คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ช่วงเวลาแห่งความสุข2 และความทรงจำ (100%) ปรับปรุง
สายลมเย็นๆ พัดผ่านท้องนภาให้ดูสดใส ต้นไม้เรียงรายมีน้ำพุตรงกลาง
ผู้คนเดินไปมาอย่างเบาบางทำให้สงบ มีเสียงนกร้องเจียยแจ่ว
บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์และความรักที่มีต่อหมู่บ้านของชาวบ้านได้เป็นอย่างดี
สวนสาธารณะของแค้วนโคโนฮะงาคุเระแห่งนี้
แต่มีที่สะดุดตาคือเด็กหนุ่มผมแดงอมดำซอยยาวไล้ปิดคอด้านหลัง
ดวงตามีขอบจนดำสีเขียวอ่อนแลดูเหม่อลอยไร้ชีวิต รูปร่างสูงผิวขาวออกซีด
ใบหน้าดูคมคาย ในชุดเสื้อคอเต่าสีดำสวมสูทสีเทายาวเข้ากางเกงสีดำ
นั่งอ่านหนังสือตรงม้านั่งคนเดียวตรงม้านั่งยาวสีน้ำตาลอ่อน
เรียกได้ว่าเป็นอาหารของสวน้อยสาวใหย่ที่เดินผ่านได้เป็นอย่างดี
"เฮ้!!กาอาระ~" เสียงใสเรียกชื่อเด็กหนุ่มละจากหนังสือมองมาทางต้นเสียง
ซึ่งเจ้าของเสียงเป็นเด็กหนุ่มผมทองต้องแสงจนดูอารามตา
สีตาดังท้องฟ้าสดใสไร้หมู่เมฆบดบังในชุดเสื้อคอกลมสีส้มอ่อนทับด้วยเสื้อเชื้อแขนสั้นสีขาวสดชายนอกกางเกงสีดำ
กำลังวิ่งมาทางเค้าพลางโบกไม้โบกมืออย่างกับคนบ้า
แต่สำหรับเค้าแล้วนั้นเป็นคนที่น่านับถือที่สุด
และเป็นเพื่อนคนแรกของเค้าเช่นกัน
จนเผลอยิ้มออกมากับความเป็นของเพื่อนผมทองที่วิ่งมาถึงเค้า
หอบหายใจแรงเนื่องจากวิ่งมา ก่อนซูดหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ
เพื่อให้คลายความเหนื่อยบางก้อยังดี
"ไงรอนานไหม" เด็กหนุ่มถามขึ้นพลางปาดเหงือที่หน้า
เด็กหนุ่มสายเป็นการปฎิเสษ
"ชั้นเพิ่งมาถึง3นาทีก่อนนี้เอง" กาอาระตอบด้วยเสียงที่ราบเรียบ
"นายเนี้ยน้า~ชั้นอุสารีบมาก่อนเวลาตั้ง5นาทีแต่นายดันมาก่อนทุกทีเลย"
เจ้าตัวดีว่าพลางทำแก้มป่อง เด็กหนุ่มยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อน
สังเกตุเห็นผ้าพันแผลรอบหัวของเพื่อนหนุ่ม ซึ่งกำลังยืนบ่นไม่หยุดเรื่องนาฬิกา
ถึงฟังมังไม่ฟังมัง
แต่ตอนนี้ที่เค้าสนใจคือแผลที่หัวและตามร่างกายของเจ้าชังจ่อนี้มากกว่า
"นารุโตะ...แผลที่หัว" หลังปล่อยให้จ่อเรื่องนาฬิกาอยู่นานสองนาน
จึงแทรกถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเบียบเช่นเดิน ราวกับถามตามมารยาท
และใบหน้าที่ดูเฉยเมย แต่หารู้ไม่ว่าภายในนั้นกลับมีความเป็นห่วงอย่างมาก
สำหรับตัวเค้าที่แสดงสีหน้า และอารมณ์ไม่เก่ง จึงทำให้ดูเป็นเงียบครึม เย็นชา
ไม่ใครอยากจะพูดด้วย
บวกกับเค้าเป็นคนจากตระกูลใหญ่ในหมู่บ้านซึนะงาคุเระที่อยู่หมู่บ้านข้างๆ
และรู้จักกับนารุโตะตั้งแต่เล็กๆ ซึ่งเป็นคนแรกที่ยอมรับในตัวเค้า
"ชั้นตกบันไดมานะ" พลางหัวเราะแห้งๆ
แต่สายตาสีเขียวที่มองมาอย่างรู้ทันจ้องกลับมาอย่างรู้ทัน
เจ้าตัวดีได้แต่ถอนหายใจก่อนวางเป้ลงกับพื้น
และปล่อยตัวนั่งลงกับม้านั่งยาวสีน้ำตาลเข้มอมแดงข้างๆ เพื่อนหนุ่ม
พลางยกมือจับแผลที่หัว
"เมื่อเช้า...ฉันมาโรงรียนแล้วเจอไก่ของโรงเรียนตายเรียบ"
เสียงที่เริ่มเล่านั้นสั่นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แสนแผ่วเบา
แต่ก้อดังพอที่เพื่อนหนุ่มได้ยิน
"มันมีตัวสีดำเข้าทำร้ายชั้นแล้วก็...อึ๊ก"
ยิ่งเล่าก็ยิ่งปวกหัวจนเผลอจิกเข้าที่แผล
แต่ด้วยความเร็วมือแกร่งคว้าไปที่ข้อมือเล็กดึงเข้ามากอด
แววตาสีฟ้าฉายความตกใจแต่ก็แปลเปลี่ยนมีน้ำใสๆ คลอเบ้าและไหลอาบแก้ม
เค้ารู้ว่ากาอาระกำลังปลอบเค้า เพราะเป็นคนพูดไม่เก่ง
แต่แบบนี้ก็ช่วยได้ถึงจะไม่มากก็ตามที
แล้วร่างบางก็ซบปิดใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา
เมื่ร่างสูงเห็นดังนั้นจึงกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น
โดยหารู้ไม่ว่าคนแอบตรงต้นไม้ด้านหลังไม่ไกลมากนัก เห็นภาพบาดตาบาดใจ
เล็บจิกเข้ากับฝ่ามือเลือดซิบ
ดวงตาสีแดงเพลิงด้วยแรงหึงหวงบวกความน้อยใจที่ไม่ยอมระบายและให้เค้าเป็นคนปลอบ
แต่ไปพูดกับคนอื่น แถมยังเป็นเจ้า 'กาอาระทะเลทราย แห่ง ซึนะงาคุเระ'
ตัวอันตรายมากสำหรับคนที่รู้จักมัน
"นารุโตะ...ทำไมถึงอยู่กับเจ้านั้น" เด็กหนุ่มสะถมอย่างไม่พอใจ
แต่แล้วดวงตาสีมรกตดูไร้อารมณ์เยือกเย็นดังน้ำแข็ง
เงยขึ้นสบกับดวงตาสีเพลิงกาฬที่ลุกไหม้ด้วยแรงหึงหวง
ราวกับรู้ว่าเค้ายื่นดูอยู่ตรงนั้น ทำให้เจ้าตัวสะอึกเล็กน้อยด้วยความตกใจ
แต่ละลายหายไปทันใดเมื่อเห็นเจ้านั้นหัวเยอะอย่างมีชัย
ยิ่งทำให้เค้าไม่สบอารมณ์มากขึ้นจนเค้าจะออกจากที่ซ้อน
แต่ว่าร่างบางในอ้อมกอดผละจากอกแกร่งพลางเช็ดคราบน้ำตา
"ขอบใจชั้นไม่เป็นไรแล้วเราไปกันเถอะ" เด็กหนุ่มผมทองกล่าวอย่างยิ้มๆ
แต่แทรกไปด้วยความเศล้าที่ยังหลงเหลือในแววตาสีฟ้าครามคู่งามนั้น
ก้มหยิบกระเป๋าขึ้นสะถายลุกขึ้นไม่กล้าสบตากับเพื่อนหนุ่ม
กลัวว่าจะทำให้เป็นห่วง
เพื่อนหนุ่มลุกขึ้นตามพลางยื่นมือหมายสัมผัสเส้นผมสีทองดังดวงตะวันที่อบอุ่น
แต่ชักมือกลับ เพราะถ้าสัมผัสตัวร่างบางตอนนี้บางที่เค้าจะอดใจไม่ไหว
สำหรับนารุโตะเค้าคือเพื่อนที่แสนดี
แต่เค้าคิดกับกันอยากเป็นเจ้าของหัวใจและร่างกายของดวงตะวันสีทองเพียงคนเดียวเท่านั้น
ซึ่งตอนนี้ยังเร็วเกินไปสำหรับนารุโตะเพราะฉะนั้น...
ดวงตาสีเขียวมรกตเงยขึ้นไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังแอบดูพวกเค้าอยู่
แต่ตอนนี้ไม่มีวีแววแม้แต่เงา
"นารูโตะเป็นของพวกเราไม่ยกให้ใครทั้งนั้น" เสียงกล่าวที่ทุ้มเฉียบขาด
เรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยอันตรายนั้นจากปากอวบอิ่มของเด็กหนุ่มร่างสูงผมสีชาอมแดง
อย่างไม่คาดคิด
"กาอาระพูดว่าอะไรนะ" นารุโตะหันมาถามเหมือนได้ยินชื่อเค้าแว้วๆ
พลางหันซ้ายหันขวา แต่เพื่อนหนุ่มส่ายหน้าไปมาพลางยกกระเป๋าสะภายเดินมาจับบ่า
พร้อมกึ่งลากกึ่งเดินร่างบางออกจากสถาที่นั้น
เมื่อแน่ใจว่าทั้งคู่เดินออกจากบริเวณที่นั่งเมื่อกี้แล้วจึงออกจากที่ซ้อนใหม่
เดินมายังที่พวกนารุโตะนั่งเมื่อกี้ มองไปทางที่ทั้งคู่เดินจากไปนั้น
ยิ่งเจ็ยดังมีดกรีดหัวใจจนแน่นหน้าอก
"นารุโตะ...ทำไมนายถึงรู้จักเจ้านั้น" เด็กหนุ่มรูปร่างสูงหุ่นดี
ผมสีดำขลับ
ดวงตาสีเพลิงกาฬที่กำลังลุกใหม้ด้วยเพลิงแห่งความหึงหวงและความน้อยใจที่
ร่างบางมีเค้าอยู่ข้างกายแต่ไม่เคยพูด รึ ระบายอะไรกับเค้าเลย
"ทำไมถึงไม่ปรึกษาฉัน...นายเห็นฉันเป็นอะไรกันแน่"
เด็กหนุ่มกล่าวออกมาอย่างเจ็บปวด พลางนึกย้อนอดีตไป 10 ปีก่อน
ตอนนั้นในคืนที่หนาวเหน็บหิมะตก
มีเพียงเค้าที่เดินตากหิมะอยุ่เพียงลำพังทั้งหิวและหนาวจับขั่วหัวใจ
แต่ตอนนี้ใจเค้าเย็นเฉียบยิ่งกว่าหิมะที่ตกลงมา เพราะเมื่อ 3
วันก่อนในคืนที่เงียบสงัดจู่ๆ มีกลิ่นใหม้ลอยเข้ามาในห้องฃองเค้า
พอชะโงดมองทางหน้าต่างต้องตกใจ ไฟใหม้ทั้งบ้านทั้งตระกูล ด้วยความตกใจ
เด็กน้อยรีบออกจากห้องวิ่งลงบรรไดมาปะทะกับไอร้อนของเปลวเพลิงด้านล่างปิดทาง
จึงเลี่ยงไปในบ้านพลางส่งเสียงที่แหบพร่าเรียกทุกคนในบ้าน
"ท่านพ่อ!!ท่านแม่!!พี่อิทาจี!!"
เด็กน้อยยังคงตามหาครอบครัวจนเดินอย่างทุลักทุเลมาถึงห้องรับแขก
ก้ต้องตกใจสุดขีดเมื่อศพที่นอนตรงพื้นเป็นบุคคลที่รักและเคารพสุดหัวใจ
"ท่านพ่อ!!~ท่านแม่!!~"
เด็กน้อยถลาเข้าไปกอดร่างไล้วิญาณของทั้งสองคนโดยไม่สนใจเพลิงที่เผาใหม้ใกล้เข้ามารำไห้ไม่หยุด
โดยไม่ทันสังเกตุเห็นศัตรูที่หลบอยู่ในหมอกควัญ พลางยื่นมือออกไปข้างหน้า
"ซาสุเกะอันตราย!!" เสียงเรียกดังขึ้น พร้อมมีเงาดำๆ
วิ่งมาดักหน้าเด็กน้อยที่ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตา
/*/ฉึก!! ฉึก!!/*/
ร่างสูงใหญ่ผมดำขลับเหยียดตรงคลุมหลังมัดหางม้าแบบหลวมๆ
ดวงตาสีแดงเพลิงยิ่งกว่าเปลวเพลิงที่อยู่รอบตัว
ทนรับการโจมตีจากศัตรูเพื่อปกป้องเด้กน้อยในอ้อมกอด พลางกระอักเลือดเล็กน้อย
"เจ้าน้อยชายบ้า...ทำไมถึงไม่หนีไป" ร่างสูงถามอย่างอ่อนโยน
เมื่อเห็นเจ้าตัวดีทำท่าจะร้องไห้หนักกว่าเดิม
"ก...ก็ไฟใหม้บ้านแล้ว..แล้วก้อท่านพ่อท่านแม่"
พลางชี้ไปทางร่างไล้วิญาณของทั้งคู่ที่กำลังถูกเผาใหม้ด้วยเพลิงมรณะ...มาไม่ทันรึเนี้ยะ...
ร่างสูงคิดอย่างเจ็บปวดที่ไม่สามารถปกป้องครอบครัวได้
แต่อย่างน้อยก็ต้องปกป้องน้องชายเพียงคนเดียวให้ได้
"ซาสุเกะหนีไป" เสียงกล่าวบอกพอที่จะได้ยินแค่สองคน
แต่เด้กน้อยได้ฟังดวงตายิ่งเปิดกว้าง ส่ายหัวไปมาอย่างแรง
อิทาจิจึงชักหงุดหงิดกับความดื่นของเจ้าน้องชายตัวดีของเค้า
"ไม่ต้องกลัวไปหลอกได้ไปกันพี่ทั้งน้องนั้นปหละ"
เสียงสูงแสบแก้วหูกล่าวขึ้นพลางหัวเราะในลำคอ ทำให้อิทาจิหันไปมอง
"เจ้านี้ไม่เกี่ยวที่ต้องการนะคือชั้นแล้วทำไมต้องฆ่าล้างตระกูด้วย"
อิทาจิตะโกนถาม แต่เพราะแผลเลยทำให้เลือดออกมากเด็กน้อยจึงต้องช่วยประครอง
"ใครว่าต้องการแกแต่คนเดียวล่ะ"เสียงตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ใบหน้าดูผอมบางผิวขาวตาเรียวดังงูไม่มีผิด
นั้นทำให้เด็กน้อยสะดุ้งอย่างหวาดกลัวแต่แล้วจู่ๆ
ความเจ็บปวดแผ่ซานที่ไหล่ซ้ายด้านหลังพร้อมสติสัมปชันยะค่อยเลือนหายไป
"ซาสุเกะ~!!"เสียงเรียกเด็กน้อยที่ถูกศัตรูจากด้านหลังคว้าหลุดจากมือพร้อมฝังเขียวที่ใหล่บางนั้นจนสลบไป
อิทาจิรวบรวมแรงที่มีขว้างดาวกระจาย คนร้ายถอนเขี้ยวออกมาหลบได้อย่างหวุดหวิด
แต่ต้องตกใจมากกว่าคือดาวกระจายกลายเป็นนกตัวใหญ่โฉบเด็กน้อยหายไปในกรีบเมฆในยามราตรี
"เสร็จกัน" เสียงสะถบดังขึ้นพลางมองอิทาจิซึ่กำลังยิ้มเยอะอย่างผู้มีชัย
ยิ่งทำให้อารมณ์ประทุขึ้นตรงเข้าไปหยามสังหารบุรุษตรงหน้าให้ตาย
แต่ร่างกายกับหยุดกึกขยับไปไหนไม่ได้เมื่อถูกเนตรสีเพลิงรูปปังหัน
'เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่อนบุผา' ตราตรึง อิทาจิคว้ามีดที่อยู่ใกล้ๆ
เดินตรงไปยังศัตรูคู่อาฆาตอย่างทุลักทุเลเพราะบาดแผล
พลางเงื่อมีดหมายหมายสังหาร
"เดี้ยวก่อนถ้าข้าตายเจ้าลูกเจี้ยบนั้นจะไม่มีทางถอนอักขละฟ้าที่ข้าปลุกไว้ได้"
บุรุษผู้เหมื่อนงูเอ๋ยขึ้นหวังให้บุรุษตรงหน้าสบสน
แต่ยิ่งพูดความรู้สึกกดดันยิ่งมาก
"เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้วแต่ถ้าเป็นเจ้านั้นคงไม่เป็นไรอยู่แล้ว"
กล่าวจบก็พูดพล่ามทำเพลงลงดาบทันใด
/*/ฉึก!!ฉึก!!/*/
แต่ถูกดาวกระจายอันใหญ่สองอันปาใส่จากด้านหลัง จนล้มลงโลหิตค่อยๆ
ใหลนองพื้นสติค่อยๆ เลื่อนหายไปพร้อม
ภาพครอบครัวแสนสุขลอยขึ้นมาในหัวพร้อมรอยยิ้มอันใสซื่อของน้องชายเพียงคนเดียวที่ยอมรับในตัวเค้าเพียงคนเดียวในตระกูล
และเด็กสาวกับเด็กหนุ่มอีกคู่ที่ส่งยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง
เพราะฉะนั้นแม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ต้องปกป้องให้ได้ มือเรียวงามค่อยๆ
เลื่อนลงมากุมเสื้อตรงหน้าอก
"ซาสุเกะ....นารุคุ...นารุ...โตะ..."
สิ่งสุดท้ายที่หลุดปากออกมานั้นแผ่วเบามากจนมีเพียงสายลมและควัญไฟที่ได้ยินพร้อม
พร้อมอนุสติดับวูบลง
ศัตรูใบหน้าคล้ายงูเห็นดังนั้นยิ่งพอใจเป็นอย่างมากพร้อมการปรากฎตัวของอีกคนหนึ่งในชุดลายผ้าคลุมสีดำลายเมฆสีแดง
พลางเดินเข้ามาอุ้มชายหนุ่มขึ้นพาดบ่าดังยกกระสอบทราย
ก่อนสงสายมาที่เพื่อนร่วมงานซึ่งกำลังปัดฝุ่นที่เสื้อผ้า
"มาช้านะ" ชายหนุ่มเอย
"ขอโทษทีไม่นึกว่านายจะห่วยขนาดนี้โอโรจิมารุ"
คำพูดถากกานที่ออกจากปากของเพื่อนร่วมอุดมการณ์ชังเจ็บแสบเข้าทรวง
แต่ก็จริงเมื่ออยู่ต่อหน้าเนตรนี้แล้วเราขยับไปไหนไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว
ซึ่งนั้นขัดกับฉายาของเค้าที่ถูกเรียกว่าอัจริยะ
แต่ตอนนี้ตัวเค้านั้นได้ลูกเจี้ยบตัวน้อยมาในกรรมมือแล้ว
พอเติบโตก็จะออกตามหาทั้งตัวเค้า
และพี่ชายสุดที่รักซึ่งตอนนี้อยู่ในกรรมมือของเราเรียบร้อยแล้ว
พอคิดดังนั้นก้ยิ้มอย่างมีเล่ห์ใน
จนผู้มาช่วยยังต้องผวะกับความบ้าอำนาจที่อยากเหนือกาลเวลา
แต่นั้นไม่ใช้ในสิ่งที่เค้าต้องเก็บมาใส่ใจ
ตอนนี้สิ่งที่ต้องการคือได้ในสิ่งที่เสียไปกลับคืน
เพียงแค่นั้นภาพของเด็กน้อยลอยขึ้นมาในความคิด...แม้ต้องสังเวยชีวิตนับร้อย
ก็ต้องเอาให้ได้โลกใบนี้และเด้กคนนั้นกลับมาเป็นของเราอีกครั้ง...
เมื่อคิดแบบนั้นก็กระโดดหายไปพร้อมโอโรจิมารุ
ปล่อยเพลิงกาฬเผาทำลายบ้านเรือนของตระกูลอุจิวะในเพียงชั่วอึดใจ
เหลือเพียงซากและเถ้าถ่านและความทรงจำในตัวเด็กน้อยที่หนีรอดมา
นอนหลับอยุ่ใต้ต้นไม้ไม่ไกลกันนักที่บ่าใกล้ต้นคอซ้ายรอยอักขละที่ตีตราบ่งบอกถึงความเจ็บปวด
พร้อมความแค้นของตระกูล
เมื่อเด็กน้อยตื่นขึ้นมาในนั้นหัวใจสลายในเมื่อกองเพลิงได้คนสำคัญไปอย่างไม่มีวันกลับ
น้ำใสๆ
ใหลอาบแก้มที่ซีดเซียวเป็นลำธารดวงตาสีรัตติกาลที่มืดมิดบ่งบอกถึงจิตใจได้ปิดลง
หิมะเริ่มสีขาวเริ่มลวงหล่น
อากาศเริ่มหนาวเย็นเหมื่อนซ้ำเติมถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
แต่ว่าตอนนี้เค้าไม่สนใจมัน
เด็กน้อยลุกขึ้นเดินอย่างทุลักทุเลเดินจากต้นไม้ที่พักพิงจับบ่าซ้ายที่ความเจ็บปวดเริ่มทุเลาลงและเดินอย่างเลยไปอย่างไร้จุดหมาย
ตุ๊กตาที่พังไม่มีใครเหลียวมองอีกต่อไป
จนถึงวันที่ 3 ไม่ทั้งกินทั้งนอนตลอดเดินไปเลื่อยๆ
จนร่างกายรับไม่ใหวล้มลงบนกองหิมะสีขาวและเย็นเยียบ
ถ้าตายไปแบบนี้ก็ไม่ว่าอะไร
เมื่อคิดแบบนั้นดวงตาที่บวมและแดงเป็นรอยช้ำเพราะร้องไห้
ตามร่างกายมีบาดแผลพกช้ำ เสื้อผ้าขาดรุงริ่ง ด้วยความเหนี่ยนล่าเต็มที่
ดวงตาค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ ปล่อยตัวให้หิมะที่ร่วงหล่นปกคลุมจนมิด
แต่ว่าขณะนั้นเด็กน้อยผมสีทองออกดำเล็กน้อยไว้ยาวคลุมถึงกลางหลังมัดเป็นหางม้าแบบหลวมๆ
ในชุดฮากามะเดินกางร้มดูอายุราว 4 - 5 ปี
ก้มลงสำผัสกับแก้มที่เริ่มเย็นเฉียบปัดเอาหิมะออกจากร่างกาย
พลางมองซ้ายขวารอบๆ แล้วไร้ผู้คนที่จะขอความช่วยเหลือ
เด็กน้อยจึงตัดสินใจเก็บร้มพลางจับมือแกร่งทั้งสองข้างพร้อมออกแรงลากไปยังกระท่อมใกล้ๆ
อย่างทุลักทุเล เมื่อไปถึงที่หมาย เด็กน้อยก็จัดแจงหาฟางมาก่อเพื่อให้ไออุ่น
และหยิบกระเป๋าใบเล็กที่ติดตัวมาค้นขลุขลัก
เมื่อเจอของที่ต้องการก็จัดแจงเอาผ้าสะอาดเช๊ดตามตัวก่อนจึงทำแผลให้อย่างเรียบร้อย
เนื่องจากเข้าฤดูหนาวหิมะตก
และร่างสูงก็ตากอากาศมานานทำให้ร่างกายสั้นเทิ้มแม้มีผ้าห่มคลุมอยู่
รวมทั้งกองไฟยังไม่พอ
เด็กน้อยจึงตัดสินใจถอดชุดฮากามะออกและตรงเข้าไปนอนกอดเด็กน้อยอีกคนที่สั้นไปด้วยความหนาว
เพื่อว่าไออุ่นจากร่างกายจะช่วยให้หายหนาวบ้างและก็ได้ผล
เวลาผ่านไปนานพอสมควรหิมะหยุดตกแล้ว
แสงแดดยามเช้าสีเหลื่องอ่อนส่องผ่านส่องผ่านช่องลมผ่านไม้ผุๆ
ให้เห็นภายในกระท่อมร้างนั้นมีกองไฟที่ม่อดดับถัดไปเป็นเด็กน้อยผมดำขลับนอนอยู่บนฟางแห้งห่มผ้าห่มสีเทา
นั้นรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกจนไม่อยากจากไปในฝันที่แสนหวานนี้
แต่เมื่อแสงแดดเริ่มแรงขึ้นแย่งตาจนต้องค่อยๆ
ลืมเปลือกตาหนักขึ้นมาและเริ่มกระพริบตาหลายครั้งให้ชินกับแสงสว่าง
มือข้างหนึ่งค่อยๆ
ดันตัวให้ลุกขึ้นนั่งเมื่อมองดูรอบแล้วเป็นกระท่อมร้างที่พวกแก็งยากุซ่าใช้ในการประชุม
แต่ที่แน่ๆ เค้าได้ยินเสียงเพลงจากข้างนอกกระท่อม
เสียงทำนองเพลงนุ่มหวานและเข้มแข็ง แต่เศล้าสร้อย ด้วยความสงสัยจึงค่อยๆ
ขยับตัวลุกขึ้น เดินไปยังประตูอย่างช้าๆ เมื่อเดินไปถึงประตูที่เปิดอยู่นั้น
ภาพตรงหน้านั้นหาคำบรรยาไม่ได้เลยที่เดียว
เด็กน้อยผมทองยาวเลยบ่าเล็กน้อยมัดเป็นหางม้าอย่างหลวมๆ
ดวงตาสีฟ้าสดใสแฝงความเศล้า
ใบหน้ามีแผลเป็นเหมือนหนวดจิ้งจอกแต่บางมากถ้าไม่มองดูดีๆ
ผิวขาวนวลน่าถนุถนอมในชุดฮากามะสีเทาตัดสีดำ
นั่งเป่าขลุ่ยใต้ต้นไม้ใหญ่รายล้อมด้วยดอกไม้ส่งกลิ่นหอมหวาน
มีเหล่านกน้อยใหญ่บินมาเกาะตามบ่าบ้าง เกาะตามรากไม้บ้าง
งดงามราวกับภาพวาดที่ถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างลงตัวโดยธรรมชาติเป็นผู้สร้างสรรค์
เด็กน้อยผมทองหยุดเป่าลงดื้อๆ หันไปมองเด็กชายผมดำขลับ
เช่นเดียวกับดวงเนตรที่มองมาทางเค้าไม่ว่างตา
ดวงตาทั้งคู่ประสานกันดวงตาสีฟ้ากลมโตแลดูน่าหลงใหลและเศล้าสร้อยเช่นเดียวกับเค้า
แต่ว่าดูเด็ดเดียวกว่าและน่าถนุถนอมกว่าเค้ามาก
เด็กน้อยลุกขึ้นเดินมาหาพลางจับสัมผัสหน้าผากอย่างอ่อนโยน
"ไข้ลดแล้ว ไม่เป็นไรแล้วค่อยยังชั่ว" เด็กน้อยพูดขึ้นอย่างหายห่วง
ส่วนร่างสูงนนั้นตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆ ร่างเล็กมาสัมผัสนั้นอบอุ่นมาก
...ความอบอุ่นเมื่อคืนมาจากเด็กคนนี้ซินะ... ซาสุเกะคิดพลางยิ้มน้อยๆ
"ฉันไม่เป็นไรแล้วขอบใจนะที่ดูแลนะ" พลางยกมือสัมผัสกับมือเรียวเล็ก
"ไม่เป็นไรนะ"
".........อืม........."
"นี้ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ..." คำถามที่เสียดแทงนั้นทำให้ดวงตาร้อนผาวก็น้ำใสๆ
ไหลอาบดวงหน้า เมื่อ
นึกถึงเรื่องที่เกิดกับครอบครัวเค้า มืออีกข้างนั้นดึงร่างสูงมากอดแนบอก
"ขอโทษนะ...อึก...ที่ทำให้นึกถึงเรื่องไม่ดี...อึก..."
เด็กน้อยกล่าวขอโทษไปพลางสะอื่นไปพลางจนปล่อยโฮ
ซาสุเกะไม่เคยเจอใครมาร้องไห้กับเรื่องคนอื่นมาก่อนจึงรีบเช็ดน้ำตามาโอ๋เด็กน้อยตรงหน้าแทน
เมื่อเจ้าตัวหยุดร้อง
"นายแปลกจังที่ร้องไห้เป็นวักเป็นเวรกับเรื่องของคนแบบนี้"
คนฟังหน้าเบ้เล็กน้อย
"แล้วจะทำไม"
"ขอบคุณนะ" พลางดึงร่างเล็กกว่าเข้ากอดอยู่ซักครู่
ร่างเล็กก็ผละออกเล็กน้อย
"ในเมื่อนายไม่เป็นไรแล้วชั้นไปก่อนนะ"
"เดี้ยว!!นายชื่ออะไรเหลอ ชั้นซาสุเกะ"
"นารุโตะ" เด็กน้อยผมทองหันมายิ้มกว้างให้ก่อนวิ่งจากไป
ซาสุเกะมองตามไปจนลับตา และหวังในใจว่าซักวันอาจได้เจอกันอีก
แล้วก็หันหลังกลับเดินเข้าหมู่บ้านกับไปใช้ชีวิตที่พี่เค้าและนารุโตะช่วยไว้
เมื่อไปถึงบ้านที่มีแต่ขี้เถ่านั้นมีชายหนุ่มยืนรออยู่
ร่างสูงผมขาวไว้ผมปิดตาข้างหนึ่ง
"ซาสุเกะคุงซินะ" ชายหนุ่มกล่าวถามพลางส่งยิ้มให้ ส่วนเด็กน้อยพยักหน้ารับ
"ชั้น ฮาตาเกะ คาคาชิเป็นญาติห่างๆเธอต่อไปนี้เธอต้องไปอยู่กับชั้นนะ"
เด็กน้อยพยักหน้ารับอีกครั้ง
คาคาชิยกมือขึ้นลูบหัวไปมาเป็นการปลอบโยนก่อนดันตัวร่างเล็กออกจากสถานที่นั้นไปอีครั้ง...
/*/โปรดติดตามตอนต่อไป/*/
ส่งท้ายจ้า^o^ สวัสดีค่า ตอนนี้ออกจะยาวหน่อยนะค่ะ
และในเรื่องตอนนี้ให้อิทาจิดีแบบสุดๆ เลย
พร้อมมีตัวละครที่ถูกกล่าวถึงนั้นเป็นตัวใหม่ที่ข้าน้อยคิดเองนะค่ะ
- อ๋อช่วงนี้อาจจะไม่ค่อยได้อัพเพราะงานยุ่งค่ะ ถ้าว่างจะอัพนะค่ะ
แต่ถ้าอ่านไม่เม้นระวังลงไหดองนะค่ะ ...เหอ..เหอ...
**ที่ขีดเส้นใต้คือที่มีการเปรี่ยนแปลงนะค่ะ**
ความคิดเห็น