ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : เรื่องเล่าบนผืนดิน
เรื่องเล่าบนผืนดิน
ผืนดินหลั่งพร่างพรายชโลมเลือด
แผ่นดินเหือดแห้งแล้งคนล้มหาย
ณ คืนค่ำที่หนาวเหน็บจวบเจียนตาย
เป็นที่หมายคำสัญญาระหว่างเรา
แผ่นดินเหือดแห้งแล้งคนล้มหาย
ณ คืนค่ำที่หนาวเหน็บจวบเจียนตาย
เป็นที่หมายคำสัญญาระหว่างเรา
มันคือค่ำคืนที่หนาวเหน็บจนเข้ากระดูก มันคือชั่วข้ามคืนที่รวดร้าวและย้ำเตือน มันไม่เหมือนในนิยายที่เต็มไปด้วยแสงอัสนีหรือสีสันที่พร่างพรายฟ้าบ่งบอกถึงอดีตอันมืดมน ปัจจุบันที่ทุกข์ทน หรือแม้แต่อนาคตที่อาจมีเพียงน้ำตาให้ร่ำไห้ มันเป็นเพียงคืนธรรมดาในฤดูเหมันต์ที่ย่อมจะไร้ผู้สัญจรในเพลาราตรี แสงไฟอุ่นจากบ้านเรือน เสียงแว่วของสรรพสำเนียงแห่งความสุขที่ดังผ่านหูตามแนวทางเดินไปสู่กระท่อมน้อยที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในชายป่าที่ห่างไกล
หญิงสาวในชุดผ้าคลุมหนังสีดำขมุกขมัวผู้หนึ่งเดินย่ำกลางหิมะด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเป ทั้งหวาดกลัว ทั้งสั่นไหว ทั้งเหนื่อยยาก ทั้งคั่งแค้น นางก้าวเดินต่อไป ก่อนจะหยุดอยู่หน้าบ้านที่แสงไฟริบหรี่ และ....เปิดมันออก ช่างน่ากลัวว่าแม้แต่กลอนประตูนั้นก็หาได้ปิดล็อคแต่อย่างใด ราวกับว่าผู้อยู่อาศัยทอดอาลัยในทุกสิ่งเสียแล้วกระนั้นหรือ
“ท่านพี่........” หญิงสาวแรกรุ่นเอ่ยเรียกสตรีนางหนึ่งที่กำลังนอนกอดลูกน้อยของนางไว้แนบอก เส้นผมสีรัตติกาลของผู้เป็นมารดาสยายอยู่เต็มหมอน ดวงตาสีขนกาแสนงามนั้นมาดแม้นหรี่แสงหากแต่ยังคงงามงดจับตา ไม่ใช่เพียงรูปกาย แต่ย่อมรู้ได้ว่าแม้แต่ดวงใจนั้นก็พิสุทธิ์ล้ำมิต่างกัน
“ข้ารอเจ้าอยู่...น้องข้า” นางผู้นั้นไม่ได้ขยับกาย หากแต่เพียรจะฝืนแย้มยิ้ม รอยยิ้มมาดมั่นสุกใสไม่เหมือนเช่นคนอ่อนเรี่ยวแรงจากการถูกไล่ล่าจนเจ็บป่วยสาหัสปางสิ้นลมแม้แต่น้อย
“เราต้องไปด้วยกัน ข้าจะพาท่านกับหลานไปจากที่นี่ พวกเราจะไม่กลับมาที่ประเทศนี้อีก พวกเราจะเริ่มต้นทุกอย่างใหม่อีกครั้ง!” ผู้เป็นน้องสาวนั้นเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับบอกกล่าวด้วยดวงตาแข็งกร้าว ทั้งที่สีสันคลับคล้าย แต่เนื้อในนั้นต่างกัน นางจะไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใด จะว่าแข็งกระด้างจนยอมหักไม่ยอมงอก็ได้ จะว่าไร้มารยาทจนดูคล้ายต่ำทรามก็จักไม่เถียง แต่นางจะไม่ยอมให้ญาติเพียงคนเดียวของนางสิ้นลมไปอย่างสุนัขข้างถนนอย่างแน่แท้ ประเทศที่โง่เขลา ผู้ปกครองที่ไร้ปัญญา หากแม้นเป็นผู้ดีมิอาจได้รับการสรรเสริญ เช่นนั้นนางก็ไม่ปรารถนาที่จะพักพิงอยู่ในดินแดนที่โหดร้ายเช่นนี้แน่
“เจ้านี่ล่ะนะ..ใจร้อนเสียจริง ”
“ถึงขั้นนี้แล้ว ท่านจะหาว่าข้าเป็นเด็กดื้อแพ่งไม่ฟังผู้ใดไม่ได้หรอกนะ ท่านพี่คาทาริน่า!” เอ่ยเรียกพร้อมกับนั่งลงข้างเตียงและบีบมือน้อยๆของสตรีที่เคยได้ชื่อว่างามเป็นเลิศในแดนดิน พี่สาวเพียงคนเดียวที่เป็นนักปรุงเครื่องหอมผู้มากพรสวรรค์ แม้จะถูกกีดกัน แม้จะถูกว่าร้าย แม้ว่าในท้ายที่สุดก็ไม่อาจจะไขว่คว้าอะไรไว้ได้เลย แต่นางก็คือคนที่แสนสำคัญ แกร่งกล้ายิ่งกว่าใคร ยึดมั่นยิ่งกว่าผู้ใด ชีวิตของคนๆหนึ่งที่ถูกทำลายย่อยยับเพียงเพราะ...ลุ่มรักคนผิด แล้วตัวนางล่ะ...ไม่ได้ต่างกันเลยมิใช่หรือ
“ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็เจ็บปวด แต่ว่า น้องพี่....ฝากเด็กคนนี้ด้วย...” ถ้อยคำสั้นๆที่ทำให้อีกฝ่ายนั้นต้องนิ่งไป ดวงตาสีดำคู่สวยนั้นเบิกกว้างก่อนจะจ้องหน้าของผู้ฝากฝังตาไม่กระพริบ
“เราจะไปด้วยกันทั้งหมด!” ตวาดขึ้นค้านคัดอย่างไม่ยินยอม แต่อีกฝ่ายกลับเพียงยิ้มรับ
“ข้าเป็นใครกันนะ เด็กคนนี้เป็นใครกันนะ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆด้วยเสียงแหบแห้งที่ไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะยันกายขึ้นพิงกับพนักเตียงอย่างอ่อนระโหย มือซ้ายของนางลูบไล้แก้มของเลือดในอกที่กำลังหลับใหลสนิทโดยมิอาจรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นและกำลังจะเป็นไปในค่ำคืนนี้แม้แต่น้อย “ข้ารู้ว่า คนๆนั้น มีฐานะไม่ธรรมดาอีกต่อไป ไม่สิ ต้องบอกว่า...เพราะแย่งชิงมันมาสินะ.....” ฝืนยิ้มและทำได้เพียงกลั้นน้ำตาไว้ภายใต้เสียงหัวเราะ ผู้ที่รวดร้าวที่สุดคือน้องสาวของนาง ผู้ที่ถูกเหยียบย่ำ ผู้ที่ถูกประหัตประหาร ไม่ใช่มีแต่เพียงตัวนางหรอก
“ผู้ชายพรรค์นั้น............” กัดฟันคั่งแค้น เกลียดชังจนแทบอยากเถือเนื้อหนัง ผู้ชายไร้ปัญญาที่สุดท้ายก็ทำให้คนที่ตนเองเคารพต้องจบชีวิต โง่เง่า และอ่อนแอจนไม่อาจปกป้องได้แม้แต่ผู้หญิงที่ตนเองรักและลูกน้อยของตน สาปแช่ง ไม่ว่าใครจะว่าเยี่ยงใด ก็จะขอสาปแช่งให้มีเพียงความทุกข์วิบากกรรมอยู่เรื่อยไป
“ข้าจะรอพวกเขาที่นี่ และเจ้าจะเลี้ยงดูเด็กคนนี้บนแผ่นดินนี้..คาทริโอน่า” ชัดถ้อยชัดคำเน้นย้ำ ก่อนจะสวมกอดน้องสาวคนสำคัญไว้ในอ้อมแขน นางรู้ตัวว่าเรียกร้องมากไป นางรู้ตัวว่าช่างโง่เขลาเบาปัญญา แต่ว่าทั้งหมดนี้เพราะนี่คือตัวนางที่เป็นภริยา และคือตัวของทารกผู้นี้ ที่เป็น....ผู้สืบเชื้อสาย
“ท่านพี่!”
หากแต่ก่อนที่คาทริโอน่าจะได้ทันโต้เถียงใดๆต่อไป เสียงฝีเท้ากองทหารม้ากลับแว่วดังก้องหูจนสะท้านหัวใจนัก หนึ่งคนป่วย หนึ่งทารก และตัวนางที่ไร้สามารถ จะหลบหนีจากสถานการณ์นี้ไปได้เยี่ยงใด ทว่าคำตอบนั้นกลับเป็นรอยยิ้มของคาทาริน่าที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
คาทาริน่าเขยื้อนกายแช่มช้า ก่อนจะส่งเด็กน้อยสู่อ้อมแขนของผู้เป็นน้าสาว รอยยิ้มนั้นเจิดจรัส สองขาที่พยุงร่างหยัดยืนขึ้นนั้นไม่มีแม้ความหวาดผวา มือเรียวเอื้อมหยิบเสื้อคลุมคลุมกายของตนเอง ก่อนจะหันมาหัวเราะเบาๆกับฝ่ายน้องสาวอีกครา
“เขาคือเด็กที่ต้องเติบโตบนแผ่นดินนี้ น้องสาวข้า และเจ้าก็คือผู้เดียวที่ข้าวางใจ ขอได้โปรดจงเลี้ยงดูเขา...ดุจบุตรในอุทร” เอื้อนเอ่ยอีกครา ก่อนจะจุมพิตที่หน้าผากเพื่ออวยพรแด่ญาติร่วมสายโลหิตและทารกที่ยังคงหลับสนิท เลือดเนื้อ วิญญาณ ความรัก ให้ทุกสิ่งสถิตบันดาลพร ให้คำวอนขอของมารดรจงอวยชัย
“ลาก่อน คาทริโอน่า ” สิ้นคำนั้น คาทาริน่าฝืนพยุงกายก้าวเดินไปเบื้องหน้า ประตูบ้านพลันเปิดออกเตรียมต้อนรับการมาของบรรดาแขกผู้สูงศักดิ์ และที่เบื้องหลังนั้น....
“ ....................ข้า....สัญญา สัญญากับท่านด้วยชีวิต! เด็กคนนี้จะได้รับการฟูมฟักบนผืนแผ่นดินนี้!! เขาจะเป็นลูกข้า!!! จะเป็นลูกของข้ากับคนที่ข้ารักที่สุด!!!! ” คาทริโอน่าให้คำมั่น ก่อนจะหันหลังหนีไปทางประตูหลัง ไม่อาจจะหันหน้ากลับไปสบตา ไม่อาจจะรั้งรอจนเวลาผ่านเลย ด้วยเพราะใบหน้านั้นเปียกชื้น และดวงตาทั้งสองนั้น...พร่ามัวจนไม่อาจแลเห็นสิ่งใด
“เป็นสตรีนั้นลำบาก แต่ชีวิตเจ้า...คงหนักหนายิ่งกว่านัก...ลูกสาวข้า ” ผู้เป็นมารดาร่ำรำพันพลางก้าวเดินไปเบื้องหน้า หิมะนั้นสร่างซา และฟ้าเบื้องบนนั้นกลับพลันทอแสงจันทร์ ให้อาลัย ให้รักมั่น แต่ชีวิตนั้น...ปราศจากความอาวรณ์
ไร้วาสนาสิ้นปัญญาจักฟูมฟัก
แต่ใจรักแม่นั้นมิหนีหาย
ขอพร่ำพรมอบแด่เจ้ามิเสื่อมคลาย
จงสมหมายคาดดังหวังที่เจ้าปอง
และกลับคืนสู่ถิ่นฐานผู้บิดา
ช่วยรักษามาตุภูมิและเพื่อนผอง
ให้ยืนหยัดสู้ทนและเรืองรอง
ดั่งจันทรในคืนค่ำที่เพริศพราว
แต่ใจรักแม่นั้นมิหนีหาย
ขอพร่ำพรมอบแด่เจ้ามิเสื่อมคลาย
จงสมหมายคาดดังหวังที่เจ้าปอง
และกลับคืนสู่ถิ่นฐานผู้บิดา
ช่วยรักษามาตุภูมิและเพื่อนผอง
ให้ยืนหยัดสู้ทนและเรืองรอง
ดั่งจันทรในคืนค่ำที่เพริศพราว
“จงยิ้มได้เถอะนะ อาเดอเรีย.....” หัวเราะเบาๆอย่างวาดหวัง ก่อนจะเดินลับหายไป เพื่อเผชิญหน้ากับ....วาระสุดท้ายของชีวิต
ในความฝันที่ย้ำเตือนซ้ำๆนับสิบปี ในความทรงจำที่เหนื่อยยากและสับสน ณ บัดนี้ สิ่งที่คนผู้หนึ่งได้รับตอบแทนมาก็คือร่างของหญิงสาวขะมุกขะมอมที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของนาง ของคาทริโอน่า เอสเตอร์ผู้นี้
ค่ำคืนแห่งความสับสนผ่านพ้นไป ข่าวประกาศล่าหัวหัวหน้ากบฏนั้นโด่งดัง ในเมืองเมราโน่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทั้งทหารตรวจตราคนเข้าออกเมืองที่เข้มงวด และยังเรื่องของหลานสาวของนางที่ถูกคนพบเห็นว่าลอบขึ้นเขาไปเมื่อคืนวานอีกด้วย ไม่ว่าเรื่องจริงสิ่งใดจะเกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่า หลานสาวเพียงคนเดียวกลับมาในเย็นวันถัดมาพร้อมกับชายหนุ่มผู้เป็นสหายของเอเทล ฟรีด้า และยัง..ท่าทีของผู้มีพระคุณอย่างคอลลิน ลอเรนซ่าที่ถึงกับผงะไปยามได้เห็นจี้รูปงูเขียวที่อาเดอเรียคล้องคออยู่
“เจ้านี่มันไม่รักดีจริงๆ ” คาทริโอน่า เอสเตอร์กล่าว พลางมองมาที่หลานสาวของนางอย่างตำหนิติเตียน เวลานี้พวกเขากำลังนั่งกันอยู่ลำพังสี่คนในห้องลับใต้ดินของตระกูลลอเรนซ่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แต่ดูเหมือนชายพ่อค้าผู้มากประสบการณ์ผู้นี้จะตึงเครียดกับสถานการณ์นี้อย่างมาก ทั้งการที่ไปดูที่เกิดเหตุที่บ้านของนางเมื่อเช้า รับตัวนางมา และคาดเดาอีกว่าไม่ว่าจะอย่างใดจะต้องมีใครปรากฏตัวขึ้นในเย็นวันนี้อย่างแน่แท้ คาทริโอน่าคาดว่านั่นคงจะหมายถึงหลานของคอลลิน ลอเรนซ่า คือเอเทล ไม่ก็คารีน่า แต่รูปการกลับเป็นว่า...เป็นหลานสาวของนาง...ที่กลับมา
“ข้าขอโทษ....ท่านแม่..นายท่าน....” หญิงสาวผมดำที่บัดนี้ร่างกายมีผ้าพันแผลพันตามแขนและช่วงขาเนื่องจากแผลไฟไหม้นั้นก้มศีรษะลงขอโทษจนสุดตัว มือขวานั้นดึงเอาสายสร้อยนั้นส่งคืนแด่ผู้เป็นเจ้านาย และเป็นลุงแท้ๆของ...เอเทล ฟรีด้า
“สองคนนั่นล่ะ” คอลลิน ลอเรนซ่าเอ่ยปาก แน่นอนว่านั่นหมายถึง เอเทล ฟรีด้า และคารีน่า ลอเรนซ่า ผู้เป็นหลานในไส้ของตนเอง
หากแต่คำตอบนั้นกลับมีเพียงดวงตาสีฟ้าของหญิงสาวที่แฝงไว้เพียงความเศร้าโศกสุดพรรณนา ในขณะที่ชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นสหายของคนทั้งคู่ยังไม่มีท่าทีเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เพียงแต่ยืนมองอยู่ห่างๆ และครุ่นคิดบางเรื่องอยู่ภายในใจเพียงลำพัง
“นายท่าน....ข้า......” ทรุดกายลงกับพื้น และก้มหัวจนมิด อาเดอเรีย เอสเตอร์ไม่ได้หลั่งน้ำตาอีกแล้ว แต่สิ่งที่หนักอึ้งอยู่ภายในใจของนางเวลานี้กลับมีเพียงความรู้สึกผิด หากเวลานั้นนางวิ่งเร็วกว่า หากนางไม่หวาดกลัวตัวสั่น หากนางไม่เอาแต่รำพันพร่ำอย่างวิตกกังวล หากเพียงแต่ทุ่มกายถลาเข้าไปรับคมดาบแทนเอเทล บางที....คงจะดีกว่านี้
“ ....งั้นหรอกหรือ ” พ่อค้าใหญ่แห่งเมราโน่หลับตาลงพลางค้อมตัวลงมาใช้ฝ่ามือสัมผัสศีรษะของหญิงสาว เขาเดาออก ไม่มากก็น้อย เส้นผมที่ถูกตัดจนเว้าแหว่งนี่ รอยไหม้พวกนี้ ในยามที่อาเดอเรีย ปรากฏตัวพร้อมกับชายที่ชื่อซัส ในอ้อมแขนของนางที่ประคองกอดดาบที่ตัวเขาคุ้นเคยตา มันจะมีเหตุผลอะไรอื่นอีกอย่างนั้นน่ะหรือ “ เอเทลบอกข้าว่าเขาต้องการทำอะไร และตัวข้าก็ได้บอกเขาแล้วด้วยว่า ทุกสิ่งนั้นตั้งอยู่บนความเสี่ยง ผู้ใดวาดหวัง ก็พึงเตรียมใจเดิมพันด้วยชีวิต....”
“นายท่าน!” นั่นน่ะหรือคือคำพูดที่เอ่ยออกมาจากผู้เป็นญาติเพียงคนเดียว เป็นตัวนางที่อ่อนต่อโลก หรือเป็นเพราะคนรอบกายนั้นล้วนแล้วแต่เข้มแข็งกัน
“คารีน่า ปลอดภัยดีรึเปล่า” เขาถามต่อ หากแต่แทนที่หญิงสาวกลับเป็นซัสที่ขัดตอบขึ้นแทนที่
“พอเห็นเอเทลถูกฆ่าต่อหน้าก็เตลิดหนีไป ข้าสุดปัญญาจะติดตาม” ซัสตอบพลางเดินเข้ามาหาคนทั้งคู่ มือขวานั้นกระชากเอาลำแขนซ้ายของอาเดอเรียขึ้นคลับคล้ายกับจะให้หยัดยืน แต่กลับถูกสะบัดทิ้งอย่างไม่ไยดีอีกเช่นกัน
ดวงตาสีฟ้าใสที่มองจ้องกลับมานั้นมีเพียงความขุ่นเคืองและไม่พอใจประสมปนเปนัก ทว่าคอลลินเลือกที่จะไม่ซักไซ้ไล่เรียงมากไปกว่านั้น เขาทราบดีว่าอาเดอเรียไม่พอใจซัส และพอจะทราบว่าคารีน่านั้นน่าจะพอเอาตัวรอดได้ด้วยตนเอง ตราบที่ยังไม่มีการยืนยันว่าสิ้นใจในสนามรบ มีเรื่องสำคัญกว่านั้นที่จะต้องไถ่ถาม
“ผลงานเมื่อคืน เป็นเจ้าสินะ.....อาเดอเรีย ” ไม่มีเวลาที่จะอ้ำอึ้งหลีกเลี่ยงอีกแล้ว ความตรงไปตรงมาเท่านั้นที่จะคลี่คลายสถานการณ์ ณ เวลานี้ได้
“นายท่าน.....ข้า.....บังอาจอ้างตน...เป็นท่านพี่เอเทล.....” หญิงสาวก้มหน้าลงยิ่งดูเหมือนการสารภาพบาปของซาตานที่รอการพิพากษา หากแต่แทนที่การถูกโกรธเกรี้ยวนางกลับถูกถูกพยุงให้ยืนขึ้น คอลลินนั้นมองนางด้วยท่าทีครุ่นคิด บัดนี้พวกกบฏถูกตามล่าจากทางการ มีคนเห็นอาเดอเรียหลบขึ้นไปบนเขายามวิกาล ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ก็ไม่มีที่ปลอดภัยสำหรับนางอีกแล้ว ต่อให้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกกบฏ ต่อให้เพียรพยายามชี้แจงว่าตนเองบริสุทธิ์ แต่สิ่งที่ต้องยอมรับก็คือ ทั้งตัวหญิงสาวผู้นี้และคาทริโอน่าผู้เป็นมารดาของนาง ไม่มีผู้ใดที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้เหมือนดั่งที่เคยเป็นมาอีก
“คาทริโอน่า ข้าต้องการให้เจ้ารับฟังด้วย และ ช่วยกันตัดสินใจว่าควรเป็นไปเช่นไร” พ่อค้าสูงวัยบอกกับหญิงสาวที่ยืนนิ่งอยู่ไม่ห่าง ต่างฝ่ายต่างมีความในใจ หากแต่ฝ่ายที่เลือกจะเปิดเผยมันออกมาก่อนนั้นคือ ชายผู้นี้นั่นเอง “เรื่องที่พวกเจ้าควรรู้คือ เอเทล...คิดจะไปพบกับบิดาที่เมืองหลวงเพื่อจะได้เข้าใกล้ราชสำนัก เขาบอกกับข้าว่า ด้วยฐานะของลูกนอกกฎหมายของ...ท่านอัครมหาเสนาบดีคงจะช่วยให้แผนการของเขาสัมฤทธิ์ผล ส่วนจะเป็นแผนการใดนั้น...ก็สุดที่ข้าจะคาดเดา”
สิ้นคำอธิบายสั้นๆนั้น อาเดอเรียนั้นพลันนิ่งค้าง ในขณะที่ซัสนั้นยังคงกอดอกด้วยท่าทีไม่รู้สึกรู้สา ส่วนคาทริโอน่าเพียงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“หลานชายท่านเป็นลูกนอกกฎหมายของอัครมหาเสนาบดีจริงๆสินะ” คาทริโอน่าสำทับถามพลางมองจ้องไปที่สายสร้อยในมือของอาเดอเรียอีกครา จี้ที่กระตุ้นเตือนความทรงจำของนางเมื่อนานแสนนานมาแล้ว จี้งูเขียวนั่นไม่ใช่จี้งูธรรมดา แต่เป็นจี้งูที่ทำจากหยกพิสุทธิ์ ที่ปลายหางของงูนั้นแต้มสีแดงชาดเล็กน้อย มันคือ......ตราประจำตระกูลแห่งข้ารองบาท
ตรา
แห่งความอ่อนน้อมถ่อมตน
แห่งความอ่อนน้อมถ่อมตน
“เอเทลเป็นเด็กที่เกิดจากน้องสาวข้ากับท่านมหาเสนาบดีตระกูลฟรีด้า คารีน่าเป็นลูกที่เกิดจากสามีคนที่สอง ข้าคิดว่าเขาคงต้องการจะไปพบบิดา เพื่อจะสะสางปัญหาเรื่องกบฏและเรื่องภายใน แต่นั่นก็คือเท่าที่เขาบอกข้าล่ะนะ นอกนั้นแล้ว.....ข้าก็ไม่รู้ความมากไปกว่านี้”
ความเงียบเข้าครอบงำคนทุกคนด้วยความคิดเห็นที่แตกต่างปนเป โดยเฉพาะ อาเดอเรีย เอสเตอร์ บัดนี้ร่างทั้งร่างของนางยิ่งสั่นสะท้าน นางแทบอยากจะเอาศีรษะชนข้างฝาเสีย ไม่ก็วิ่งหนีไปโดยไม่รับรู้สิ่งใดอีก นางทำบ้าอะไรลงไป ส่งผู้คนไปสู่อันตราย และเอาทุกอย่างของพี่ชายคนนั้นเป็นเดิมพันต่อความคิดตื้นเขินของตัวนาง สมองมืดแปดด้าน นึกไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่าควรทำเช่นใดต่อไป
“เจ้าจะทำเช่นใดต่อไป อาเดอเรีย” คอลลินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ผิดแผก ครานี้มันไม่ใช่เสียงของความเอ็นดูหรือสอนสั่งอีกต่อไป แต่มันกลับเป็นเสียงเข้มของการถามไถ่ ถามหาการตัดสินใจ ถามถึงสิ่งที่คนผู้หนึ่งคาดหวัง ไม่ใช่ในฐานะของเด็กกับผู้ใหญ่ ลูกจ้างกับนายจ้าง แต่เป็น..คำถามจากคนผู้หนึ่ง
“ข้า....น่ะ......” ไม่สามารถตอบออกไปได้ จะให้ทำอะไรล่ะ ทำตามที่ซัสบอก สวมรอยเป็นเอเทล เป็นหัวหน้ากบฏ ไปเมืองหลวง แล้วทำเรื่องบ้าๆอย่างการกบฏล้มล้างราชสำนักที่ตัวเองก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้น่ะหรือ “ เส้นผมข้าน่ะ...เป็นสีดำ”
ใช่สิ ผมเป็นสีดำ นางไม่มีทางจะปลอมเป็นคนตะวันตกได้อยู่แล้ว ไม่มีวันหรอก....
แล้วทำไม...จึงคิดเป็นเช่นนี้ไปได้
“เจ้าย้อมสีผมได้หากว่าเจ้าต้องการ อย่าให้การแก้ตัวเช่นนั้นมาบดบังความนึกคิดใดๆของเจ้า ข้าถามเจ้า อาเดอเรีย เอสเตอร์....เจ้าต้องการทำอะไรต่อไป” นั่นคือคำถามที่แม้แต่ตัวผู้ถามก็รู้สึกได้ว่าช่างเข้มงวด แต่หากเป็นตามที่เขาคาดคิด เอเทล....คงไม่ส่งสร้อยเส้นนั้นให้กับคนที่เขาไม่เชื่อใจ หลานชายคนนั้นอาจส่งมันให้กับคารีน่าผู้เป็นน้องสาวหรือไม่ก็ให้มันตายไปพร้อมกับตัวเขา แต่เขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น และแน่นอนเช่นกันว่าคนอย่างอาเดอเรีย มีหรือจะกล้ากระชากมันออกมาจากคอของเอเทลและสวมรอยแทนโดยไร้เหตุผล เอเทลหนอเอเทล...เจ้ามันช่างเป็นพี่ชายใจดำเสียจริง
“ข้า................” ยิ่งก้มหน้า ยิ่งสับสน ไม่อยากจะเพียรนึกอะไรอีกแล้ว
“ข้าจะเดินทางคืนนี้” ซัสโพล่งขึ้นมาท่ามกลางความเงียบนั้นอีกครา น้ำเสียงของเขาดึงความสนใจไปจากทุกคน “หาก เอเทล เอสเตอร์ปรารถนาจะไปเมืองหลวง จงเตรียมตัวให้ทันในยามสองของคืนนี้” ชายหนุ่มพูดทิ้งท้าย ก่อนจะจ้องเขม็งไปยังหญิงสาวที่ยังมีท่าทีทำอะไรไม่ถูก แน่นอนว่าเขาไม่ชื่นชอบท่าทีแบบนั้น คนเรา เวลาที่ออกปากบอกอยากเห็นสายน้ำนั้นว่าง่าย แต่ครั้นจะให้ก้าวเดินออกไปจริงๆ จะมีสักกี่คนที่สามารถชาญชัย
หากแต่คนทุกผู้นั้น
มีก้าวแรกอยู่เสมอไป
คาทริโอน่าเกลียดแสงจันทร์ มันย้ำบอกนางถึงความไร้สามารถและเรื่องราวโง่เขลาที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิต เวลากำลังจะไปผ่านไปอีกแล้ว ผ่านไปโดยที่นางได้แต่เฝ้ามอง อาเดอเรียยังคงนั่งจับเจ่าอยู่มุมห้องพัก ฝั่งตรงข้ามคือห้องของชายหนุ่มที่ชื่อซัส เข็มนาฬิกาส่งเสียงบาดหู หากแต่ทุกสิ่งก็ยังคงเดินต่อไป
การตัดสินใจอย่างนั้นน่ะหรือ คาทริโอน่าไม่รู้หรอกว่าอะไรคือสิ่งที่อาเดอเรียพึงตัดสินใจ นางไม่ต้องการถาม นางไม่ต้องการพูด เด็กที่นางเลี้ยงดูมากับมือและสอนสั่งทุกสิ่งที่นางคิดเห็นว่ามีค่า เด็กคนนั้นเติบโตขึ้นแล้ว และกำลังเลือกที่จะก้าวเดินต่อไปในทางชีวิตของตนเอง ทั้งที่เคยตัดใจเสียแล้วตั้งแต่เอเทลขโมยของสิ่งนั้นจากไปเมื่อสามปีก่อน หากแต่ท้ายที่สุดก็ดูราวกับว่าโชคชะตานั้นจะหมุนกลับมาในทิศทางที่มันพึงเป็น แม้จะเป็นรูปแบบที่แตกต่างจากที่นางหรือผู้เป็นพี่สาวเคยคาดคิด แต่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะทำให้อาเดอเรีย เอสเตอร์ได้ก้าวไปข้างหน้า
ก้าวไป
สู่เส้นทางของตนเอง
สู่เส้นทางของตนเอง
“นี่ท่านน้า..” เสียงใสที่ทุ้มเล็กน้อยถามขึ้น พลางเงยหน้าขึ้นมาจากเข่าทั้งสองของตนเอง อาเดอเรียกำลังถามนางจากอีกมุมห้องหนึ่ง ในท่ามกลางห้องมืดที่แสงจันทร์สาดเข้ามาให้พอเห็นใบหน้ากันอย่างเลือนราง
“อะไรรึ” ไม่ได้ยิ้มรับ นางไม่เหมือนพี่สาว ไม่เหมือนคาทาริน่า นางยิ้มไม่ออกหรอกในเวลาที่ทุกสิ่งนั้นเป็นตายเท่ากันและแขวนอยู่บนเส้นด้ายบางๆเช่นนี้ และนี่อาจจะเป็นข้อบกพร่องของนางที่ไม่อาจเลี้ยงดูอาเดอเรียให้แย้มยิ้มได้อย่างงดงาม
“ทำไมถึงเลี้ยงข้าแบบเด็กผู้ชายล่ะ” ถามขึ้น เพราะตั้งแต่จำความได้ ก็ถูกสอนให้พูดจาแบบผู้ชาย สวมเสื้อผ้าแบบผู้ชาย เรียนหนังสือแบบผู้ชาย หนังสือทุกเล่มที่น้าสาวของนางเพียรหามาให้นั้น ไม่มีเรื่องใดเลยที่เป็นตำราทำครัวหรือเทพนิยายพื้นบ้านแบบที่เด็กผู้หญิงพึงอ่านศึกษา เคยคิดว่ามันแปลก แต่ก็คิดอีกเหมือนกันว่า..มันจะมีเหตุผลเช่นใดอยู่เบื้องหลัง
“เพราะเป็นสตรีนั้นลำบาก ในชีวิตผู้หญิง เป็นสมบัติของบิดา เป็นของหวงของสามี และเป็นข้าทาสของบุตรชาย นั่นคือความเห็นของข้า และตัวเจ้าเอง...ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเรียนรู้เรื่องเช่นนั้น ”
“ท่านมองโลกในแง่ร้ายนะ” หัวเราะเบาๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าในเวลาแบบนี้จะถามเช่นนี้ไปเพื่ออะไรกัน
อาเดอเรียคิดมาตลอดว่าน้าสาวของนางนั้นเข้มแข็ง เลี้ยงดูนางที่เป็นกำพร้าทั้งบิดามารดามาตามลำพังผู้เดียว ทำงานหนัก เก็บหอมรอมริบ และสอนสั่งทุกสิ่ง หญิงผู้นี้ไม่ใช่สตรีสามัญ แต่เป็นเพชรแท้ คาทริโอน่า เอสเตอร์ ไม่ว่าจะในฐานะของมารดาผู้ประเสริฐหรือน้าสาวคนสำคัญของนาง....นางเป็นอีกคนหนึ่ง...ที่อยู่ผิดที่ทางมิใช่หรือ
“ผู้หญิงนั้นต่อให้ดีเลิศเพียงใด ก็จะถูกมองว่าไม่เพียงพอเสมอ ข้าจึงปรารถนาให้เจ้าแกร่งยิ่งกว่าบุรุษ กล้าหาญ และอดทนเช่นหินผา เป็นหนังสือที่น่าศึกษาทั้งหน้าปกและเนื้อใน” คาทริโอน่าว่าพลางเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะกุมมือทั้งสองที่เย็นเฉียบของหลานสาวคนสำคัญไว้ ไม่ใช่ไม่รู้ว่ากลัว เพราะตัวนางเองก็กลัวเช่นกัน กลัวสูญเสีย กลัวพรากจาก กลัวจนเนื้อตัวสั่น แต่ก็ไม่มีหนทางอื่นใดอีกแล้ว หากว่านี่คือสิ่งที่ใครบางคนเลือก นางก็จะเคารพการตัดสินใจเช่นนั้น
“แต่ข้าก็เป็นได้เพียงเด็กขายของหน้าร้าน” อาเดอเรียพึมพำกับตนเอง นางเงยหน้ามองใบหน้าของผู้เป็นน้าสาว ห่วง กังวล และ....หวาดกลัว..... “ข้าน่ะ......เป็นเพียงคนขี้ขลาดที่ดีแต่พร่ำเพ้อถึงอนาคต เป็นคนที่ใช้ไม่ได้” คำวิจารณ์ตนเองที่แข็งกร้าว แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ผู้ฟังนั้นแค่นยิ้มออกมา หลานสาวของนางช่างเป็นเด็กที่โลภเสียเหลือเกิน
“เช่นนั้นก็จงดีให้พอเถิด ข้าภาวนาขอให้วันที่เจ้าจะบอกกับตนเองได้ว่า เจ้าต้องการหยุดพัก จงมาถึงเถอะนะลูกสาวข้า.....” จุมพิตเบาๆที่หน้าผากและกอดร่างนั้นไว้ในอ้อมแขน การตัดสินใจนั้นคลับคล้ายว่าง่าย แต่แท้จริงนั้น...ช่างยากหยั่ง
ดีใจ
ที่ได้เลี้ยงดูฟูมฟัก
พอใจ
ที่ได้โอบอุ้มเจ้าไว้ในอ้อมแขน
ที่ได้เลี้ยงดูฟูมฟัก
พอใจ
ที่ได้โอบอุ้มเจ้าไว้ในอ้อมแขน
รัตติกาลที่มีเพียงความเงียบงันนั้นมาถึงบทสรุปของมันเมื่อเสียงฝีเท้าทหารนั้นเริ่มดังก้องไปทั่วท้องถนนเป็นสัญญาณของการออกลาดตระเวนติดตาม
คอลลิน ลอเรนซ่ารีบดับไฟในบ้าน ก่อนจะพุ่งไปที่ห้องของสหายของหลานชายผู้ล่วงลับ แต่ดูเหมือนซัสจะเตรียมพร้อมรออยู่แล้ว ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีดำทับร่างพร้อมกับผ้าคลุมสีน้ำตาลหม่นและกระชับดาบข้างกายไว้แน่น ท่าทีเช่นนั้นบ่งบอกถึงความเจนศึก และความเป็นชายชาตินักรบที่ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งใน สัญชาตญาณของคนผู้นี้
“ต้องรีบกันแล้วล่ะ เราคงรอถึงยามสองไม่ได้” คอลลิน ลอเรนซ่าบอกพร้อมกับโยนถุงเงินและเสบียงให้ ซัสเหลือบดูปริมาณของมันก่อนจะฉีกยิ้มน้อยๆอย่างดูเชิงเช่นเคย
“เอาความมั่นใจอะไรของท่านมาเดิมพันน่ะ” ชายหนุ่มถาม
“ความมั่นใจของคนที่เห็นโลกมามากกว่าเจ้า พ่อหนุ่มต่างแดน” คำพูดย้อนที่ทำเอาซัสผงะไปเล็กน้อย เขาก้าวเข้ามาใกล้ชายสูงวัย ก่อนจะยกดาบขึ้นประชิดลำคอของฝ่ายตรงข้าม
“รู้ได้อย่างไรกัน”
“จงอย่าดูถูกพ่อค้าวาณิชย์ เพราะเจ้าจะต้องเสียใจภายหลัง ข้าไม่รู้ว่าเอเทลกับเจ้ามีข้อตกลงอะไรกัน แต่เจ้า....เป็นผู้ชายอันตรายสำหรับอาเดอเรีย เด็กคนนั้นเหมือนลูกนกเพิ่งออกจากรัง เป็นนกน้อยที่ยังไม่อาจบ่งเผ่าบอกพันธุ์ของมันได้อย่างชัดเจนนัก” มันอาจเป็นเพียงนกกระจิบบนยอดไม้ หรืออาจเป็นพญาอินทรีผู้เกริกไกร วิหคน้อยตนนั้น.......
“แต่ก็ยังจะให้ไปกับข้าเนี่ยนะ ช่างเป็นผู้อุปการะที่ใจคอกว้างขวางซะจริง ข้าอาจจะปล่อยให้นางถูกสายลับศัตรูฆ่าตายอย่างน่าอนาถเหมือน...หลานชายท่านก็ได้ ถูกไหมล่ะ ” แสยะยิ้มก่อนจะหัวเราะเบาๆอย่างมีเลศนัย ทว่าชายผู้เป็นพ่อค้ากลับยิ้มกลับด้วยท่าทีที่ไม่มีแม้ความวิตกกังวล แปลกตา จนน่าแปลกใจ
“คนเรานั้น จะประสบความสำเร็จได้ก็ด้วยเงื่อนไขสามประการ หนึ่งคือปัญญา สองคือความกล้า และสาม......” ว่าพลางชูนิ้วเป็นสัญญาณนับ พลางชายตาเชิงคำถามไปยังคู่สนทนาหนุ่ม
“และสาม....คือโชค”
“ความหมายที่แท้จริงของโชค คือเวลาเมื่อการเตรียมพร้อมประสบพบกับโอกาส พ่อหนุ่ม จงรู้ไว้ว่าหากอาเดอเรีย เอสเตอร์ยังมีบิดา ข้าผู้นี้ก็รู้จักนางดียิ่งกว่าบิดาของนางเสียอีก และข้ารู้ดีว่า.......เจ้าเป็นผู้มีโชคที่จะมอบให้กับนาง ซัส ไม่สิ ดิออน เดอ ฟาเรล! ”
วินาทีนั้นเองที่คมมีดเกือบถูกยกเฉือนเข้าที่ต้นคอของชายสูงวัย หากแต่ประตูห้องฝั่งตรงข้ามกลับพลันเปิดออกขึ้นในเวลาเดียวกันนั่นเอง สตรีสองนางจ้องภาพที่เห็นนั้นอย่างตกตะลึง ชายหนุ่มที่กำลังจะเงื้อคมดาบเด็ดศีรษะของลอเรนซ่า หากแต่คมดาบนั้นกลับพลันค้างอยู่กลางอากาศ มันคือความเงียบที่ลึกล้ำ หากแต่ก็เป็นเวลาที่คนผู้หนึ่งพึงเข้าใจเช่นกันว่า ตนเอง....หาใช่ผู้ฉลาดเลิศในปฐพี
“ดิออน เดอ ฟาเรล......” อาเดอเรียพึมพำชื่อนั้น พลางเดินเข้ามาคั่นกลางระหว่างระยะห่างของคมมีด นางเงยหน้าจ้องมองชายหนุ่มด้วยสายตาเคลือบแคลง ก่อนจะเอื้อมมือสัมผัสมือขวาที่จับด้ามดาบนั้น
“จะทำอะไร” ซัส หรืออีกชื่อหนึ่ง ดิออน เดอ ฟาเรลถาม
“ข้าไม่กระหายใคร่รู้ในความเป็นมาของเจ้า ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร และไม่อาจหยั่งรู้วัตถุประสงค์ที่แท้จริง หากแต่...เจ้าสัญญาจะพาข้าไปเมืองหลวง ซัส” น้ำเสียงเรียบนิ่ง และดวงตาสีฟ้านั้นช่างมั่นคง ในเวลานั้นที่ชายหนุ่มแลเห็นประจักษ์ สีฟ้า สีของมหาสมุทร สีของท้องนภา ทำไมกัน จึงราวกับได้เห็นบางสิ่งในตัวเด็กน้อยคนหนึ่ง
ปักษาแสนงามที่เลอเลิศ
หรือกำเนิดจากวิหคน้อยด้อยค่าสูญราคา
หรือกำเนิดจากวิหคน้อยด้อยค่าสูญราคา
“ข้าว่าข้าสัญญา ต่อ เอเทล เอสเตอร์ ”
“ไม่ว่าผู้ใด ก็คือข้าผู้นี้นั่นล่ะ” บอกกล่าว ก่อนจะนิ่งมองกันและกัน ไม่ได้รู้จักกันและกันดีไปกว่านี้ ไม่ได้เข้าใจกันและกันมากไปกว่านี้ หากแต่ ณ เพลานี้ ก็มีเพียง...กันและกัน
ม้าหนุ่มหน่วยก้านดีตัวหนึ่งถูกพาออกมาจากคอกหลังบ้าน ในขณะที่อีกตัวนั้นคือเอรี่ที่คอลลิน ลอเรนซ่าสั่งให้คนไปลอบนำมาจากบ้านของอาเดอเรีย
พ่อค้าแห่งเมราโน่มอบอาชาทั้งสองเป็นของขวัญให้กับการลาจากของพวกเขา เวลานี้ตัวเขากับคาทริโอน่าเองก็กำลังจะหาข้ออ้างย้ายออกจากเมราโน่เช่นกัน พวกเขาทั้งหมดที่อาจถูกสาวภัยมาถึงตัว ไม่อาจจะเสี่ยงรอให้ภัยอันตรายนั้นเกิดขึ้นได้ เขาจ้องมองไปยังหญิงสาว ไม่สิ ต้องเรียกว่าเด็กหนุ่มต่างหากเล่า อาเดอเรียที่บัดนี้ย้อมเส้นผมสีดำจนกลับพลันเปลี่ยนเป็นบลอนด์ทองงดงามตามคำแนะนำ และเส้นผมนี่ก็คือเครื่องหมายของความมุ่งมั่นทั้งหมดที่คนผู้หนึ่งยึดถือ
“เจ้าต้องหมั่นดูแลเส้นผม ตัดให้สั้น และย้อมมันอย่างละเอียด จงอย่าให้ผู้ใดในเมืองหลวงเห็นสีผมแท้จริงของเจ้า และจงจำมั่นให้ขึ้นใจว่า เจ้าเป็นบุรุษ และเป็นบุตรชายนอกกฎหมายของท่านอัครมหาเสนาบดีตระกูลฟรีด้า!” ชายวัยกลางคนผู้ควรมีศักดิ์เป็นทั้งเจ้านายและผู้ปกครองสอนสั่ง เขานั้นมุ่งอธิษฐาน ทุกสิ่งจะไม่ผิดพลาด ทุกสิ่งจะไม่ผ่านเลย นี่คือทางแยกของชีวิตที่คนๆหนึ่งเลือกแล้ว
“ข้า.....จะจดจำทุกสิ่งที่ท่านพร่ำสอน และทำสิ่งที่ท่านพี่เอเทลปรารถนาให้สัมฤทธิ์ผล” อาเดอเรียให้คำมั่น หากแต่คอลลิน ลอเรนซ่ากลับกุมมือของนาง ก่อนจะกลับเป็นตบหัวไหล่ซ้ายเบาๆและฉีกยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ไม่ใช่แล้วล่ะ ต่อจากนี้....จงทำสิ่งที่เจ้าเห็นควร เพราะทางไกลเบื้องหน้าเจ้านับแต่บัดนี้และตลอดไป คือทางของตัวเจ้า เอเทล เอสเตอร์”
“ตัวข้า....” หัวใจพลันเต้นระทึกกับคำพูดย้ำเตือนนั้น ทั้งที่หวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นแต่กลับพลันขนลุกทั่วกายและเต็มตื้นเยือกเย็นขึ้นอย่างแปลกประหลาด
“เจ้ามีปัญญา และความกล้า จงรู้จักใช้มันให้บังเกิดผล ไปเถอะ คนๆนั้นรออยู่แล้ว” ว่าพลางชำเลืองมองซัสที่กำลังยืนอยู่ทางหลังคอกม้าพร้อมกับคาทริโอน่า
อีกฝั่งหนึ่งนั้นไม่แตกต่างกับคอลลิน ลอเรนซ่า ด้วยเพราะคาทริโอน่า เอสเตอร์เองก็มีความคิดคำนึงของตัวนาง นางมองชายที่ถูกเรียกขานว่า ดิออน เดอ ฟาเรล อย่างครุ่นคิด หากเป็นเช่นที่เคยจดจำ ชายผู้นี้ก็คือคนที่คุ้มค่าต่อความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่เป็นทางเลือกที่....เหมาะสมที่สุด ณ เวลานี้
“สายตาท่านบอกว่ายังมีปัญหากับชื่อนั่น” ซัสเอ่ยถาม อาเดอเรียกำลังเดินมา และเขาก็ขี้เกียจที่จะต้องตอบคำถามของนาง ในเมื่อเจ้าตัวยืนยันว่าจะไม่ถาม ก็ขอให้เป็นแบบนั้นให้ตลอด
“หึ ข้าก็แค่คิดว่า ท่านเลือกคนไม่ผิดหรอก” คาทริโอน่าบอกอย่างแช่มช้า หัวใจที่สงบ ก่อเกิดปัญญาล้ำค่ามหาศาลมิใช่หรือ
“ข้าน่ะ แพ้พนันไปคราวแล้ว ลูกสาวท่านจะพาข้าล่มจมไปด้วยอีกครั้งหรือไม่กันนะ” กอดอกพลางชม้อยตาแล เดิมพันบ้าบอที่ตัวเองก็นึกน่าขัน กับชายนักรบแกร่งกล้าสามารถเพียงนั้นยังอับโชค ประสาอะไรกับหญิงสาวตัวจ้อยไร้กำลังแบบนั้นกันนะ แม้ว่า....จะน่าสนุกอยู่มากก็ตาม
ซัสนั้นสบสายตากับคาทริโอน่า และยามนั้นที่เขาได้เห็นว่านางกำลังเหยียดยิ้มหยามหยันอย่างแสนเศร้าเพียงใด
“เอเทลไม่รู้ แต่ข้าคงต้องบอกให้ท่านรู้ ท่านชายดิออน” คาทริโอน่าพูดขึ้น หนึ่งในความจริงที่นางเห็นว่าชายผู้นี้สมควรต้องเข้าใจ
“หืม?”
“อาเดอเรียหาใช่บุตรสาวข้า”
“!”
“นางเป็นหลานสาว เป็นลูกสาวของคาทาริน่า เอสเตอร์กับ...สามีผู้ทอดทิ้งนาง” นั่นคือความจริง ความจริงที่เอเทล ฟรีด้าคงไม่มีทางได้รับรู้ และความจริง...ที่คนทั้งแผ่นดินอาจมองข้าม
“นี่......” ซัสเบิกตากว้าง นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน แต่เรื่องที่ออกจากปากของสตรีตรงหน้านั้นก็ไม่มีวันที่จะกลายเป็นเรื่องโป้ปดไปได้ “ท่านบอกข้าตอนนี้ รังแต่จะทำให้นางเสียเปรียบ”
“เพราะท่านคือดิออน เดอ ฟาเรล ข้าจึงกล้าที่จะบอกต่างหาก” เพราะว่าเป็นท่านชายดิออน เดอ ฟาเรลผู้นี้
เพราะสีดำที่แปดเปื้อนของราชา
ก็นำพาคนผู้นี้เฉกเช่นกัน
“ช่างกล้าบ้าบิ่นจริงๆ” หัวเราะหยันให้กับโชคชะตาและความเขลาที่แสนน่าเสียดายของเอเทล ฟรีด้าผู้ล่วงลับ ทว่าสิ้นคำนั้นของซัส คนสองคนที่เหลือก็พลันจูงม้ามาสมทบ
ไม่มีคำทักทายเอื้อนเอ่ยใดๆต่อกันอีก ทั้งซัสและอาเดอเรียกระโดดขึ้นไปกุมบังเหียนบนหลังม้าโดยไม่รอช้า
“ตามข้ามาดีๆ เราจะต้องออกจากเมราโน่ก่อนรุ่งสาง!” ชายหนุ่มบอก แน่นอนว่าเรื่องที่เพิ่งได้รับฟังนั้นยังตกค้างอยู่ในสมองของเขา แต่ตอนนี้เขาคิดว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ใจอีกต่อไปแล้ว นางคืออาเดอเรีย เอสเตอร์ อาเดอเรียคนที่เขานึกแสนเสียดายและปรารถนาที่จะแลเห็นวันที่นางสานคำมั่นของตนจนสัมฤทธิ์ผล แม้นเป็นสิ่งลวงในสิ่งหนึ่ง แต่สำหรับเขาแล้ว นาง...
คือสิ่งจริงแท้
ในหลากความหมาย
“ตามข้ามาอย่าให้คลาดสายตา อาเดอเรีย!”
“รู้แล้วล่ะ....” ว่าแล้วคนทั้งคู่ก็ชักบังเหียนพร้อมที่จะรุดไปตามเส้นทางลัดอย่างรวดเร็ว อาเดอเรียชำเลืองมองคนสองคนที่แสนสำคัญในชีวิตของนางอีกครา หนึ่งคือน้าสาวผู้ฟูมฟัก สองคือเจ้านายผู้มีพระคุณ คนทั้งสองที่อาจจะไม่ได้พบเจอกันอีกแล้ว นางเลือกอะไร เลือกสายน้ำ เลือกเส้นทาง เลือกอะไรไปกันแน่
“รักษาสุขภาพด้วยขอรับ ” เสียงร้องบอกสุดท้ายของหญิงสาว ก่อนที่ชายหนุ่มจะควบม้ารุดไปเบื้องหน้า และสิ่งที่ อาเดอเรีย เอสเตอร์ทำได้เวลานั้นก็คือ...โจนทะยานไปเบื้องหน้า
เวลาแห่งการพรากจากนั้นมีความหมายที่แปลกประหลาด โศกเศร้าแต่หอมหวาน ทุกข์โศกแต่ยินดี คาทริโอน่า เอสเตอร์ มองเงาที่เลือนหายลับตาไปของหลานสาวและแย้มยิ้มออกมาในที่สุด รอยยิ้มที่นางทอดทิ้ง วันคืนที่จมอยู่กับความปวดร้าวของอดีตนั้นกำลังจะพัดผ่านไป เลี้ยงดูบนผืนดิน ฟูมฟักบนแผ่นดินที่เหมาะสมคู่ควร และเด็กคนนั้น...ก็เลือกทุกสิ่งด้วยตนเอง
“ข้ามีนิทานจะเล่าให้ท่านฟัง ท่านคอลลิน ลอเรนซ่า” เอ่ยเอื้อน และปรารถนาสารภาพบางสิ่ง
“ดูเรา.....ต่างก็มีความลับกระมัง” มองใบหน้าของกันและกัน ก่อนจะฉีกยิ้มส่งผ่าน ภายภาคหน้าต่อไป ยังคงมีสิ่งใดที่รอคอย
นี่ท่านพี่
เขาจากอ้อมอกข้าไปแล้ว
ตลอดกาล
จบตอน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น