ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศักราชมืดราชันย์รัตติกาล ตอน คำลวงของท่านหญิง

    ลำดับตอนที่ #9 : รอยยิ้มคนเดินทาง

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ค. 54


    รอยยิ้มคนเดินทาง


    เพียงรอยยิ้มแย้มรับในคราหนึ่ง


    ก็ซาบซึ้งแสนประทับมิมัวหมอง


    ยิ้มของคนเดินทางผ่านตามทำนอง


    ยิ้มที่ปองให้คนหนึ่งเป็นสุขใจ



        ผู้คนในเมืองนั้นพลุกพล่านวุ่นวาย ทั้งหญิงชาย พ่อค้าร้านตลาด ตลอดไปจนถึงบรรดาหญิงโคมเขียวและขอทานข้างถนน บ้านเรือนประดับตกแต่งสวยงาม ถนนสะอาดโล่งสายตาราวกับว่ากำลังจะมีงานเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่ หรือไม่ก็มีแขกบ้านแขกเมืองมาเยี่ยมเยือนก็ไม่ปาน หากแต่ที่รู้สึกผิดแผกไม่กลมกลืน กลับเป็นบรรยากาศที่ตรงกันข้ามกับสภาพแวดล้อมเสียเหลือเกิน ทั้งที่น่าจะรื่นเริงสนุกสนานแต่ก็กลับชวนรู้สึกอึดอัดและสับสน  


    ทว่าสำหรับหญิงสาวในคราบชายหนุ่มที่กำลังพลัดหลงกับสหายเพียงคนเดียวในเมืองใหม่ที่ตนไม่คุ้นเคยอย่างอาเดอเรีย เอสเตอร์เพลานี้ สิ่งเดียวที่คำนึงถึงกลับเป็นการเดินไปทั่วทุกท้องถนนตรอกซอกซอยกับ ‘เอรี่’ ม้าคู่ใจเพื่อหาคนเพียงคนเดียว ก็เพราะไอ้ความอึกทึกครึกโครมอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุนี่ล่ะที่พอพวกเขาเหยียบเข้าเมืองโรเซ็น หนึ่งในเมืองหน้าด่านไปสู่เมืองหลวงนี่เท่านั้นก็โดนคลื่นมหาชนซัดสาดเสียจนหลงทิศหลงทาง แน่ล่ะว่าผู้ชายคนนั้นคงจะไม่หลงไปไหนไกลหรอก แต่สำหรับคนที่เพิ่งจะเหยียบออกจากบ้านเกิดได้แค่สัปดาห์เดียว นี่ถือว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายทีเดียว


    “แล้วเรา....ควรจะไปทางไหนกันดีล่ะ” ยืนงงหนักขึ้นไปอีกเมื่อปรากฏว่าดันทะลุออกมาโผล่ที่ถนนใหญ่ไม่ทราบนาม ห้อมล้อมไปด้วยผู้คนยืนขวางสองฟากฝั่งถนน เหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง อาเดอเรียปล่อยเอรี่ไว้ด้านนอกก่อนจะเบียดเสียดฝ่าฝูงชนเข้าไป แม้จะได้ชื่อว่าไม่อยากยุ่งเรื่องชาวบ้านมากแค่ไหน แต่เวลานี้มันต่างกัน นางกำลังเล่นบทเป็นเอเทลผู้รอบรู้นี่นะ จะมาทำตัวขวางโลกเอาเวลาแบบนี้คงดูไม่เหมาะ โดยเฉพาะ หกเจ็ดวันที่ผ่านมาที่ต้องมานั่งฟังคำบ่นว่าจากซัส เรื่องท่าทางพฤติกรรมของนางนี่ล่ะ ถูกวิพากษ์วิจารณ์เสียยับเยินจนพาลจะให้โมโหเสียหลายครา


    “แล้วจะให้ทำแบบไหนกันล่ะ” พึมพำกับตนเองเพราะดันนึกถึงภาพของผู้ชายปริศนาที่กำลังตามหาตัว แสยะยิ้มอย่างคมคายลึกลับ ท่าทางเอาแน่เอานอนไม่ได้


    แต่ยิ่งอยู่ด้วยกัน เดินทางมาด้วยกัน พูดคุยกัน นางก็ยิ่งรู้ว่าภายใต้ท่าทางที่ดูไม่น่าคบหาเช่นนั้น ซัสควรได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะอย่างที่สุด เรื่องฝีมือดาบนั้นรู้ดีอยู่ แต่ทั้งวิชาความรู้ ไม่ว่าจะด้านภูมิศาสตร์ของทวีป ประวัติศาสตร์การเมืองการทหารของแต่ละประเทศ ผู้ชายคนนั้นสามารถจะร่ายยาวได้เป็นวันโดยไม่ผิดแม้ตัวอักษรเดียว จนถึงตอนนี้อาเดอเรียกำลังคิดว่า นี่นางกำลังได้รับความอุปการะจากปีศาจสินะ  


    “เอ่อ...พี่ชาย  ใครกำลังจะมาอย่างนั้นน่ะหรือ” ตัดสินใจเอ่ยปากถามชาวบ้านที่ยืนข้างๆ ตอนนี้นางกำลังตกอยู่กลางฝูงชน ก้าวไปข้างหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ ซ้ำร้ายยังเตี้ยจนเขย่งเท้าแค่ไหนก็มองอะไรไม่เห็นอยู่ดี  


    “อะไรกัน นี่เจ้าไม่รู้หรอกเรอะ วันนี้สองเจ้าชายรัชทายาทเสด็จมาเยือนเมืองเรา เพื่อจะทรงเป็นสักขีพยานในการประหารชีวิตฆาตกรอย่างไรล่ะ!” น้ำเสียงของชายผู้นั้นมีท่าทีฉุนเฉียว เขาบอกแค่นั้นแล้วก็หันกลับไปโดยไม่พูดอะไรอีก แต่แน่นอนว่า หญิงสาวนั้นยังไม่หายข้องใจ


    “ฆาตกร? ผู้ใดถูกสังหารกันหรือท่าน พอดีว่าข้าเพิ่งเข้าเมืองมาจึงยังไม่รู้เรื่องราวน่ะ” พยายามถามอย่างสุภาพ แต่หลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดคำลงท้ายอย่างที่เคยพูด นั่นคือหนึ่งที่เรื่องที่ถูกติงมา
    ไม่มีบุตรชายขุนนางที่ไหนพูดลงท้ายว่า ‘ขอรับ’ อยู่ตลอดเวลาหรอก จะมีก็แต่  ‘คนใช้’ เท่านั้น


    “งี่เง่าจริงๆเจ้านี่! ก็ท่านเจ้าเมืองคนก่อนน่ะสิ เจ้าลูกชายทรพีนั่นมันบังอาจสังหารท่านแล้วเข้ากับพวกกบฏ! น่าเสียดายนัก ท่านเจ้าเมืองเป็นคนดีแท้ๆ ไม่น่าจะต้องมาจบแบบนี้เลย นี่หากไม่ใช่เพราะน้องชายท่านสืบสาวราวเรื่องก่อน มันคงได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองคนใหม่แทนไปแล้ว กรรมมันตามทันจริงๆ!” คำอธิบายร่ายยาวนั้นอาจจะมีต่อไป หากแต่เสียงโห่ร้องต้อนรับกลับพลันดังกระหึ่มขึ้น  อาเดอเรียพลอยต้องโห่ตามฝูงชนด้วยเพราะนางไม่อยากเป็นแกะดำนักหากไม่จำเป็น แต่ก็กลับนึกตงิดใจสงสัย ลูกชายฆ่าพ่อเพื่อเข้าร่วมกับกบฏ...ท่านพี่เอเทลคนนั้นจะสั่งให้ทำเรื่องแบบนั้นอย่างนั้นน่ะหรือ เป็นไปไม่ได้หรอก.....


    แม้จะยังข้องใจ แต่นางก็ตัดสินใจที่จะพยายามปลีกตัวออกจากกลุ่มคนที่กำลังรับเสด็จสองเจ้าชายที่ว่า อยู่แบบนี้ไปนางคงมิแคล้วเป็นลมไปเสียก่อน


    หากแต่ขณะที่กำลังจะสาวเท้าถอยหลังนั้นเอง สายตาของอาเดอเรียกลับพลันสบเข้ากับดวงตาของหญิงสาวผู้หนึ่ง ดวงตาสีทองอมเขียวแวววาวดุจแก้วเจียระไน รูปหน้ายาวรีอิ่มเอิบ  และริมฝีปากแดงชาดเม้มเหยียดตรงราวกับกำลังเฝ้ารอบางสิ่งด้วยความครุ่นคิด นางผู้นั้นยืนอยู่ที่ด้านหลังของผู้คนทั้งมวลที่เฝ้าแต่จะยลพระพักตร์เจ้าชายรัชทายาท  ซ้ำยังแต่งกายภูมิฐาน แม้จะเป็นเพียงชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนเรียบง่ายกับผ้าคลุมศีรษะเฉดสีเดียวกัน  แต่เพียงดูด้วยสายตาตามประสาพ่อค้าก็รู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นผ้าเนื้อดีเพียงใด


    “จะมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่....” ไม่ทันคิดต่อให้ได้ความ เสียงกรีดร้องก็ดังลั่นขึ้นทันที ผู้คนวิ่งหนีกันอลหม่านท่ามกลางเสียงคำรามลั่นของทหารราชองครักษ์
     

    “สังหารเจ้าชายซะ!!!!” นั่นคือข้อความที่ได้ยินมาจากคนอีกกลุ่ม



    ยามที่อาเดอเรียเหลียวหันไปมอง ชายชุดดำกว่าสิบคนขี่ม้ากระโจนเข้ามาพร้อมกับดาบแหลมคมในมือ ม้าตัวใหญ่เหล่านั้นกระโดดเข้ามาประชิดจนถึงขบวนเสด็จ เรียกเอาทหารไปกลุ้มรุมพิทักษ์บุคคลสำคัญทั้งสองจนปล่อยปละขบวนแห่นักโทษที่ตามมาเบื้องหลัง  หญิงสาวที่แลเห็นเมื่อครู่หันไปพึมพำบางอย่างกับหญิงวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ติดตาม ก่อนที่คนทั้งคู่จะฉากหลบออกไปทางตรอกด้านหลัง   ถึงตอนนี้ อาเดอเรียไม่รอช้าอีกต่อไป นางตัดสินใจตามคนทั้งสองไปทันที สังหรณ์ใจว่าจะต้องมีบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มกบฏของเอเทล  ฟรีด้าอย่างแน่นอน   


    คนสองคนนั่นอ้อมไปดักที่ด้านหลังขบวนเสด็จ ก่อนที่เสียงนกหวีดสัญญาณของหญิงสาวจะถูกเป่าออกมาดังลั่น และทันใดนั้นเองที่กองหนุนกว่ายี่สิบว่าคนของกลุ่มคนร้ายกลับปรากฏตัวออกมาพร้อมอาวุธครบมือเข้าโจมตีปล้นนักโทษในกรงขังอย่างไม่รีรอ


    “เร็วเข้า! ช่วยอาเบลให้ได้!” หญิงสาวผู้นั้นตะโกน แท้ที่จริงแผนการของนางก็คือการเบี่ยงเบนความสนใจของพวกทหารไปทางเจ้าชายรัชทายาทเพื่อดักปล้นนักโทษต่างหาก  ซึ่งแผนการนั่นก็ดูเกือบจะเป็นไปด้วยดี และไม่น่ามีข้อผิดพลาด


    “เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง เอเลน่า!!!” ชายหนุ่มผู้ถูกคุมตัวอยู่ในกรงเหล็กพร้อมด้วยโซ่ตรวนนั้นร้องขึ้นอย่างตระหนก   สำหรับเขาแล้วรู้ดีว่าหญิงผู้นี้ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่


    “ข้าจะทิ้งเจ้าไปได้ยังไงกันล่ะ! เจ้านั่นล่ะที่ผิดที่ไม่ส่งคนไปบอกกล่าวข้า!” นางตวาดกลับ ยามนี้ไม่มีอะไรต้องคิดอีกแล้ว มีเพียงเรื่องเดียวที่ควรทำในเวลานี้  “ เจ้าต้องไปกับข้านะ! อาเบล!”  


    “เอเลน่า!” อาเบลนั้นร้องเตือนขึ้น เพราะตอนนั้นเองที่พวกราชองครักษ์ที่น่าจะถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปนั้นหันหลังกลับมา พวกของหญิงสาวกลับเป็นฝ่ายถูกต้อนอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว “ บ้าเอ๊ย!”  


    “พวกเราถูกหลอก นั่นมันพวกเจ้าชายตัวปลอม! ” เสียงพรรคพวกตะโกนกลับมาร้องเตือน ก่อนที่จะถูกดาบฟันเข้ากลางหลังสิ้นใจตายคาที่ ดูเหมือนทางการจะคาดเดาเรื่องการชิงตัวนักโทษไว้แล้ว จึงได้ปล่อยขบวนเสด็จปลอมออกมาล่อเสียก่อน    ตอนนี้ทุกอย่างดูจะเลวร้ายลง หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้ากรงขังนั้นรีบถอนสลักกุญแจอย่างรวดเร็ว ทว่า


    “หนีไป!” ชายหนุ่มนั้นผลักไสนางพลางตะโกนลั่น  แต่อีกฝ่ายกลับไม่อาจตัดใจไปจากชายคนรักได้  โอกาสนี้คือโอกาสแรกและโอกาสสุดท้าย เมื่อพลาดไปแล้วที่แลเห็นอยู่เบื้องหน้าก็เหลือเพียงหลักประหารเท่านั้น


    “เราต้องไปด้วยกัน อาเบล!”  พริบตานั้นที่ดาบใหญ่ของทหารราชองครักษ์พุ่งเข้ามาหมายเด็ดศีรษะสังหารคู่รักทั้งคู่    


    ทว่ากลับเป็นใครบางคนที่พุ่งออกมาจากตรอกทางด้านหลังพลันกระชากดาบออกจากฝักเข้ารับคมดาบนั้นไว้อย่างเต็มกำลัง  


    ในจังหวะนั้นด้วยเพราะฝ่ายทหารนั้นไม่คาดฝันถึงการจู่โจมลอบกัดซ้อนแผน  อาเดอเรียที่กระโจนเข้ามาขวางจึงรีบฉวยโอกาสแทงซ้ำที่แขนของศัตรูเพื่อโต้กลับได้อย่างที่เจ้าตัวก็ไม่คาดฝันว่าจะทำได้มาก่อนเช่นกัน


    “หนีไปซะ! พวกท่านทั้งคู่!” อาเดอเรียร้องบอกในขณะที่รับคมดาบที่สองที่จ้วงแทงเข้ามาอีกครา นางไม่ใช่นักดาบ และยิ่งไม่ใช่นักรบ การจู่โจมครานี้ทำให้นางเซถลาไปอีกทาง  


    “เจ้าเป็นใครกัน!” หญิงสาวผู้ใช้นามเอเลน่าถามอย่างมึนงง ชายหนุ่มผมสีทองผู้นี้หาใช่คนของนางอย่างแน่แท้ แต่นี่ย่อมเป็นโอกาสดีที่นางจะพาชายคนรักหนีไป  


    แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดพลันเกิดขึ้นอีก นักโทษหนุ่มแห่งโรเซ็นคว้าดาบจากศพของสหายที่นอนสิ้นลมโถมกำลังจู่โจมเข้าช่วยเหลือคนที่ตนเห็นว่าเป็นชายหนุ่มนิรนาม ฝีมือของเขาดีพอที่จะต้านแรงฝ่ายตรงข้ามไว้ได้ แต่ไม่ดีพอที่จะบุกฝ่าหนีกองทหารทั้งหมดที่ตามมาสมทบออกไปได้


    “ได้โปรด รับฝากนางไว้ด้วย!” อาเบลผู้กำลังชะตาขาดว่า พลางหันมาส่งยิ้มน้อยๆแก่ผู้ช่วยเหลือที่ไม่คาดฝัน  


    “ท่าน......” แน่นอนว่าอาเดอเรียนั้นไม่ปรารถนาเช่นนั้น แต่ทันทีที่เหลียวมองรอบกาย นางก็รู้แน่แก่ใจว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพาทุกคนหนีออกไปด้วยกันได้ สิ่งที่ตัดสินใจ ณ เพลานั้นก็การกระชากลำแขนของหญิงสาวที่กำลังอ่อนแรงขึ้น แน่นอนว่านางผลักไสอย่างเต็มกำลัง


    “ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น! ข้าจะอยู่กับเจ้า อาเบล!!!!!” นางร้องบอก แต่สายเกินไป อาเบลเพียงหันมาแย้มยิ้มอย่างมั่นคงให้หญิงคนรักอีกคราก่อนที่จะกระโจนขึ้นไปบนกรงขังนักโทษเพื่อล่อให้ทุกคนมองมาเพียงเขาเท่านั้น  อาเดอเรียที่สบโอกาสนั้นยื้อยุดหญิงสาวให้ตามมา แต่นางก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเขยื้อนแม้แต่น้อย


    “ปล่อยข้าเจ้าคนสามานย์! ข้าจะอยู่ที่นี่!” นางยืนกราน

    แต่ทันใดนั้นที่อาเดอเรียตบเข้าที่ข้างแก้มของผู้กำลังโศกเศร้าขาดสติเต็มแรง นางเข้าใจ เข้าใจดีว่าความตายเป็นเช่นไร และเข้าใจดีเหลือเกินว่า การต้องดูคนที่ตนรักตายไปต่อหน้านั้นรวดร้าวแสนเข็ญเพียงไหน


    “มากับข้า! ถ้าไม่อยากให้คนรักของเจ้าตายเปล่า!” ตะโกนใส่หน้าเพื่อบอกเจตนา ก่อนที่จะดึงร่างของหญิงสาวเข้ามาใกล้เพื่อฝ่าวงล้อมออกไป ในท่ามกลางสรรพเสียงมากมายนั้น เสียงหนึ่งที่ดังตัดกับความวุ่นวายและคาวโลหิตทั้งมวลนั้นคือ


     “ลาก่อน....” คำบอกลาสุดท้ายพร้อมกับรอยยิ้มจากชายหนุ่มถึงหญิงผู้เป็นที่รัก  เสียงที่ดังแว่วมาก้องสะเทือนประสานกับเสียงผิวปากของอาเดอเรีย เอสเตอร์


    “อดทนไว้นะ!” อาเดอเรียบอก  พลางยกดาบขึ้นตั้งรับและจ้วงฟันอย่างยากเย็น แน่นอนว่านางไม่ได้คิดจะบุกออกไปแบบนี้หรอก


    ดังนั้น ก่อนที่จะต้องฟาดฟันกับทหารมืออาชีพที่ตัวนางไม่ถนัดด้วย เอรี่กลับกระโจนเข้ามากลางวงสู้รบ หญิงสาวแห่งเมราโน่คว้าจับบังเหียนของอาชาก่อนจะหวี่ยงตัวขึ้นไปและกระชากลำแขนของผู้ที่ตามมาให้ขึ้นมาด้วยกัน   เป็นครั้งแรกที่ในชีวิตที่นางนึกขอบใจสองมือของตนเองที่ทำงานหนักมาจนมีแรงพอที่จะยึดร่างของอีกฝ่ายไว้ใกล้ตัวไม่ให้กระโดดหนีไปเสียก่อนในยามนี้ และแน่นอนนางย่อมนึกขอบคุณครูฝึกเฉพาะกิจของนางด้วยในเวลาเดียวกัน

    “ซัส......”


        อาชาทมิฬปราดเปรียวกระโจนออกไปอย่างรวดเร็วเรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนได้อย่างดี แต่พวกทหารกลับรุดติดตามมาอย่างลำบาก เมื่อพรรคพวกที่เหลือของผู้ก่อการปล้นนักโทษพยายามยับยั้งอย่างเต็มกำลังโดยมีตัวอาเบลซึ่งควรจะเป็นผู้ได้รับการช่วยชีวิตเป็นแกนนำ  

    ฝ่ายอาเดอเรียนั้นกุมบังเหียนมั่น ในขณะที่หญิงสาวอีกฝ่ายนั้นกอดนางไว้จากทางด้านหลัง แม้จะหลบหนีออกมาได้แต่ก็ต้องเผชิญกับทหารของโรเซ็นที่รุดมาดักเบื้องหน้าอีกที อาเดอเรียดึงผ้าสีดำขึ้นปกปิดใบหน้าของตน และดูเหมือนนั่นจะทำให้ฝ่ายเอเลน่านึกสงสัยขึ้นว่าผู้ช่วยชีวิตที่ไม่ได้คาดหมายของนางช่างมีสติดีเหลือเกินที่นึกได้กระทั่งการปกปิดตนเองในเวลาน่าสิ่วน่าขวานแบบนี้  

    “มาแล้วสินะ” อาเดอเรียพึมพำกับตนเองด้วยสีหน้าเรียบเฉย อย่างที่คิด หากเกิดความวุ่นวายขึ้นล่ะก็ ทางฝ่ายนั้นน่าจะหานางเจอได้ไม่ยาก “จับแน่นๆนะ ข้าจะไปล่ะ!” เตือนแบนั้น ก่อนจะกระตุกบังเหียนอีกครา เบื้องหน้าที่ขวางกั้นอยู่คือพวกทหารจำนวนมากที่มาดักรอคอย   ทว่าเมื่อพิจารณาให้ดีที่ด้านหลังของพวกทหารนั่น ชายผมสีน้ำตาลพร้อมกับม้าสีขาวพิสุทธิ์ยืนรอนางอยู่แล้ว  

    พริบตานั้นอาชาสีดำขลับของคนที่ใครก็ตามอาจเห็นได้ว่าเป็นชายหนุ่มผมสีทองสว่างไสวทะยานขึ้นกระโดดข้ามศีรษะนายทหารเดินเท้านับสิบที่ดักรออยู่  และทันที่เท้าของมันแตะพื้น ซัสผู้นั่งรออยู่บนอาชาขาวปรอดก็ปราดเข้ามากั้นขวางปกปักษ์อย่างทันท่วงที

    “เรื่องหาเรื่องใส่ตัวนี่ ข้ายกให้เจ้าเลยจริงๆ” ซัสบอก อย่างที่คิดไม่มีผิด พอได้ยินว่ามีโจรขี่ม้าดำพุ่งเข้าไปปล้นนักโทษ ทำไมถึงไม่ยักคิดว่าเป็นคนอื่นกันนะ แต่ดันเชื่ออย่างสนิทใจว่าต้องเป็นแม่สาวน้อยอับโชคคนนี้แน่  แล้วนี่อะไรกัน นอกจากก่อเรื่องแล้วยังรับแบกสัมภาระที่ไหนมาด้วย

    “ข้าต้องช่วยผู้หญิงคนนี้!” อาเดอเรียบอก นางชักดาบออกมาอีกครา แต่ฝ่ายนั้นกลับยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะหันมาบอก

    “ไปทำธุระของเจ้าซะ ข้าจะรอที่นอกประตูเมืองทิศเหนือ” ชายหนุ่มว่า

    “เมื่อไหร่”

    “เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ก็เจ้าเป็นคนตัดสินใจนี่นะ...ท่านหัวหน้า” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะ และก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ขันเช่นนั้นจริงๆ

    หญิงสาวเจ้าของอาชาทมิฬไม่รอคำตอบเป็นคำรบสอง นางดึงบังเหียนพาหญิงแปลกหน้าพุ่งออกไปทางประตูเมืองทันที  ในขณะที่ซัสนั้นมองส่งอย่างนึกอ่อนใจ ช่างเป็นผู้หญิงที่เหลือเชื่อเกินไปแล้ว ก็รู้อยู่หรอกว่าพิเศษ แต่ใครจะไปนึกว่าจะกล้าจนบ้าบิ่นถึงเพียงนี้

    “ถึงจะเป็นเรื่องที่ผิดพลาด แต่ข้ากลับคิดว่าเจ้านั้นเข้าใจเรื่องบางอย่างถูกต้อง...เอเทล” กระชับดาบในมือมั่น ก่อนจะพุ่งเข้าไปโรมรันอย่างไร้พ่าย


    คนตาย

    แต่สัญญาคงมั่น



        ยามเย็นมาเยือนพร้อมกับสายฝนที่สาดกระหน่ำชุ่มโชกหยาดโลหิต  คนสองคนในผ้าคลุมสีดำของชุดนักบวชหลบอยู่ข้างตรอกที่เหม็นอับและเปียกชื้น  ต่อหน้าต่อตาของหญิงสาวเคราะห์ร้าย นางยืนมองท่ามกลางฝูงชนเพื่อแลเห็น ‘การประหารชีวิต’  ยามที่คมมีดตวัดศีรษะของชายคนรักสะบั้นต่อหน้า น้ำตาที่คิดว่าหลงลืมไปแล้วก็กลับพร่ำพรากแทบขาดใจ ไม่อาจไปเก็บร่าง ไม่อาจสวดมนต์ส่งให้ ยืนนิ่งท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดี และเอนศีรษะซบข้างหัวไหล่ชายอีกคนหนึ่งที่รั้งร่างของนางไว้ในอ้อมแขน

    “เขาไม่ใช่คนฆ่า...อาเบลไม่ใช่คนฆ่า.......” อาเดอเรียกอดร่างของนางที่กำลังครวญคร่ำไว้ข้างกาย ร่างของหญิงสาวที่สั่นสะท้านไปทั่วร่าง โหดร้ายและโศกเศร้า

    “อดทนไว้นะ...” ได้แต่เพียงกล่าวเตือนสติเพียงเท่านั้น เบื้องหน้านั่นในปราสาทของเจ้าเมือง ที่นางรับรู้จากผู้คนและข่าวสารในเวลานี้คือเจ้าชายรัชทายาททั้งสองเพียงมีหน้าที่เซ็นชื่อสั่งประหารชีวิตโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว  หากแต่ดูสิ คนบริสุทธิ์คนหนึ่งต้องตายอย่างน่าเวทนา  กลุ่มกบฏของเอเทล ฟรีด้าที่ถูกป้ายสีความผิด  เจ้าเมืองที่ถูกฆาตกรรมโดยหาตัวคนร้ายไม่พบ  ให้ตายเถอะ...นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน


    เรื่องบ้าบอ

    ของแผ่นดินนี้



    “ข้าจะหาให้พบ ข้าจะหาฆาตกรตัวจริงให้กับท่าน!” โกรธเกรี้ยว ไม่พอใจ อะไรสักอย่างที่ร้อนในอกจนดิ้นพล่าน จะไม่ยอมให้เป็นแบบนี้หรอก ใครกันจะจะยอมเสียเปรียบอยู่แบบนี้ พี่ชายของนาง เอเทลเองก็คงไม่ไม่มีทางยอมปล่อยไปแบบนี้เป็นแน่

    “ทำไมถึง.....” ทำไมถึงต้องทำถึงขนาดนั้น “ ทำไมถึง...ช่วยข้า...” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง  เจ็บปวดและหวาดกลัว

    “เพราะข้าเองเองก็เป็นผู้เสียหายอย่างไรล่ะ” นั่นคือคำตอบในฐานะของเอเทล เอสเตอร์  หากแต่ที่ไม่น่าเชื่อกว่านั้น เมื่อหญิงสาวที่ควรจะเอาแต่ร่ำไห้กลับปาดน้ำตาทิ้งและเงยหน้าขึ้นจ้องตอบอย่างเอาเรื่องไม่แพ้กัน

    “ข้าเองก็จะไม่ยอมแพ้หรอก!” กล่าวออกมาเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นหากแต่สั่นเครือ  เจ็บใจ แค้นเคือง ความรู้สึกที่หลอมรวมกันขึ้นมานั่น บอกกับนางว่า  


    จะไม่มีวัน

    ลืมเลือน



    ท้ายที่สุดอาเดอเรียก็ไม่ได้หนีออกไปนอกเมืองอย่างที่ทางว่าที่เจ้าเมืองคาดการณ์ นางเพียงแต่ปล่อยเอรี่ล่อพวกทหารออกไปส่วนตนเองกับหญิงสาวนิรนามนั้นหลบมาทางด้านหลังโบสถ์เก่า หลังจากยามเย็นที่ได้แต่นิ่งดูดายอย่างไร้สิ้นหนทาง เวลาค่ำคืนก็มาเยือนพร้อมกับความเงียบเหงา  คนสองคนนั่งอยู่ร่วมกันท่ามกลางแสงเทียนและมีเพียงความวิเวกนั้นเป็นมิตรสหาย เนิ่นนานกว่าที่ฝ่ายใดจะเอ่ยพูดขึ้นได้อีกครา

     “ข้าจะรักษาสัญญา ” อาเดอเรียบอกในขณะที่นั่งอยู่ข้างเสาต้นใหญ่

    “เรื่องอะไรรึ” ฝ่ายนั้นเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีทองนั้นแลดูสว่างไสว  เส้นผมยาวสีบลอนด์ทองที่งามงดอร่ามตา แม้จะพลางตัวอยู่ในชุดนักบวชสีดำหากแต่นางนั้นเป็นหญิงสาวที่อาจเรียกได้ว่าต้องตาชายทุกผู้ที่กรายใกล้อย่างมิต้องสงสัย แต่ก็แน่นอนว่าไม่ใช่สำหรับเอเทล เอสเตอร์ผู้นี้หรอก

    “ข้าเชื่อท่าน และเชื่อว่าฆาตกรย่อมไม่ใช่เขา ” ทอดเสียงเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ คาดว่าอาจจะถูกตบกลับอีกคราที่รื้อฟื้นเรื่องเศร้าขึ้นมา

    แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อหญิงสาวฝ่ายตรงข้ามเพียรพยายามจะฉีกรอยยิ้มให้ รอยยิ้ม.... ยิ้มที่ทำให้อาเดอเรียได้รู้สึกตัว  นี่คือการยิ้มแบบเดียวกับที่นางรู้จัก  ยิ้มที่เหมือนกับซัส  เหมือนกับท่านคอลลิน ลอเรนซ่า เหมือนกับชายที่ชื่ออาเบล ในยามที่ใกล้ชิดกับเรื่องร้ายและความตาย คนที่นางพบพานต่างก็ดูจะเพียรจะแย้มยิ้มกันเสียเหลือเกิน  

    ทั้งที่ต่างก็เจ็บปวดมากมายถึงเพียงนั้น ทั้งที่ต่างก็สูญเสียจนหัวใจแทบแหลกสลาย หรือเพราะมันเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจที่ทุกข์ทรมาน มันจึงกัดกร่อนให้ใจแห้งผากมากมายถึงเพียงนี้  แล้วตัวนางล่ะ....


    จะยิ้มสู้

    ได้บ้างหรือไม่


    “ข้าต้องขอบคุณ แม้จะยังไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร หรือหวังประโยชน์ใดก็เถอะ ” ว่าพลางยื่นมือให้ “ เวลานี้ โปรดเรียกข้าว่า เรล่า ข้าช่างเสียมารยาทที่ไม่อาจควบคุมตนเองได้ ” เรล่าว่า  นางหวังให้ชายหนุ่มนั้นจับมือตอบกลับมาอย่างมีไมตรี แต่คนตรงหน้าหาได้ทำเช่นนั้นไม่

    “ทำไมถึงยิ้มล่ะ”

    “เอ๋!” แน่นอนว่านี่เป็นคำถามที่น่าแปลกประหลาดยิ่งนัก

    “ข้าเพียงแต่คิดว่า หากอยากร้องไห้.....ก็พึงร้องออกมาให้มากพอ จึงไม่ได้ห้ามท่าน” ตอนที่เอเทล ตอนที่พี่ชายคนที่เป็นดั่งรักแรกของนางจากไป นางไม่มีเวลาแม้แต่จะร่ำไห้เสียด้วยซ้ำ  ความรู้สึกของเรล่าในตอนนี้ มันควรจะเป็นความรวดร้าวที่แทบสิ้นใจมิใช่หรือ   เพราะว่าเศร้าจึงได้ร้องไห้  เพราะว่าเจ็บปวดจึงแสดงออกมา  และเพราะว่าไม่พอใจจึงแสดงให้ประจักษ์เห็น

    “การร่ำไห้นั้นไร้ค่า” เรล่ายิ้มให้ ก่อนจะจรดปลายนิ้วลงที่ขอบตาของชายหนุ่ม  รู้สึกได้ว่าคนๆนี้คงอยากร้องไห้ แต่ก็ร้องไม่ออก  มีความเศร้าบางอย่างอยู่ในแววตาคู่นั้น  “แต่หากเป็นรอยยิ้มล่ะก็.....ย่อมปลอบประโลมหัวใจผู้คนได้มิใช่หรือ”  

    เวลานั้นที่เรล่าคงไม่รู้ตัวว่านางได้ไขข้อข้องใจบางอย่างให้กับฝ่ายตรงข้าม อาเดอเรียนั้นพึงสะดุดใจและระลึกขึ้นได้ในยามที่มองใบหน้าของหญิงสาวอีกฝ่าย  สิ่งที่ซัสกร่นว่านางมาตลอดเจ็ดวันที่เดินทางมา สิ่งที่นางขาดไปอย่างไม่อาจเติมเต็ม...


    ยิ้มในยามเป็นสุข


    ยิ้มในยามโศกเศร้า


    ยิ้มอย่างอาจหาญ


    ยิ้มอย่างมั่นคง


    นั่นคือความหมายของ....การยิ้ม


    “เอเทล...เวลานี้ ได้โปรดเรียกข้าว่าเอเทลเถิด ” ดึงมือของอีกฝ่ายออก ก่อนจะจุมพิตที่หลังฝ่ามือตามธรรมเนียม จุมพิตที่นางนั้นมอบให้ด้วยความซาบซึ้งและประทับใจยิ่ง  นางผู้นี้...ช่างน่าอัศจรรย์  

    “เอเทล....” เรล่าเรียกชื่อนั้นอย่างเต็มเสียงเป็นครั้งแรก  ชายผู้ช่วยชีวิตนางคือคนผู้นี้  และดวงตาสีฟ้าที่เจิดจรัสงดงามคู่นี้ ที่ตรึงใจนางนัก “เอเทล...” พวกเขาต่างมองใบหน้ากันและกัน ในฐานะคนที่พึ่งรู้จักคบหา แต่กลับมีบางอย่างที่เกิดขึ้นมากกว่านั้น

    “พรุ่งนี้ข้าจะหาทางเข้าไปปราสาท ถ้าต้องการรู้ตัวฆาตกรก็มีแต่ต้องสืบจากข้างในเท่านั้น”

    “ท่านไม่จำเป็นต้องทุ่มช่วยเหลือคนแปลกหน้านะ ข้าไม่สิ่งใดตอบแทนท่าน และไม่นึกปลื้มปิติจากไมตรีของคนแปลกหน้าที่เพิ่งพานพบหรอก” นางกล่าวตอบ  รู้สึกหวาดกลัว หวาดกลัวที่จะแลเห็นความจริงภายใต้น้ำใจที่ล้นเหลือ จะเอาอะไรมาการันตีว่าคนๆนี้หาได้หวังสิ่งตอบแทน

    “ท่านก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อข้า หรือมากับข้า เมื่อฟ้าสางท่านก็จงไปเสีย ส่วนเรื่องที่ข้ารับปากนั้น....ข้าจะทำให้สำเร็จ”

    นั่นคือคราแรกที่เรียนรู้การส่งยิ้ม อาเดอเรียก้าวเดินเข้ามาแนบชิดกับคู่สัญญาของตน ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย หาได้มุ่งหวังผลประโยชน์เป็นอื่น แค่อยากช่วย แค่อยากโอบอุ้ม เพื่อเอเทล เพื่อคารีน่า เพื่ออาเบลผู้นั้น เรื่องราวของเรล่านั้นช่างคลับคล้ายกันกับเรื่องของตัวนางเสียเหลือเกิน   ดังนั้นแล้ว ในยามที่ได้ส่งมอบรอยยิ้มแห่งคำมั่นให้แก่อีกฝ่าย  ภาพที่ฉายชัดปรากฏตรงหน้าของเรล่า มันจึงเป็น....

    รอยยิ้ม


    แสนละไม


    “ข้า.....ข้าไม่ไปจากท่านหรอกนะ”

    “เอ๋!”

    “หากข้าไปจากเวลานี้ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านรักษาสัจจะ” ช่างเป็นข้ออ้างที่แม้แต่เจ้าของคำพูดยังต้องนึกขัน นางบ้าไปแล้วที่หลงใหลในรอยยิ้มของชายผู้นี้มากมายถึงเพียงนี้  ยิ้มที่งามนัก ยิ้มที่หาใช่เพียงความเสน่หา แต่มันช่างระรานตา ช่างเจิดจ้าส่องแสง  เป็น.....รอยยิ้มที่แสนพิสุทธิ์

    “แต่ว่ามันอันตราย!” สำหรับอาเดอเรีย มันไม่ใช่เรื่องเลยที่จะพาหญิงสาวผู้นี้ไปผจญกันอันตรายเรื่องร้ายอื่นใดอีก หากจะมีใครต้องหลั่งเลือด นั่นควรจะเป็นตัวของนางเอง....

    “ไม่หรอก!” เรล่ายืนกราน  ความมั่นใจบางอย่างเปี่ยมล้นขึ้นมาในหัวใจ  หากเป็นคนผู้นี้  หากเป็นชายผู้นี้ล่ะก็ “หากปรารถนาจะเข้าไปในปราสาท ข้ามีวิธี  ขอเพียงท่านรับปากช่วยเหลือข้า เรล่าผู้นี้ จะพาท่านเข้าไปปราสาทเอง!”  หญิงสาวยืนนกราน ยังคงย้ำถามกับตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ทำไมถึงเต็มตื้นขึ้นในอก ทำไมจึงหลงเชื่อเสียจนสนิทใจและชักชวน   

    “ท่านคิดจะทำอะไร....” อาเดอเรียถามนางอีกครั้ง รู้สึกตัวด้วยสัญชาตญาณว่าคนตรงหน้านั้นอาจมีเรื่องราวซับซ้อนยิ่งกว่าที่นางคาดคิด

    “ที่ผ่านมาข้าอาจจะเคลื่อนไหวไม่ได้มาตลอด และเหมือนคนบ้าใบ้ แต่ตอนนี้ ในยามที่ในปราสาทนั่นมีเจ้าชายรัชทายาทอยู่ ข้าย่อมมีวิธี!”

    “วิธี?”

    “เช้าวันพรุ่ง ท่านต้อง...ไปกับข้า ” น้ำเสียงนั้นแฝงเลศนัย ชวนเสียวสันหลังจนฝ่ายตรงข้ามชักไม่แน่ใจว่านี่คือหญิงสาวคนเดียวกับที่ร่ำไห้ปานจะขาดใจเมื่อครู่หรือไม่


    นางในยามนี้


    ช่างน่าประหวั่น





    จบตอน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×