ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ศึกแรก
ศึกแรก
คิดจะก้าวก้าวหน้าไม่ถอยหลัง
คิดจะพังพังทลายไม่เศร้าหมอง
คิดจะกล้ากล้าดั่งเพชรที่เรืองรอง
คิดจะป้องป้องเขตคามด้วยหัวใจ
คิดจะพังพังทลายไม่เศร้าหมอง
คิดจะกล้ากล้าดั่งเพชรที่เรืองรอง
คิดจะป้องป้องเขตคามด้วยหัวใจ
สายลมแห่งความตาย เปลวเพลิงแห่งความโศกเศร้า หัวใจของคนที่ร้านจนแตกหักอย่างไม่อาจสมานด้วยโอสถใด ความรู้สึกเพลานั้นที่อาเดอเรียรู้ตัวว่านางคงจะต้องจดจำไปจนวันตาย
“ ไม่!!!!!! ท่านพี่เจ้าคะ!!!!!!!!!!” เสียงกรีดร้องของคารีน่าดังสะท้านไปทั่ว เฉกเช่นกับที่ควันไฟโหมลามเข้ามา เสียงคมดาบที่ยังต่อสู้ฟาดฟันกันไม่หยุดหย่อน สับสน งงงวย และไม่อาจย้ำคิดอะไรให้ได้ถนัด
“ท่านพี่...เอเทล..” กำจี้รูปอสรพิษที่เพิ่งได้รับมอบมาอย่างตระหนกครุ่นคิด เอเทลคิดอะไรอยู่ ในช่วงเวลาที่กำลังจะสิ้นใจนั่น พี่ชายคนนั้น...พี่ชายคนนั้น “ท่านพี่...คิดอะไรอยู่....”
ทว่าวินาทีนั้นที่เสียงร้องเรียกขอความช่วยเหลือกลับดังก้องจากทางด้านหลัง ขณะที่อาเดอเรียกับคารีน่ากำลังนิ่งงันอย่างมึนงงอยู่นั้นกลับมีของสิ่งหนึ่งพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ก่อนจะกลิ้งหลุนๆแทบเท้าให้ได้แลเห็นถนัดตา ..
“ อุก!” ยามที่ได้เห็นชัดแก่สายตา อาเดอเรีย เอสเตอร์ กลับสำรอกอาเจียนออกมาอย่างไม่ทันได้ตั้งสติใดๆ ศีรษะคนที่ถูกตัดสะบั้นกระเด็นมาจากอีกทาง เศษสมองไหลออกจากกะโหลกศีรษะ สีแดง สีแดงที่มืดหม่นโศกสลด...ยามที่คลานไปกับพื้นและแลเห็นการต่อสู้ในอีกฝั่งของพุ่มไม้หนา นั่นคือทหารเมราโน่ที่กำลังขี่ม้าไล่ล่าเด็ดหัวกองกำลังกบฏของเอเทลอยู่นั่นเอง
“นี่มัน....” อาเดอเรียพึมพำกับตนเอง เนื้อตัวสั่นสะท้าน สติค่อยๆกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้งหนึ่ง
นี่ไม่ใช่ความฝัน นี่ไม่ใช่ภาพลวงตาที่จะหายไปแต่โดยลำพังการตั้งสติยั้งคิด ทว่านี่คือเรื่องจริง เรื่องจริงของเวลานี้ที่ว่าพี่ชายบุญธรรมของนางเป็นหัวหน้ากบฏ รีอันน่าคือศัตรูที่ปลอมตัวมา พี่ชายของนางถูกสังหารแล้ว และนางกับคารีน่ากำลังตกอยู่ในวงล้อมศัตรู ผู้คนกำลังถูกรุมฆ่า จะวิ่งหนี จะตีจาก จะปล่อยให้คารีน่า และทุกคนตายอยู่แบบนี้ ในเวลานี้น่ะหรือ
แล้ว
ควรทำเช่นใด
ควรทำเช่นใด
“ ข้า..ข้า.......” กัดริมฝีปากตนเองจนเลือดระริน จะรั้งรอเช่นนี้ต่อไป....ไม่ได้
ตอนนั้นเองที่หญิงสาวคว้าดาบของเอเทลที่กลิ้งอยู่บนพื้นขึ้นกระชับในมือ ความรู้สึกแรกในชีวิตที่ได้จับดาบนั้นบอกได้แต่ว่าช่างหนักและพาลจะให้รู้สึกชาไปทั่วทั้งลำแขน
“ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...” อาเดอเรียพึมพำราวกับกำลังปลอบขวัญและฉีกริมฝีปากฝืนยิ้มปลอบใจให้กับตนเอง สมองขาวโพลนหากแต่ร่างกายกลับเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณ
นางกระชากเส้นผมยาวของตนเองขึ้นและสะบั้นลงในคราวเดียวด้วยคมดาบ เส้นผมสีดำที่มัดเป็นหางม้าไว้ถูกตัดออก พร้อมกับผมที่สยายลงมาระต้นคอสั้นจนไม่น่าเป็นทรงผมของสตรี
“เจ้าคิดจะทำอะไรกัน!” คารีน่าร้องถาม ไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้านางนั้นกำลังคิดอะไรอยู่
“ข้าไม่ยอมตาย ไม่ยอมตายตรงนี้หรอก!” ตะโกนก้องราวกับต้องการประกาศเจตนา จะตายที่นี่ไม่ได้ และจะยอมให้คนมากมายต้องล้มตายไปเพราะการต่อสู้ที่หาประโยชน์อะไรไม่ได้ในครั้งนี้ด้วย
“นี่...นี่เจ้า...เจ้า คิดจะทำอะไรน่ะ!!!”
แม้จะตะโกนด่อทอเช่นนั้น หากแต่ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายของอาเดอเรียกลับไม่ได้แม้ชำเลืองมองมา นางมองตรงไปเบื้องหน้าและแลเห็นว่าคนกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาทางพวกนาง นั่นยังไม่น่าตกใจเท่ากับที่นางได้แลเห็นว่าคนที่นั่งอยู่บนหลังอาชาสีน้ำตาลที่ย้อมไปด้วยโลหิตนั้นเป็นคนที่นางเคยเห็นหน้ามาแล้ว
“ไอแซค.....” อาเดอเรียพึมพำ และตอนนั้นที่คนเหล่านั้นเร่งควบม้าเข้ามาก่อนที่จะยอฝีเท้าลงเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้านั้นถือดาบเปื้อนเลือดอยู่
“เจ้าเป็นใครกัน!” ไอแซคผู้ซึ่งร่างอาบไปด้วยเลือดจากบาดแผลยาวบนหัวไหล่ขวานั้นตะคอกถามพร้อมกับเสียงเหนื่อยหอบ ในขณะที่โทนี่ที่ควบม้าตามมานั้นชำเลืองมองอาเดอเรียตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า นางในยามนี้นั้นดูอย่างไรเสียก็ราวกับชายหนุ่มผู้หนึ่ง เส้นผมสีดำแปลกตาตัดกับดวงตาสีฟ้าเป็นประกายแวววาว รูปร่างเล็กสันทัด แต่กลับมีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกได้ว่าผิดแผกแตกต่างจากคนผู้อื่น ไม่ว่าใครในตอนนั้นก็ต้องมองมาทางนางอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ข้าถามว่า เจ้าเป็นใครกัน!!!!!!!!” ไอแซคยังคงตวาดเสียงลั่น หากแต่อาเดอเรียนั้นกลับสูดลมหายใจลึกก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเหล่าผู้คนที่ควรจะเป็นคนใต้อาณัติของเอเทล ทั้งที่คนเหล่านี้เห็นร่างโชกโลหิตของพี่ชายนางและคารีน่าแล้วแต่กลับยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นตกใจแต่อย่างใด นี่ย่อมไม่ใช่วิสัยปกติอย่างแน่นอน
“รายงานสถานการณ์ที” อาเดอเรียบอกด้วยน้ำเสียงเรียบ
“เจ้า!”
“ข้าบอกให้รายงานสถานการณ์! ไอแซค!” น้ำเสียงกร้าวและกดดันนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มต้องผงะไปชั่วเสี้ยววินาที ดวงตาของคนทั้งคู่นั้นสบประสานกันราวกับจะมองลงไปให้รู้ลึกในความคิดคำนึงของแต่ละฝ่าย
“เจ้ารู้ชื่อข้า”
“ไอแซค ถอยไปก่อน” เป็นโทนี่ที่ลงจากหลังม้าและพิศมองคนที่เขาเชื่อว่าเป็นชายหนุ่มผมดำผู้หนึ่ง รู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง เมื่อมองไปทางเบื้องหลังก็แลเห็นร่างที่นอนจมกองเลือดของชายผู้หนึ่งกับหญิงสาวที่กำลังร่ำไห้อย่างโศกศัลย์ และที่แลเห็นในดวงตาของชายตรงหน้าเขานี้.....คือความแค้นเคือง “ท่านหัวหน้างั้นหรือขอรับ”
“!!!!”
คำเพียงคำเดียวของโทนี่กลับทำให้ไอแซคและบรรดาผู้ติดตามทุกคนต้องนิ่งงัน รวมไปถึงคารีน่าที่ยามนี้นางรู้แล้วว่าจุดประสงค์ของอาเดอเรียคืออะไร แต่ครั้นนางจะเอ่ยปากร้องขัดก็ถูกอาเดอเรียชิงตัดหน้าขึ้นเสียก่อน
“รายงานสถานการณ์สิโทนี่” อาเดอเรียนั้นไม่ปฏิเสธคำเรียกขาน นางกำด้ามดาบแน่นและมุ่งมั่นตั้งสมาธิอยู่แต่กับในปัจจุบันของนางเท่านั้น
“ท่านจิโอวานนี่กับท่านกาเบรียลสองคนยังคงติดอยู่ในวงล้อมข้าศึกเพราะเปิดทางให้พวกเราหนีออกมา ส่วนท่านซัสนั้นกำลังมุ่งหน้าไปเด็ดศีรษะของเจ้าเมืองขอรับ” ชายหนุ่มรายงาน และยามนั้นเองที่บรรยากาศกลับพลันตึงเครียดขึ้นเมื่อเสียงสะเก็ดไฟระเบิดนั้นกลับดังไล่หลังมาจากทิศทางที่พวกเขาเพิ่งผ่านมา
“เรามีดินปืนหรือเปล่า โทนี่” ถามกลับ รู้สึกว่าเหงื่อนั้นผุดพรายบนใบหน้า แต่ไม่ว่าอย่างไรสมองนั้นยังคงขบคิดสั่งการและลมหายใจก็ยังคงผ่อนคลายควบคุมสติของตนได้
“มีขอรับ เหลือจากการระเบิดรถม้าของเจ้าเมืองพอสมควรทีเดียว” เป็นรายงานที่ทำให้หญิงสาวในคราบชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างพอใจ หากเป็นเช่นที่นางคิด คนเหล่านี้....
ไม่เคย
เห็นหน้าเอเทล
เห็นหน้าเอเทล
“ดี!” ว่าแล้วไม่รอช้า นางชิงบังเหียนม้าจากมือของโทนี่ก่อนจะหันไปประกาศต่อผู้คนทั้งหลายอีกครั้ง
“ขนดินปืนไปที่เนินเขา!!!” อาเดอเรีย เอสเตอร์ตะโกนสั่งเหล่าคนแปลกหน้าที่พี่ชายบุญธรรมของนางเรียกว่าพรรคพวก แผนการนั้นถูกคิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน
“นี่คิดจะทำอะไรของเจ้าน่ะ! จะหนีอย่างนั้นน่ะหรือไง!” ไอแซคตวาดพลางกระโดดลงจากหลังม้า เขากระชากคอเสื้อของฝ่ายตรงข้ามจนตัวลอย หากแต่อาเดอเรียกลับจับมือของเขาไว้และมองกลับด้วยแววตากร้าวเข้าไปภายในดวงตาสีเขียวของฝ่ายตรงข้าม
“ถูกต้อง เราจะหนีไงล่ะ” ถ้อยคำสั้นๆที่ทำให้รู้สึกว่าแรงกระชากนั้นมากขึ้นอีกเป็นเท่าทวี
“นี่คิดอะไรอยู่! พวกท่านจิโอวานนี่กับท่านกาเบรียลยังอยู่ในกองเพลิงนะ!!”
“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเราจะทอดทิ้งพวกเขานี่” ว่าพลางสะบัดมือของฝ่ายตรงข้ามออกก่อนจะเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนหลังม้าสีน้ำตาลที่ขนของมันนั้นยังเปื้อนคราบโลหิตศัตรูอยู่จนชุ่ม
“ท่านคิดจะทำอะไร ท่านหัวหน้า” โทนี่นั้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเป็นปกติ มือหนึ่งนั้นรั้งร่างของไอแซคไม่ให้เข้าไปทำร้ายอีกฝ่าย
“เมื่อสิ้นภารกิจนี้แล้ว พวกท่านจะตัดศีรษะข้าเซ่นแก่พวกพ้องที่ล้มตายเสียก็ได้ ขอแต่เพียงเพลานี้ ได้โปรดนำทุกคนขึ้นไปเหนือเชิงเขานั่น! และขอจง....ทำตามคำสั่งข้า!!!”
ในขณะที่อาเดอเรีย เอสเตอร์กำลังเผชิญหน้าอยู่กับทางเลือกที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของนาง ชายผู้หนึ่งก็กำลังเดิมพันอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาของมนุษย์ ซัสกับลูกน้องประมาณสิบคนนั้นเร่งรุดไปตามแนวไพรและกำลังพยามยามที่จะเข้าไปใกล้กองกำลังของศัตรูเพื่อเด็ดศีรษะของเจ้าเมืองเมราโน่คนใหม่ตามเป้าหมาย แม้ว่าจะรู้แล้วก็ตามว่าพวกตนนั้นติดกับดักและเอเทลอาจกำลังประสบเคราะห์ร้ายถึงชีวิต หากแต่ตัวเขาก็ไม่สามารถช่วยเหลือหรือย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้
“ถ้าเจ้าผ่านคืนนี้ไปไม่ได้ ทุกอย่างก็จบนะ...เอเทล ” ซัสบอกกับตนเองยามที่เดินมาจนใกล้ถึงเป้าหมาย เมื่อเบื้องหน้าของเขาคือกองทหารของเจ้าเมืองเมราโน่นับสิบนายที่ยืนเรียงพร้อมเผชิญหน้าอยู่
“เจ้าจะต้องตายอยู่ที่นี่ เจ้าพวกกบฏ!!” เสียงกรรโชกก่นคำราม
“เอาสิ” แย้มยิ้มให้อย่างสงบและในชั่วพริบตาร่างของชายหนุ่มที่ควรจะยืนอยู่ ณ ที่นั้นกลับหายลับไป
แสงสีเงินตัดกับผืนฟ้ามืดมัวและแสงเพลิงที่แดงก่ำราวหยาดเลือด กว่าจะได้ทันรู้ตัว คมดาบแหลมคมก็กลับเฉือนเข้าที่ลำคอของผู้สั่งการ โลหิตพุ่งทะลัก ในขณะที่ซัส ยังคงร่ายรำคมดาบของเขาไปอย่างดุเดือดบ้าระห่ำ พุ่งไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น พลิกแพลง เฉียบคม และแกร่งกล้าอย่างน่าพรั่นพรึง
“ไหนว่า...จะฆ่าข้าไงล่ะ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ เมื่อซากศพไร้ศีรษะนั้นเกลื่อนพื้นและคนที่เหลือทำท่าจะหันหลังถอยหนี เรื่องที่น่ารังเกียจสำหรับคนเป็นนักรบ หันหลังให้ศัตรู ก็คือการ.....ทิ้งชีวิต
“อ๊าก!!!!!” เสียงร้องระงมกรีดลั่น เมื่อชายหนุ่มลงดาบฆ่าฟันจนเลือดอาบร่าง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ดูราวกับสีของแมกไม้ ในเพลานี้มันช่างกลับคลับคล้ายดวงเนตรพญายมที่จ้องมองมายังหมู่มนุษย์ดุจมดปลวก รำลึกอยู่เสมอว่าได้ฆ่าฟันมามาก และจะยิ่งละเลงนองโลหิตให้ลั่นสะเทือนปฐพี
นั่นเพื่อ
ตนเอง
ตนเอง
“ข้าจะรักษาสัญญากับเจ้า...ดังนั้น...อย่าตายล่ะ” ได้แต่เพียงเตือนย้ำปลอบประโลมตนเองเช่นนั้น เขามีสัญญาที่ต้องรักษา มีคนที่ต่อให้ต้องตายไปในเวลานี้ก็ต้องการให้ความปรารถนาของคนผู้นั้นเป็นจริง
จงมีชีวิตอยู่
เอเทล ฟรีด้า
เอเทล ฟรีด้า
“ใคร!” พุ่งไปทางพุ่มไม้เตรียมลงดาบ หากแต่กลับยั้งทันเมื่อแลเห็นใบหน้าของคนที่ปรากฏออกมา หญิงสาวผู้มีดวงตาสีลาเวนเดอร์งดงามที่เคยคุ้น หากแต่บัดนี้กลับเป็นน้ำตาของนางที่ไหลอาบใบหน้าจนหม่นเศร้า “คารีน่า!”
“ซ...ซัส...” คารีน่าเอ่ยนามนั้น ก่อนจะจับชายเสื้อของชายหนุ่มไว้ นางพบแล้วคนที่ควรจะเข้าใจความรู้สึกของนางในเวลานี้ได้ดียิ่งกว่าใคร คนที่พี่ชายของนางเอ่ยเรียกว่า...สหาย
“เกิดอะไรขึ้น! นี่เจ้าไม่ได้อยู่กับเอเทลหรอกรึ!” รู้สึกผิดปกติ หญิงสาวที่ตามสามัญจะต้องยืนเคียงข้างพี่ชายเสมอมา เหตุใดจึงมานั่งระงมร่ำไห้อยู่กลางสนามรบอย่างอย่างเดียวดายเช่นนี้
“ช่วยด้วย...ช่วยข้าด้วย...”
“เอ๋!”
“ท่านพี่..ช่วยท่านพี่ด้วย....อย่า....อย่าให้นังนั่น...อย่าให้นังนั่นเอาชื่อของพี่ชายข้าไป!” สิ้นเสียงนั้นจากน้ำเสียงอ่อนเรี่ยวแรง กลับกลายเป็นเสียงกรรโชกเอาความ
ซัสมองนางอย่างครุ่นคิด แน่นอนว่าเขาไม่ทราบความหมายที่คารีน่าต้องการสื่อแม้แต่น้อย เวลานี้นางช่างคลับคล้ายคนสติไม่สมประดีที่ไม่อาจพูดจากันได้รู้เรื่องเข้าใจ
“เอเทล...เอเทลอยู่ไหน!” เอ่ยถามและรู้สึกราวกับหัวใจของตนนั้นกำลังจะหลุดทะลักออกนอกทรวงอก
“รีอันน่า...นังนั่น..นังนั่นสังหารพี่ข้า!!!” กรีดร้องลั่นและร่ำไห้ราวจะเป็นตาย คำพูดที่เสียดแทงเข้าไปในกลางใจของผู้รับฟัง ซัสนั้นรับรู้ในวินาทีนั้นว่า
ความสนุก
จบสิ้นลงแล้ว
จบสิ้นลงแล้ว
“มาได้เท่านี้สินะ....สหายข้า” ซัสเอ่ยพูดในสิ่งที่หญิงสาวต้องเบิกตาโพลงอย่างไม่คาดฝัน เสียงหัวเราะเบาๆพร้อมกับรอยยิ้มหยันนั้นเป็นสิ่งที่ชวนให้บาดไปถึงหัวใจ
“เจ้า...เจ้าไม่เสียใจอย่างนั้นน่ะเรอะ! พี่ชายข้า! สหายของเจ้า!” กระชากมั่นที่ชายเสื้อ หากแต่ชายหนุ่มกลับแกะมันออกอย่างไม่ไยดี
“เรื่องของข้ากับเอเทล เจ้าก็หาได้ล่วงรู้เช่นกัน แม่สาวน้อย” น้ำเสียงเยียบเย็นย้อนตอบ
และในพริบตานั้นเองที่เสียงระเบิดพลันก้องกึกขึ้นทุกทิศทาง สิ่งที่มองเห็นจากระยะไกลคือพื้นดินเนินเขาที่ถล่มลงมาพร้อมกัน และทับถมร่างของทหารเมืองเมราโน่ที่เอาแต่รุดไล่ตามพวกกบฏไปทางเนินเขาอย่างไม่ดูท่าที
“ใครกัน.....” ซัสนั้นเอ่ยถามกับตนเอง และโดยมิต้องคิดสงสัย เมื่อเสียงทหารดังขึ้นพร้อมประโยคที่ไม่คาดฝัน
“ ตามมันไป! มันคือหัวหน้ากบฏ!!!” ไม่ใช่เพียงวาจา แต่กลับเป็นเสียงดาบที่ดังขึ้นตัดกับเสียงระเบิดระลอกที่สองที่ดังมาจากชายป่าทิศที่เขาเพิ่งจากมา ซัส ไม่มีเวลาจะต่อล้อต่อเถียงกับคารีน่าอีก หัวใจของเขานั้นเต้นระทึก อยากรู้อยากเห็นจนใจสั่น ใครกันที่ใช้นามของ ‘ผู้เป็นหัวหน้า’ พลิกสถานการณ์รบในครานี้
“เจ้าจะทิ้งข้าไปไม่ได้นะ!”
“ต้องได้สิ นี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน” ฉีกยิ้มให้อย่างเยือกเย็น ก่อนจะผลักร่างของหญิงสาวให้ออกห่างโดยไร้สิ้นเยื่อใย
คนบางคนคบหาเพราะพึงใจ คนบางคนคบหาเพราะฝันใฝ่ และคนบางคนคบหา....เพียงเพราะ...อยู่ใกล้ชิด
“เจ้า.......” คารีน่าถูกผลักล้มลงบนพื้นดิน ดวงตาที่แดงก่ำด้วยคราบน้ำตาเหลือกขึ้นมองชายเบื้องหน้า นี่มันเกิดอะไรขึ้น นี่มันเรื่องราวอะไรกัน เมื่อชั่วโมงก่อนนางยังมีพี่ชายที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มกบฏ และยังผู้ชายที่แม้ไม่ชอบใจแต่ก็เรียกได้ว่าเป็นสหายผู้หนึ่งอยู่ข้างเคียง แล้วเวลานี้ล่ะ...นางเหลืออะไรกัน
“อย่าลืมนำศพของเอเทลไปฝังเสียล่ะ” และนั่นก็คือคำพูดทิ้งท้ายที่ทำให้หญิงสาวกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง สายลมที่โหยไห้ เปลวเพลิงที่ลุกโชน ทั้งความคิดของคนที่ยากแก่การคาดเดา ทั้งเรื่องราวบางอย่างที่ไม่อาจหาผู้อธิบาย
นี่คือ
โลกที่เป็นจริง
ย้อนกลับไปเมื่อหลายนาทีก่อน อาเดอเรียขอให้ไอแซคกับโทนี่นำคนของกลุ่มกบฏไปยังเชิงเขาเพื่อฝังชนวนระเบิดก่อนจะขึ้นไปรวมตัวกันบนจุดนัดหมาย ทั้งหมดนั่นคือทิศทางที่เฉพาะผู้ที่ป่ายปีนภูเขานี้ดั่งสวนหลังบ้านมาตั้งแต่เด็กเช่นนางเท่านั้นที่อาจรู้ บริเวณใดที่ดินอ่อนตัว บริเวณใดที่รกไปด้วยพุ่มไม้และเหมาะแก่การซุ่มโจมตีกลับ และบริเวณใดที่เป็นชัยภูมิที่เหนือกว่าในการตั้งรับศัตรู การที่จะเอาคืนทางเมราโน่ด้วยวิธีนี้นั้นคงทานกำลังกันไม่ได้นาน และในระยะยาวอาเดอเรียรู้ดีว่าพวกนางต้องการเวลาหนี มากกว่าที่จะสู้รบยืดเยื้อ และตัวนางนั้นเล่าในเวลานี้ก็กำลังบุกเข้าไปใจกลางเปลวเพลิงเพื่อช่วยเหลือหัวใจของกลุ่มกบฏอีกสองคน
“แค่กๆๆๆ” หญิงสาวสำลักควันไฟออกมา ตอนนี้อาเดอเรียกำลังตกอยู่ท่ามกลางควันสีเทาที่บดบังทัศนวิสัยของนางจนหมด เปลวไฟนั้นรุมล้อมรอบกายจนแสบร้อนผิวหนัง หากแต่นางก็จำเป็นที่จะต้องหาสองคนนั่นให้เจอ หาไม่แล้วแม้จะรอดออกไปได้ก็คงจะถูกไอแซคหรือใครก็ตามสังหารอย่างแน่นอน แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับที่กลุ่มกบฏปลดแอกที่เอเทลพยายามสร้างขึ้นจะต้องพังลงไปในเวลานี้
“ฆ่ามัน!” เสียงตะโกนดังมาจากอีกทางหนึ่ง อาเดอเรียนั้นไม่รอช้าแต่กลับชักบังเหียนม้าพุ่งไปตามเสียงนั้นโดยทันที ช่างน่ายินดีว่าภาพเบื้องหน้าของนางนั้นคือชายสองคนที่ตกอยู่ในวงล้อมของศัตรู ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ในสภาพที่ต่างยืนพิงแผ่นหลังของกันและกัน ดวงตาที่ต่างก็จ้องมองเหล่าข้าศึกอย่างมุ่งหวังผล
“ไปเลย!!! กาเบรียล!!!” ชายผมสีทองผู้มีเครายาวดั่งราชสีห์นั้นตะโกนให้สัญญาณ และเพลานั้นที่คนทั้งคู่พุ่งคมดาบของพวกตนออกไป ประกายดาบนั้นรุนแรงจนแสบตาและกระบวนท่านั้นก็มั่นคงแข็งแกร่งนัก โลหิตสาดกระจายในอากาศ และกลิ่นคาวนั้นก็ฉุนจนแสบจมูกดุจกัน
“ระวัง!!!” เสียงของหญิงสาวนั้นร้องขึ้นเมื่อนางแลเห็นว่าห่าธนูไฟนั้นถูกยิงมาจากอีกทางหนึ่ง เคราะห์ดีว่าฝีมือของคนทั้งคู่นั้นมากพอที่จะปัดคมศรออกได้ ทว่ากลับมีศรลูกหนึ่งลอบยิงมาจากทางด้านหลังในระยะประชิด
“เจ้า!”
จิโอวานนี่ถึงกับผงะไปเมื่อต่อหน้าเขานั้นคนผู้หนึ่งบนหลังอาชาที่ชุ่มไปด้วยโลหิตกลับควบม้ากระโจนเข้ามาขวางเส้นทางของลูกศร ชายหนุ่มผมสีดำใช้ดาบปัดลูกธนูดอกสุดท้ายนั้นไว้ได้
“ท่านจิโอวานนี่ ท่านกาเบรียล หนีไป!”
“เจ้า!!”
“ทหารเมราโน่จงฟัง! หากพวกเจ้าคิดจะกำจัดผู้ใด ก็จงเล็งศรมาที่ข้าสิ เพราะข้า...ข้าคือหัวหน้าของพวกเขา!” นางป่าวร้องประกาศพร้อมกับกระโดดลงจากหลังม้า ส่งบังเหียนที่ชุ่มเลือดนั้นให้กับมือของชายผมสีน้ำตาลที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด “พวกท่านต้องไปที่เนินเขา ข้าสั่งให้ไอแซคกับโทนี่จัดการทางหนีไว้แล้ว” กระซิบบอกเช่นนั้น
“เจ้าคือ....”
“ยินดีที่ได้รู้จักพวกท่านทั้งสอง” อาเดอเรียบอกกับชายผมสีน้ำตาลที่นางเชื่อว่าคงเป็นกาเบรียล และเพราะจิโอวานนี่ดูจะได้รับบาดเจ็บที่ขาจากห่าลูกศรเมื่อครู่จึงไม่สมควรเป็นผู้ควบขี่อาชา
“คิดจะทำอะไรกัน” จิโอวานนี่นั้นเอ่ยถามเมื่อแลเห็นว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าตนนั้นกำลังจะทำอะไร หากแต่เป็นกาเบรียลที่ดึงร่างของเขาให้เข้าใกล้กับม้ามากขึ้นแทน
“จะสร้างปาฏิหาริย์...ล่ะมั้งนะ” นางเอ่ยตอบเพียงเท่านั้นก่อนที่จะกระชับคมดาบมั่นในมือ
จะดีจะชั่ว จะร้ายหรือดี....ตัดสินกันที่วินาทีนี้
“เจ้าเป็นใครกัน! ” เจ้าเมืองเมราโน่ที่ควบม้าตามมาดูสถานการณ์ตะโกนถาม เมื่อคนตรงหน้าที่ปรากฏตัวขึ้นนั้นเป็นชายร่างเล็ก ที่ดูไร้เรี่ยวแรง ซ้ำยังมีน้ำเสียงเล็กประหนึ่งเด็กหนุ่มแรกรุ่นอีกด้วย
“ข้าคือหัวหน้าคนที่พวกท่านถามหาอย่างไรเล่า! หากประสงค์ยลศีรษะข้า ก็จงใช้ความกล้ามาช่วงชิงเอาไป!” สิ้นคำนั้น อาเดอเรียเขวี้ยงระเบิดติดชนวนที่นางได้มาจากพวกไอแซคออกไปโดยพลัน ก่อนจะอาศัยจังหวะชุลมุนพุ่งออกไปอีกทาง
“หนีไปเสีย!!!!” นั่นคือประโยคสุดท้ายที่จิโอวานนี่กับกาเบรียลได้ยินก่อนที่ร่างของพวกเขาทั้งหมดจะถูกกลุ่มควันกลืนหายไป
นั่นคือ
การเล่นกับไฟ
การเล่นกับไฟ
ควันไฟผสมกับแรงระเบิดหลายระลอกยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายหนักหนา อย่างน้อยมันก็เลวร้ายจนเป็นหนึ่งในทัศนวิสัยที่ไม่เหมาะแก่การรุกไล่ตามศัตรู มันควรเป็นเช่นนั้น ความเสี่ยงควรจะหยุดอยู่ที่ตรงนั้น ทว่าตรรกะนี้กลับใช้ไม่ได้กับกองทหารเหล่านี้ เมื่อผู้เป็นนายนั้นแลเห็นเพียงศัตรูที่ลี้กายไปเบื้องหน้าอยู่ในสายตา ศีรษะของหัวหน้ากลุ่มกบฏที่ก่อความเดือดเนื้อร้อนใจไปทั่วแผ่นดินนั้นอยู่เพียงแค่เอื้อมเท่านั้น
“ตามมันไป ! มันคือหัวหน้ากบฏ!!!”
เสียงคำรามที่ทำให้หญิงสาวต้องหวีดร้องอยู่ภายในใจอย่างสั่นไหว นางวิ่งสุดตัว และเหงื่อกาฬนั้นไหลพรากอย่างคนที่รู้ตัวว่าชีวิตตนนั้นตกอยู่ในอันตรายและแผนการที่คำนวณไว้ก็สมประสงค์แบบน่าหวาดเสียวยิ่งนัก นางต้องหาทางหลบหนีและจะไม่ยอมมาตายที่นี่อย่างเด็ดขาด
หญิงสาวทำได้เพียงวิ่งไปข้างหน้า ในขณะที่เสียงตะบึงควบม้าฝ่าเปลวเพลิงนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ
“มันอยู่นั่น!!!” เจ้าเมืองตัวปลอมเงื้อคมดาบออก อาเดอเรียนั้นรู้ตัวว่าไม่อาจจะหนีได้อีกแล้วนอกจากต้องเหวี่ยงดาบเข้าป้องกันตนเอง เสียงโลหะปะทะกับโลหะ แต่เพียงพริบตา ร่างเล็กของผู้ที่ถูกคิดว่าเป็นหัวหน้ากบฏก็กลับปลิวละลิ่วกระแทกเข้ากับลำต้นของต้นไม้ ร่วงลงมากองกับผืนป่าที่ลุกลามเปลวไฟ
“อึก!” แรงปะทะของดาบเมื่อครู่หนักหนาจนทำให้มือซ้ายนั้นสั่นไม่หยุด และ สำรอกอาเจียนเจือโลหิตออกมาทันทีเพราะแรงกระแทกที่แผ่นหลัง คนไม่เคยจับอาวุธ เสียอย่างไรก็ไม่มีวันเก่งกาจไปได้หรอก นางเหลียวมองหาทางหนีแต่ในขณะเดียวก็จ้องมองไปที่ศัตรู ดวงตานั้นถลึงจ้องมองอย่างไม่มีวันถอดใจไปง่ายๆ
“มีดีแค่นี้หรือไงกันเล่า ท่านผู้นำ” น้ำเสียงเยียบเย็นเอ่ยถามพร้อมกับยกดาบขึ้นเหนือศีรษะ ความแวววาวของมันกรีดไปถึงดวงใจของอาเดอเรีย พร่ำบ่นกับตนเองว่านี่ท้ายที่สุดแล้ว นางก็ทำให้เอเทลต้องตายถึงสองครั้งในค่ำคืนนี้เลยเชียวหรือ
“ข้า...ช่างโง่เขลาจริงๆ” พึมพำกับตนเอง ก่อนจะคว้าดาบที่หล่นอยู่ข้างกายขึ้นมาเตรียมตั้งรับ อย่างน้อยที่สุด นางก็จะไม่ให้ชื่อเสียงของพี่ชายต้องหม่นหมอง และก็จะไม่ยอมสิ้นชีพไปเช่นนี้ เพราะว่าโง่เขลา เพราะว่าเบาปัญญา เพราะว่าอ่อนประสบการณ์ เพราะว่าเป็นเช่นนี้
ก็แค่อยาก
เห็นสุดสายน้ำนั่นสักครา
เสียงระเบิดดังลั่นสนั่นผืนป่า ในวินาทีเดียวกับที่ร่างของกองทหารเมราโน่นับสิบล้มลงจมกองเลือดพร้อมกับเศษเนื้อที่ปลิวว่อนในอากาศ ในขณะที่ร่างของอาเดอเรียนั้นล้มอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ที่นางใช้ช่วยกันแรงระเบิดไว้ แท้ที่จริงเมื่อครู่นั้นในท่ามกลางความฉุกละหุกและการปะทะ นางลอบปลดชนวนระเบิดและขว้างใส่ศัตรูที่ทั้งหมดที่ไล่ตามมาในคราวเดียวนั่นเอง รู้ว่าไม่อาจสู้ด้วยแรงหรือฝีมือแต่นางย่อมหวังเพียงสิ่งเดียว
นั่นคือ
ชัยชนะสุดท้าย
ชัยชนะสุดท้าย
“เจ้า..เจ้า....เจ้ากบฏไร้เงาหัว!!!” ฉับพลันที่นึกว่าทุกสิ่งสิ้นสุด ร่างของเจ้าเมืองตัวปลอมที่ไหวตัวทันหลบระเบิดได้อย่างทันท่วงทีนั้นกลับหยัดกายลุกขึ้นได้อย่างไร้ร่องรอยบาดแผล หากแต่ใบหน้านั้นกลับแดงก่ำโกรธเกรี้ยวหนักหนา “เจ้าต้องตายที่นี่!!!!”
“!” ถึงวินาทีนี้ อาเดอเรียทำได้เพียงหยิบดาบของเอเทลขึ้นกำบัง นางรู้ตัวในที่สุดว่าตนเองนั้นอับจนหนทางอย่างแท้จริง
แต่ดูราวกับชะตาของอาเดอเรีย เอสเตอร์จะยังคงไม่ถึงฆาต ต่อหน้าทหารของเมราโน่ที่เร่งติดตามมาตามเสียงระเบิด เบื้องหน้าของพวกเขา ชายหนุ่มนิรนามควงดาบอย่างคล่องแคล่วฟาดฟันปัดป้องหัวหน้ากบฏที่เกือบชะตาขาดจากภยันตราย คมดาบนั้นแทงทะลุตัดขั้วหัวใจของผู้เป็นนายกองทัพอย่างแม่นยำนัก คนผู้นั้นมีเส้นผมและดวงตาสีแมกไม้ รอยยิ้มที่มุ่งมาดอาจหาญอย่างน่าพรั่นพรึง
“ซ...ซัส.....” เสียงเล็กๆของอาเดอเรียพึมพำชื่อนั้น นางไม่อาจเห็นใบหน้าของเขาได้ถนัด แต่แผ่นหลังนี่ แผ่นหลังที่ได้เห็นกันมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา แผ่นหลังที่ทำให้นางเชื่อถือและคลางแคลงระคนปนกัน แผ่นหลังของชายผู้นี้
ทว่ายิ่งกว่าที่คาดประมาณ ไม่ใช่แค่ซัส แต่ยังมีบรรดาผู้ติดตามของชายหนุ่มที่ติดตามมาอีกจำนวนหนึ่ง ทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่ได้เห็นความอาจหาญของเอเทล ฟรีด้าจนประจักษ์แล้วทั้งสิ้น
“นี่มัน.....”
“เราไม่ทิ้งท่านไปหรอก ท่านหัวหน้า!!!!” สมาชิกกลุ่มปลดแอกนั้นบอกกล่าว ในขณะที่ซัสนั้นฉีกยิ้มน้อยๆให้กับตนเอง เขาคล้อยใบหน้าหันมาสบสายตาของผู้ที่เขาได้ช่วยชีวิต ดวงตาสีฟ้าที่แลเห็นนั่น....ช่างตระการตานัก
“ถ้าอยากรักษาสัญญาที่เจ้าลั่นวาจาไว้ ก็จงวิ่งให้เต็มกำลัง!” ชายหนุ่มแผดเสียง แม้ฝุ่งควันจะทำให้มองใบหน้าได้ไม่ถนัดนัก แต่ดวงตานั่น เสียงนั่น และเค้าร่างของใบหน้านั่น เพียงเท่านั้น สัญชาตญาณบางอย่างของเขาก็กรีดร้องลั่นอย่างปิติในทันที
หญิงสาวคนนั้น หญิงสาวที่เขาได้แลเห็นอย่างถนัดที่ข้างถนนในวันนั้น นางที่ใช้ตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่เสียดายต่อชีวิต นางที่มีความคิดเห็นแตกต่างและปรารถนาที่จะทำบางสิ่งที่แปลกแยก ดวงตาสีฟ้าที่เขาแลเห็นนั่นมันตราตรึงอย่างมิรู้ลืม
ดีใจหรือไรกัน ที่คนที่อยู่ตรงนี้...คือนาง
“ซัส!”
“ตามข้ามาให้ดีๆ....ท่านหัวหน้า” รอยยิ้มนั้นชำเลืองมอบให้ ดวงตาของคนคู่หนึ่งสบประสาน เวลานั้นที่ อาเดอเรียไม่จำต้องรีรออะไรอีก แม้จะไม่เคยเชื่อใจผู้ใดมากไปกว่าตนเอง แต่เพลานี้นางรู้ว่า นางควรเชื่อคนๆนี้ อย่างสุดหัวใจ
“ได้”
“เราจะไปด้วยกัน!” ซัสพูดเพียงเท่านั้น ก่อนจะพุ่งคมดาบฟาดไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ใครจะว่าอย่างไรนั้นไม่รู้ ผู้คนจะตำหนิเยี่ยงไรนั้นไม่ทราบ แต่หนทางที่ตัวเขาเลือกมันก็ไม่ได้ต่างกับที่เอเทลได้เลือก เพราะเป็นเช่นนั้น เพราะชีวิตคือความเสี่ยง และความไม่แน่นอนอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าทุกสิ่งดำเนินไปเยี่ยงนั้น
มนุษย์เรา
จึงได้ก้าวไปข้างหน้า
จึงได้ก้าวไปข้างหน้า
ทางด้านของไอแซคกับโทนี่ พวกเขาล่าถอยไปทางเนินเขาตามทิศที่หัวหน้าของพวกตนบอก พวกศัตรูที่ไล่ตามมาถูกขวางไว้ด้วยดินปืนและกลุ่มควัน กว่าชั่วโมงที่การโจมตีอันรุนแรงรุกไล่ดำเนินไป จิโอวานนี่กับกาเบรียลนั้นกลับมาสบทบสำเร็จแล้ว แต่กลับยังไม่เห็นวี่แววว่าพรรคพวกที่เหลือจะกลับมาเลยแม้แต่น้อย
“จะเป็นอะไรรึเปล่านะ” โทนี่นั้นมุ่นคิ้วอย่างชั่งใจ ไม่ว่าหัวหน้าคนนั้นจะอ่านแผนผิดมาก่อนหรือทำให้พวกเขาต้องตกที่นั่งลำบากอย่างไร แต่สถานการณ์ขณะนี้นั้นกำลังถูกพลิกกลับไปคนละทาง ทหารของเมราโน่กลับเป็นฝ่ายถูกดินปืนที่ดักซุ่มไว้โจมตีจนทัพแตกกระเจิงและยังไม่มีทีท่าว่าจะมีกองใหม่หนุนเนื่องมาสมทบแต่อย่างใด
“ใจเย็นเถอะน่า” ไอแซคบอก เขารู้สึกผิดอยู่บ้างที่กระชากคอเสื้อเด็กหนุ่มที่พวกตนควรเรียกขานว่าหัวหน้า ก็ใครบ้างล่ะที่จะใจเย็นอยู่ได้ยามที่พวกพ้องล้มตาย และเห็นว่าคนที่ตนติดตามมาเป็นเด็กหนุ่มท่าทีแบบบางเช่นนั้น แน่นอนว่ายิ่งมีเส้นผมสีดำที่ดูก็รู้ว่ามีเชื้อสายของพวกตะวันออก ยิ่งเห็นแบบนั้น หากไม่ใช่ในสถานการณ์น่าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ เขาคงไม่อาจยอมตามความเห็นของคนๆนั้นได้หรอก
“ข้ารู้” กล่าวตอบอีกหนพลางเพ่งมองไปเบื้องหน้า เบื้องล่างคือป่าที่วอดวาย และเบื้องหลังของพวกเขาก็คือเส้นทางใหม่ที่อาจตัดเลาะออกไปสู่ถนนหลวง นี่คือเส้นทางลับ....
ทางลับที่คนคุ้นชินพื้นที่เท่านั้นที่อาจล่วงรู้ และเฉพาะคนพื้นที่ที่เดินย่ำดินดอนโดยรอบนี้เท่านั้นที่อาจรู้แม้ความนุ่มของผิวหน้าดิน และจุดที่ควรวางชนวนดินปืน หัวหน้าผู้ลึกลับคนที่พวกเขารู้จักมาตั้งแต่ก่อตั้งกองกำลัง....เคยโจมตีหลีกหนีศัตรูอย่างโฉ่งฉ่างแบบนี้หรือเปล่านะ หรือควรจะตีความว่าหัวหน้าคนนั้นเป็นคนพื้นที่ของเมราโน่กัน แล้วเส้นผมสีดำกับรูปร่างเช่นนั้นอีก....
มันช่าง
คุ้นสายตา
คุ้นสายตา
ในขณะที่ความคิดของคนสองคนกำลังสับสนปนเป เสียงระเบิดจากเบื้องล่างพลันดังขึ้นเป็นระยะๆ และเข้ามาใกล้ในทุกขณะ
“หัวหน้า!!!” เสียงตะโกนร้องลั่นจากพรรคพวกที่ดูต้นทางอยู่
ต่อหน้าพวกเขาภาพของคนกลุ่มเล็กๆที่นำมาโดยชายผมดำผู้หนึ่ง และยังตามมาด้วยซัสผู้เป็นคนสนิท และพรรคพวกที่ติดตามไปตั้งแต่ต้น พวกเขาปาระเบิดทิ้งท้ายเพื่อกันศัตรูตามติดเข้าประชิด ในขณะที่วิ่งเข้ามาใกล้เชิงเขาในทุกขณะ
“คุ้มกันท่านหัวหน้า!” ไอแซคตะโกน เสียงตะโกนที่ดังก้องลั่นสะท้านป่า แม้ว่ามันจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ในเมื่อที่เบื้องหลังนั้นหามีศัตรูกล้าอาจวิ่งตามเข้ามาในดงระเบิดดินปืนไม่
เสียงโห่ร้องสรรเสริญ เสียงกังวานตะโกนเมื่อประสบชัย ผู้คนที่ล้อมหน้าล้อมหลังชายหนุ่มผู้กลับมาจากศึกสงครามขนาดย่อม
“ปาฏิหาริย์งั้นหรือ” จิโอวานนี่ที่เพิ่งเดินออกมาจากทางด้านหลังโขดหินทวนคำนั้น ในขณะที่กาเบรียลอดที่จะพลอยยินดีตามไปด้วยเสียไม่ได้
“ดูท่าว่าหมากตัวนี้จะใช้การได้ดีกว่าที่คาดคิดกระมัง ท่านแม่ทัพใหญ่” กาเบรียลผู้มีเส้นผมสีน้ำตาลแดงและแววตาสีน้ำเงินเข้มที่ดุดันเอ่ย เป็นถ้อยคำที่ได้ยินกันเพียงสองคนในยามที่คนอื่นนั้นเร่งลงไปต้อนรับท่านหัวหน้าผู้เก่งกล้า
“ก็ได้แต่หวังว่าปาฏิหาริย์นื้จะไม่ใช่เพียงการเล่นตลกล่ะนะ” ตอบรับและหลับตาลงอย่างพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่แม้จะยากลำบากผิดแผนการแต่ก็จบลงด้วยดี หากแต่ความรู้สึกบางอย่างของเขานั้นหาได้ชื่นชมยินดีจนหลงลืมเหตุผลไปตามคนรอบกายไม่ ในความรู้สึกนี้มันมีบางสิ่งที่บอกกับเขาว่ามันผิด ที่ไหนสักแห่ง ตรงไหนสักที่...
มัน
ผิดปกติ
ผิดปกติ
แม้จะมีความเสี่ยงว่าจะถูกทางการดักซุ่มโจมตีอีกระลอก หากแต่มันจะไม่เป็นเช่นนั้นโดยง่าย เมื่อปรากฏว่าซัสสังหารผู้นำของพวกทหาร หรือก็คือเจ้าเมืองเมราโน่ที่วางกับดักพวกเขาไปแล้วในการต่อสู้ ในเวลานี้จึงเป็นการซุ่มซ่อนพักผ่อนเพื่อเตรียมขยับขยายไปยังที่ปลอดภัยเท่านั้น หากแต่สำหรับผู้นำของกลุ่มนั้นพวกเขาไม่มีแม้เวลาที่จะพักรักษาตัว
สำหรับจิโอวานนี่ กาเบรียล โทนี่ และไอแซค ก่อนฟ้าสางพวกเขาจะต้องคิดหาทางเดินแต้มต่อไปเพราะไม่ช้าข่าวการเอาชนะศึกที่เมราโน่คงจะไปถึงเมืองหลวง และเมื่อนั้นทางการคงจะยิ่งรุกไล่เข้ามา
“บุกไปเมืองหลวงเถอะ ขอเพียงสังหารพระราชชนนีกับกษัตริย์ได้ ทุกสิ่งก็ย่อมจะคลี่คลายไปได้บ้าง” ไอแซคผู้ซึ่งได้รับบาดเจ็บหนักหนาที่สุดเสนอความเห็นด้วยท่าทีที่ไม่นึกประหวั่นพรั่นอันตรายตามประสาคนหนุ่ม
“แล้วยังไงล่ะ จากนั้นทางราชสำนักก็จะให้เจ้าชายรัชทายาทขึ้นครองราชย์ งั้นมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยมิใช่รึ” โทนี่ผู้อยู่ในวัยยี่สิบกว่าไล่เลี่ยกันแย้ง เขานั่งอยู่ที่โขดหิน ในขณะที่คนอื่นๆยืนบ้างนั่งบ้างอยู่โดยรอบในผืนป่าที่บัดนี้กลุ่มของพวกเขาเข้ามาครอบครองดูแลเป็นชั่วคราว
“แต่หากไม่ทำอะไรให้เด็ดขาดลงไป การคงอยู่ของพวกเราในระยะยาวย่อมจะลำบาก อย่าลืมว่าตอนนี้ทางการเองก็ระดมกำลังมากขึ้นทุกที ทั้งประชาชนเองก็มีความอดทนที่จำกัด ถ้าเราไม่เร่งเปลี่ยนแปลง ไม่ช้านานสงครามกลางเมืองก็จะเกิดขึ้น หรือไม่ก็...พระราชชนนีอาจจะรับสั่งอะไรแปลกๆขึ้นมาก่อนก็ได้” คำพูดของกาเบรียลนั้นมีความหมายนัยที่รับรู้กันดีว่าตัวพระนางคาลาเซลล่า สมเด็จพระราชชนนีในพระเจ้าอเล็กซานโดร อาจจะใช้โอกาสนี้ให้กำลังทหารของไอโอเนียเข้ามาแทรกแซงการเมืองภายในประเทศ ซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้ทุกอย่างย่ำแย่ลงไป
“หรือท่านคิดว่าอย่างไร ท่านจิโอวานนี่” กาเบรียลนั้นยังคงยิงคำถามใส่ผู้ซึ่งอาวุโสที่สุดในกลุ่มพวกเขา ในขณะที่จิโอวานนี่ยังคงนิ่งเงียบ ชายผู้มากประสบการณ์ค่อยๆคิดพิจารณาช้าๆ ก่อนที่โสตประสาทจะสดับฟังเสียงฝีเท้าที่แว่วมาจากอีกทาง
“ข้าอยากฟังความเห็นของท่านหัวหน้า” จิโอวานนี่ร้องเรียกคำตอบจากคนที่เพิ่งเดินเข้ามากลางวงประชุม
เด็กหนุ่มผู้เพิ่งกลับจากการทำแผลพุพองจากแผลไฟไหม้ เส้นผมสีดำนั้นถูกมัดรวบแล้ว ดวงตาสีฟ้าบนใบหน้าที่ดูเหมือนเรียบนิ่งนั้นดูจะมึนงงเล็กน้อยกับการถูกยิงคำถามอย่างกะทันหัน หากแต่ก็ยังคุมสติมั่นพอที่จะยืนนิ่งโดยไม่ไหวติง ที่เบื้องหลังนั้น ชายนามว่า ซัส ซึ่งรู้กันว่าเป็นผู้ติดตามของท่านหัวหน้าผู้นี้ยืนอยู่ไม่ห่าง
“ความเห็นของข้า.....” อาเดอเรีย เอสเตอร์ย้ำคำถาม นางเพิ่งจะได้อยู่ตามลำพังกับซัสในยามที่ทำแผล และยังแทบจะไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยนอกจากการสบสายตา
จะให้ทำอย่างไรกันเล่า ตัวนางไม่ได้คิดมาก่อน คิดเพียงจะช่วยพรรคพวกของเอเทล คิดเพียงจะให้ผ่านสถานการณ์เฉพาะหน้าไป ไอ้เรื่องที่ว่าต่อจากนี้จะทำเช่นใดนั้น ผู้ใดเล่าจะให้คำตอบ นางไม่รู้จักกลุ่มกบฏมากไปกว่าบนประกาศจับ ข่าวชาวบ้านและคำอธิบายคร่าวๆจากเอเทลและซัส ไม่ได้สนใจ ไม่ได้เข้าข้าง โดยเฉพาะความจริงที่ว่า ตัวนาง
คิดเห็น
แตกต่าง
แตกต่าง
“ความเห็นของท่านในการรุดหน้าต่อไปของพวกเราคืออะไร ท่านหัวหน้า” จิโอวานนี่เน้นย้ำ
เวลาเดียวกับที่สายตาทุกคู่ ณ ที่นั้นจ้องเขม็งมาที่อาเดอเรีย อาจเพราะการรบที่ประสบความสำเร็จ หรืออาจเพราะความคาดหวังที่คนเหล่านี้มีต่อพี่ชายของนางนั้นสูงอยู่แล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามสมองของนางตอนนี้ก็ไม่อยู่ในวาระโอกาสที่จะคิดอะไรอีกแล้ว
ซัสยังยืนอยู่ข้างหลัง และเขาก็เลือกที่จะนิ่งเฉย สำหรับชายหนุ่ม เขากำลังแย้มยิ้มอีกครา ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าหญิงสาวกะโปโลตรงหน้ามึนงงขนาดไหน ใช่ว่าจะไม่รู้ว่านางกำลังสับสนเพียงใด แต่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ผู้ใดนั้นเรียนผูกก็สมควรแก้ไขด้วยตนเอง ไม่เกี่ยงเพศ ไม่เกี่ยงอายุ ไม่เกี่ยงวรรณะ และแน่นอนว่าเขากำลังกระหายใคร่รู้เหลือเกินว่า ความคาดหวังของเขา...จะสมปรารถนาหรือไม่
“ข้า...มีเรื่องต้องบอก....” หญิงสาวเปิดปากพูด ย้ำคิดกับตนเอง ควรจะบอกออกไปใช่ไหม ควรจะบอกออกไปว่า เอเทล ฟรีด้านั้นสิ้นลมแล้ว หัวหน้าที่ไม่เคยเห็นแม้รูปร่างหน้าตาคนนั้นของพวกเขาจากไปแล้ว การปฏิวัตินั้นจบแล้ว ไม่มีสิ่งใดอีกแล้วควรจะ..พูดไปเช่นนั้น
ทว่าทั้งที่ใจหนึ่งคิดเช่นนั้นเสียเต็มประดา ทั้งที่อยากปล่อยวางและหนีจาก แต่ริมฝีปากนั้นกลับไม่อาจเอ่ยคำพูดถัดไป และหัวใจนั้นกลับเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ นี่ตัวของนางเองกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่
“เชิญว่าในสิ่งที่ท่านเห็นสมควรเถิด” ท่านผู้อาวุโสย้ำคิดคราเมื่อรู้สึกถึงถ้อยคำที่อ้ำอึ้งนั้น แต่แล้วคำตอบนั้นกลับแย้มออกมาโดยพลัน
“ไปเมืองหลวง....ไปเอลวาน่า” อาเดอเรียเอ่ยตอบด้วยถ้อยคำสั้นๆ ในยามที่นางใช้มือขวาเอื้อมสัมผัสสร้อยสีทองที่ประดับจี้รูปงูเขียวที่คล้องบนลำคอของนาง ใช่สิ ตัวเอเทลต้องการไปเมืองหลวง นั่นอาจเพราะมีแผนการบางอย่าง พี่ชายคนนั้นอาจจะวางแผนบางอย่างไว้ และนางก็ควรจะชี้นำให้เป็นไปตามนั้น อย่างน้อยก็ควรให้มันเป็นไปตามที่เอเทลต้องการ น่าขัน นี่นางกำลังมัดห่วงผูกคอให้ตนเองมิใช่หรือไร เหตุใดจึงไม่พูดออกไป ณ เวลาที่สมควรแก่การสารภาพกันเล่า
“ทำไมถึงต้องไปเมืองหลวง” กาเบรียลย้อนถาม แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงเขา แต่เป็นทุกคนที่ต้องการรู้ความหมาย หากแต่ที่ได้รับตอบกลับกลับมีเพียงความเงียบ เด็กหนุ่มตรงหน้ายืนนิ่ง ไม่ตอบรับ ไม่อธิบาย ได้แต่เพียงยืนนิ่งอยู่
“พวกข้าเองก็ต้องการทราบ กรุณาตอบด้วย ท่านหัวหน้า” โทนี่กับไอแซคถามย้ำอีกครา โดยหารู้ไม่ว่าแม้แต่ตัวผู้พูดนั้นก็ยังไม่รู้คำตอบ
แต่ทว่า...
“ไม่เชื่อกันหรือไง” ในท่ามกลางความเงียบ เสียงของชายหนุ่มที่นิ่งอยู่นานนั้นเอื้อนเอ่ยขึ้น ซัสนั้นยิ้มเยาะให้ ก่อนจะตบลงบนบ่าของอาเดอเรียแรงๆสองสามที
“ซัส” นางพึมพำชื่อนั้นเบาๆ หวาดกลัวขึ้นมาว่าชายคนนี้กำลังจะพูดจาอะไรออกไปกันแน่
“นี่คือท่านหัวหน้าที่ช่วยชีวิตพวกท่านทั้งหมดไว้ เป็นท่านหัวหน้าที่รวบรวมกองกำลังนี้ขึ้นมา ไม่คิดว่า...เสียมารยาทไปหน่อยหรอกเรอะ” นักดาบหนุ่มว่าพลางหัวเราะเบาๆ ในสายตาของอาเดอเรีย นางไม่รู้จริงๆว่านี่คือการช่วยกู้สถานการณ์หรือดึงดันให้ทุกอย่างย่ำแย่ลงกันแน่ ถูกต้อง เพราะบัดนี้คนทั้งสี่เงียบกริบและดูจะยอมรับในการตัดสินใจที่ไม่รู้เหตุผลแน่ชัด แต่ในอีกทาง นางกลับยิ่งมืดแปดด้าน สับสนในตัวเองว่าใครคือเอเทล ใครคือหัวหน้า แล้วนี่นาง...กำลังเล่นละครเป็นผู้ใดกันแน่
“รับทราบ เช่นนั้นโปรดออกคำสั่ง พวกเราพร้อมจะปฏิบัติตามท่าน” จิโอวานนี่ว่า อย่างที่อาเดอเรียคิดไว้ นางเกลียดสายตาของชายผู้นี้ ชายที่ชื่อว่าจิโอวานนี่ผู้นี้ มันราวกับเข็มแหลม ราวกับเหล็กร้อน และนี่...นางกำลังถูกจับผิดไม่ใช่หรือไร
“อีกสิบวันเราจะไปพบกันที่เมืองหลวง”หญิงสาวบอกโดยคำนวณระยะทางจากที่เคยอ่านบันทึกบอกเล่าการเดินทางจากหนังสือ
“ที่ใด” จิโอวานนี่ถามกลับ หากแต่ผู้ที่โพล่งดักขึ้นตอบกลับเป็นซัสอีกครา
“ก็ต้องเป็นที่ฐานลับแห่งนครเอลวาน่าน่ะสิ ท่านจิโอวานนี่นี่ช่างซอกแซกในรายละเอียดเสียจริง” ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะ หากแต่ครานี้จิโอวานนี่กลับไม่ได้เป็นฝ่ายลดราไปโดยง่าย เขาหัวเราะในลำคอ ก่อนจะโค้งให้กับหัวหน้าของเขา
“ข้าย่อมต้องซักไซ้เรื่องมากด้วยเพราะระหว่างพวกเรานั้นท่านหัวหน้าเป็นสัญลักษณ์ที่แสนสำคัญ ในอดีตก่อนภารกิจนี้ท่านซัสเป็นตัวแทนของท่านหัวหน้าติดต่อสั่งการกับพวกเรา ทว่ายามนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว หากมิบังอาจจนเกินไป เพื่อกันคนภายนอกแอบอ้างบังอาจเป็นตัวท่านในภายภาคหน้า ท่านจะกรุณาบอกนามเรียกขานของท่านให้พวกเราจดจำไว้ได้หรือไม่” คำขอที่ทำให้คนทุกคน ณ ที่นั้นต้องจ้องมาที่เด็กหนุ่มร่างเล็กเป็นตาเดียว
“ชื่อ........” ชื่อ....
“หรือท่านจะบอกว่า แม้แต่นามของท่าน พวกเราที่เป็นสหายร่วมเป็นตายกันมาก็ไม่สมควรรับรู้กันเล่า ข้าเห็นว่าบัดนี้เป็นเวลาสมควรที่พวกเราจะได้วางใจและหลอมรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” ชายผู้อาวุโสยิ่งรุกไล่ หญิงสาวก็ยิ่งอับจนหนทาง นางไม่อาจนิ่งเงียบ นางไม่อาจเบือนหน้าไปถามคนข้างกาย และยิ่งไม่อาจจะปฏิเสธได้ แต่คำตอบนั่น...ควรเป็นอะไร
พี่ชายที่กำลังมุ่งไปเมืองหลวงนั่นจะเพราะด้วยเรื่องการกบฏและพบบิดาเท่านั้นน่ะหรือ ความลับของเอเทล เรื่องราวส่วนตัวที่นางไม่ทราบ ถ้าหากบอกชื่อออกไปได้ หากบอกชื่อสกุลที่แสนสำคัญยิ่งออกไปได้ เอเทลก็คงจะทำไปนานแล้ว แต่ที่ไม่ทำ แล้วทำไมจึงไม่ทำกันเล่า
“เอเทล ..... เอเทล เอสเตอร์ คือตัวข้า และข้าเชื่อพวกท่าน เทียบเท่ากับที่ข้ามั่นคงในตนเอง ขอจงมุ่งไปรอข้าที่เมืองหลวงเถิด ข้าจะรุดตามไปภายในกำหนดสิบวัน ” นั่นคือคำตอบของสิ่งที่ถามหา และนั่นคือวาจาที่จักผูกมัดคนเข้าด้วยกัน ดวงตาสีฟ้านั้นมองมุ่งไปข้างหน้า หวาดหวั่น แต่ไม่ปรารถนาที่จะถอยหนี...
“รับทราบ ท่านหัวหน้าเอสเตอร์!!!!” เสียงขานตอบรับ...ที่บาดลึกถึงหัวใจ
คนผู้นี้คือ
เอเทล เอสเตอร์
เอเทล เอสเตอร์
ยามสายของวันนั้นคือความเงียบงันที่ยากแก่การบรรยาย หนึ่งหญิงหนึ่งชายที่นิ่งมองการเคลื่อนขบวนจากไปของกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าพรรคพวกบนเนินเขาที่ค่อยๆเงียบร้างและปราศจากผู้คนอีกคราหนึ่ง พวกเขาไม่ได้พูดจาอะไรกัน คนหนึ่งนั้นปราศจากคำพูดอธิบาย ในขณะที่อีกคนหนึ่งนั้นรอคอยอย่างดูท่าที พวกเขาไม่ใช่คนแปลกหน้าของกันและกัน แต่ก็หาได้เป็นคนชิดใกล้ พบกันกี่ครา พูดคุยกันกี่หน อัธยาศัยที่มีให้ น้ำใจที่มีแบ่งปัน ทุกสิ่งนั้น....ราวกับภาพลวงตาในยามนี้
“จะไม่ถามอะไรเลยหรือ” อาเดอเรีย ไม่สิ เอเทล เอสเตอร์ ณ เวลานี้ต่างหากเป็นผู้เอ่ยขึ้น นางหันไปมองฝ่ายตรงข้ามที่กำลังอมยิ้มนิดๆดูราวกับเรื่องราวข้ามคืนที่เพิ่งผันผ่านไปราวฝันร้ายนั้นไม่มีอยู่จริงกระนั้น
“อะไรคือคำถามล่ะ ท่านหัวหน้า” ยังคงเรียกเช่นนั้นโดยไม่สนใจหางคิ้วที่แทบจะขมวดชนกันของคู่สนทนา
“จะล้อข้าเล่นอย่างนั้นน่ะหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านพี่น่ะ....” ครั้นจะพูดต่อแต่ปลายนิ้วของชายหนุ่มกลับจรดห้ามปรามลงมาบนริมฝีปากบางของหญิงสาว คลับคล้ายถ้อยคำต่อไปนั้นคือเรื่องต้องห้ามที่หาได้สมควรเอื้อนเอ่ย ดวงตาสีฟ้าและสีน้ำตาลที่สบประสานกัน คนที่พวกเขาคิดคำนึงร่วมกัน และเหตุการณ์ที่เพิ่งผันผ่านมาโดยน้ำตาของฝ่ายหนึ่งยังมิทันแห้งเหือด และความผิดหวังของอีกฝ่ายนั้นยังมิได้จางหาง
“บัดนี้ หัวหน้าของกลุ่มกบฏคือ เอเทล เอสเตอร์ และข้าขอบอกว่า นั่นก็คือ..ตัวเจ้า” น้ำเสียงเฉียบขาดเยียบเย็นที่ทำให้ดวงตาของหญิงสาวต้องเบิกกว้างอย่างไม่ตั้งใจ “เอเทลไม่ต้องการคนกลางในการติดต่ออีกแล้ว ใบหน้าของเจ้า น้ำเสียงของเจ้า นั่นล่ะคือคำตอบ”
“ข้า....ไม่ใช่ ”
“คนที่เอาชนะทหารเมราโน่คือเจ้า คนที่ช่วยชีวิตพวกกบฏคือเจ้า คนที่สั่งการให้พวกนั้นไปยังเมืองหลวงคือเจ้า ข้าขอถามว่าหากไม่ใช่ตัวเจ้า แล้วจะเป็นผู้ใดกระนั้นน่ะหรือ” ยิ่งฉีกยิ้มแสยะให้ก็ยิ่งสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ อาเดอเรียไม่เข้าใจเอาเสียเลย นางแน่ใจว่าคนผู้นี้รับรู้ว่าพี่ชายของนางไม่อยู่อีกแล้วและจากไปแล้วตลอดกาล แต่หากเป็นแบบนั้น ทำไมจึงยิ้มได้ ทำไมจึงดูแจ่มใส ทำไมจึงดูราวไม่มีสิ่งใดผันแปร และยังเพียรจะยกทุกสิ่งอันเป็นภาระให้กับตัวนาง โดยปิดกลบความลับที่น่าเคลือบแคลงนั้นจากสายตาคนทุกผู้
“นี่เจ้า..คิดอะไรอยู่.....” คนตรงหน้านางนี่...มันใครกันหรือ
“แล้วเจ้าล่ะ ยามที่เอ่ยสั่งการให้ผู้คนเสี่ยงชีวิตและกระตุกสร้อยเส้นนั้นจากมา เจ้าครุ่นคิดตระหนักไว้เพียงใดกันเล่า” จงรู้ถึงความนัยของมัน จงรู้ถึงความหนักหนาสาหัสของมัน ตัวเจ้าที่ตัดสินใจอะไรลงไปแล้ว ....สมควรรับผิดชอบต่อสิ่งนั้น
“เอเทล...คืออะไรสำหรับเจ้ากัน” ไม่ใช่ทั้งเพื่อน ไม่ใช่ทั้งเจ้านาย จนถึงตอนนี้นี่ล่ะคือความมั่นใจอย่างที่สุดที่อาจเอ่ยได้ ความสัมพันธ์ของคนสองนี้ย่อมไม่ใช่เพียงนายและผู้ตาม หรือเพียงสหายผู้แนบชิดเป็นแน่
“เจ้าจะตัดสินใจเยี่ยงใดข้าไม่รู้หรอกนะ แต่คิดว่าเจ้าคงอยากจะรู้บางเรื่อง อีกสิบวัน พระเชษฐาองค์รองในสมเด็จพระราชชนนีคาลาเซลล่าแห่งไอโอเนียจะเสด็จประพาสนครของเอสเทเนีย ถ้าพวกเขาไม่พบเจ้าแล้วเกิดพลั้งทำเรื่องบ้าบออะไรลงไป...”
“หมายความว่ายังไง......” คนๆนี้...
“ก็จงอย่าลืมเสียล่ะว่า เจ้า คือคนที่สั่งให้พวกเขาไปยังนครหลวง......เอเทล เอสเตอร์”
“..................................” ไร้สิ้นคำตอบ และเหลือเพียงแต่สายลมโชยคาวเลือดที่โหยไห้ คนสองคนที่ต่างยืนจ้องมองกันและกันด้วยความรู้สึกที่เกินคาดฝันพรรณนา ไร้ซึ่งเหตุผล ไร้ซึ่งคำตอบ หากแต่ดวงใจเล่านั้นระทึกไหว ผู้หนึ่งหวาดกลัวเศร้าสร้อย ส่วนอีกผู้หนึ่งเล่านั้นคาดหวัง ยินดี นั่นคือ.........
ความแตกต่าง
ของสองเรา
ของสองเรา
จบตอน
ตอนนี้ดัดแปลงและเปลี่ยน "ศึกแรก" ของอาเดอเรียค่ะ จริงๆคือขัดใจกับบทแนะนำตัวละครฝ่ายกบฏของตัวเองตั้งแต่แรกแล้วแต่ก็แก้ไป แก้มาหลายรอบ ในที่สุดครั้งนี้เลยตัดสินใจว่าแม้ต้องรื้อใหม่ก็ต้องทำให้อ่านง่ายให้จง ได้ และหากท่านเคยอ่านเวอร์ชั่นเดิมก็จะได้เห็นว่าการตัดใจบางอย่างของอาเด อเรียเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งก็จะส่งผลให้บุคลิกภาพบางอย่างของอาเดเรียในอนาคตเปลี่ยนไปด้วยค่ะ
ตอนนี้แก้เนื้อหาไปถึงกลางเรื่องก็พบว่าต้องเปลี่ยนพล็อตตรงช่วงกลางให้ดุดันขึ้น ส่วนจะเป็นยังไงนั้นรอชมนะคะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น