องสร้างอะไรมากมายหลายอย่าง จากประเทศที่ไม่ใครรู้จักจะสร้างความเกรียงไกร และวางรากฐานให้กับอนาคตของประชาชนได้ เป็นผู้มีอิทธิพลต่อนานาประเทศได้ ไม่ใช่เพียงเพราะว่า “ปัจจุบัน” แต่มันเป็นผลที่เกิดมาจาก “อดีต” ต่างหากเล่า ปัจจุบันคือความฝันของเมื่อวันวานไม่ใช่หรืออย่างไร?
กรุง โรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว สหราชอาณาจักรกว่าจะเป็นดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดินก็ต้องผ่านยุคสงคราม กลางเมืองและการถูกต่างชาติกดขี่ข่มเหงมาแล้ว ญี่ปุ่นกว่าจะเป็นประเทศชั้นนำทางอุตสาหกรรมก็เคยประสบยุคข้าวยากหมากแพง มา จีนกว่าจะลืมตาอ้าปากอีกครั้งก็ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมการเมือง ตั้งเท่าไหร่ หรือต่อให้สหรัฐอเมริกาเองก็เคยผ่านการนองเลือดจากสงครามเลิกทาสและการ ประกาศอิสรภาพมาแล้ว ยังมีตัวอย่างของฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน แคนาดา สิงคโปร์ ไตหวัน หรือกระทั่งเกาหลีใต้ มากมายหลายประเทศนัก
ถ้า เราจะสรุปว่า “ไม่มีประเทศไหนที่ไม่เคยเจอมรสุมวิกฤต” ก็ต้องถือว่าถูกต้อง หลายครั้งที่ล้มๆลุกๆ แต่ก็ต้องตั้งตัวให้ได้โดยไม่พ่ายพังลงไป
ประเทศไทยของเราก็ เช่นกัน เราผ่านยุคสมัยที่ต้องประกาศอิสรภาพจากขอม ยุคสร้างอาณาจักรที่เกิดจากความเสียสละของวีรบุรุษในเงามืดอย่างพ่อขุนผา เมือง ยุคของการสร้างความเป็นปึกแผ่นของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ยุคของการศาสนาของพญาลิไทย ข้ามไปถึงยุคบุกเบิกอย่างพระเจ้าอู่ทอง พระบรมไตรโลกนาถ พระนเรศวรมหาราช พระนารายณ์มหาราช พระเจ้าตากสินมหาราช เรื่อยมาจนถึงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่รัชกาลที่หนึ่งเรื่อยมาบ้านเมืองนี้ก็ต้องรบราฆ่าฟันกับมรสุมจากภาย ในภายนอกแทบไม่เคยหยุดพัก
หากจะเปรียบเทียบที่อายุ นับจากกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีประเทศไทยของเราอาจจะไม่ได้สูงวัยเช่นจีน หรือญี่ปุ่น แต่หากเทียบที่ประสบการณ์ เราเองก็เป็นตัวละครในเวทีโลกที่เจนศึกไม่แพ้ใคร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าใครหรืออะไรจะเข้ามาก็สามารถข้ามฝ่าฟันไปจนได้
ณ จุดที่พวกเรายืนอยู่นี้ก็คือ “ผล” จากอดีต ที่บรรพบุรุษของเราได้สร้างสรรค์มา แน่นอนว่าในบรรดาบรรพบุรุษของพวกเรา ในทุกช่วงเวลานั้นมีความขัดแย้ง มีความไม่ลงรอย แต่ทุกท่าน ก็ได้พยายาม “เลือก” สิ่งที่ดีที่สุดในกับสยามประเทศของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นการตีฝ่าวงล้อมพม่าของพระเจ้าตากสินมหาราช , การย้ายเมืองหลวงของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า , การทำสนธิสัญญาเบอร์นี่กับอังกฤษของสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว, เงินถุงแดง, ปริศนาศิลาจารึกหลักที่หนึ่งของสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, การทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง , การเปิดประเทศและจำยอมรับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต, การสูญเสียดินแดนให้กับอังกฤษและฝรั่งเศส , การปฏิรูปประเทศ , การจัดตั้งกองเสือป่า, การเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง , การปฏิรูปของคณะราษฎร์, การพระราชทานรัฐธรรมนูญโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ, การเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง หรือกระทั่งคำพิพากษาประวัติศาสตร์คดีอาชญากรสงครามที่ลือลั่น ฯลฯ ทุกสิ่งเหล่านั้นก็คือ “ประสบการณ์” และภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ
ดัง นั้นจึงเท่ากับว่า “วันนี้” ณ เวลาที่พวกเราทุกคนกำลังมีลมหายใจและกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ในทุกวันของ ชีวิต พวกเราเองก็กำลังสร้างประวัติศาสตร์ “บางอย่าง” ขึ้นเช่นกัน พวกเรา กำลังเป็น “น็อต” หรือ ไม่ก็ “ฟันเฟือง” ชิ้นเล็กๆที่กำลังหมุนประวัติศาสตร์ของประเทศชาติ
หากคิดจะสร้างชาติ ก็ต้องสร้างคน เนื่องเพราะคน คือผู้สร้างชาติ ปัญหาคือเราควรจะสร้างคนกันอย่างไรดีนะ????
จะสร้างก็ต้อง “สอน” บางอย่างให้
แน่ นอนว่าเจ้าของบล็อกนั้นไม่อาจจะสอน หรือบอกกับใครเต็มปากด้วยเพราะไม่ถึงทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ แต่อาจเสนอความเห็นตัวเองว่า แต่ไหนแต่ไร ประเทศสยามเรานั้นยึดมั่นในกุศโลบายอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ “เปิดประตูและคัดกรอง”
ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม บรรพบุรุษของเรานั้นจะยอมรับและเข้าใจความเป็นไปของโลกเสมอ ตัวอย่างเช่นที่คนสยามในอดีตนั้นรับเอาความรู้ และศิลปวิทยามากมายมาจากคนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นฮอลันดา โปรตุเกส อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน อินเดีย อาหรับ ฯลฯ แต่ทั้งที่รับมามากมายเช่นนั้น เปิดประตูบ้านโล่งถึงเพียงนั้น แต่เราก็ไม่เคยได้ชื่อว่าตกเป็นเมืองขึ้นของใคร
นั่นก็เพราะเรารู้จักที่จะ “ปรับ” และ “เลือก” อยู่เสมอมิใช่หรอกหรือ
พระ บาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่สามนั้น ทรงตรัสเตือนไว้จับใจความได้ว่า “ ในการข้างหน้านั้นศึกข้างพม่า ข้างญวนนั้นคงจะเบาบาง แต่ตะวันตกนั้นจะเข้ามาแทนที่ ขอให้เรียนรู้จากเขา แต่ใช่ว่าจะรับเอามาเสียทั้งหมด ขอให้เลือกรับมาเฉพาะสิ่งดีเท่านั้น ” ( เขียนจากความทรงจำค่ะ จับใจความตามนี้ )
ดังนั้นแล้วเราจึงกล่าวได้ว่า ทรง “เตือน” คนสยามไว้ล่วงหน้านานนักหนา
แต่ทว่า.......ดูเหมือนคำเตือนนั้นคงจะตกทอดมาไม่ถึงปัจจุบันกระมัง
เพราะ ในทุกวันนี้ เรามักจะเห็นผู้คน “เป็นไปในอีกทางหนึ่ง” เสมอๆ ไม่สมพระทัยพระองค์ท่านอย่างที่พึงเป็น เพราะเป็นเช่นนี้กระมัง จึงได้รู้สึกอยู่เสมอว่า บางสิ่งนั้น “สูญหาย” ไป
ต้นไม้ ต้นหนึ่งจะเติบโตไพศาลแตกลูกแตกหน่อออกผลได้ ก็ย่อมต้องมีรากที่หยั่งลึกลงสู่ผืนพสุธา ไม่ใช่เพียงการ “ผลิต” และไหวตามลมไปเรื่อยๆเท่านั้น หากลองนึกถึงประเทศที่สร้างชาติได้เป็นที่รู้จักทุกวันนี้ มีสิ่งหนึ่งที่ทุกชาติจะมีคล้ายคลึงกันคือ “วัฒนธรรมและความเป็นชาตินิยม”
ก้าวเดินไปตามกระแสของโลก แต่ไม่ได้ไหลไปตามน้ำ สมัยนี้ที่ทุกคนรู้จัก โอดะ โนบุนางะ , โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ หรือ โตกุกาว่า อิเอยาสึ ของญี่ปุ่น คนรู้จัก แดจังกึม หรือจูมงแห่งเกาหลีใต้ รู้จักอับราฮัม ลินคอล์น แห่งสหรัฐอเมริกา รู้จักพระเจ้าเฮนรี่ที่แปด วินสตัน เชอร์ชิล แห่งอังกฤษ กระทั่ง จักรพรรดิเฉินหลง หรือซูสีไทเฮา ของจีน นั่นก็ผลของการ “ขาย” วัฒนธรรม ให้ “คนในชาติ ” สำนึก และ “คนต่างชาติ” ชื่นชม ในประเทศของเรา ในความเป็นตัวเรา
สร้าง “วีรบุรุษ” ของชาติให้เกิดขึ้นในใจคนในชาติให้เอาเยี่ยงอย่าง และสร้าง “ภาพฝัน” ให้ คนต่างชาติเข้าใจและมองเราในแง่ดี แง่บวก เท่ากับเป็นการโฆษณาประเทศของตนเอง และเป็นการบอกนัยว่า “เรายังมีราก” คนทุกคนในสังคมยังคงดำรงคงอยู่กับ “รากเหง้า” ของตนเอง เจริญขึ้น รับความรู้เทคโนโลยี แต่ไม่จำเป็นที่จะต้อง “ลืมตนเอง”
เรา ก็คือเรา สยามก็คือสยาม ประเทศไทยก็คือประเทศไทย ไม่ต้องพยายามจะก้าวกระโดด ไม่ต้องพยายามที่จะรับเอาทุกสิ่งที่เห็นเอาเองว่าศิวิไลซ์โก้หรูมาใส่ตัว ไม่ต้องโอ้อวดวาดหวังร่ำรวยมั่งคั่งเป็นเศรษฐีโลก ถ้าจะมีสิ่งไหนที่อยากบอกเหลือเกิน อยากบอกคนเป็นพ่อแม่ คนเป็นครู คนเป็นรัฐมนตรี คนเป็นผู้บริหารประเทศ ถ้าจะสอนอะไรให้กับเด็กๆ ในวันนี้ล่ะก็ ถ้าจะ “สร้างคน” ในเวลานี้ล่ะก็
ก็ได้โปรดสอนว่า “เรานั้น....ก็คือเรา”
ไม่ ใช่สิ่งอื่น หรืออยากเป็นสิ่งไหน แต่เราก็คือเรา เป็นประเทศเล็กๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีวัฒนธรรมหลากหลาย ( ส่วนจะสวยงามหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับคนมอง ) ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านเรื่องดีและไม่ดีมามากมาย แต่ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย ก็จะยืดอกขึ้น และภูมิใจที่เราเป็นเราเสมอ
สอนให้เขารับรู้ว่า “ต้นไม้ต้นนี้มีราก” และรากนั้นหยั่งลึกลงสู่ดิน ตัวเราคือกิ่งก้านสาขา ที่ต้องเพียรพยายามแตกหน่อออกผล เพื่อให้ไม้งามนี้ยั่งยืนคงอยู่ต่อไปเนิ่นนาน ให้รากไม้นี้เหยียดลงลึกถึงเปลือกโลกต่อไป
ไม่ต้องเขียนหลักสูตรการศึกษาเลิศหรู
ไม่ต้องคาดหวังร้องเรียกว่าเด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า แล้วได้แต่รอ
ไม่ต้องรอการเลือกตั้งครั้งใหม่ให้มาถึง
ไม่ต้องรอครูใหญ่ หรือเจ้ากระทรวงสั่งการ
ไม่ต้องรอนายกฯ หรือคนใหญ่โตออกความเห็น
แค่เพียรบอก
แค่ริเริ่ม
แค่เชื่อมั่น
แล้วก็ประกาศก้องออกไปว่า.........
“เราคือสยาม”
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น