ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : แตกต่าง
แตกต่าง
อันมนุษย์กำเนิดมาหลากหลายสี
ทั้งชั่วดีเลวทรามใครกำกับ
ผมเจ้าต่างผิวเจ้าคลํ้าช่างสอดรับ
ก็จงนับเป็นโทษทัณฑ์ที่เกิดมา
ทั้งชั่วดีเลวทรามใครกำกับ
ผมเจ้าต่างผิวเจ้าคลํ้าช่างสอดรับ
ก็จงนับเป็นโทษทัณฑ์ที่เกิดมา
เช้าวันแห่งความยุ่งเหยิงมาถึงเมื่อทางกองทหารของเมราโน่ออกไล่ล่าหัวหน้ากบฏที่ประกาศตัวและลอบเข้าไปสังหารผู้ว่าการนครเมื่อคืนวาน ซ้ำยังปรากฏว่าในบริเวณที่คาดว่าจะมีการหลบหนียังมีศพของนายทหารสี่นายในสภาพไม่สมประกอบอยู่โดยรอบ เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในความโกลาหล
หากกล่าวถึง “กบฏแห่งเอสเทเนีย” เวลานี้แล้วล่ะก็ จริงอยู่ว่าในช่วงเวลาสิบแปดปีที่ผ่านมามีกลุ่มกบฏมากมายถือกำเนิดขึ้น แต่ก็มีอันต้องถูกกวาดล้างโดยนายพลจูลิอัส ทอสวาน่าผู้ได้ชื่อว่าเป็นขุนพลคู่บัลลังก์ของพระเจ้าอเล็คซานโดรมาตั้งแต่ต้นรัชกาล กบฏและผู้ก่อความวุ่นวายกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่เกิดขึ้นมาแล้วล้มหายเนื่องจากขาดความชอบธรรมและความสามารถอันเป็นที่ประจักษ์สายตา
และในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลนั้นเองที่การท้าทายครั้งใหม่ต่อราชบัลลังก์เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
“นางปลอดภัยแล้ว เคราะห์ดีที่แผลไม่ลึกนัก” ซัสผู้ซึ่งรับบทเป็นนายแพทย์จำเป็นบอกกับเอเทลที่ยืนรออยู่หน้าห้องในความมืดสลัวของแสงไฟ
“ขอบใจมากซัส และก็..ต้องขอโทษด้วย” ชายหนุ่มกล่าวอย่างรู้สึกผิด ตอนนี้การมาของพวกเขาปลุกแม้กระทั่งท่านลุงอย่างคอลลิน ลอเรนซ่าขึ้นมายามดึก ชายผู้นั้นเพียงแต่ตกลึงในยามที่อาเดอเรียนั้นพาพวกเขาขึ้นมายังชั้นสองนี่ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมาเลยสักเพียงคำ
“ความใจดีของเจ้าออกจะมากเกินไป” นั่นคือสิ่งที่ปรารถนาจะพูดในยามนี้ มันคงจะน่าเสียดายหากว่าทุกสิ่งที่สร้างร่วมกันมาจนถึงป่านนี้จะต้องล่มสลายไปเพียงเพราะ...ความดี
“ขอโทษ” เอเทลตอบได้เพียงเท่านั้นก่อนที่ทั้งเขาและซัสจะหันไปตามเสียงฝีเท้าของคนที่เพิ่งจะเดินเข้ามาสมทบ นั่นคือคอลลิน ลอเรนซ่า คารีน่า และอาเดอเรียนั่นเอง
“คารีน่าเล่าให้ข้าฟังคร่าวๆบ้างแล้ว แต่ข้าก็ยังอยากฟังเจ้าเป็นผู้เล่าเรื่องราวจากปากของตนเองนะ เอเทล” คอลลิน ลอเรนซ่าบอกพร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อยที่ผู้เฝ้ามองรู้สึกได้ว่ามันช่างอ่อนโยนเกินพรรณนา และนั่นก็กลับยิ่งทำให้เอเทลรู้สึกหม่นหมองลงไป โดยเฉพาะในยามที่ผู้เป็นลุงนั้นดูราวกับเตรียมที่จะอภัยให้ในทุกสิ่งที่เขาเลือกและนำพามา ส่วนอีกคน...คือคนที่เขาแย่งชิงทุกสิ่งมาจากนาง
“จะเล่ามากกว่านี้ก็ได้ แต่ข้าขอให้ท่านลุงสั่งให้ลูกจ้างของท่านลุงลงไปข้างล่างเสียก่อน ข้าคิดว่านี่ควรเป็นเรื่องในครอบครัวในเจ้าคะ” คนที่พูดเช่นนั้นคือคารีน่า หญิงสาวผู้อ่อนปีกว่าเอเทลปีกว่าและอ่อนเดือนกว่าอาเดอเรียเกือบหกเดือนหากนับตามวันเกิด นางยืนพิงกำแพงพลางกอดอก เส้นผมสีบลอนด์ยาวนั้นเหยียดตรง และดวงตาสีม่วงอ่อนของนางนั้นก็ปรายตามองไปทางสตรีคนที่นางพาดพิงถึงอย่างไม่สบอารมณ์
“อาเดอเรียไม่ใช่คนนอก” ผู้เป็นเจ้าบ้านชิงพูดขึ้นก่อน แต่ดูเหมือนอาเดอเรียจะไม่ได้คิดเช่นนั้น นางหันไปสบตาของคารีน่าก่อนจะหันกลับมาโค้งให้กับเจ้านายของตน
“ใกล้ฟ้าสางแล้ว ข้าจะลงไปตระเตรียมสินค้าสำหรับวันพรุ่งนี้ขอรับ” หญิงสาวว่าและไม่รีรอที่จะหันหลังกลับไปทีบันไดโดยไม่สนใจคำร้องทัดทานของคอลลิน ลอเรนซ่า แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นนางก็ยังได้ยินเสียงที่ไล่หลังมาของคารีน่าอยู่ดี
“เป็นแค่คนผมดำแท้ๆ ยังจะถือดีอีก” คำพูดที่ทำให้อาเดอเรียต้องเบือนหน้าหนี และหลายคน ณ ที่นั้นต้องชั่งใจด้วยเหตุผลหลายประการ
‘คนผมดำ’ หรืออีกนัยก็คือพวกชนกลุ่มน้อยชาวตะวันออก เป็นกลุ่มคนที่มีจำนวนไม่มากนักในเอสเทเนีย และเพราะว่าเป็นชนกลุ่มน้อยจึงได้ตกเป็นพลเมืองชั้นสองและโดยปกติสถานะทางสังคมก็จะจำกัดอยู่ที่การเป็นคนรับใช้หรือช่างฝีมือ แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีสิทธิที่จะลืมตาอ้าปากได้ในวงสังคมชั้นกลางหรือชั้นสูง การที่คอลลิน ลอเรนซ่าให้นางเป็นมือขวาและเป็นผู้ควบคุมลูกจ้างตลอดจนธุรกิจทั้งหมดของเขานั่นก็ต้องถือว่าเป็นข้อยกเว้นที่แปลกประหลาดมากนักหนา
“งั้นข้าขอตัวก่อนละกัน” ซัสพูดขึ้นบ้างก่อนจะก้าวเดินไปที่บันได
“เดี๋ยวสิ! นี่เจ้าจะทิ้งท่านพี่ไว้แบบนี้น่ะรึ!” คารีน่ายังคงตวาดถามตามวิสัยของนาง การที่เพื่อนสนิทของพี่ชายจู่ๆมาหันหลังจากไปกะทันหันแบบนี้ยังจะมีความหมายอะไรอีกเล่า
“ช่วยไม่ได้ ก็ตอนนี้ข้าเหม็นเบื่อคนหัวทองนี่นา” แสยะยิ้มพลางพูดจาติดตลก เขาสบตาของคอลลิน ลอเรนซ่าอยู่แวบหนึ่งราวกับต้องการจะให้ฝ่ายตรงข้ามนั้นคลายใจ
“ฝากด้วยล่ะพ่อหนุ่ม”
“ข้าชอบกวาดลานบ้านอยู่หรอกน่า ท่านคอลลิน” หัวเราะขึ้นอีกเล็กน้อยและยกมือขอตัว ทิ้งให้อีกสามคนที่เหลือนั้นต่างก็ถูกทิ้งให้จมอยู่กับความตึงเครียดที่ก่อตัวขึ้นมาทับถมกันอย่างไม่รู้จบ
ถึงจะบอกว่าจะลงมาเตรียมสินค้า แต่มันก็อีกกว่าสองชั่วโมงก่อนที่ลูกค้าจะมารับสินค้า ทั้งในความเป็นจริงสินค้าพวกนั้นก็ล้วนถูกตระเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มันแทบจะไม่มีอะไรเหลือให้อาเดอเรียทำสำหรับเช้านี้อีกแล้ว สิ่งที่นางทำตรงกันข้ามกับคำพูดเมื่อหญิงสาวเลือกที่จะก้าวเดินออกไปนอกตัวบ้านหรือร้านของคอลลิน ลอเรนซ่านั่นเอง
ท้องฟ้าในวันนี้เป็นสีหม่นปกคลุมด้วยเมฆหมอก เป็นยามฟ้าสางที่เต็มไปด้วยเสียง เสียงโหยไห้ของผู้คนที่สูญเสียอาคารบ้านเรือนไปกับเปลวไฟ เสียงฝีเท้าของกองทหารที่ออกล่าหัวของมือสังหารที่บังอาจบุกเข้าไปสังหารเจ้าผู้ครองนคร เสียง....เสียงของความล่มสลายจากที่ไหนสักแห่งที่สะท้อนก้องกับเสียงของสายน้ำ
อาเดอเรียเดินเลาะไปตามชายตลิ่งของแม่น้ำทาร่าซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลตัดผ่านใจกลางนครเมราโน่ น้ำเป็นสีฟ้าใส ใสกระจ่างจนอาจมองเห็นใบหน้าที่จืดชืดของตนเอง เส้นผมที่เป็นสีดำสนิทดั่งสีของนกกา แต่กลับผิดแผกเพราะดวงตาเป็นสีฟ้าน่ารังเกียจ ไม่อาจเป็นทั้งสูงหรือต่ำ ตะวันออกหรือตะวันตก ในสมองยามนี้ที่ทุกสิ่งสรรพนั้นตีกันยุ่งเป็นพัลวัน การกลับมาของเอเทลผู้นั้นดูจะนำพามาซึ่งความสับสนว้าวุ่นมากยิ่งกว่าที่เคยเป็น
“ที่สุดสายน้ำนี่น่ะ มีอะไรอยู่กันนะ” รำพันถามกับตนเองยามที่ทอดสายตาออกไปไกล และตอนนั้นนั่นเองที่คำตอบของสิ่งที่นางถามหากลับดังมาจากใครอีกคนหนึ่ง
“ต่อจากแม่น้ำคือทะเล และจากทะเล...ก็คือมหาสมุทร” นั่นซัสที่ก้าวเดินเข้ามาตอบคำถามของนาง เขาวิ่งตามมาและราวกับโชคชะตาเล่นตลกที่ทำให้ได้ยินคำถามนั้นพอดี
“ มหาสมุทรคงจะกว้างมากสินะ” อาเดอเรียถามต่อ ใบหน้าของนางขณะนั้นยังคงเรียบเฉยและเลือกที่จะไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมานอกจากการตีสีหน้านิ่งไม่ทุกข์ร้อน “ เจ้าล่ะ มาจากที่นั่นด้วยหรือเปล่า”
“ข้าว่าข้าเล่าให้เจ้าฟังแล้วนะ” หัวเราะเบาๆพลางก้าวเดินขึ้นมายืนอยู่ข้างเคียงหญิงสาว เวลานี้พวกเขายืนอยู่บนตลิ่งที่ซึ่งมองขึ้นไปนั้นยังคงเห็นควันสีเทาลอยอยุ่เหนือบจวนของเจ้านคร
“ถ้าเป็นเรื่องจริงนั่นคงเป็นการผจญภัยที่สนุกมากทีเดียว” นางว่าและยิ้มขึ้นเล็กน้อย เรื่องเล่าของซัส เดินทางรอนแรมร่อนเร่จากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง ฝ่าท่ามกลางไฟสงครามและคบหาคนแปลกหน้าหลากหลาย ใช้ชีวิต
ดั่งแหวกว่ายไป
ในธารธารา
ในธารธารา
“เอาแบบนี้ไหมล่ะ สักวันหนึ่ง..ข้าจะพาเจ้าออกไปชม มหาสมุทรนั่น” เชื้อเชิญด้วยใจจริงและเดาไว้ว่าก็คงจะต้องตอบรับตามมารยาท ทว่าแทนที่คำรื่นหูก็คือคำตอบที่นางมอบให้กับเขาด้วยความจริงใจเช่นกัน
“ไม่ต้องหรอก”
“หืม?”
“หากข้าต้องการเห็น ข้าก็จะออกไปดูด้วยตนเอง” คำตอบแสนสั้นที่ผู้ฟังย่อมรู้สึกได้ว่าช่างมาดมั่นและงดงามหนักหนา วินาทีที่เราสามารถตัดสินได้ว่าสิ่งใดที่ต้องใจและสิ่งใดที่เป็นส่วนเกินของชีวิต สำหรับตัวเขาแล้ว นางผู้นี้กลับไม่ใช่ทั้งสองสิ่ง เพียงแต่...พิเศษ พิเศษมากเกินกว่าจะจะเลิกราละถอย พิเศษมากจนต้องจับตามองในทุกลมหายใจ
เป็นสิ่งจริงแท้
ในความหลอกลวง
ในความหลอกลวง
“เอเทลคงจะรู้สึกผิดแน่ หากว่าเขาได้เห็นตัวเจ้าในยามนี้” ซัสเอ่ยขึ้นต่อ และรับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าสหายของตนคงจะยิ่งไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นคนที่เหยียบหลังเสือแล้วจึงพบว่าตนเองนั้นไม่มีทางที่จะให้ลงอย่างแท้จริง
“รู้สึกผิด....ที่เป็น...กบฏน่ะหรือไง” อาเดอเรียนั้นหันกลับมาถามพร้อมกับคำที่ตัวนางก็ไม่อยากจะเอ่ยเอื้อนขึ้นมา คำที่นางนึกไม่ถึงและคงไม่มีใครคาดคิดว่าคนที่เฝ้ารอจะหวนกลับมาในสถานภาพเช่นนี้ “รู้สึกผิด...ที่เกือบจะเผาเมราโน่จนเป็นเถ้าถ่านหรือไรกัน” จ้องหน้าคู่สนทนาอย่างคาดคั้นเอาความ ซัสยังคงยืนนิ่งก่อนที่จู่ๆจะขยับมุมริมฝีปากและแสยะยิ้มที่แลดูน่ารังเกียจอีกครั้ง
“นั่นหมายถึงเจ้าไม่เห็นดีเห็นงามในการตัดสินใจของเอเทลงั้นสินะ”
“ใช่ว่าข้าอยู่ในเมราโน่แล้วจะโง่ทึบจนไม่รู้ว่าเอสเทเนียยามนี้นั้นสับสนวุ่นวายเพียงใด การกระทำที่ท่านพี่หรือว่าเจ้าทำน่ะ ก็ทำได้แต่เพียงทำให้ประเทศนี้พังพินาศสิ้นลงไปเร็วขึ้นเท่านั้นล่ะ” มองไปยังเปลวควันสีเทาและซากบ้านเรือนที่มอดไหม้ ความงดงามของบ้านเมืองที่มีมาเมื่อวานต้องแตกหักเสียหาย ชีวิตคนที่แหลกสลายดุจเถ้าถ่านไร้ค่าราคา กับเมาราโน่เพียงหนึ่งคืนยังเป็นถึงเพียงนี้ แล้วถ้าเอเทลทำเช่นนี้กับเอสเทเนียทั้งประเทศ....ผลลัพธ์ของมัน....จะเลวร้ายสุดประมาณการถึงเพียงไหน
“งั้นจะทำยังไงล่ะ”
“?”
“ข้าถามว่างั้นหากเป็นเจ้าจะทำยังไง เพื่อให้สิ่งที่เน่าเหม็นใกล้ตายฟื้นกลับคืนขึ้นมาใหม่น่ะ” ประเทศนี้ที่คงเหลือเพียงซาก ปัญหาในวงราชการที่พ้นวิสัยแก้ไขในสายตาของใครหลายต่อหลายคน อำนาจที่อยู่ในมือผู้ไม่คู่ควร คนที่ใช้กำลังไปในทางที่ผิด สิ่งเหล่านั้นมันล้วนประกอบเป็นปัจจัยที่ทำให้เอสเทเนียนับวันถอยหลังประทังชีวิตไปในแต่ละวันเท่านั้น “ความเห็นของอาเดอเรีย เอสเตอร์น่ะคืออะไรกันล่ะ”
ข้า
อยากฟัง
อยากฟัง
“ข้าไม่รู้หรอก”
“เหอะ” แค่นยิ้ม นั่นก็แน่อยู่แล้วที่หญิงสาวอ่อนโลกจะไม่เข้าใจข้อเท็จจริงนี้ ทว่าขณะที่กำลังคิดอยู่เช่นนั้นเองที่เสียงของหญิงสาวกลับดังต่อขึ้นมา
“แต่ข้าไม่เชื่อว่าในราชสำนักจะไม่มีใครเลยสักคนที่คิดถึงปัญหานี้ ไม่เชื่อว่าจะไม่มีทางใดเลยที่ดียิ่งไปกว่านี้ หากว่ามีทางใดที่จะหลั่งโลหิตให้น้อยที่สุด ทำให้ประชาชนอย่างพวกเราเดือดร้อนได้น้อยที่สุด หากว่ามีโอกาส ข้าก็จะทำในสิ่งนั้น!” เปล่งเสียงและกำหมัดมั่นเนื้อตัวสั่น หากว่ามีทางนั้น หากว่านั่นคือทางที่ดีที่สุดจริงล่ะก็ ประเทศนี้ต้องไม่ย่อยยับด้วยไฟสงคราม ความตายย่อมไม่มีมา ความพินาศย่อมไม่คลืบคลานถามหา แม้จะโง่ทึบเป็นแค่คนสามัญแต่ก็ยังอยากเชื่อ ไม่สิ เชื่ออย่างสนิทใจเลยต่างหาก
เพื่อเกียรติเพื่อศักดิ์ศรี
แล้วโลหิตที่ไหลหลั่งนี้
เพื่อผู้ใดกัน
คำพูดและความเห็นของอาเดอเรียนั้นเพ้อฝันหนักหนาในความเห็นของซัส มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครสักคนจะทำเรื่องเช่นนั้นได้ เปลี่ยนแปลงประเทศ สร้างความมั่นคงขึ้นใหม่โดยไม่สูญเสียอะไรเลย แต่ว่านั่นก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นในทางกลับกันว่าอาเดอเรีย เอสเตอร์นั้นมีความคิด ความคิดที่แตกต่างจากเอเทล ความคิดที่ตัวนางเองก็ต้องการพิสูจน์ว่ามัน....เป็นไปได้
“อย่าลืมเสียล่ะ”
“เอ๋?”
“ถึงเวลาจะเปลี่ยนไปนานแค่ไหน ก็อย่าได้ลืมคำมั่นที่ตัวเจ้าพูดไว้เสียล่ะ” แม้มันจะเป็นสิงที่ขัดกับความต้องการของเอเทล แม้มันอาจทำให้แผนการตรงหน้าล่มลงในสักวัน แต่ว่า....การกักขังนางไว้ที่นี่
ไม่นับว่าโหดร้าย
หรอกหรือไง
ตอนที่อาเดอเรียเคาะประตูเพื่อขออนุญาตนำอาหารเข้าไปด้านในห้องนั้นนางก็เห็นว่าเอเทลกำลังคุยอย่างออกรสกับหญิงสาวนางนั้น หญิงสาวผู้ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากเอเทลในคืนวาน
“ขอบใจนะ อาเดอเรีย” เอเทลรับสำรับจากอาเดอเรียพร้อมกับยิ้มให้อย่างใจดี และนางก็เตรียมที่จะฉากหลบออกไปอีกครั้ง ไม่ลืมว่าแม้จะเคยเล่นหัวกันมาในสมัยก่อนแต่บัดนี้เวลาผ่านไปสามปีแล้ว แม้แต่พี่ชายผู้แสนใจดีก็อาจจะนึกรังเกียจนางเช่นที่คารีน่ารู้สึกก็ได้
“อยู่คุยกันสักพักสิ อ้อ ลืมแนะนำ นี่รีอันน่า รีอันน่า เอลซ่า” แนะนำหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียงให้กับฝ่ายของคนที่ตนคำนึงเฉกเช่นน้องสาว
“ข้าอาเดอเรียขอรับ อาเดอเรีย เอสเตอร์” อาเดอเรียแนะนำตัวพร้อมกับโค้งให้หญิงสาว สตรีที่เอเทลช่วยเหลือไว้สะดุดตาอย่างไม่ต้องสงสัย คืนวานอาจมองได้ไม่ถนัด แต่ยามนี้ที่นางได้แลเห็นเส้นผมสีบลอนดิ์ทองหยักศกยาวสลวยและดวงตาสีมรกตนั้นก็เรืองรองโดดเด่นหนักหนา ใบหน้ายาวรีลำคอระหง รูปร่างสมส่วนและผิวกายนั้นก็ขาวดุจหิมะ นี่เป็นผู้หญิง เป็นผู้หญิงอย่างที่อาเดอเรียเคยรู้สึกเมื่อนานมาแล้วว่านางปรารถนาจะเป็นเช่นนี้บ้างในสายตาของเอเทล
“ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ และขอบพระคุณท่านมาก ท่านอาเดอเรีย” รีอันน่าโค้งตอบให้กับอาเดอเรีย นางจ้องดูใบหน้าคมคายของฝ่ายตรงข้าม แลดูเส้นผมสีดำที่มัดเป็นหางม้าและดวงตาสีน้ำทะเลที่เข้ากันได้อย่างประหลาดยามที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของคนผู้นี้
“อ้อ และนางเป็นน้องสาวของข้าคนหนึ่งด้วยนะ” ว่าพลางกอดคอของหญิงสาวเข้ามาและเพียรพยายามที่จะสื่อให้อาเดอเรียได้รู้ว่าเขานั้นยังคงเหมือนเดิม แต่แทนที่ที่อาเดอเรียจะได้รู้สึกชุ่มชื่นใจกับความเป็นกันเองของเอเทลแต่กลับเป็นรีอันน่าที่อุทานขึ้นมาแทน
“ผู้หญิงหรอกหรือเจ้าคะ! ข้าก็นึกว่าเฉพาะชื่อที่คล้ายสตรีเสียอีก!” อุทานขึ้นโดยไม่ทันตั้งใจและนั่นก็ทำให้อาเดอเรียต้องลอบถอนหายใจกับตนเองอีกครั้ง
“ต้องขออภัยที่ทำให้เข้าใจผิดขอรับ แต่ข้า....เป็นสตรีจริงๆ” แม้แต่เอเทลก็ต้องหัวเราะให้กับข้อแก้ตัวที่น่ารักน่าชังนั่น ตัวเขาหัวเราะจนเผลอส่งเสียงดังขึ้นมาและพลั้งใช้มือขยี้เส้นผมสีดำของอาเดอเรียอย่างสนุกมือ “ท่านพี่ก็อย่าหัวเราะสิขอรับ!”
“แหม๋ๆ ก็ข้าแค่ดีใจที่เจ้ายังสำนึกได้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงนี่นา”
“ถึงท่านไม่บอก ข้าก็เป็นผู้หญิงอยู่แล้วล่ะน่ะ!” เถียงตอบและเผลอสบเข้ากับดวงตาสีฟ้าของเอเทลอย่างจัง ดวงตาของเอเทลที่เป็นสีฟ้าช่างเขากับเส้นผมสีบลอนด์ทองเงางาม ใบหน้าที่คมคายและรอยยิ้มที่อ่อนโยนทรงเสน่ห์ อาเดอเรียรู้ รู้ว่าไม่ว่าเมื่อไหร่นางก็ไม่อาจละสายตาจากชายผู้นี้ไปได้ ทว่า....
“เป็นพี่น้องที่เข้ากันได้ดีจริงๆนะเจ้าคะ” รีอันน่าหัวเราะเล็กน้อยและยิ้มหวานให้กับคนตรงหน้านางทั้งคู่ เพียงรอยยิ้มเดียวที่เรียกสติขออาเดอเรียกลับมาอีกครั้ง เทียบกับผู้หญิงตรงหน้านี่แล้ว
นาง
ไม่มีอะไรสักอย่าง
“อาเดอเรีย เจ้าอยู่ที่นี่หรือเปล่า” เสียงสตรีนางหนึ่งเรียกมาจากทางด้านนอก ทั้งอาเดอเรียและเอเทลต่างก็รู้ดีว่านั่นคือเสียงของใคร ฉับพลันก่อนที่อาเดอเรียถลันไปเปิดประตูออกและหญิงสาวนางหนึ่งเยี่ยมใบหน้าเข้ามา วินาทีนั้นเองที่นางอาจไม่รู้ตัวเลยว่าเอเทลถึงกับลืมหายใจไปชั่วเสี้ยววินาที
“สวัสดีขอรับ ท่านคาทริโอน่า” เอเทลที่กล้ำกลืนน้ำลายที่เหนียวหนืดลำคอในช่วงเวลานั้นไว้ได้เอ่ยเอื้อนออกมาก่อนและผู้ถูกเรียกนั้นก็ก้าวเดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มต้อนรับตามมารยาท
“ยินดีต้อนรับกลับจ้ะ เอเทล” คาทริโอน่า เอสเตอร์ผู้มีศักดิ์เป็นมารดาของอาเดอเรียนั้นเอ่ยทักทาย นางมีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับอาเดอเรียผู้เป็นบุตรสาว มีเส้นผมสีดำยาวสลวยดุจขนของนกน้ำ หากแต่ดวงตานั้นดำขลับเป็นสีนิลกาฬ สวมชุดสตรีที่ทำจากผ้าพื้นเมืองยาวกรอมเท้า ไม่ว่าจะพิศดูอย่างไรนางก็เป็นสตรีที่ทั้งดงามและสง่างามในเวลาเดียวกัน และยังคงความสวยสะพรั่งไว้ได้แม้ว่าวัยจะล่วงเลยย่างเข้าปลายสามสิบแล้วก็ตาม
“ท่านแม่ ท่านนั้นคือท่านรีอันน่าขอรับ นางเดินทางมากับท่านพี่เอเทล” อาเดอเรียแนะนำและเจตนาจะเลี่ยงข้อเท็จจริงบางประการเพื่อไม่ให้คาทริโอน่าซักถามในสิ่งที่เอเทลปรารถนาจะปกปิด
“งั้นรึ” คาทริโอน่ารับคำหากแต่กลับกวาดสายตาดูชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งคู่อย่างพิจารณา สายตานั้นสะดุดอยู่กับจี้รูปงูเขียวที่เอเทลสวมใส่อยู่ แน่นอนว่าเอเทลสังเกตเห็นและรีบหลบสายตาของนาง
“ท่านคาทริโอน่าสุขสบายดีสินะขอรับ”
“ก็พอสมควรอยู่ เจ้าเองก็ด้วยสินะ ข้ากับอาเดอเรียคงไม่รบกวนแล้ว ถ้าอย่างไรเดี๋ยวเจ้ากับคารีน่าก็ลงไปรับประทานอาหารเย็นกับท่านคอลลินเถอะ อาเดอเรียคืนนี้คงไม่มีธุระอะไรแล้วเจ้ากลับบ้านกับแม่เถอะนะ”ข้อเสนอที่ไร้ซึ่งหนทางให้ใครต้องปฏิเสธนั้นถูกเอื้อนเอ่ย อาเดอเรียโค้งให้กับเอเทลและรีอันน่าก่อนจะตามคาทริโอน่าออกไป
วันนั้นคอลลิน ลอเรนซ่าปิดร้านแต่หัววัน และก็ดูเหมือนทั้งคาทริโอน่าและอาเดอเรียจะจะระแคะระคายเรื่องท่าทีของคารีน่า พวกนางจึงมาลาตั้งแต่ช่วงเย็น ซึ่งแน่นอนว่านั่นเพราะต้องการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า อาเดอเรียนั้นเดินรั้งท้ายเมื่อคาทริโอน่าเป็นฝ่ายเดินนำไปตามถนนก่อน แม้คอลลิน ลอเรนซ่าจะได้พยายามที่จะชักชวนพวกนางให้อยู่ร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ในครอบครัวอยู่หลายคำรบแต่แม้มันก็ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
“ต้องขอโทษด้วยขอรับที่ก่อความยุ่งยากให้จนได้” อาเดอเรียกล่าวขึ้นก่อน นางเหลือบมองเห็นเอเทลกำลังโต้เถียงบางอย่างกับคารีน่าทางด้านใน ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกผิดซ้ำซากว่าการคงอยู่ของตนเองนั้นเป็นสิ่งไม่สมควร
“เจ้านี่ล่ะนะ” คอลลิน ลอเรนซ่าถอนหายใจก่อนจะมองหญิงสาวอย่างใจดี เด็กที่ตนเองรักราวกับญาติคนหนึ่ง ตั้งแต่สองแม่ลูกพลัดถิ่นมาที่นี่เมื่อสิบแปดปีก่อน เขาก็เห็นการเติบโตของเด็กคนนี้เรื่อยมา อายุเพียงสิบแปดปี หากแต่มีทั้งความรับผิดชอบและความทรหดอดทนที่หาได้ยากยิ่ง แม้จะไม่มีอะไรที่อาจการันตีถึงอนาคตได้ แต่เขาก็หวังเหลือเกินว่าตนเองจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ อาเดอเรีย เอสเตอร์....ก้าวไปข้างหน้า ไม่รวดเร็วนัก แต่ก็หาได้เชื่องช้าจนเกินไป
“อย่าห่วงเลยขอรับ ข้าจะมาทำงานตรงตามเวลา” ยิ้มน้อยๆให้ก่อนจะโค้งคำนับ แต่ฝ่ายนั้นกลับยิ่งส่ายศีรษะพร้อมกับยิ้มอย่างเหนื่อยใจ แน่นอนว่านั่นเพราะอาเดอเรียพูดในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความคิดคำนึงของผู้เป็นเจ้านายอย่างไม่มีใกล้เคียงเลยแม้แต่น้อย
“ไปทำงานในครัวมั้ย มือเจ้าด้านหมดแล้วนะ” ว่าพลางจับมือขวาของหญิงสาวขึ้น มือของผู้หญิงที่ควรจะนุ่มเนียนไม่ก็ด้านเพียงแต่น้อย แต่กรณีของเด็กคนนี้มันเกินกว่าจะเรียกว่ามือของสตรีไปแล้ว “ไม่ก็ แต่งตัวแบบผู้หญิง แล้วก็มาทำงานบ้านอย่างเดียว” ข้อเสนอที่หากเป็นผู้อื่นก็คงจะรีบคว้าไว้อย่างไม่มีลังเล
“ข้าทำงานผิดพลาดจนถูกปลดหรือขอรับ คิดว่าคงไม่นะขอรับ” ย้อนถามพลางยิ้มให้ ก่อนจะดึงมือกลับมาอย่างนุ่มนวล ดวงตานั้นจ้องมือทั้งสองของตนเอง ก่อนจะกล่าวขึ้นอีกครา “ข้าพอใจงานตอนนี้ เท่านี้ก็พอเพียงเหลือเกินแล้วขอรับ” พอใจ ภูมิใจ สบายใจที่มันเป็นไปเช่นนั้น แต่ไหนแต่ไรมา ตั้งแต่จำความได้ ชีวิตก็ผูกติดกับงานมาตลอด ทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ต้องสนใจว่าผู้ใดจะมองมาด้วยสายตาเฉกเช่นใด ไม่ว่าชาย ไม่ว่าหญิง ตัวตนของตนก็คือตนเอง หากได้ลองคิดในแง่นี้ล่ะก็
ชีวิต
ก็แสนเสรี
“เจ้าเป็นหญิงสาว อาเดอเรีย เอสเตอร์” คำเตือนจากผู้เป็นนาย
“ไม่ผิดหรอกนายท่าน แต่ก็....เป็นตัวของข้าเองด้วยเช่นกัน” พูดทิ้งท้าย ก่อนจะขอลาในยามที่แสงตะวันกำลังจะลับลา ตัวของตัวเองที่ผู้เป็นมารดาเลี้ยงดูมาให้เป็นเช่นนี้
“ลาล่ะขอรับ”
ในเย็นวันนั้นหญิงสาวเดินตามผู้เป็นมารดาผ่านตลาดพลางกวาดสายตาดูเรื่องราวรอบตัวอย่างไม่อาจบ่งบอกอารมณ์ ขอทานสองข้างทาง นายทหารในเครื่องแบบที่เกลื่อนกล่นถนน ใบปลิวประกาศการตายของเจ้าเมือง ประกาศจับล่าค่าหัวหัวหน้ากบฏ ข่าวสารความวุ่นวายของข้าราชการจากเมืองหลวง ความขัดแย้งของข้าราชการฝ่ายการเมืองและนายทหาร การแทรกแซงทางการเมืองของศาสนจักรที่นำโดยมหาสังฆราชองค์ปัจจุบัน หรือแม้แต่เรื่องของกษัตริย์ผู้ไร้ซึ่งอำนาจให้ถือครอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดูไกลตัวและช่างราวกับโลกที่ไม่อาจจินตนาการสัมผัส
ยามที่เดินข้ามสะพานและจ้องมองออกไปยังสายน้ำที่ไร้ที่สิ้นสุด ตัวนางที่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมราโน่ ตัวนางที่ราวกับกบในกะลาครอบที่ไม่อาจก้าวเดินสู่โลกกว้าง แต่ว่า...นี่ก็คือชีวิตจริง
“สุดสายน้ำนี้ มีสิ่งใดอยู่กันนะ” พลั้งรำพันออกมาอีกครั้ง แม่น้ำทาร่าที่ไร้สิ้นสุด สายน้ำที่โอบล้อมเมืองกว่าครึ่งเมืองไว้ในอ้อมแขน น้ำสีฟ้าใส ท้องฟ้าที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา โลกที่คงไม่ใช่เพียงแค่นครแห่งนี้ ใจหนึ่งรับรู้ความเป็นจริง แต่อีกใจนั้นกระหายใคร่รู้เหลือเกินว่า
โลกใบนี้
เป็นเช่นใดกัน
เป็นเช่นใดกัน
จบตอน
อัพสลับกับศึกพ่อมดค่ะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น