ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : แผนการ
บทที่ 4
แผนการ
ดั่งความฝันเพียงชั่วตื่น
ดั่งวันคืนที่แหลกสลาย
ดั่งสายน้ำที่ไหลไป
ดั่งหัวใจที่พ่ายพัง
แผนการ
ดั่งความฝันเพียงชั่วตื่น
ดั่งวันคืนที่แหลกสลาย
ดั่งสายน้ำที่ไหลไป
ดั่งหัวใจที่พ่ายพัง
ย่างเข้าวันที่สิบนับแต่หลานชายและหลานสาวของคอลลิน ลอเรนซ่ากลับมาสู่ถิ่นฐาน ทุกสิ่งดูราวกับจะสงบราบรื่นดี ในทุกเช้าอาเดอเรียจะพบว่ารีอันน่าซึ่งฟื้นตัวขึ้นมากแล้วเป็นผู้ติดตามของเอเทลนั้นเข้าครัวช่วยบรรดาแม่ครัวทำอาหารอย่างขะมักเขม้นไม่มีเกี่ยงงอนหรือผ่อนแรง ในขณะที่เอเทลนั้นมักจะเข้าไปช่วยลูกจ้างยกของที่หลังร้าน จัดได้ว่าเป็นคู่ที่ขยันขันแข็งและน่าชื่นชมในสายตาของคนทั่วไป แม้ว่าจะไม่มีใครเปิดปากพูด แต่อาเดอเรียนั้นเข้าใจ ในยามที่พี่ชายบุญธรรมของนางแลดูหญิงสาวนางนั้น นั่นคือดวงตาที่เต็มไปด้วยความห่วงหาอาวรณ์และความรู้สึกบางอย่างเช่นที่กล่าวกันว่าบุรุษพึงมีให้ต่อสตรีนางหนึ่ง
“ริษยาหรือยังไงกันน่ะ ยัยหนู” เสียงทักทายที่ไม่น่าอภิรมย์ชมชอบดังเล่นลิ้นขึ้นจากทางด้านหลังอีกตามเคย ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่พอรู้ตัวอีกทีชายที่ชื่อซัสก็คอยตามไล่หลังพูดจาประชดประชันอย่างไม่เข้าหูมาโดยตลอด
“จิตอกุศล” อาเดอเรียย้อนด้วยใบหน้าเรียบเฉย ขณะที่กำลังนั่งกัดกร้วมขนมปังเข้าปากอยู่บริเวณซอกหลืบหน้าร้าน ซึ่งเหมาะแก่การใช้หลบสายตาลูกค้า นางไม่พิสมัยที่จะให้ใครเห็นเวลาทานอาหารนัก แต่ว่า...ชายคนผู้นี้กลับตามราวีนางอยู่ทุกฝีก้าว
“แหม๋ ข้าอุตส่าห์สงสารเจ้าเลยจะเตือนให้รีบๆตัดใจหรอกนะ” ซัสพูดต่อ จากจุดที่พวกเขานั่งอยู่แลไปทางหลังร้านในยามเที่ยงวัน เอเทลกับรีอันน่ากำลังนั่งคุยกันอยู่อย่างสนุกสนาน ชายหนุ่มรูปงามกับหญิงสาวทรงเสน่ห์ช่างดูสมกันราวกิ่งทองใบหยกนัก เทียบคนคนตรงหน้าเขาที่สวมเสื้อกางเกงสีดำ ผมม้ายุ่งเหยิง กับหน้าตาไร้เครื่องสำอางค์แต่งเติม ดูอย่างไรก็อาจเรียกได้ว่าเป็นเด็กกะโปโลชัดๆ
“ไร้สาระ” หญิงสาวว่าพลางฉวยขวดน้ำดื่มลงคอเสียอึกใหญ่ ก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ดริมฝีปากอย่างลวกๆ ลักษณะท่าทีแบบนั้นยิ่งทำให้ซัสฉีกยิ้มให้ นางช่างเป็นหญิงสาวที่แปลกตา ไม่ใช่เส้นผมสีดำหรือดวงตาสีฟ้านั่นเท่านั้น แต่เป็นบางอย่างที่ทำให้เขาไม่อาจถอนสายตาไปได้นับตั้งแต่คราแรกที่พบเจอ ความแปลกประหลาดของรูปลักษณ์ หรือว่านิสัย
“แล้วอะไรล่ะที่มีสาระ การแอบรักเขาข้างเดียวรึยังไงกัน” พูดไปแบบนั้น หากเป็นหญิงสาวปกติทั่วไปล่ะก็คงจะต้องถูกเขม่นมาไม่ก็อายม้วนต้วนเป็นแน่แท้ แต่อาเดอเรียกลับชำเลืองมองมายังชายหนุ่มอย่างไร้อารมณ์ก่อนจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
“หาข้าวกินให้ครบมื้อไงล่ะ นั่นล่ะเรื่องสำคัญ” ทันทีที่พูดไปแบบนั้นเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มก็พลันดังก้องขึ้นไปทั่ว ดังจนเรียกความสนใจจากเอเทลที่นั่งอยู่ด้านในให้ต้องออกมาดู หนึ่งหญิงหนึ่งชาย คนหนึ่งยืนนิ่ง คนหนึ่งหัวเราะจนท้องแข็ง ดูอย่างไรก็ไม่ได้เข้ากันเอาเสียเลย
“ท่านแกล้งอะไรน้องสาวข้ากันล่ะนั่น ซัส” เอเทลทักพร้อมกับเดินเข้ามาลูบศีรษะของอาเดอเรียเบาๆ ท่าทีที่มีให้ต่อกันราวกับน้องสาวร่วมอุทรก็ไม่ปาน ดีที่ว่าคารีน่านั้นออกไปเดินเล่น มิเช่นนั้นนางคงจะไม่สบอารมณ์กับพี่ชายของนางเป็นแน่
“แกล้ง? ข้าเนี่ยนะ? คนที่แกล้งน่ะมันท่านต่างหาก เอเทล ฟรีด้า” ซัสแขวะเข้าให้ เนื่องจากรีอันน่านั้นเดินตามหลังสหายของเขาออกมาติดๆ ทว่ากลับเป็นเอเทลที่ไม่รู้สึกร้อนหนาวอะไร ไม่สิ ไม่เข้าใจเลยต่างหากว่าสหายของตนหมายความเยี่ยงไร และยิ่งไม่มีวันเข้าใจอาเดอเรียที่มองมาที่เขาด้วยสายตาที่ยากหยั่งเช่นนั้นด้วย
“พูดอะไรกันนะ สองคนนี่” ชายหนุ่มถอนใจก่อนจะมองดูคนรอบกายอย่างเหนื่อยอ่อน สุขใจกับสถานการณ์เฉพะหน้าแต่กลับทุกข์ใจหนักหนากับ ‘ความจริง’ ที่ได้เกิดขึ้นแล้วและกำลังจะมาถึง
สิบวันกับการที่เอเทลกลับมาเยือนถิ่นฐานบ้านเกิด เยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่แสนอารี พบกับเด็กที่รักเสมือนน้องสาว อยู่ร่วมกับผู้คนที่เขารักใคร่ เขาพอใจกับทุกสิ่งที่นี่ และวาดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ทุกสิ่งนั้นดำเนินต่อไปอย่างสันติสุขแม้มันจะเป็นเพียงภาพลวงก็ตามที เป็นความหวังจากอดีตที่ต้องการปกป้อง ปกปักษ์พิทักษ์รักษา ให้ครอบครัว ให้บ้านเมือง ให้ประเทศชาติ ให้ทุกสิ่งที่เขารักนั้นยั่งยืนยง เพื่อการนั้น
แม้ตนเองต้องตกนรกด้วยถ้อยคำโป้ปด
ก็ขอพร้อมยอมตน
“ข้าขอฝากท่านลุงด้วยนะ อาเดอเรีย” ผู้เป็นพี่ชายบอกย้ำ พร้อมกับส่งสายตาและรอยยิ้มที่แสนอารีเปี่ยมเสน่ห์มาให้อย่างเคย
“ใกล้จะไปแล้วอย่างนั้นน่ะรึขอรับ” หญิงสาวถาม นางไม่รู้หรอกว่าเอเทลคิดอะไรอยู่ แต่ความรู้สึกกับสัญชาตญาณบางอย่างมันร้องร่ำพร่ำเตือน คนที่แสนสำคัญของนางผู้นี้คงจะอยู่ที่นี่อีกไม่นาน ชายที่เหมือนกับสายน้ำ ไหลระเรื่อยและคงออกสู่มหาสมุทรกว้างใหญ่ วันคืนที่เคยเล่นหัวอย่างเด็กชายกำพร้าและเด็กหญิงไร้ที่พักพิงนั้นผ่านพ้นไปแล้ว มันไม่หวนคืนกลับ การปรากฏตัวของเอเทลในครานี้ราวกับว่าเป็นการเยี่ยมเยือน...เพียงเพื่อจากลา จากลา...เพื่อเลือด...ที่กำลังจะย้อมปฐพีนี้
“ข้าจะเดินทางไกล ไปกับซัส และคารีน่า ยามที่ข้าหวนคืนอีกครา....อาเดอเรีย” เว้นจังหวะคำพูด ก่อนจะโอบร่างของหญิงสาวเข้ามาในอ้อมอกกอดกระชับแน่นดั่งญาติสนิท หญิงสาวที่กำพร้าบิดามารดาเหมือนดังเช่นกับตัวเขา ชีวิตที่ราวกับกระจกสะท้อนซึ่งกันและกัน
และเป็น
ตราบาปชั่วชีวิตนี้
“ข้าปรารถนาเห็นเจ้าแย้มยิ้มอย่างเป็นสุขนะ”
“ท่านพี่.......” ช่างเป็นคำขอที่เอาแต่ใจ เป็นความปรารถนาที่น่าเศร้าแต่เปี่ยมด้วยใจรักที่มีให้ต่อกัน
“สัญญาได้มั้ย ว่าเจ้าจะเป็นผู้หญิงที่มีความสุข” เกลี่ยไล้ใบหน้าน้อยๆ ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามนั้นพยักหน้ารับแต่กลับผลักพี่ชายคนนั้นออกไปเบาๆ
“แต่ต้องเป็นความสุขตามประสาข้าน่ะนะ” บอกไปเช่นนั้น เพราะรู้ดีว่าความสุขที่พี่ชายของนางต้องการนั้นเป็นเช่นใด แต่เอเทลคงไม่มีวันรู้หรอกว่า สิ่งที่นางประสงค์อยู่แก่ใจนั้นคืออะไร
มันคือสายน้ำ
ที่ไหลผ่านไป
เอเทลต่างจากนาง ต่างจากอาเดอเรีย เอสเตอร์ที่เป็นกำพร้าทั้งบิดามารดา เพราะชายหนุ่มนั้นยังคงมีบิดาอยู่ ทว่าด้วยเหตุผลบางประการจึงไม่อาจพบพาน ฝ่ายคารีน่านั้นแม้จะเป็นน้องสาว แต่ก็ต่างบิดากัน ดูเหมือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผู้คนรอบกายนั้นจะช่างสลับซับซ้อนยากแก่การเข้าใจนัก แต่แน่นอนอาเดอเรียรู้ว่านางไม่มีสิทธิที่จะวิจารณ์ความเป็นไปในครอบครัวผู้อื่นในขณะที่ตนเองนั้นยังไม่อาจแก้ปัญหาของตนเองได้ดี
“ประกาศรึ?” อาเดอเรียหยิบใบปลิวขึ้นจากพื้นขณะที่นางกำลังกวาดพื้นอยู่ที่หน้าร้านในยามเย็นที่อาทิตย์อ่อนแสงลง เย็นนี้นางขอลางานกับคอลลิน ลอเรนซ่าแล้วและกำลังรอเวลาที่จะได้เป็นอิสระในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
ใบปลิวนั่นบอกข่าวการมาเยือนของเจ้าเมืองเมราโน่คนใหม่ ชื่อนั้นนางจำได้ จากข่าวที่แพร่สะพัดกันในวงการของนักการเมืองของเอสเทเนีย นี่คือหนึ่งในชายผู้ฉ้อราษฎร์ ดูท่าว่าการมาครานี้ก็คงเพราะใช้เงินตรานั้นซื้อหาตำแหน่งเป็นแน่แท้ ที่อยู่บนกำแพงถัดไปจากหน้าร้านก็คือโปสเตอร์นำจับหัวหน้ากลุ่มกบฏ ค่าหัวที่พุ่งสูง กับความวุ่นวายที่ก่อขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่ำลือไปทั่วว่าไม่นานช้าคงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่นครหลวง
“การต่อสู้แบบนี้...ได้อะไรกันนะ.....” พึมพำอยู่เพียงผู้เดียว ตะวันยอแสงแยงตา ประเทศที่เคยเห็นแต่บนแผนที่ เมืองหลวงที่อ่านพบแต่ในหนังสือตำรา หากแต่นางก็มีวิถีความเชื่อของตนเอง
ในสายตาของหญิงสาวคนหนึ่ง การกบฏที่ว่านี้มันจะมีประโยชน์อะไรกันนะ ยิ่งบ้าคลั่ง ยิ่งกรีดร้อง ยิ่งฟาดฟัน ประเทศที่ผู้คนต่างขวนขวายหาทางออกสวนทางกันจนสับสน ประเทศที่เป็นแบบนี้...จะอยู่รอดต่อไปในลักษณะใด
เอเทล
มันผิดแล้วล่ะ
“ท่านอาเดอเรียเจ้าคะ” เสียงใสของหญิงสาวทักขึ้นพร้อมรอยยิ้มงดงามที่แจ่มจรัสจนน่าพิศวง ความงามของสตรีที่น่าชื่นชม แต่มันก็ไม่เหมือนดังที่ซัสว่าหรอก อย่างน้อยในเพลานี้ อาเดอเรียก็รู้ดีว่านางก็ไม่ได้นึกอยากเป็นเช่นรีอันน่า ตกลงปลงใจได้แล้วว่าตัวนางก็คือตัวนาง คนก็คือคน หากเหมือนกันไปเสียหมดก็คงจะน่าเบื่อหน่ายเกินประมาณ
“ท่านรีอันน่า”
“ขอบคุณที่ช่วยแนะนำเรื่องงานและกรุณาเป็นธุระให้มาตลอดสัปดาห์นะคะ” รีอันน่ากล่าวขอบคุณพลางโค้งให้ เช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายโค้งรับ เอเทลยังคงพูดคุยกับคอลิน ลอเรนซ่าอยู่ด้านในส่วนตัวนางนั้นขอตัวเดินออกมารับลมและใช้โอกาสนั้นในการทอดสายตามองดูนครเมราโน่ที่เสียหายจากเพลิงไหม้เมื่อสิบวันก่อน
สายตานั้นลอบมองใบปลิวในมือของอาเดอเรียแล้วก็ลอบถอนหายใจเล็กน้อยโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้สังเกตเห็น
“ไม่หรอกขอรับ ข้าต่างหากที่สนุกที่มีแขกมาเยือน ท่านบาดเจ็บ การช่วยเหลือกันและกันเป็นสิ่งสมควรแล้ว” นางกล่าวตามจริง เนื่องเพราะนางเองก็นึกเหนื่อยหน่ายกับชีวิตประจำวันอยู่พอดี การได้พบพานผู้คน ได้รับฟังเรื่องการเดินทาง ทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องที่น่าตื่นใจมิใช่น้อย ส่วนการช่วยเหลือปฐมพยาบาลหรือให้ที่พักกับผู้เดือดร้อนก็เป็นคุณธรรมที่สมควร
“ช่างเป็นการต่อสู้..ที่น่าเศร้านะคะ” เสียงหญิงสาวพึมพำ ก่อนจะชายตาแลไปยังประกาศนำจับเหล่ากบฏอีกครั้ง
“...........................” อาเดอเรียไม่ได้ตอบในทันที นางเดาว่าบางทีรีอันน่าเองก็อาจจะไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของกลุ่มกบฏก็เป็นได้ นางคงไม่รู้ว่าชายที่ช่วยชีวิตนางคือคนเดียวกับหัวหน้ากบฎที่นางอาจนึกสาปแช่งอยู่ในใจ
“ท่านอาเดอเรีย?”
“แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องมีใครทำอะไร...สักอย่าง” เพราะแม้ไม่เห็นด้วยแล้วอย่างไร จะปล่อยความชั่วร้ายให้เติบโต ปล่อยความอยุติธรรมให้แพร่หลาย ให้บ้านเมืองจ่อมจ่อลงในความมืดที่เศร้าหมองกระนั้นหรือ ความคิดของผู้ใดต่างคนก็ต่างมีอยู่ แต่ที่เป็นรูปธรรมจริงนั้นจักมีสักกี่คนกัน อย่างน้อยกบฏเหล่านี้....ก็กล้าที่จะลงมือ นี่คือความคิดที่ประสมปนเปและถกเถียงอยู่ในใจมาตลอดนับตั้งแต่ที่ได้พูดคุยกับซัส แต่แน่นอนว่าแม้จะพูดไปแบบนั้น ถ้าเลือกได้.....
อยาก
เปลี่ยนแปลง
“ท่านแม่รออยู่ ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ” อาเดอเรียโค้งให้กับหญิงสาวและรีบเดินจากไป
หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่อาเดอเรียกล่าวเท็จก็คือ คาทริโอน่าคงไม่ได้กำลังรอนางอยู่ดังที่ปากว่า เนื่องจากผู้เป็นมารดานั้นมีธุระเรื่องค้าขายกับคอลลิน ลอเรนซ่าและนางก็ไปดูสินค้ากับฝ่ายนั้น ดังนั้นสิ่งที่รอคอยการกลับไปของอาเดอเรียจึงมีเพียงบ้านที่ว่างเปล่า
บ้านของนางนั้นตั้งอยู่ในเขตชุมชนแออัดของเมราโน่ แต่ห่างถัดออกไปบริเวณชายป่าที่ซึ่งห่างไกลจากผู้คน เป็นบ้านชั้นเดียวขนาดเล็กที่มีเพียงห้องนอนสองห้อง ห้องครัว และห้องรับแขกขนาดเล็กที่สุมกองไปด้วยกองตำรามากมาย มีเครื่องเย็บผ้าวางอยู่ที่มุมห้องและมุมทดลองสำหรับพิสูจน์กลิ่นน้ำหอม อาเดอเรียเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อกางเกงสีดำก่อนจะเดินออกไปทางด้านหลัง ที่คอกม้ามีอาชาสีดำทมิฬรูปร่างสูงใหญ่ถูกล่ามผูกอยู่ นางค่อยลูบที่ขนของมันอย่างแผ่วเบาและลอบยิ้มให้กับตนเอง
“ไปวิ่งเล่นกันหน่อยมั้ย เอรี่” ค่อยๆปลดเชือกที่พันธนาการและกระโดดขึ้นไปบนแผ่นหลังของพาหนะ วันนี้คือเวลาที่นางรอคอยมาตลอดเพื่อที่จะได้ผ่อนคลายและทำในสิ่งที่ตนรู้สึกสนุกกับมันมากที่สุด
‘เอรี่’ของอาเดอเรียมีฝีเท้าที่ปราดเปรียวและการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วนัก มันทะยานกระโจนไปตามเส้นทางบนภูเขา ลึกเข้าไปในป่าที่ซึ่งดูลึกลับน่ากลัวสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับอาเดอเรียกับเอรี่มันกลับเป็นดั่งสนามเด็กเล่น สนามเด็กเล่นที่ที่อาเดอเรียขี่ม้าเล่น วิ่งเล่น และสนุกกับการปีนป่ายมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก
“ฮ่า! สดชื่นดีจัง!” ชักบังเหียนบังคับให้ม้าสีดำกระโดดข้ามลำธารขนาดกว้าง ปาดเหงื่อและแย้มยิ้มสดใส ควบขี่โจนทะยานขึ้นไปบนเชิงหน้าผา บังคับอาชาให้ห้อสุดฝีเท้าไปจนถึงปลายสุดของทางเดิน จากเบื้องบนที่สูงตระหง่านมองลงไปยังโลกเบื้องล่างที่กว้างไกลและงามงดสุดลูกหูลูกตา แลเห็นนครเมราโน่ที่กว้างใหญ่ แม่น้ำทาร่าที่ตัดผ่ากลางเมืองเป็นสีฟ้าต้องแสงตะวันสีส้มยามสนธยาระยิบระยับพร่างพราย
“สวยจัง” สวยและเจิดจรัส ดินแดนบ้านเกิดที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกนั้นช่างยิ่งใหญ่และแสนสงบหนักหนา เป็นความงามของธรรมชาติ เป็นความวิจิตรของสถาปัตยกรรม ช่างน่าตื่นตาตื่นใจจนมิอาจลืมเลือนหลงใหล อาเดอเรียชอบทิวทัศน์ที่นี่ เป็นทิวทัศน์ที่ราวกับช่วยเติมพลังชีวิตให้กับนางหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยและกดดันจาการทำงานมาโดยตลอด มันดูราวกับว่าภายใต้โลกอันคับแคบน่าเบื่อหน่ายของนางก็ยังคงมีความตระการตา ยังมีสิ่งที่ท้าทาย ยังมีสิ่งที่ให้ได้เรียนรู้
“โลกข้างนอกก็เป็นแบบนี้รึเปล่านะ ถ้าข้าออกไปจากเมราโน่ก็จะได้เห็นทิวทัศน์เช่นนี้ใช่ไหม” จะได้เห็นโลกทั้งใบ ประเทศทั้งประเทศ จะได้พบผู้คนมากมาย สัมผัสกับชีวิตที่หลากหลาย
“อยากไปจังเลยนะ” ลูบบนหัวของม้าซึ่งเป็นดั่งสหายสนิท “ข้าอยากอออกไปจากที่นี่จังเอรี่ ข้าอยากไปเมืองหลวง อยากไปเห็นนครเอลวาน่ากับตาสักครั้ง” อยากไปข้างนอก ไปนอกประเทศนี้ ท่องเที่ยวไปทั่วเหมือนดั่งเรื่องเล่าของซัส
อยาก
อยากเห็น
อยากไป
อยากออกไปเหลือเกิน
“เสียง...” สะดุ้งขึ้นเมื่อรู้สึกว่าได้ยินเสียงฝีเท้าแว่วมา ตามปกติในป่าลึกบนเขาเช่นนี้นอกจากนางกับเอรี่แล้วแทบจะไม่มีผู้ใดสัญจรผ่านในยามโพล้เพล้เช่นนี้ แต่วันนี้มันผิด ผิดปกติเกินไป
อาเดอเรียลงจากหลังม้าและค่อยๆจูงเอรี่ก้าวเข้าไปทางด้านหลังที่เป็นป่ารกทึบสีเขียวครึ้ม ความมืดเริ่มเข้าครอบคลุมขึ้นมาและอากาศก็เยียบเย็นขึ้นเรื่อยๆ มีเสียงแว่วมาจากด้านใน เสียงนั่นค่อยๆดังขึ้นจนกระทั่งจับความได้ว่าเป็นเสียงคน เสียงคนมากกว่าหนึ่งคนที่กำลังพูดคุยสนทนาบางอย่างอยู่
“ใครน่ะ...” พูดพึมพำกับตนเองก่อนจะผูกเอรี่ไว้หลวมๆใต้ร่มไม้และปลีกตัวก้าวเข้าไปลึกขึ้นๆ จนกระทั่งมั่นใจว่าพอจะได้ยินเสียงพูดคุยได้ชัดเจนจึงค่อยๆแนบกายอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“ทางนี้เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว และท่านจิโอวานนี่ก็สั่งการระดมคนแล้วด้วย” เสียงของชายหนุ่มคนแรกพูดขึ้นพร้อมกับชื่อของคนที่อาเดอเรียไม่เคยได้ยินมาก่อน พอเพ่งสายตามองก็พอเห็นว่าชายผู้พูดนั้นมีผมสีแดงและดวงตานั้นออกจะเรืองแสงเขียวอมฟ้าในความมืด
“อย่างที่ไอแซคว่านั่นล่ะขอรับ ท่านกาเบรียลเองก็รับทราบในเรื่องนี้แล้ว เหลือก็แต่คำยืนยันจากท่านหัวหน้าเท่านั้น” ชายหนุ่มคนที่สองผู้พูดนั้นมัดรวบเส้นผมยาวสีบลอนด์ไว้กลางหลัง ดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกายแจ่มใส
จากคำพูดนั้นทำให้อาเดอเรียทราบว่าชายผมแดงคนแรกนั้นคือไอแซค และตอนนี้ดูเหมือนคนพวกนี้กำลังรายงานสถานการณ์ให้ใครบางคนทราบอยู่ นางเหลียวมองไปทางชายคนสุดท้ายที่ยืนพิงต้นไม้อยู่อีกด้าน และแทบกลืนน้ำลายไม่ลงคอในยามที่ได้สดับฟังเสียงของชายผู้นั้น
“ขอบใจไอแซค เจ้าด้วยโทนี่” เสียงของคนผู้นั้นช่างคลับคล้ายใครบางคนนักหนา คลับคล้ายจนอาเดอเรียต้องเผยอใบหน้าหันไปมองอย่างใคร่รู้ ชายคนแรกคือไอแซค ชายผมสีบลอนด์นั่นคือโทนี่ และชายคนสุดท้ายนั่น
“บ้าน่า....” อาเดอเรียพึมพำบอกกับตนเอง เรื่องนี้....ต้องบ้าแน่ๆ
“ฝากไปบอกท่านจิโอวานนี่กับท่านกาเบรียลว่าเราจะเริ่มลงมือในคืนวันพรุ่งนี้!”
เสียงของผู้ออกคำสั่งฝากข้อความนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนผู้นั้น ‘ซัส’
“ซัส.....” หญิงสาวถึงกับลืมหายใจ นางเผลอก้าวถอยหลังและเท้านั้นก็เผชิญสะดุดกับก้อนหิน อาเดอเรียนั้นล้มลงกับพื้นหญ้าและพลั้งส่งเสียงอุทานออกมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“ใครน่ะ!” เสียงของชายผมแดงที่ชื่อไอแซคตะโกนร้องขึ้น
ฉับพลันนั้นเองที่อาเดอเรียเร่งฝืนร่างลุกขึ้นยืน นางแลเห็นสองคนนั่น ไอแซคกับโทนี่ถลาวิ่งเข้ามาในพุ่มไม้หมายที่จะจับตัวผู้บุกรุก แต่ไวยิ่งกว่าสมองจะสั่งการ หญิงสาวนั้นออกวิ่งสุดตัว ไม่ครั่นคร้ามต่อกิ่งไม้และหนามแหลมที่เกี่ยวต้องเนื้ออ่อนบนใบหน้า นางรู้เพียงว่าต้องวิ่ง ต้องหนี ต้องไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
“ล้อมมันไว้ โทนี่!” ไอแซคออกคำสั่งและชักดาบออกจากฝัก หมายที่จะสังหารคนตรงหน้าให้ดาวดิ้นสิ้นใจโทษฐานที่เข้ามาล่วงรู้ความลับของพวกเขา
“ใจเย็นก่อน ไอแซค!” เป็นโทนี่ที่ร้องห้าม กลัวอยู่ว่าหากผลีผลามอาจจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นแทน
“หนวกหูน่า!” ไม่ฟังเสียงห้ามปราม ไอแซคนั้นกระโจนขึ้นและวาดใบมีดกลางอากาศหมายที่จะฟันศีรษะศัตรูให้ขาดกระเด็นในคราเดียว แต่ทว่าอาเดอเรียนั้นไวกว่า นางก้มลงหมุนตัวหลบจนร่างนั้นคลุกไปกับเศษดิน หญิงสาวชักมีดออกจากเอวและกระโดดไปเบื้องหน้า
“เอรี่!” ตัดเชือกที่พันธนาการม้าไว้ก่อนจะกระโจนขึ้นไปและชักบังเหียน ไม่รีรอที่จะบังคับให้เอรี่ออกวิ่งไปในทันที
“อย่าคิดว่าจะหนีพ้นเลย!” ไอแซคผิวปาก และตอนนั้นที่ม้าสองตัวโจนทะยานเข้ามา ทั้งเขาและโทนี่กระโดดขึ้นไปบนหลังม้าและควบตามฝ่ายตรงข้ามไปโดยเร็ว
หากจะถามว่าวินาทีนั้นอาเดอเรีย เอสเตอร์คิดอะไรอยู่ นางก็รู้เพียงแต่ว่าตนเองต้องหนีให้เร็วที่สุด และจะหยุดไม่ได้แม้แต่ชั่วอึดใจเดียว
“ไม่ได้การแล้ว” นางบอกกับตนเองเมื่อเห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามเองก็มีฝีเท้าม้าที่เป็นเยี่ยม ตอนนั้นที่นางกลับชักบังเหียนม้าหักไปอีกทางหนึ่ง แทนที่จะมุ่งตรงลงจากเขาด้วยเส้นทางปกติ กลับบุกเข้าไปในทางลาดชันรกทึบ ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้นฝีเท้าของเอรี่ก็หาได้ตกลงเอย
“บัดซบ!” ไอแซคตะโกนออกมาเมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นวางแผนใดไว้ เบื้องหน้าของพวกเขาคือหน้าผาสูงชันที่ตัดถนนขาดเป็นสองฝั่ง
“ระวังไอแซค!!!” โทนี่ร้องเตือนสุดเสียงด้วยกลัวว่าสหายจะควบอาชาตกลงไปในหุบเหว แต่เคราะห์ดีที่ไอแซคนั้นชักบังเหียนหยุดฝีเท้าม้าได้ทันท่วงที
“บ้าน่ะ!!!!” ในทางตรงกันข้าม ต่อหน้าต่อตาของไอแซคและโทนี่ ชายหนุ่มนิรนามผู้มีผมสีดำสนิทผู้นั้นกลับดึงบังเหียนม้าขึ้น ที่เท้านั้นกระทุ้งอาชา และเพียงเสี้ยววินาทีที่อาชาสีทมิฬนั้นกระโดดพุ่งจากหน้าผาฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่งได้อย่างราบรื่นไม่มียอฝีเท้าเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ทำได้แต่เพียงอ้าปากค้างมองส่ง ร่างนั้นก็ควบขี่อาชาหนีหายไปเสียแล้ว
“สุดยอดเลยนะ ไม่เคยเจอใครที่บังคับม้าได้เก่งขนาดนั้นมาก่อนเลย” โทนี่เอ่ยชมจากใจ ร่างนั้นทั้งปราดเปรียวและคล่องแคล่ว ฝีไม้ลายมือการควบขี่อาชานั้นนับได้ว่าไม่เป็นรองใครในแผ่นดินเลยทีเดียว เพียงแค่แผ่นหลัง...ก็ทิ้งความประทับใจอย่างมหาศาล
อาเดอเรียกำลังหอบหนัก ยามที่นางกลับมาถึงบ้านนั้นก็ค่ำมืดแล้ว นางรู้สึกเหนื่อยแทบสิ้นเรี่ยวแรงและรู้สึกตระหนกตกใจมากมายเหลือคณา นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ขี่ม้าโลดโผนและสุ้มเสี่ยงถึงเพียงนี้ นางไม่เคยทดลองให้เอรี่กระโดดข้ามหน้าผามาก่อน และแม้ครั้งแรกจะทำได้ไม่เลวแต่นั่นก็กินเอาเรี่ยวแรงของนางไปทั้งหมด ยังจำความหวาดกลัวในเวลาที่ถกไล่ฆ่าฟันและในยามที่กระโจนอยู่เหนือหน้าผาลึกได้ดี
“น่ากลัว...” น่ากลัวจนแทบสิ้นสติ ลองจินตนาการดูว่าหากเป็นคนที่ต้องใช้ชีวิตกับคมหอกคมดาบและอันตรายเช่นนั้นทุกวันจะเป็นเยี่ยงไรกัน
“ไปไหนมาน่ะ อาเดอเรีย” เสียงหญิงนางหนึ่งที่เรียกสติของอาเดอเรีย เอสเตอร์ให้กลับมาสมปะดีอีกครั้ง ตรงหน้าของนางคือมารดา คาทริโอน่า เอสเตอร์ที่เดินเข้ามาพร้อมกับตะเกียงในมือขวา นางเพิ่งกลับจากการไปทำธุระกับคอลลิน ลอเรนซ่า
“เอ่อ...ข้าเพิ่งกลับจากไปเดินเล่นกับเอรี่ขอรับ ท่านแม่” นางเลือกที่จะพูดความจริงเพียงกึ่งเดียวด้วยกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะตระหนกเสียขวัญไปด้วย
“ดูเจ้าจะอ่อนเปลี้ยผิดปกตินะ” คาทริโอน่าตั้งข้อสังเกตแต่เมื่อเห็นแววตาสีฟ้านั่นสั่นไหวยามที่ประสานสายตากัน นางเห็นว่าควรจะหยุดการถามไถ่แต่เพียงแค่นั้น “เข้าบ้านเถอะ เริ่มจะมืดค่ำแล้ว”
“ขอรับ” ลงจากหลังม้าและผูกล่ามเอรี่ไว้อีกครั้ง
หากแต่ก่อนที่จะเดินตามหลังผู้เป็นมารดาเข้าไปนั้นเองที่ฝ่ายคาทริโอน่ากลับหันหลังและเอ่ยขึ้น
“ยามอยู่กันเพียงลำพัง ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าไม่ต้องเรียกข้าว่าแม่”
“.................................”
“ข้าไม่ใช่มารดาเจ้า อาเดอเรีย” กล่าวเช่นนั้นและก้าวเดินเข้าไปในตัวบ้าน ทิ้งไว้เพียงหญิงสาวที่ได้แต่ตีสีหน้าหมองเศร้า พยักหน้ารับและกัดริมฝีปากน้อยๆ
“ขอรับ...ท่านน้า”
นางนั้น
หาใช่มารดา
หาใช่มารดา
จบตอน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น