คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ฝันตื่นหนึ่ง (Hakurei x Asmita) ตอนที่ 1
อยากแต่งด้วยความรักต่อคู่นี้ แม้ไม่อาจแต่งฟิคเรื่องยาวคู่นี้ให้จบได้ แต่ฟิคสั้นสองตอนจบคงทำได้ (ล่ะมั้ง)
Saint Seiya Lost Canvas
ฮาเครย์ xอัศมิฐา (Hakurei x Asmita)
ฝันตื่นหนึ่ง
สายลมพัดผ่านมา และพัดผ่านไป
ชีวิตมีมา และจากจรไป
ดุจดั่ง...ความฝันตื่นหนึ่ง
“แต่แม้ความฝันนี้เป็นสุขเช่นใด ก็จำเป็นต้องตื่นจากความฝัน” ชายชราผมสีดอกเลาผู้หนึ่งยืนอยู่เพียงลำพัง บริเวณริมหน้าผาที่สายลมโกรกแรงกระทบผิวใบหน้าและผิวกายจนเย็นสะท้าน ดวงตาสีเทานั้นเหม่อมองออกไปไกล ไกลจนสุดหล้า ไกลจนสุดสายตา ห่างไกลจนคาดว่าคงไม่อาจส่งความรู้สึกใดๆผ่านฟากฟ้าไปได้
“บางทีเวลานั้นคงงวดเข้ามาแล้ว” กล่าวเช่นนั้นอีกครั้งราวกับต้องการย้ำเตือนกับตนเอง ก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินมาเบื้องหลัง เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นลูกศิษย์คนโปรดที่ทำหน้านิ่วเดินเข้ามาหา
“ถึงเวลาแล้วรึ ยูสึริฮะ” ผู้เป็นอาจารย์ถาม
“ค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยท่าทีและแววตาขึงขังเฉกเช่นเคย
“ต้องตื่นจริงๆด้วยสินะ”
“คะ?”
“เรื่องราวดำเนินมาจนถึงป่านนี้แล้ว เจ้าเห็นว่าชีวิตคนเรานั้นเป็นเช่นไรหรือ ศิษย์ข้า” ตั้งคำถามและหันกลับมายิ้ม ช่างเป็นคำถามโง่เขลา แต่กระนั้นก็เพียรปรารถนาจะถามไถ่ใครสักคนหนึ่ง
“ท่านอาจารย์หมายถึงสงครามศักดิ์สิทธิ์?”
“ไม่เลย” ส่ายศีรษะปฏิเสธก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้าหมายถึงชีวิตแห่งปุถุชน ชีวิตของมนุษย์ที่ดำเนินมานับแต่ลืมตาดูโลกจวบจนสิ้นอายุขัย...มันมีคุณค่าเพียงไรกันนะ”
เกิดมา
เพื่อสิ่งใด
“ข้านึกแปลกใจที่ท่านอาจารย์ถามไถ่ ด้วยเพราะท่านตั้งมั่นในปณิธานของตนเรื่อยมา การที่ท่านตั้งคำถามเช่นนี้จึงยากที่จะตอบให้ตรงใจได้ค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างชาญฉลาดแต่อ้อมค้อมเย็นชาตามประสา ไม่อาจเข้าใจความคิดของผู้เป็นอาจารย์ แต่หากจะมีสิ่งใดที่สัมผัสได้ ก็คงมีเพียงคลื่นพลังคอสโมที่สั่นไหว บางเบา หากแต่...ลังเล
ท่านอาจารย์
ท่านลังเลด้วยสิ่งใด
“นั่นสินะ” หัวเราะในลำคอ ก่อนจะเผยรอยยิ้มเล็กน้อยที่แฝงนัยตามประสา “นี่คงเป็นแค่การคร่ำครวญของคนแก่เท่านั้นล่ะ”
และชื่อของคนแก่ที่ว่านั่นก็คือ... อัลทาร์ ฮาเครย์
ย้อนกลับไปเมื่อสองร้อยหลายสิบขวบปีก่อน ชายชราผู้นี้เคยได้ชื่อว่าเป็นเซนต์ที่แกร่งกล้า เป็นผู้ครอบครองชุดคล็อธของผู้มีสิทธิขึ้นรั้งตำแหน่งเคียวโก ประมุขแห่งเหล่าเซนต์ นักรบแห่งองค์เทพีอาเธน่า เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตและทุ่มเทชีวิตเพื่อการศึก เพื่อเพื่อนพ้อง เพื่อเกียรติยศ และเพื่อองค์เทพีแห่งความยุติธรรม ทั้งที่คิดว่าจะใช้ชีวิตเยี่ยงนั้นไปจวบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต แต่ทุกสิ่ง...กลับผันแปรไม่แน่นอน
เมื่อเวลาที่ยาวนานและปราศจากสิ้นซึ่งมลทิน
กลับมีอันต้องสิ้นสุดลง
คนผู้หนึ่ง...บันดาลให้เป็นเช่นนั้น
ข่าวของเรื่องร้ายมาเยี่ยมเยือนพร้อมกันอย่างไม่คาดหมาย ฮาเครย์เข้าใจดีว่าชีวิตของเขาเองนั้นดุจดั่งต้นไม้ใหญ่ที่ใกล้โรยราเสื่อมสลาย นับวันที่จะลาโลกนี้ไปสู่ความตายที่รอคอยมายาวนาน แลเห็นเพียงกิ่งไม้แห้งที่ต้องสายลมเย็น เห็นเพียงสีเทาที่ฉาบทาโลกทั้งใบ แต่กระนั้น ท่ามกลางความตายมากมายที่รายล้อม กลับหาได้มีความตายใดยอมมาต้อนรับเขา
ได้เพียงมองส่ง
ผู้คนจากลา
“สเปคเตอร์คร่าชีวิตเหล่าเซนต์ในแซงทัวรี่จำนวนมาก และแม้จะกำจัดหนึ่งในสามตรีทูตได้แต่ก็ต้องแลกด้วยชีวิตของหนึ่งในโกลด์เซนต์” หญิงสาวรายงานยามที่เดินตามผู้เป็นอาจารย์กลับมายังอาราม
นั่นคือข่าวร้าย...ที่มาจากแซงทัวรี่
“ยามนี้องค์อาเธน่าคงกำลังใช้คอสโมหยุดการคืนชีพของพวกสเปคเตอร์สินะ โกลด์เซนต์ที่สละชีพไปคือผู้ใดหรือยูสึริฮะ” ท่านผู้เฒ่าถาม รู้สึกเศร้าใจและราวกับว่าอดีตนั้นย้อนหวนคืนกลับมา การลาจาก การรอฟังข่าวคราวยามที่เพื่อนพ้องค่อยล้มหายไปทีละคนดุจดั่งใบไม้ร่วง ประวัติศาสตร์...กลับเดินซ้ำร้อย หมุนเวียนไปเช่นนี้...ครั้งแล้วครั้งเล่า
“โกลด์เซนต์สถิตลัคนาราศีมีน ท่านพิสซิส อัลบาฟีก้าค่ะ” รายงานพลางก้มหน้าลง นางยังจำได้ถึงน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยที่ศิษย์ผู้พี่ส่งผ่านบอกมา ความเศร้าที่จับจิต ความระทมทุกข์ที่สั่นไหวในจิตใจ การมองส่งสหายของตนก้าวเดินไปสู่ความตายนั้น...ช่างหนักหนาสาหัสเหลือเกิน
“ดอกไม้งาม ร่วงโรยสินะ” ที่ฮาเครย์เอ่ยนั้นย่อมหมายถึงเซนต์ผู้งดงามที่สุดในบรรดาเซนต์ทั้ง ๘๘ หมู่ดาว เขาเห็นเด็กน้อยผู้นั้นตั้งแต่ยังเป็นทารก ตั้งแต่ครั้งโกลด์เซนต์พิสซิสคนก่อนรับมาเลี้ยงดูและฝึกวิชา แลเห็น และทราบข่าวคราวอยู่โดยตลอดในฐานะผู้ช่วยของเคียวโก “ข้าหวังว่าในลมหายใจสุดท้ายของชีวิต เขาจะไม่ได้สิ้นลมอย่างโดดเดี่ยวนะ”
“ท่านชิออนอยู่กับเขาในตอนนั้นค่ะ” อยู่ด้วย และได้ฟังถ้อยคำในคำรบสุดท้าย
ผู้ตายเปี่ยมสุข
ผู้อยู่ระทมทุกข์
“ดีจริง” ฮาเครย์ยิ้มขึ้นเล็กน้อยพลางถอนหายใจ อย่างน้อยที่สุดความตายที่มีสหายอยู่เคียงข้างก็คงไม่เหงาเปลี่ยวดายนัก ตรงกันข้าม ศิษย์ของเขาต่างหาก อาริเอส ชิออนผู้อารี เด็กคนนั้นคงจะต้องเก็บความโศกเศร้าและแบกรับความรู้สึกของผู้รอดชีวิตต่อไปอีกยาวนานจนกว่าจะสิ้นลมจากโลกใบนี้ไป
ทว่า แม้จะโศกเศร้าเพียงใด แต่กระนั้นก็ไม่สามารถที่ใครจะทอดอาลัยหรือมีเวลาสวดไว้อาลัยให้ผู้ล่วงลับ เนื่องเพราะข่าวสำคัญนั้นยังมีต่อ และตัวของท่านผู้เฒ่าแห่งจามิลก็ไม่อาจหยุดยื้อเวลาไว้มากไปกว่านี้ได้
“ข้ามีงานสำคัญให้เจ้าทำยูสึริฮะ”
“ท่านอาจารย์เชิญสั่งมา ข้าพร้อมจะรับปฏิบัติตามแม้ต้องเอาชีวิตเข้าแลกค่ะ!” ลั่นวาจาด้วยน้ำเสียงขึงขัง ทว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นเพียงมองมาด้วยสายตาอาลัย
“อย่ารีบร้อนนักเลย” กล่าวเช่นนั้นและทอดสายตาออกไปไกล “อย่างน้อย...ก็อยู่เป็นเพื่อนคนแก่อย่างข้าอีกสักหน่อยเถอะ”
“ท่านอาจารย์...”
ให้ข้า
ได้ฝันอีกสักตื่น
แต่แม้เพียรอธิษฐานเช่นนั้น แม้ปรารถนาให้ความฝันนี้ยาวนานอีกสักเพลานาที หากแต่ความจริงนั้นอยู่เบื้องหน้า ความจริงที่มาเคาะประตูถามหา ยามที่แสงสีทองส่องตัดฟากฟ้ายามราตรี ในยามที่คอสโมสีทองที่เจิดจ้าที่สุดในยุคสมัยนี้มาปรากฏตรงหน้า ในช่วงเวลาที่แสนสั้นและยาวนานที่สุดในชีวิตนี้
นับรบผู้งดงามที่สุดในสายตาของเขามาเยี่ยมเยือนพร้อมกับข่าวดีและความหวังที่ยิ่งใหญ่ เส้นผมสีทองคำที่ต้องสายลมแห่งความหวังนั้นพลิ้วสยาย ดวงหน้าขาวที่ยังคงไร้เลือดฝาด หากแต่กลับเปล่งประกายแห่งความอารีจนดูคล้ายนักบุญ ชุดคล็อธสีทองนั้นอาจสูงส่ง แต่เหนืออื่นใดคือดวงจิต ดวงจิตแห่งผู้เสียสละและเปี่ยมล้นด้วยความอาทรที่แสนเย็นชา
โกลด์เซนต์สถิตลัคนาราศีกันย์
เวอโก้ อัศมิฐา
“เรากลับมาแล้ว ท่านผู้เฒ่า” น้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมกับรอยยิ้มที่คลี่ออกอย่างไร้สิ้นซึ่งความลังเล
ชายหนุ่มนับรบผู้งดงามมาพร้อมกับความหวังดั่งว่า เขาหลั่งหยาดโลหิตเพื่อให้ชุดคล็อธเปกาซัสคืนชีพ และนำมาซึ่งผลมฤตกพฤกษาจากแดนนรกซึ่งเป็นความหวังเดียวที่จะหยุดยั้งการคืนชีพของเหล่าสเปกเตอร์ในยุคสมัยนี้ ความปิตินั้นมากล้นในสายตาผู้อื่น หากแต่ท่านผู้เฒ่าแห่งจามิลคงทำได้เพียงเอื้อนเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบดูราวกับไร้สิ้นซึ่ง...ความอาวรณ์
ชุดคล็อธสีทองอาจบาดนัยน์ตา
คอสโมที่ทรงพลังอาจสั่นคลอนผืนแผ่นดิน
แต่ที่สะท้านในหัวใจข้า....
เพียงเส้นผมสีทองคำ...กับรอยยิ้มของเจ้า
“เจ้าไม่ควรมาเลย” ฮาเครย์เอ่ยขึ้นในยามที่เซนต์เปกาซัส ยูนิคอน และยูสึริฮะออกไปสู้รบยื้อเวลา จนเหลือกันเพียงลำพังสองคน บนแขนซ้ายของชุดเกราะสีทองที่อัศมิฐาสวมทับร่างนั้นอาบโลหิตสีแดง บาดแผลใหญ่ที่แลกกับการคืนชีพให้กับชุดคล็อธเปกาซัส เลือด...ที่ผู้เป็นเจ้าของไม่ต้องการอีกต่อไป ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
“เราไม่คาดฝันว่าท่านจะเอ่ยเช่นนี้เลย ท่านผู้เฒ่า...ไม่สิ ท่านฮาเครย์” อัศมิฐาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ข้าคงแก่ชรา จนเลอะเลือน” กล่าวตอบและมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาอาวรณ์อย่างไม่อาจปิดบัง ในยามที่อยู่กันเพียงลำพังในโมงยามสุดท้ายของชีวิต ...
“...”
“หากข้ามีความสามารถมากกว่านี้...” เจ็บปวดและทำได้เพียงถามตนเองว่า...มันสมควรเป็นเวลาสุดท้ายของผู้ใดกัน “หากข้า...สามารถมากกว่านี้”
คงอาจ
ยื้อชีวิตเจ้า
“หามิได้ เรากลับเห็นว่าท่านฮาเครย์มากความสามารถเสียจนเกินไป” อัศมิฐาฉีกยิ้มขึ้น ใบหน้าเรียบนิ่งในยามที่อยู่ต่อหน้าพวกเทนมะนั้นแปรเปลี่ยนไป ในเวลานี้คนที่อยู่ที่นี่คืออัศมิฐา เป็นอัศมิฐาคนที่อยู่ต่อหน้าอัลทาร์ ฮาเครย์เรื่อยมา “เราไม่อาจผลักภาระให้กับท่านมากไปกว่าที่ท่านมีอยู่แต่เดิมได้”
“ตอนที่เจ้าบอกเรื่องนี้กับข้า ข้าก็คิดเสมอว่า...ควรเป็นข้า” ควรเป็นข้าที่ใช้ชีวิตมายาวนาน ควรเป็นข้าที่ได้ใช้ชีวิตที่ดุจดั่งความฝันนี้มาจนเกินคุ้ม ควรเป็นข้า...
ข้า
ควรสิ้นลม...เพื่อเจ้า
หากแต่ตอนนั้นเองที่อัศมิฐานั้นเยื้องก้าวเข้ามาประชิดร่างของท่านผู้เฒ่าแห่งจามิล ชายหนุ่มยังคงแย้มยิ้ม เป็นรอยยิ้มละมัยแสนพิสุทธิ์ที่ปราศจากข้อกังขาหรือว่าความแค้นเคืองใดๆทั้งสิ้น
“ผู้ที่สอนการยิ้มให้เราคือท่าน...ท่านฮาเครย์”
“!”
“เมื่อได้ตัดสินใจจะเดินไปบนเส้นทางนี้ เราก็เตรียมใจไว้แล้ว และคิดไว้แล้วว่า...ระหว่างเรากับท่านสมควรจะจากกันด้วยรอยยิ้ม” เอื้อมจับมือของอีกฝ่าย ส่งยิ้มให้และจินตนาการถึงใบหน้าของคนตรงหน้าที่รู้สึกถึงกันมาทั้งชีวิต วาจาที่อ่อนโยน ฝ่ามือที่อ่อนโยน หัวใจ...และคอสโมที่ค้ำจุนทุกสิ่งในชีวิตของเขาไว้
ชีวิตของอัศมิฐา
เพียงหลับฝันชั่วตื่น
“ข้า...กลับยิ้มไม่ออกนะ” ทั้งที่สอนสั่งให้อีกฝ่ายแย้มยิ้ม ทั้งที่บอกกล่าวให้เด็กน้อยตรงหน้านี้จงยิ้มออกมาในทุกเวลา ไม่ว่ายามสุข ไม่ว่ายามทุกข์ ไม่ว่าจะต้องผ่านช่วงชีวิตที่หนักหนาสาหัสเพียงใด ก็จงยิ้มเถอะ จงยิ้มและผ่านมันไปให้ได้ “ข้า...”
ข้า
ควรทำเช่นใด
เพลานั้นที่ชายชราเอื้อมลำแขนและโอบกอดร่างสีทองนั้นเข้ามาแนบอก กลิ่นละมัยของสายลม กลิ่นพิสุทธิ์ของสายน้ำ กลิ่นคาวโลหิต ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกความรู้สึก ทุกความวาดหวัง ตั้งแต่แรกพบจวบจนลาจาก ทั้งที่สามารถอดกลั้นความรู้สึกผิดบาปนี้ได้เรื่อยมา ทั้งที่สามารถปิดบังเรื่องไม่สมควรนี้มาได้นานนับสิบปี แต่ท้ายที่สุดแล้ว ในวาระสุดท้ายแล้ว...มันกลับพังทลายลง
“ท่านฮาเครย์” อัศมิฐาเอ่ยเรียกชื่อนั้นเต็มเสียง ยิ้มให้แต่กลับไม่สามารถที่จะใช้สองแขนโอบกอดกลับได้ ด้วยรู้ รู้อยู่เต็มอกว่าหากโอบกอดกลับจะไม่อาจหยุดรั้งความรู้สึกนี้ไว้ได้ เตรียมใจไว้มาเนิ่นนาน ตัดใจ และพร้อมน้อมรับภาระหน้าที่ๆมีเพียงตนเองเท่านั้นที่สามารถทำได้ ชีวิตที่ต้องจบลง ชีวิตที่เดินมาถึง ณ ที่นี้ แม้ในสายตาผู้อื่นอาจเห็นว่าแสนสั้น แต่ในความเป็นจริงนั้น...มันช่างยาวนาน
ยาวนานนัก...
นับแต่พบท่าน
“ช่างดีจริงๆที่ได้พบท่าน ท่านฮาเครย์” กล่าวย้ำและกลับเป็นฝ่ายผละออกจากร่างที่โอบกอดตนไว้ แม้ใจห่วงหา แม้อาวรณ์ แต่ไม่อาจที่จะถอยหลังเดินกลับ “ท่านควรยินดี ในที่สุดวันที่เรารอคอยก็มาถึง”
“ข้าไม่อาจพูดว่ายินดี อัศมิฐา” ฮาเครย์ตอบ “หากเจ้าสิ้นลมในการต่อสู้ ข้าอาจทำใจแข็งรับข่าวร้ายได้ แต่ความตายของเจ้า...กลับมีลักษณะเช่นนี้” เป็นข้าที่ต้องยืนส่งเจ้าไปสู่ความตาย เป็นข้าที่บีบบังคับเจ้าให้ต้องทำเช่นนี้ ฉุดรั้งเจ้ามาจากโลก มาจากความฝันที่แสนสุขของมนุษย์ แม้จะพูดจาอวดอ้างคุณธรรมอย่างดีเช่นใด แต่โดยเนื้อแท้แล้วมันช่างโหดร้าย โหดร้ายและทารุณอย่างแสนสาหัส
ฝันหนึ่งตื่นของเจ้า
กลับกลายเป็นฝันร้าย
“เราดีใจ”
“อัศมิฐา...” กลับมองคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่คาดฝัน ใบหน้าที่กำลังส่งยิ้มให้นั้นช่างหมดจด ไร้มลทินใดๆมาแพ้วพาน ฮาเครย์รู้จักสีหน้าเช่นนี้ดี นี่คือสีหน้าและรอยยิ้มของผู้ซึ่งปราศจากสิ่งใดให้ต้องเสียใจในชีวิต
พึงพอใจ
กับความฝันแสนสั้น
“ดีใจที่มีท่านอยู่ด้วยในวันนี้” อัศมิฐาเอ่ยเช่นนั้นและก้าวเดินไปเบื้องหน้า ปราศจากสิ้นซึ่งความลังเล “สายลมดี เป็นวันที่ดี ท่านฮาเครย์”
“นั่นสิ...ช่างเป็นค่ำคืนที่เหมาะแก่การจะตื่นจากความฝันสินะ” ไม่ว่าจะเป็นฝันร้ายหรือฝันดี...คงจำเป็นต้องลืมตาตื่น
“นั่นเพราะชีวิตคือความฝันตื่นหนึ่งมิใช่หรอกหรือ” อัศมิฐาเอ่ยต่อ แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่หยุดยิ้ม รับรู้ว่าชายที่สำคัญที่สุดในชีวิตของตนคงไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของเขาในเวลานี้ได้ “เราพึงพอใจกับความฝันตื่นหนี่งที่ว่านี้ เพราะในความฝันนี้...เราได้พบท่าน”
“พบ...เพื่อลาจาก” ลาจาก และ...
“เพื่อพบกันใหม่ ท่านฮาเครย์...ในความฝันครั้งใหม่” เอ่ยเป็นคำรบสุดท้ายและผินกายมุ่งไปสู่ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ความรัก ความหลง ความงมงาย ความโศกเศร้า ทุกความรู้สึกที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ย มีมาและจบไป “ในวัยเยาว์ เราเคยพูดเสมอว่าชีวิตนั้นเป็นสิ่งทุกข์ทน”
“เจ้าชอบพูดเช่นนั้น และข้าเริ่มเห็นจริงด้วย” หัวเราะในลำคอ ความทุกข์ที่ต้องยืนอยู่ที่นี่ ความทุกข์ที่ไม่อาจโอบกอดเจ้าไว้ในอ้อมแขน ความทุกข์...ที่ไม่อาจแม้เพียงเอ่ยความรู้สึกอันจริงแท้
“ยามนี้เรายังขอยืนยันเช่นเดิม แต่แม้นว่าชีวิตเป็นสิ่งทุกข์ทน” หยุดอยู่เพียงอึดใจ และกลับเอ่ยขึ้นอย่างเต็มน้ำเสียงอีกครั้ง “แต่เราก็ยินดีที่จะได้ร่วมฝันไปกับท่าน...”
ไม่ใช่ในฐานะโกลด์เซนต์
ไม่ใช่ในฐานะท่านผู้เฒ่าแห่งจามิล
จะเป็นก็เพียงแค่...ท่านฮาเครย์
“ขอโทษที่คนชราเช่นข้าต้องให้เจ้าทำเช่นนี้”
ต้อง
เอ่ยพูดเช่นนี้...
“เราไม่เห็นเป็นเช่นนั้นเลย ท่านหาได้เป็นชายชราในความรับรู้ของเราไม่”
ลาก่อน
ลาก่อน
ลาก่อนท่านฮาเครย์
อัศมิฐาเดินขึ้นสู่บันไดวน แต่ละย่างที่ก้าวเดินนั้นสำนึกรู้ถึงจุดจบแห่งชีวิตแสนสั้นของตนเอง แต่ก็อย่างที่เขาได้พูดไปแล้ว เป็นชีวิต...ที่ปราศจากสิ่งใดให้ต้องเสียใจ
“เราทราบว่าเราสามารถร้องขอให้ท่านอยู่เคียงข้างในโมงยามสุดท้าย เราทราบว่าเราอาจประสาทสัมผัสทั้งหมดของเราได้ด้วยคอสโมสุดท้ายนี้ เรา...คงสามารถเห็นใบหน้าของท่าน”
ท่านที่เราห่วงหา
ท่านที่เราคำนึงถึง
“แต่สงครามศักดิ์สิทธิ์เพิ่งเริ่มต้น เราทราบว่าท่านยังมีภารกิจสุดท้ายต้องกระทำ ท่านฮาเครย์...อัศมิฐาจดจำท่านได้ และจะจดจำท่านไปตลอดทุกชาติภพ”
ไม่ต้องเมียงมองใบหน้า
ไม่ต้องอาศัยคำหวานพูดจา
“นี่เป็นชีวิตที่ดี...ขอบพระคุณท่าน ท่านฮาเครย์”
เรา...
ยินดีเหลือเกิน...
คอสโมสุดท้ายที่ฮาเครย์แลเห็นนั้นเป็นสีทองอำไพแสนพิสุทธิ์ เปล่งรัศมีงามงดจับนัยน์ตา ขับไล่สิ่งชั่วร้ายทั้งมวลให้อันตรธานหาย เป็นความงามที่จับจิต เป็นความบริสุทธิ์ที่มิอาจหาสิ่งใดเทียบเทียม หยาดน้ำตาพลันไหลอาบแก้ม ความเจ็บปวดนั้นแล่นปลาบกลางอก ภาพของคืนวันเก่าก่อนพลันย้อนกลับมา รอยยิ้มที่ตนสอนสั่ง ความหวังที่ตนมอบให้ ความรัก...ที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
“ข้า...อยากตื่นจากฝันนี้เสียที”
อยากตื่น
เพื่อจะได้พบเจ้า...อีกครั้ง
จบตอน
ความคิดเห็น