คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Can we fall one more time? (2) - banghim
Can we fall one more time?
(Stop the tape and rewind)
(2)
Bang Yongguk x Kim Himchan
PG
Romance
Summary: But if you walk away I know I’ll fade
'Cause there is nobody else
A/N : ความรู้เรื่องเพลงก็กะจ้อยร่อย อ่านแล้วตรงไหนมันขัดพยายามข้ามๆๆไปแล้วกันนะฮะ
ปล. ควรอ่านในเว็บเพราะมันมีตวหนาตัวเอียงสีที่บอกถึงเวลาของแต่ละเหตุการ์นะคะ
ฮิมชานหัวเราะออกมาตอนที่ยงกุกสวมหูฟังอันใหญ่ครอบลงมาบนหัวของเขา แล้วกดเล่นเพลงที่ฮิมชานแต่งเองเป็นครั้งแรกในชีวิต
ความจริงเพลงนั้นเกิดจากการที่ฮิมชานถูกทิ้งให้นั่งอยู่หน้าทีวีในห้องของยงกุก ส่วนเจ้าของห้องหายเข้าไปในส่วนที่เป็นสตูดิโอตั้งแต่เปิดประตูออกมาต้อนรับฮิมชาน พอถูกทิ้งไว้จนไม่มีอะไรทำนานๆ ฮิมชานก็พาตัวเองเข้าไปในห้องสตูดิโอโดยไม่ต้องขออนุญาติ
ยงกุกแค่หันไปยิ้มบางๆรับฮิมชานที่เดินลงไปทิ้งตัวหน้าคีย์บอร์ด แล้วก็กลับไปก้มหน้าก้มตากับแผ่นกระดาษที่มีโน๊ตมากมายเขียนไว้อย่างเลอะเทอะ ฮิมชานเริ่มกดคีย์บอร์ดเล่นเมื่อนั่งนานแล้วยงกุกก็ยังไม่มีทีท่าจะทำอะไรที่ฮิมชานเห็นว่าน่าสนใจขึ้นมา จากกดทีละโน๊ต ก็กลายเป็นท่อน วนไปวนมา โดยไม่ได้สนใจว่าจะทำให้ยงกุกเสียสมาธิหรืออะไร
“นั่นคืออะไรน่ะ” ยงกุกถามฮิมชานที่ใช้เพียงนิ้วชี้กดคอร์ดมั่วๆ
“ฮื้อ?” ครางรับในคอ แล้วก็ยังคงกดคอร์ดต่อไปเรื่อยๆ วนไปมา จนยงกุกที่แค่หันหน้ามากลายเป็นยืดตัวขึ้นมานั่งมองในที่สุด “เพลงอะไรอ่ะ”
“ไม่รู้สิ กดมั่วๆ”
การกดมั่วๆของฮิมชาน ทำให้ยงกุกได้ผลงานใหม่ขึ้นมาในที่สุด หลังจากปรับอะไรหลายๆอย่างให้เข้าท่า ยงกุกจึงเล่นทำนองเพลงที่เกิดจากการ กดมั่วๆ ของฮิมชานให้เจ้าตัวฟังอีกครั้ง ฮิมชานหัวเราะกับเสียงเพลงที่ดังมาตามหูฟังที่ครอบหูเขาอยู่ ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้ยงกุก
“นายมันอัฉริยะ” ยงกุกหัวเราะรับฮิมชาน พอหันไปมองนาฬิกาอีกที ก็เลยวันใหม่มาหลายชั่วโมงแล้ว
“จะเช้าแล้ว ไม่ง่วงหรอคิมฮิมชาน” ฮิมชานส่ายหัวเป็นคำตอบ ก่อนจะมีเสียงท้องร้องดังขึ้นมาต่อ ยงกุกหลุดหัวเราะร่าออกมา แล้วลุกขึ้นยืดเส้นสายช้าๆ
“ออกไปหาข้าวเช้ากินกันเถอะ” เขายื่นมาไปตรงหน้าฮิมชานด้วยความเคยชิน ในแว่บหนึ่ง เขาคิดว่าเขาไม่ควรทำอย่างนั้น ฮิมชานไม่น่าจะคว้ามือของเขาแล้วลุกตามขึ้นมา แต่เขาคิดผิด
ฮิมชานยื่นมือออกมาจับมือของเขาไว้
และทั้งที่เดินมาจนถึงคาเฟ่ไม่ไกลจากอพาร์ทเม้นแล้ว
ฮิมชานก็ยังไม่ปล่อยมือ
“แล้วเนื้อเพลงล่ะ” ฮิมชานถามขึ้นมา ตอนยกแก้วกาแฟขึ้นมาดูด แล้วหันแก้วไปทางยงกุกที่อ้าปากรออยู่ ยงกุกยังคงไม่ปล่อยมือจากฮิมชาน เขาเลือกนั่งโต๊ะกลมที่อยู่ในมุมที่จะไม่มีใครสนใจ ยึดเอามือของฮิมชานไว้ แม้เจ้าตัวจะดึงออกบ้างเป็นบ้างครั้ง ยงกุกก็จะท้วงในลำคอ แล้วดึงกลับมาเกาะกุมไว้แบบเดิม ฮิมชานส่งยิ้มบางๆกับการกระทำของยงกุก แล้วสุดท้ายก็ปล่อยให้ยงกุกทำตามใจ
“เดี๋ยวกลับไปเขียนต่อ พอจะมีในหัวแล้วล่ะ” เขาตอบฮิมชานที่เอาแซนวิชขึ้นมากัด แล้วส่งให้เขาไปพลางๆ ฮิมชานพยักหน้าเชื่องช้า กรอกตาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนจะเอ่ยถามต่อ “เนื้อเพลงนี่ ไม่ต้องเขียนในสตูดิโอก็ได้ใช่มั้ย”
“อืม เขียนที่ไหนก็ได้แหละ ทำนองมีติดตัวอยู่แล้ว”
“เขียนที่ทะเลได้มั้ย” ยงกุกเลิกคิ้วกับคำถามนั้น ส่วนฮิมชานก็ส่งยิ้มจนตาหยีกลับมาให้ “อยากไปทะเล”
เขาใช้เวลาไม่นานในการเก็บข้าวของ โบกแท็กซี่ไปสนามบิน จองตั๋วเครื่องบินเที่ยวที่เร็วที่สุด ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง แล้วบินข้ามเกาะไปทะเลอย่างที่ฮิมชานเอ่ยออกมา
*
ยงกุกจอดรถที่เช่ามาจากสนามบินทิ้งไว้ริมถนน หลังจากทิ้งตัวอยู่ริมหาดหน้าบ้านพักที่เขากับฮิมชานพักกันมาเกือบทั้งวัน ฮิมชานก็ชวนเขาออกมาขับรถเล่น แต่ยังไม่ไปไหนไกล เขาก็เจอกับหาดระหว่างทางที่ดูสวย ฮิมชานเลยบอกให้จอดรถแล้ววิ่งลงไปที่หาด ยงกุกเดินตามคนที่วิ่งนำหน้าเขาไปจนเกือบถึงทะเล เท้าเปล่าของฮิมชานสัมผัสทรายช้าๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะหันมาส่งยิ้มแล้วกวักมือเรียกให้ยงกุกเดินตามมาใกล้กัน
“ออสเตรียไม่มีชายหาดล่ะ” ฮิมชานพูดขึ้นมา ตอนที่เอาปลายเท้าแช่ลงไปในน้ำเค็มช้าๆ “ไม่มีทะเล ไม่มีกลิ่นเกลือ ไม่มีทราย ไม่มีที่ให้หลบเวลาเครียดเลย”
เจ้าของผิวขาวจัดใช้ปลายนิ้วปัดปอยผมของตัวเองที่ยาวปิดตาให้พ้นใบหน้า ดวงตามองไปยังทะเลกว้างใหญ่ ที่ถึงแม้จะไม่ใช่ทะเลที่สวยที่สุดในโลก ยงกุกก็รู้ว่าสำหรับฮิมชาน อย่างน้อย มันก็ยังดีกว่าไม่ได้เห็นทะเลเลย
“พอเหนื่อยก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน” ฮิมชานยังพูดต่อ โดยที่ไม่ละสายตาจากภาพด้านหน้า “ไม่มีใครให้ไปหา ไม่มีใครให้คุยด้วย อยู่แต่กับตัวเอง”
“คิมฮิมชาน” ยงกุกเอ่ยชื่อของคนตรงหน้าแผ่วเบา มือสอดเข้ากระชับฝ่ามือของคนตรงหน้าอย่างเชื่องช้า และฮิมชานก็ไม่ได้ปฏิเสธมัน
“บางทีฉันก็เกลียดเปียโนนะ”
รอยยิ้มยังวาดอยู่อย่างสวยงามบนริมฝีปากคู่นั้น ยงกุกยังคงอยู่เงียบๆ เพิ่มแรงกระชับที่มือแทนการเอ่ยอะไรออกมา ยงกุกรู้ดี เขารู้จักฮิมชานดี ดังนั้นเขาจะทำเพียงแค่มองดูฮิมชานอยู่จากด้านหลัง จะรับฟังทุกคำพูดของฮิมชาน
“แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นฝันของฉันอยู่ดี”
ฮิมชานหันกลับมามองยงกุกที่จับมือของเขาไว้ ขยับขาเดินเข้าใกล้คนที่สูงกว่าเขา
“ซักวันยูราอาจจะรู้สึกแบบนี้ อยู่ตรงนั้นเพื่อเธอด้วยนะยงกุก” ยงกุกขยับมาหยุดตรงหน้าฮิมชาน มืออีกข้างที่ว่างอยู่สอดเข้าประสานมืออีกข้างของฮิมชานในที่สุด “ฉันรู้ดีว่าเวลาที่ท้อที่สุดแล้วแต่ไม่มีใครให้หันไปหามันแย่แค่ไหน”
“ฉันอยู่นี่” ยงกุกเอ่ยเสียงเบา ขยับเข้าใกล้จนฮิมชานสามารถก้มหัวลงมาซบกับบ่าได้ในที่สุด มือของเขาทั้งสองข้างยังสอดประสานกันแบบนั้น ยงกุกไม่ได้ยงกมือขึ้นมากอด ฮิมชานเองก็ไม่พยายามโอบ เขาเพียงเอนหัวลงซบหน้าผากลงไปบนไหล่ของยงกุกเท่านั้น ปล่อยให้ยงกุกเอนหัวมาซบลงกับกลุ่มผมสีดำสนิทนั้นอีกที “ฉันอยู่ใกล้แค่นี้เองนะ คิมฮิมชาน”
เพียงแค่ไม่นาน ฮิมชานก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยท่าทีที่เป็นปกติ พร้อมส่งยิ้มที่มีอยู่เสมอให้กับยงกุก
“กลับโรงแรมกันเถอะ”
*
ฮิมชานหลับไปตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตก คงเป็นเพราะการไม่ได้นอนทั้งคืน แล้วยังหาเรื่องขึ้นเครื่องข้ามเกาะมาเที่ยวอีก
ยงกุกนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมที่เขาลากออกมาวางไว้ริมหน้าต่างเพื่อให้เห็นวิวทะเลจากห้องนอน แลปทอปตัวที่ใช้อยู่ประจำวางอยู่บนตัก เขากดเล่นเพลงที่เป็นของฮิมชานวนไปเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆเขียนเนื้อเพลงไปกับทำนอง
ยงกุกไม่ค่อยเขียนเพลงรัก เวลาเกือบๆห้าปีที่เขาเริ่มต้นทำงานเขียนเพลงและโปรดิวซ์ให้กับนักร้องมากมาย นับได้แค่ไม่กี่ครั้งที่เขาจะทำเพลงรัก และเกินครึ่งของเพลงพวกนั้น เขาทำดนตรี และเพียงแค่เรียบเรียงใหม่เท่านั้น ยงกุกไม่ค่อยจะเขียนเพลงรัก ยิ่งรักที่สมหวัง หรือพวกอารมณ์ตกหลุมรัก เขายิ่งไม่ถนัด
เขาเคยเขียนเพลงรักจริงๆจังๆครั้งแรก ตอนยังไม่เข้ามาทำงานตรงนี้ เพลงนั้นมีคนๆเดียวในโลกที่เคยได้ฟัง และคนนั้นก็หลับอยู่ไม่ไกลจากเขา เขาปล่อยเสียงหัวเราะเบาๆเมื่อนึกขึ้นมาได้ ว่าเขาเคยทำให้ฮิมชานเขินหน้าแดง หูแดงจนต้องกลบเกลื่อนด้วยการโวยวายแล้วลงไปนอนซุกตัวใต้ผ้าห่มผืนหนาเพราะเพลงนั้น
เขาเคยแอบเอาเพลงนั้นใส่ลงไปในไอพอดเครื่องเก่าของฮิมชาน แล้วก็โดนฮิมชานโวยวายใส่ เพราะพอเพลงชัฟเฟิลมาเจอ ฮิมชานก็ยืนหน้าแดงตัวแข็งกลางรถไฟ เดินไปไหนไม่เป็น พอรู้ตัวอีกที ยงกุกก็ฮัมเพลงนั้นออกมาช้าๆ
เพลงนั้นเป็นเพลงที่ไม่มีชื่อ ทำนองเกิดมาจากเสียงที่ฮิมชานฮัมออกมามั่วๆตอนที่ซ้อมเปียโนเตรียมไปสอบชิงทุน เนื้อเพลงเกิดมาจากการที่เขานั่งมองฮิมชานซ้อมมาสามวันติด ยงกุกทำเพลงนั้นแบบง่ายๆด้วยคีย์บอร์ดและคอมทั่วๆไปที่มีในตอนนั้น อัดเสียงลงเครื่องจากไมค์ห่วยๆเพราะเขายังเด็กและไม่มีกำลังทรัพย์ที่จะซื้อของดีๆมาใช้เหมือนตอนนี้
แต่เพลงนั้นเป็นเพลงแรกที่ยงกุกแต่งจนจบ แล้วเขาก็ภูมิใจกับมันเหลือเกิน
ถึงจะไม่เคยยอมเอาให้ใครฟังเลยก็ตาม
ยงกุกฮัมเพลงนั้นไปเรื่อยๆ ปิดหน้าจอแลปทอปที่วางอยู่บนตัก ถือมันลากเท้าไปยังเตียงกว้างที่ฮิมชานนานซุกอยู่ วางแลปทอปลงที่พื้นข้างเตียง เลิกผ้าขึ้นแล้วสอดตัวเข้าไปข้างๆกายๆ เขาได้ยินเสียงฮิมชานเรียกหาเบาๆ ยงกุกจึงขยับกายหันข้าง วาดวงแขนรับเอาอีกคนเข้ามาจนชิดกัน
คืนนั้นยงกุกฝัน
เขาเห็นตัวเองตอนยังอยู่มอปลาย นั่งคุยกับเพื่อนสนิทที่เขาตกหลุมรัก วาดฝันถึงอนาคตที่เขาจะเดินไปด้วยกัน
อนาคตที่ไม่ได้เป็นแบบนั้นจริงๆ
*
ยงกุกตื่นขึ้นมาตอนที่แสงอาทิตย์ยังไม่ทันจับขอบฟ้า ภายนอกห้องที่เขาไม่ได้รูดม่านกันวิสัยทัศน์ยังมืดสนิทอยู่ ฮิมชานนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่เมื่อคืน ยงกุกขยับตัวขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียง ท้าวคางไปกับหน้าขาของตัวเอง แล้วมองฮิมชานที่เสียบหูฟัง ฮัมเพลงคลาสสิคที่ตัวเองชอบอย่างแผ่วเบา
ยงกุกตัดสินใจจะไม่เรียกฮิมชาน เขายังนั่งมองฮิมชานแบบนั้นอยู่อีกพักใหญ่ ก่อนจะเอื้อมมือคว้าแลปทอปขึ้นมาเปิด กดพิมพ์เนื้อเพลงที่ผุดขึ้นมาในหัวลงไปทีละนิด สลับการมองหน้าจอกับภาพฮิมชานที่นั่งหันหลังให้เขา เจ้าตัวคงเปิดเสียงเพลงดังพอตัว ทำให้ไม่ได้ยินอะไรรอบตัว แถมยังเผลอฮัมเพลงออกมาเสียดังขนาดนั้น
เขาหัวเราะตอนที่ฮิมชานโยกหัวไปมา เขาเดาว่ามันน่าจะเป็นท่อนพีคของเพลง ฮิมชานคงกำลังมีอารมณ์ร่วมกับเพลงเต็มที่
พระอาทิตย์กำลังจับขอบฟ้า ตอนที่เพลงที่ฮิมชานเปิดจนเสียงดังลอดหูฟังออกมาจบไป และเพลงใหม่ดังขึ้นมาแทน ตอนแรกยงกุกไม่รู้ว่านั่นคือเพลงอะไร เขายังนั่งมองฮิมชานโดยมีแลปทอปอยู่บนตัก ผู้ชายผมสีดำสนิทคนนั้นนขยับตัวชันขาขึ้นมากอดเอาไว้ วางขางลงเหนือเข่า แล้วค่อยๆฮัมเพลงที่เขาฟังอยู่ออกมา
ยงกุกไม่รู้ว่าชีวิตนี้คนเราตกหลุมรักได้กี่ครั้ง โดยเฉพาะกับคนๆเดิม
เขาพยายามหาคำตอบแต่ก็ไม่เคยรู้
เขารู้จักฮิมชานมาเกินครึ่งชีวิต และเขาตกหลุมรักฮิมชานนับครั้งไม่ถ้วน
อย่างเช่นในวินาทีนี้ ตอนที่ฮิมชานกำลังฮัมเพลงที่ยงกุกแต่งให้ออกมา
ยงกุกตกหลุมรักฮิมชานอีกครั้ง
ฮิมชานสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ยงกุกย่อตัวลงตรงหน้าพร้อมดึงหูฟังที่ครอบกูฮิมชานอยู่ออกมา เขาเห็นริ้วรอยแดงๆบนใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ฮิมชานเม้มปากแล้วหันหน้าหนียงกุกที่ยิ้มเสียจนตาหยีไปหมด “ยิ้มอะไรนักหนา”
“เพลงเพราะนะ” ยงกุกเอ่ย ส่วนฮิมชานก็ได้แค่ปรายตามามองยงกุกแล้วเบะปากออกมา ยงกุกหัวเราะนิดๆ ก่อนจะเริ่มฮัมทำนองเพลงนั้นออกมาบ้าง ฮิมชานหันขวับมามองยงกุกทันที พร้อมถลึงตาใส่ “หยุดฮัมนะ”
ยงกุกหัวเราะร่า หยุดฮัมทำนองเพลงตามที่ฮิมชานร้องห้าม แต่เขาเปลี่ยนมาร้องเพลงนั้นแทน ยงกุกไม่ใช่นักร้อง เขาเป็นพวกแรพเปอร์มากกว่า เสียงของเขาไมได้เหมาะกับการร้องเพลงเท่าไหร่นัก แต่ในเมื่อมันเป็นเพลงที่เขาเขียนขึ้นมาด้วยตัวเอง แน่นอนว่าเขาทำให้มันลงตัวกับเสียงเขาได้อย่างดี ฮิมชานยิ่งร้องโวยวายหนักกว่าเก่าตอนที่ยงกุกร้องเพลงนั้น มือส่งไปปิดปากยงกุกทันที
“ห้ามร้อง ห้ามมม” ฮิมชานว่าอย่างนั้น สองมือตะปบลงที่ริมฝีปากที่ร้องเพลงออกมาไม่หยุด ยงกุกหัวเราะไป ร้องเพลงไป ดึงมือฮิมชานออกบ้าง เอนตัวหลบฮิมชานที่พยายามจะปิดปากของเขาบ้าง ยงกุกเอนตัวหลบจนหงายหลังลงไปพิงกับหน้าต่างกระจกบานใหญ่ที่เปิดกว้างเห็นวิวทะเลที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นช้าๆ
ฮิมชานยังพยายามจะปิดปากยงกุกที่ส่งเสียงร้องเพลงออกมาไม่หยุด จนในที่สุด ยงกุกก็คว้าแขนฮิมชานให้หล่นลงมาจากเก้าอี้นวมที่ฮิมชานซุกตัวอยู่ มือสองข้างของยงกุกจับมือสองข้างของฮิมชานรวบไว้บนหน้าขา เขายิ้มอารมณ์ดี และยังคงร้องเพลงต่อไปจนถึงท่อนจบ ในขณะที่นั่งมองฮิมชานที่หน้างออยู่ไปด้วย
“นิสัยแย่” ฮิมชานว่า ส่วนยงกุกก็ยังยิ้มใส่
“แค่ร้องเพลงโปรดนายให้ฟัง” เขาเถียงกลับไป ในขณะที่ฮิมชานก็งึมงำกลับมาว่ายงกุกเข้าข้างตัวเอง ก่อนที่จะเถียงอะไรออกมาอีกได้ ยงกุกก็ยื่นหน้าเข้าไปจนชิด กดจูบเบาๆบนริมฝีปากบางเฉียบของฮิมชานเพียงเร็วๆ แล้วละออกมา
ฮิมชานตวัดตามามองยงกุกในทันที ดวงตาสีอ่อนถลึงมองเขาเหมือนไม่พอใจ แต่ยงกุกรู้ว่าฮิมชานไม่ได้รังเกียจ ไม่มีแม้แต่ความไม่ชอบใจในนั้น “หยุดเลยนะ”
“ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ยงกุกเถียง ปลายนิ้วมือคลึงเบาๆกับมือขาวจัดที่เขาสอดประสานเอาไว้ ยงกุกรู้ว่าต้องทำอะไรให้ฮิมชานอ่อนลง ควรทำแบบไหนให้ฮิมชานยอม ต้องค่อยๆเข้าใกล้อย่างไรเพื่อกะเทาะกำแพงปลอมๆที่ฮิมชานสร้างมากั้นยงกุกไว้ “ฉันยังไม่ได้ทำอะไรที่ฉันอยากทำเลย คิมฮิมชาน”
ยงกุกเห็นแก่ตัว เขารู้ดี แต่ในเมื่อคนตรงหน้าคือคิมฮิมชาน เขายินดีจะเห็นแก่ตัว ปล่อยให้คนที่เหลือบนโลกตราหน้าว่าเป็นคนเลว ยงกุกไม่สนใจ สิ่งที่เขาสนใจตอนนี้มีแค่ฮิมชาน คิมฮิมชาน เพื่อนสนิทของเขา รักแรกของเขา รักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา และอาจจะเป็นแค่รักเดียวของเขา คนๆเดียวที่เขารักจนหมดใจจริงๆ
“นายจะทำให้ฉันเป็นคนไม่ดีไปด้วยหรือไงบังยงกุก” ฮิมชานเอ่ยเบาบางราวเสียงกระซิบตอนยงกุกขยับมาจนชิด กดจูบแผ่วเบา ย้ำบนริมฝีปากบาง ครั้งแล้ว ครั้งเล่า “สนใจคนอื่นทำไม คิมฮิมชาน”
สองมือที่สอดประสานมือของอีกคนไว้ เลื่อนขยับมาประคองหลังของชายหนุ่มผิวขาวจัดให้ใกล้เข้ามาจนแนบชิด
“สนใจแค่ฉันก็พอแล้ว”
ยงกุกกดแรงจูบลงไปอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง จนฮิมชานโอนอ่อน จนวงแขนขาวจัดลากขึ้นมาโอบรอบคอของยงกุกเอาไว้ แนบริมฝีปากชิด ไม่ต่างกับร่างกายส่วนที่เหลือ
“สนใจแค่ว่าฉันรักนายมากก็พอแล้ว คิมฮิมชาน”
*
ยงกุกรู้สึกตัวตอนที่วงแขนของอีกคนขยับมาโอบรอบคอ เขาลืมตาขึ้น ดึงหูฟังที่ใส่ไว้ออกวางบนโต๊ะทำงานด้านหน้า แล้วหันไปวาดแขนรั้งเอาร่างของอีกคนลงมานั่งบนตัก
“ฉันตัวหนัก” ฮิมชานว่า ตอนที่ทิ้งน้ำหนักลงไปบนขาข้างหนึ่งของยงกุก แล้วยงกุกเบ้หน้าออกมา ยงกุกหัวเราะ พิงหน้าผากลงกับต้นแขนของฮิมชาน ที่หันไปสนใจกับโปรแกรมทำเพลงบนจอคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่
“จะลงไกด์หรอ เนื้อเสร็จแล้วหรอ” ฮิมชานเอ่ยถามถึงเนื้อเพลงของทำนองที่เขาสองคนทำไว้เมื่ออาทิตย์ก่อน ยงกุกพยักหน้ากับท่อนแขนนั้น ลงแรงฟัดแขนขาวจัดให้ฮิมชานส่งเสียงประท้วงออกมาอีกที แล้วหัวเราะลั่น
“กำลังจะอัดเลย นายดันมาก่อน” เขาว่าแบบนั้น เนื้อเพลงของเขาเสร็จตั้งแต่สองสามวันที่เขาใช้ชีวิตอยู่ริมทะเลกับฮิมชาน แต่ยงกุกกลับมาใช้เวลาอีกพักหนึ่งในการเรียบเรียงเพลงให้ออกมาตามที่เขาต้องการ จนเพลงเพิ่งเสร็จเอาในวันนี้ ฮิมชานได้ยินคำตอบของยงกุกจึงหันหน้ากลับไปหาพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“เดี๋ยวช่วย” ยงกุกส่ายหัวไปมา ส่งมือข้างหนึ่งมารั้งต้นคอของฮิมชานก้มลงมาจนชิด แต้มจูบเบาๆข้างริมฝีปาก ก่อนจะละออกมา “รอฟังตอนเสร็จแล้วทีเดียว”
“เสร็จแล้วนี่หมายถึงอะไร หมายถึงให้นักร้องอัดเพลงจนเสร็จงี้เลยหรอ?” ยงกุกยักคิ้วหลิ่วตาตอบกลับไป ออกแรงผลักเบาๆให้ฮิมชานยืนขึ้นก่อนที่เขาจะลุกตาม
“หิวไหม ออกไปกินข้าวกัน” ยงกุกเอ่ย กำลังจะเอื้อมหยิบแจคเกทตัวบางขึ้นมาใส่คุลมตัวเองที่ใส่แค่เสื้อกล้ามอยู่ แต่ฮิมชานกลับดึงเสื้อออกจากมือยงกุกแล้วโยนกลับไปที่เดิม
“ทำงานไปเถอะ เดี๋ยวออกไปหาของกินมาให้” ฮิมชานกำลังจะหันหลังเดินออกไปจากส่วนสตูดิโอ แต่วงแขนของยงกุกที่รั้งเอวไว้ทำให้ชายผมกำต้องหันกลับมาอีกครั้ง ยงกุกส่งยิ้มกว่างจนเขี้ยวเล็กๆที่มุมปากโผล่ออกมา เขาทิ้งตัวไว้กับขอบโต๊ะ รั้งให้ฮิมชานมายืนอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้าง “รีบไปรีบกลับนะ”
ยงกุกบอกเสียงเบา ริมฝีปากชิดติดกับปากสีอ่อนของอีกคน ฮิมชานปล่อยเสียงหัวเราะออกมา แล้วเป็นฝ่ายกดจูบลงไปแรงๆเสียเอง
“รีบปล่อยสิ จะได้รีบไป” ยงกุกเบะปากใส่ฮิมชานที่ส่งเสียงหัวเราะใส่เขา ก้มหัวซบไปกับลาดไหล่ ส่งเสียงในลำคอ “ไปด้วยดีกว่า ไม่อยากให้ไปคนเดียวเลย”
“ไม่หลงทางหรอกน่า ไปคาเฟ่หน้าซอยเนี่ย” ฮิมชานเอ่ยพร้อมหัวเราะเขา สอดมือเขาลูบเบาๆที่ผมหยักศกยาวไม่เป็นทรงของยงกุก “ผมยาวแล้ว ตัดผมดีไหม”
“กลับมาตัดให้ด้วย” เสียงยานติดจะอู้อี้คางดังขึ้นจากบริเวณไหล่ของฮิมชาน ฮิมชานโยกตัวไปมาทำให้ยงกุกต้องเอนตัวตามจนส่งเสียงหัวเราะร่าทั้งคู่ “ปล่อยได้แล้ว รีบๆไปลงไกด์เพลงซะ เสร็จแล้วเดี๋ยวตัดผมให้”
ยงกุกพยักหน้าพร้อมคลายวงแขนในที่สุด เขาปล่อยฮิมชานเดินหายไปด้านนอก ก่อนที่ตัวเองจะเดินเข้าไปในห้องขนาดเล็กที่ฝังตัวอยู่ในสตูดิโอที่เขาสร้างขึ้น
การลงเสียงไกด์ไม่ใช่เรื่องยาก เขาไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องความสมบูรณ์แบบขนาดนั้น ในเมื่อเขาแค่ลงเสียงเอาไว้เป็นต้นแบบให้นักร้องร้องเพลงที่เขาแต่งได้ตามต้องการเท่านั้น ยงกุกใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงนิดๆกับการลงเสียงไกด์และแก้ไขจนเขาพอใจ ก่อนจะเซฟไฟล์ทั้งหมด ส่งเมลไปให้เพื่อนสนิทที่ทำงานร่วมกัน
ยงกุกเดินออกมาจากห้องทำงาน แล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวใหญ่ในจังหวะเดียวกับที่ฮิมชานเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมข้าวของพะรุงพะรัง
“นึกว่าจะซื้อของสำเร็จรูปมาซะอีก” ยงกุกทักเมื่อเห็นของสดจำนวนมากในถุงพลาสติกพวกนั้น ฮิมชานยิ้มตอบกลับมาให้ วางถุงของลงกับเคาท์เตอร์หินอ่อนในบริเวณครัว “อยู่ๆก็คิดว่าอยากกินข้าวผัดกิมจิฝีมือนายน่ะ”
ยงกุกลุกขึ้นมาหน้าครัวพร้อมเลิกคิ้วส่งให้ฮิมชาน “คือนี่ซื้อมาให้ฉันทำ” รอยยิ้มพร้อมแรงพยักหน้าของฮิมชานทำให้ยงกุกผู้ซึ่งนั่งทำงานมาทั้งวัน กลายเป็นพ่อครัว ยืนทำอาหาร ในขณะที่อีกคนนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารในที่สุด
เขายืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาเขาเพิ่งโดนจับนั่งหลังตรงอยู่ที่ระเบียงห้องพัก มีฮิมชานนั่งอยู่บนเก้าอี้ เอาผ้ามาพันรอบคอ แล้วเล็มผมที่มันยาวจนรกรุงรังออกให้ ยงกุกใช้มือปัดปลายผมหน้าม้าที่ผ่านฝีมือการใช้กรรไกรของฮิมชานมา โดยมีฮิมชานยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ
“มันเด๋อ”
“หล่อแล้วน่า” ฮิมชานเถียง ดึงยงกุกให้หันหน้ามาตามแรงมือ ฮิมชานใช้มือปัดผมให้เข้าทรงก่อนจะใช้สองมือตะปบข้างแก้มของยงกุก “ผมไม่เด๋อหรอก”
ฮิมชานเอ่ยทับ ยื่นหน้ากดจูบกลางหน้าผากยงกุก ก่อนจะใช้สองมือดันไหล่ยงกุกให้หันหลังกลับไป ไล่ให้ยงกุกไปอาบน้ำ
ยงกุกยืนพิงผนังเย็นจัดอยู่ชั่วครู่ปล่อยรอยยิ้มที่มีติดอยู่บนริมฝีปากให้จางหายไป
เขาเหลือเวลาอีกแค่อาทิตย์กว่าๆ ที่จะใช้ชีวิตแบบนี้ แล้วฮิมชานก็จะไปอีกครั้ง ยงกุกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ทำอยู่มันดีหรือแย่กับตัวเอง ในตอนนี้คือช่วงเวลาที่เขามีความสุขมาที่สุดในห้าปีที่ผ่านมา แต่เขาไม่รู้ว่าหลังจากนี้เขาจะทำอย่างไร ตอนที่ต้องเดินไปส่งให้ฮิมชานจากไปอีกครึ่งโลก ยงกุกจะเป็นยังไงหลังจากนั้น ยงกุกนึกภาพตัวเองไม่ออกเลยสักนิด
เขารู้แค่ว่า ในตอนนี้ ที่เขารู้ว่าฮิมชานอยู่ใกล้แค่นี้ เขาจะทำเป็นไม่รับรู้ไม่ได้ เขาทนไม่ได้ถ้าต้องรู้ว่าฮิมชานอยู่ใก้ลแค่นี้แล้วเขาไม่ได้ลงมือทำอะไรไปซักอย่าง ยงกุกจะทำเหมือนเขากับฮิมชานเป็นแค่คนรู้จักแล้วปล่อยมันผ่านไปไม่ได้ ถึงสุดท้ายแล้ว พอฮิมชานไป ยงกุกจะกลายเป็นคนที่เจ็บแทบตายก็ตาม
ยงกุกใช้เวลาในห้องน้ำนานกว่าประจำไปพอสมควร พอเดินออกมาเขาก็เห็นฮิมชานที่เอนตัวดูทีวีอยู่บนโซฟายื่นมือถือมาให้โดยไม่ได้หันมา “เมื่อกี๊มีคนโทรมา”
“ใครหรือ?” ยงกุกรับโทรศัพท์มาไว้ในมือ กดเปิดหน้าจอที่ขึ้นเตือนว่ามีสายที่ไม่ได้รับ พร้อมชื่อของเพื่อนร่วมงาน เขาเดินมาทิ้งตัวลงที่พื้นด้านหน้าฮิมชาน พิงหลังลงไปตรงที่ฮิมชานนั่งอยู่ กดโทรกลับไปหาเจ้าของชื่อบนหน้าจอ
“โอจินซอก” ยงกุกเอ่ยเรียกเพื่อนทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย
(ได้เพลงแล้วนะ ประชุมแล้ว ผ่านแล้ว อัดอาทิตย์หน้า เข้ามาด้วย) ปลายสายสรุปใจความมาให้ในทันที ยงกุกครางรับในลำคอ ผ่อนน้ำหนักลงพิงจนหัวอิงอยู่กับเข่าของฮิมชานที่ขัดสมาธิอยู่หลังเขา “แค่นี้ใช่มั้ย”
(เดี๋ยวสิเห้ย ช่วงนี้อินเลิฟอะไรมา เพลงนี้แหวกแนวนะ ไม่เคยได้ยินแนวนี้จากบังยงกุกเลยนะ)
“ดูที่เมลให้สิ” ยงกุกตอบคำถามของเพื่อน และได้รับเสียงหัวเราะกลับมาแทน (ดูแล้ว ทำนองโดยคิมฮิมชาน คิดตั้งแต่ฟังแล้วว่าทำนองแนวนี้ไม่ใช่ฝีมือมึง เห็นชื่อแล้วผิดคาดนะ นึกว่าจะเป็นชเวยูราอะไรอย่างนี้)
“จะเป็นคนนั้นได้ยังไง” ยงกุกเอ่ยตอบสั้นๆ พยายามเลี่ยงคำตอบที่จะทำให้ฮิมชานรู้ว่ามีชื่อของใครอีกคนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการสนทนานี้ เขาเงยหน้ามองฮิมชานที่ยังสนใจแต่หนังในจอ ก่อนจะถูกเสียงของเพื่อนเรียกความสนใจไปอีกครั้ง
(นั่นสินะ ชื่อเพลงมาแบบนี้ก็ไม่น่าเป็นยูราได้หรอก) ยงกุกถอนหายใจกับคำพูดของเพื่อน เขาไม่ได้ตอบรับอะไรไป ดวงตามองไปยังหนังที่ฮิมชานเปิดทิ้งไว้ ปล่อยให้เสียงจากทีวีดังเข้าหูเรื่อยๆ
(บังยงกุก จะทำอะไรก็คิดถึงอีกคนบ้างนะ กูสงสารเขา)
“กูรู้”
(แต่มึงก็ยังไม่รู้จะทำยังไงอยู่ดีใช่มั้ยล่ะ)
“เออ”
(คิดดีๆยงกุก กูเตือนได้แค่นี้ วันพุธหน้าเข้ามาสตูด้วย จะเอาฮิมชานมาด้วยก็ได้นะ)
จินซอกวางสายไปนานแล้ว แต่ยงกุกยังนั่งกำมือถือเอาไว้ในมือ เขานึกถึงสิ่งที่จินซอกพูด ก่อนจะถอนใจออกมา
ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันผิด ที่ทำแบบนี้ เขารู้ดี ระลึกได้อยู่ทุกครั้งที่หันไปมองหน้าฮิมชาน ทุกครั้งที่สอดมือรั้งตัวฮิมชานเข้ามากอด ทุกครั้งที่กดจูบลงบนริมฝีปากของฮิมชาน มันมักจะมีเศษเสี้ยวของจิตสำนึกที่เตือนเข้าอยู่ว่าเขาทำผิดต่อผู้หญิงคนนั้นที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของเขา
หนึ่งในทางออกที่ง่ายที่สุด ซึ่งมันเป็นความคิดมักง่ายของเขาคือเขารู้ดีว่าฮิมชานกำลังจะจากไป ฮิมชานจะหายไปก่อนที่ยูราจะกลับมา แต่ถ้าให้มองลึกลงไปแล้ว เขาจะไม่มีวันรู้สึกแบบเดิมกับยูรา เขาไม่ปฏิเสธว่าเขารักยูรา เพียงแต่มันไม่ใช่ความรักลึกซึ้งยิ่งใหญ่อะไร มันเป็นเพียงความซาบซึ้งในความดีและความเข้าอกเข้าใจของเธอ
ชั่วขณะหนึ่งยงกุกคิดว่าจะสารภาพกับเธอ บอกความจริงไปเรื่องที่ว่าเขารักใคร และแม้ฮิมชานจะไป และเขาจะเสียชเวยูราไปด้วย มันก็ไม่เป็นไร เขาอาจจะอยู่คนเดียวต่อไป แล้วสักวันหนึ่ง ฮิมชานอาจจะกลับมา มันอาจจะนาน แต่ยงกุกเชื่ออยู่ลึกๆว่าฮิมชานเองจะกลับมาหาเขาในที่สุด
น้ำหนักที่ถูกทิ้งลงมาตรงกลางหัวทำให้เขาหลุดจากห้วงความคิดในที่สุด เขาเผยยิ้มออกมากว้างตอนที่ได้ยินอีกคนส่งเสียงมา “คิดอะไรอยู่ ปัง!”
“เรียกฉันว่าไงนะ” ยงกุกถาม เอนหลังขยับตัวให้ฮิมชานยกคางออกจากกลางหัว ฮิมชานหัวเราะ แล้วโน้มตัวลงมาจนหน้าอยู่ใกล้ยงกุก ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง “ปัง.”
ยงกุกเอื้อมมือไปล๊อคคอฮิมชาน แล้วฟัดจูบลงไปแรงๆข้างกกหู ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งเลื่อนตัวขึ้นมานั่งบนโซฟา เอนหลังทับกายของฮิมชานให้ขยับตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนยืดขาตามความยาวของโซฟา ขาข้างหนึ่งของฮิมชานชันขึ้นพิงกับพนัก อีกข้างปล่อยลงมากับพื้น
“หนัก” ฮิมชานบ่นออกมา แต่ยงกุกยิ่งทิ้งน้ำหนักลงไปบนร่างที่กึ่งนั่งกึ่งนอนนั้นอยู่ “ไม่หนักหรอก”
ฮิมชานพ่นเสียงหัวเราะออกมากับคำเถียงของยงกุก ยกสองแขนขึ้นมากอดคอคนที่นอนทับเขาอยู่ข้างหน้าเอาไว้ “รู้ตัวนี่ว่าผอมน่ะ เอาแต่ทำงาน”
“กลับมาสิ ถ้ากลับมาฉันจะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้” ยงกุกพูดออกไปโดยไม่ทันคิด เขาได้ยินเสียงฮิมชานหัวเราะแผ่วเบา เขารู้สึกถึงแรงกอดรอบคอที่เพิ่มขึ้นนิดหน่อย ยงกุกยกมือขึ้นมาสอดประสานกับมือข้างหนึ่งของฮิมชาน ดึงมือข้างนั้นมากดจูบลงไปแรงๆ “ฉันพูดจริงๆนะ”
“กลับมาเถอะ กลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ แค่พูดว่าจะกลับมา ฉันจะรอ”
ฮิมชานก้มหัวมาพิงหน้าผากไว้กับซอกคอของยงกุก แขนข้างที่เป็นอิสระออกแรงกอดยงกุกมากกว่าเก่า ฮิมชานไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ และยงกุกก็ไม่ได้คาดคั้น เขาปล่อยให้เสียงทีวีที่เปิดทิ้งไว้ดังไปเรื่อยๆ หนังเรื่องที่ฮิมชานดูมาไม่ต่ำกว่าสิบครั้งกำลังเล่นอยู่ ตัวละครเอกที่เป็นนักเปียโนกำลังบรรเลงเพลงอย่างไพเราะ ฮิมชานกำลังฮัมเพลงตามเบาๆอยู่ข้างหูของเขา
รอยชื้นเป็นวงปรากฏขึ้นช้าๆที่หัวไหล่ของยงกุก ตรงที่ฮิมชานเอนหัวลงมาซบ ยงกุกจูบลงบนหลังมือข้างเดิมซ้ำๆแทนคำปลอบโยน
เสียงข้อความเข้าดึงความสนใจของเขาทั้งสองได้
ยงกุกขยับตัวพยายามเอื้อมหยิบมือถือ แต่เขาทิ้งมันไว้ไกลเกินระยะที่ตัวเองจะเอื้อมถึง เสียงหัวเราะจากฮิมชานทำให้เขาหมั่นเขี้ยวจนต้องลงแรงฟัดไปที่แขนที่โอบรอบคอของตัวเองอีกที “หยิบเลย หยิบถึงนี่”
ฮิมชานเอื้อมมือหยิบตามคำบอกของเขา ยื่นมือถือมาไว้ด้านหน้าของยงกุก ยงกุกใช้มืออีกข้างหนึ่งกดรหัสลงไปในขณะที่ฮิมชานยังถือมือถืออยู่ เขาได้ยินเสียงหัวเราะของฮิมชานอีกครั้ง และยงกุกรู้ว่าทำไมฮิมชานถึงหัวเราะ เพราะเลขสี่ตัวที่เขาตั้งเป็นรหัสมือถือยังคงเป็นวันเกิดของฮิมชานอยู่
เสียงหัวเราะของฮิมชานหายไปเมื่อยงกุกกดรหัสเสร็จและข้อความโผล่ขึ้นมา
“ยงกุกอา ไฟลท์กลับของฉันวันที่ xx เครื่องลง สี่ทุ่ม ไฟลท์ xxxx นะคะ
คิดถึงมากมาก
ยูรา”
ยงกุกดึงมือถือออกจากมือฮิมชาน กดปิดหน้าจอก่อนจะโยนส่งๆไปที่พื้น เขาขยับพลิกตัวหันหน้าเข้าหาฮิมชาน วางหัวลงบนแผ่นอก นอนซบฟังเสียงหัวใจของฮิมชานที่เต้นอย่างเชื่องช้า แขนสองข้างสอดเขาขัดรอบเอวของคนข้างใต้
“คิมฮิมชาน”
ยงกุกเรียกด้วยเสียงแผ่วเบา เรียกเจ้าของมือที่สอดพันเส้นผมสีดำสนิทที่เพิ่งถูกตัดให้สั้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ฮิมชานครางรับในลำคอ ยังไม่หยุดการกระทำของตน
“ฉันรักนาย”
ฮิมชานไม่ส่งเสียงอะไรตอบกลับมา แต่ยงกุกได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงกว่าเดิม นิ้วมือที่เคยใช้ดีดเปียโนยังคงไล้เบาๆอยู่กับเส้นผมของเขา ยงกุกหลับตาฟังเสียงหัวใจใต้แผ่นอก ราวกับว่ามันเป็นเสียงดนตรีที่เพราะที่สุดในโลก
“กลับมาเถอะนะ กลับมาได้แล้ว”
“บังยงกุก”
เสียงของฮิมชานพร่า และเบาหวิว ยงกุกคาดเดาได้ว่าฮิมชานจะพูดว่าอะไร เพราะอย่างนั้นแล้ว รอยชื้นจึงเกิดขึ้นบนเสื้อยืดสีขาวบริเวณกลางอกของฮิมชาน ก่อนที่เจ้าตัวจะพูดอะไรออกมาด้วยซ้ำ
“เพราะฉันรักนาย ดังนั้นถ้านายอยากไป ฉันจะยอมปล่อยให้นายไป”
“นายบอกเองนะว่าถ้ามันเป็นฝันของฉัน นายจะยอมปล่อยมือ”
ฮิมชานหลับไปพักใหญ่ๆแล้ว ส่วนยงกุกก็ยังได้แต่นั่งขัดสมาธิอยู่บนโซฟาไม่ห่างจากเตียง รอยยิ้มบางเบายังติดอยู่ที่ริมฝีปากของเขา มันไม่ใช่รอยยิ้มยินดีที่เขามีฮิมชานอยู่ตรงนี้
ยงกุกรู้จักฮิมชานดี ยงกุกรู้จักฮิมชานดีเกินไป ดังนั้นแล้วยงกุกจึงมักจะเข้าใจว่าฮิมชานกำลังคิดอะไร ดังนั้นแล้วแม้ฮิมชานจะทำอะไรที่เขาคาดไม่ถึงอยู่หลายต่อหลายครั้งสุดท้ายแล้วยงกุกก็จะเข้าใจดีว่าฮิมชานทำลงไปเพราะอะไร
เหมือนการหายตัวไปโดยไม่ติดต่อกลับมากว่าห้าปี การกลับเข้ามาในชีวิตของยงกุก การไม่ตอบรับคำบอกรักที่ยงกุกพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในขณะที่ฮิมชานมีความเห็นแก่ตัวในระดับหนึ่ง ฮิมชานเองก็รักยงกุกไปด้วยพร้อมๆกัน
ดังนั้นฮิมชานจึงเลือกจะวิ่งตามความฝันแล้วทิ้งยงกุกเอาไว้ด้านหลังพร้อมกับเลือกจะตัดสายใยบางๆของเขาสองคนทิ้งไปเพื่อให้ยงกุกเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ ฮิมชานเลือกจะเอาตัวเองกลับมาหายงกุกในระยะเวลาสั้นๆแต่ไม่เคยคิดจะพูดซักคำว่ายังรักยงกุกอยู่เหมือนกันไหม เพื่อวันที่ฮิมชานต้องกลับไป มันจะไม่เหลืออะไรไว้ให้ค้างคา
ยงกุกเข้าใจทุกความคิดที่เกิดขึ้นในหัวที่เต็มไปด้วยตัวโน๊ตของฮิมชาน และถึงแม้ยงกุกจะปล่อยมือ ถึงแม้ว่ายงกุกจะเริ่มใหม่ ยงกุกกลับเพิ่งเข้าใจตัวเองในวินาทีที่ฮิมชานตอกย้ำคำพูดที่เขาเคยพูดออกไปเมื่อห้าปีที่แล้ว
ฮิมชานคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของยงกุก
คือสิ่งที่ทำให้ยงกุกรู้สึกว่าเขาจะขาดใจตายตอนที่ฮิมชานหายไป ฮิมชานคือรักเดียวของยงกุก เพราะแบบนั้นแล้ว แม้ว่าฮิมชานจะขอร้องให้ยงกุกมีความสุขกับชีวิตมากแค่ไหน แม้ว่ายงกุกจะประสบความสำเร็จกับชีวิตมากเท่าไหร่
แต่ฮิมชานไป
ยงกุกไม่รู้จะทำยังไงถึงจะมีความสุขกับชีวิตหมือนที่ฮิมชานเคยร้องขอได้
ยงกุกนั่งค้อมตัวจนชิดกับเข่าอยู่บนโซฟาตัวเดิม มือพยายามปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ เขาเป็นคนร้องไห้ยาก แต่พอเป็นเรื่องของฮิมชาน นิดหน่อยก็พาลน้ำตาไหลง่ายๆจนน่าขัน
เสียงที่กลั้นไว้คงยังพยายามไม่พอ เมื่อยงกุกรู้สึกถึงแรงสัมผัสตรงข้างแก้ม เขาเงยหน้าขึ้นมองฮิมชานที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า ยงกุกยืดตัวขึ้นตรง วาดแขนรอบเอวของฮิมชานที่ทิ้งตัวลงบนหน้าขาของเขาแล้วใช้สองแขนโอบรอคอ
ฮิมชานไม่พูดอะไรนอกเหนือการเรียกชื่อยงกุกซ้ำๆ แล้วใช้มือไล้เบาๆบนหัวปลอบโยนให้ยงกุก
เขาร้องไห้หนักขึ้น
และไม่รู้ว่าจะทำยังไงถึงจะหยุดได้
*
ยงกุกนั่งมองนักร้องกำลังอัดเสียงอยู่ที่สตูดิโอของค่าย
เพลงใหม่ของเขาได้รับคำชมมากที่สุดตั้งแต่เขาก้าวเข้าวงการมา เพลงบัลลาดที่เขาทำมาก่อนเพียงไม่กี่ครั้ง เพราะมันไม่ใช่แนวที่เขาถนัดเท่าไหร่ เขาใช้เวลาข้ามวันข้ามคืนกับการอัดเพลงนี้ให้ออกมาให้ดีที่สุด จินซอกนั่งอยู่ข้างๆเขามาเกินยี่สิบสี่ชั่วโมง และกำลังเริ่มบ่นออดแอดว่าถ้าไม่เสร็จไวไวนี้ เขาจะทิ้งยงกุกไว้กับแดฮยอนและผู้จัดการของนักร้องหนุ่ม
“โอเคแล้ว”
ยงกุกเอ่ยคำนี้ออกมาตอนที่แดฮยอนเริ่มงอแงว่าร้องจนคอใกล้พังแล้ว ส่วนจินซอกก็หนีไปหลับอยู่บนโซฟาข้างๆผู้จัดการของแดฮยอนซักพักใหญ่ๆ
“ถ้าเพลงนี้ขายไม่ดีอย่างที่คิดไว้กูจะฆ่ามึงคนแรกเลยยงกุก” จินซอกบ่นด้วยสีหน้าอิดโดรยสุดขีด ยงกุกได้แต่หัวเราะแล้วกดส่งข้อความในมือถืออย่างไม่ใส่ใจเพื่อน
-อัดเสร็จแล้วนะ เดี๋ยวไปหา-
แดฮยอนกับผู้จัดการส่วนตัวเดินออกจากห้องอัดไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าถ้าช้ากว่านี้ยงกุกจะเรียกมาอัดเสียงใหม่อีกครั้ง ส่วนจินซอกก็เดินเนือยๆมานั่งลงข้างๆเขา ยงกุกหันมองจินซอกที่ท้าวคางลงกับโต๊ะไม้ ที่มีแผ่นกระดาษวางไว้เต็มไปหมด
“ไหวไหม?” จินซอกพ่นลมหายใจพร้อมเสียงหัวเราะหึหึเป็นคำตอบ
“แป๊บเดียวก็เสร็จครับพี่ เดี๋ยวผมมิกซ์ให้ส่งให้ภายในไม่กี่ชั่วโมงเนี่ยครับ พี่จะไปตามหาหัวใจที่ไหนก็ไปเถอะครับ” ยงกุกปรายตามองเพื่อนเพียงนิดเดียวก่อนจะลุกขึ้นแล้วคว้าเอาของของตัวเองรวมๆไว้ข้างหน้า
“มึง”
“เออว่า”
“ยูราน่ะ จะกลับมาแล้วนะ จะเอายังไงกับเขาก็คิดไว้ดีๆด้วย” จินซอกพูดขึ้นโดยที่ไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีไฟล์งานเปิดอยู่ ยงกุกวางของลงกับโต๊ะ หันหลังยืนพิงขอบไม้นั้นมองไปที่เพื่อนสนิท เขาถอนใจเชื่องช้า
“ฮิมชานน่ะ. . . .”
ยงกุกหมุนมือถือที่ถืออยู่ในมือไปมาช้าๆ พยายามเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในหัวก่อนจะพูดกับเพื่อนได้
“ฮิมชานเป็นคนเดียวของกูว่ะ”
จินซอกไม่ได้หันมามองตอนยงกุกตอบ แต่อาการพยักหน้ารับช้าๆก็ทำให้ยงกุกรู้ว่าจินซอกฟังอยู่
“กูทำผิดกับยูรามากจริงๆ แต่กูโกหกเขาเพื่อให้เขารู้สึกดีไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้วยังไงกูก็จะกลับไปหาฮิมชานอยู่ดี”
*
ยงกุกกดกริ่งแล้วยืนรอให้คนมาเปิดประตูอยู่พักใหญ่ เขาเลิกคิ้วเมื่อพบว่าคนที่มาเปิดประตูกลายเป็นหญิงสูงอายุที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“อ้าว ยงกุก งานเสร็จแล้วหรอลูก เห็นฮิมชานบอกว่าเราติดงานเลยไปส่งไม่ได้” เธอกล่าวเช่นนั้น ยงกุกขมวดคิ้วฉับเมื่อได้ยินคำทักทายของเธอ “ไปส่ง? ฮิมชานไปไหนหรอครับแม่”
เขาเอ่ยถามและได้รับสีหน้าแปลกใจกลับมาจากมารดาของฮิมชาน “ฮิมชานไปสนามบินลูก พ่อไปส่งเขาอยู่น่ะ ไฟลท์ราวๆหกโมง เราไม่รู้หรอกหรือ?”
ยงกุกโค้งลาเธออย่างรวดเร็ว วิ่งกลับไปที่รถแล้วออกรถทันที
เขาเร่งความเร็วในขณะที่มือก็กดโทรศัพท์หาปลายสาย ยงกุกกำลังหงุดหงิดที่เขาไม่ทันเอะใจที่ฮิมชานไม่ตอบข้อความเขามาตั้งแต่เขาเริ่มเข้าห้องอัด ในตอนนั้นเขาเพียงแค่คิดว่าฮิมชานคงไม่อยากกวนเขาเท่าไหร่ แต่กลับกลายเป็นแบบนี้ไปเสีย
“คิมฮิมชาน” ยงกุกเรียกทันทีเมื่อปลายสายกดรับ เขาได้ยินเสียงครางในลำคอตอบรับ ยงกุกปลายตามองนาฬิกาที่บอกเวลาห้าโมงครึ่ง ก่อนจะตัดสินใจหักรถหยุดที่ข้างทาง เขาเริ่มเข้าใจว่าต่อให้รีบแค่ไหนเขาก็ไม่มีทางไปทัน
“อยู่ไหนหรอ?” เขาถามด้วยเสียงที่เริ่มจะสั่นพร่าทีละน้อย มือที่จับพวงมาลัยแน่นคลายออก ผ่อนแรง จนกลายเป็นทิ้งตัวลงไปซบกับพวงมาลัยในที่สุด
“อยู่บ้านไง”
“...........”
“คิมฮิมชาน นายจะใจร้ายกับฉันแบบนี้จริงๆหรอ” ยงกุกแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรตอบรับนอกจากเสียงลมหายใจแผ่วเบา และเสียงบรรยากาศรอบกายของฮิมชาน “จะทิ้งฉันไปเงียบๆแบบนี้จริงๆหรอ ฮิมชาน”
ยงกุกได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วเบาลอดมาตามสาย ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกตัวว่าเขาเองก็กำลังร้องไห้อย่างหนัก
“ฉันเจ็บจะแย่อยู่แล้วนะฮิมชาน”
“ปัง…..” ฮิมชานเรียกเขาด้วยเสียงแผ่ว ปนเสียงสะอื้นที่ทำให้ยงกุกอยากหายตัวได้ในตอนนี้ เพราะมันเป็นเพียงวิธีเดียวที่ะทำให้เขาไปยืนอยู่หน้าฮิมชานได้ “ฉันรักนายนะ รักมาตลอด ตั้งแต่มอปลาย จนมหาลัย จนได้ทุน จนเรียนจบ จนได้มาเล่นในวง ไม่มีวันไหนที่ไม่รักเลย”
ยงกุกเคยคิดว่าเขาร้องไห้ได้มากที่สุดตอนที่ฮิมชานจากไปเมื่อครั้งที่แล้ว แต่เขาคิดผิด ในวินาทีนี้ที่ต้องนั่งฟังฮิมชานบอกรักเขาจากที่ไกลๆ ยงกุกกำลังร้องไห้เหมือนจะขาดใจลงไปในตอนนี้ ร้องไห้ราวกับเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ถูกคนขโมยหุ่นยนต์ตัวที่รักที่สุดไปจากอ้อมกอด แล้วโยนมันไปในที่ๆเขาตามไปเอาคืนไม่ได้
“แต่ชเวยูราไม่ได้ทำอะไรผิด”
“นายก็ไม่ได้ทำอะไรผิด” ยงกุกเถียงขึ้นมาทันที เพราะเขาคือยงกุก และฮิมชานคือฮิมชาน เขาจึงเข้าใจว่าฮิมชานเลือกจะไปเพราะอะไร ส่วนหนึ่งคือฝันของฮิมชานอยู่ที่นั่น อีกส่วนหนึ่งคือชเวยูรา ผู้หญิงที่รักยงกุกไม่น้อยไปกว่าฮิมชาน
“ฉันผิดที่เลือกจะทิ้งนายไปตั้งแต่แรก ฉันขอโทษ”
เสียงของฮิมชานเบาจนแทบไม่ได้ยิน เสียงสะอื้นที่ปะปนมาทำให้เขาฟังแทบไม่รู้เรื่อง แต่ยงกุกก็เข้าใจทุกอย่าง และทุกความคิดของฮิมชาน
“คิมฮิมชาน ไม่ว่านายจะเลือกที่จะอยู่ หรือว่าจะไป คนที่ฉันรักก็จะมีแค่นาย”
“ฉันจะบอกเขา และฉันจะรอนาย”
“บังยงกุก..”
“ไม่ว่านายจะกลับมาหรือไม่ จากนี้ไปฉันจะรอแค่นายคนเดียว”
ยงกุกนั่งมองไฟล์ที่จินซอกส่งมาให้ในมือถือ เพลงที่แดฮยอนเพิ่งอัดเสร็จถูกมิกซ์เสียงอย่างหยาบๆด้วยฝีมือของเพื่อนสนิทของเขา หัวข้อของอีเมลไม่ได้ทำให้น้ำตาที่ไหลอยู่หยุดลง เขากดเข้าข้อความนั้น มองดูเนื้อความที่โอจินซอกส่งมาให้
The Pianist, first draft.
เสียงแดฮยอนเพราะมาก หวังว่าคนที่มึงแต่งให้เขาจะชอบนะ
- โอจินซอก
เขาเหลือบมองหน้าปัดนาฬิกาผ่านสายตาที่พร่ามัว พลางคิดว่าเหลือเวลาก่อนขึ้นเครื่องอีกประมาณสิบกว่านาที ฮิมชานคงจะยังไม่ปิดเครื่อง
ยงกุกกดเข้าโปรแกรมแชท ก่อนจะเลือกส่งไฟล์ที่จินซอกเพิ่งส่งมาให้ไปหาฮิมชาน
แถบสีเขียวโหลดช้าๆ ก่อนจะขึ้นว่าส่งสำเร็จ ยงกุกกดไฟล์ให้เล่นขึ้นมาอีกรอบ เขายังไม่หยุดร้องไห้ แต่เขาก็เริ่มฮัมเพลงของตัวเองช้าๆ
หน้าจอขึ้นสัญลักษณ์ว่าข้อความที่ส่งไปถูกอ่านแล้ว
แต่ไม่มีข้อความใดใดตอบกลับ
*
ยงกุกถือสูจิบัตรงานโชว์ออเคสตร้าวงเดียวกับที่เขามาดูเมื่อปีที่แล้ว เขาได้รับบัตรเข้าชมคอนเสิร์ตจากยูราที่ย้ายไปเวียนนาไม่นานหลังจากกลับมาจากการรับทุนจากวงไปเรียน
คอนเสิร์ตจบลงไปพักใหญ่ๆแล้ว เขายืนอยู่ทางด้านหลังซึ่งเป็นทางออกของนักดนตรี ดอกลิลลี่สีขาวสะอาดหนึ่งดอกอยู่ในมือของเขา เขาไม่ได้ถือดอกไม้เป็นช่อใหญ่โตเหมือนใคร เพราะคาดว่าคนที่เขาตั้งใจมาหาคงได้รับดอกไม้หลายช่อแล้ว ในเมื่อนานๆทีจะได้กลับมาเกาหลี
“พี่คะ” เสียงเรียกที่เขาเคยคุ้นดังขึ้นที่ประตู หญิงสาวหน้าตางดงามในเสื้อยืดกางเกงยีนส์วิ่งตรงมาหาเขาพร้อมรอยยิ้มสว่างไสว
“ชเวยูรา” เขาเรียกเธอที่ใบหน้ายังถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางค์ ผมยาวสีเข้มของเธอที่เกล้าเป็นมวยไว้ยังไม่ได้ถูกแกะออก
“ยินดีด้วยนะ” ดอกลิลลี่สีขาวในมือของเขาถูกยื่นไปให้เธอ เธอแย้มยิ้มอย่างต่อเนื่อง รับดอกไม้สีขาวมาไว้ในมือ “พี่จำได้ด้วย” เขาหัวเราะเบาๆ แน่นอนว่าเขาจำได้ว่าดอกลิลลี่สีขาวเป็นดอกไม้โปรดของเธอ เขาจึงเลือกมันมาเพื่อแสดงความยินดี
“เป็นยังไงบ้าง ยูรา” เขาเอ่ยถาม รอยยิ้มยังไม่หายไปจากริมฝีปาก มองดูหญิงสาวที่มีฝันอันยิ่งใหญ่ให้ไขว่คว้า เธอเป็นอีกหนึ่งคนที่เลือกจะทิ้งเขาเพื่อความฝันของเธอ
“ยาก ฉันยังได้แค่เล่นไวโอลินอยู่ในแนวที่สองเอง ซักวันก็อยากจะขึ้นเดี่ยวให้ได้นะ” ยงกุกพยักหน้ารับ มองดูหญิงสาวตรงหน้า คนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นคนรักของเขา ผู้หญิงที่เลือกจะบอกลาเขา ก่อนที่เขาจะทำร้ายเธอ
เมื่อปีที่แล้ว วันที่เขาไปรับเธอที่สนามบินหลังจากไปฝึกที่มันไฮม์สองเดือน เธอเล่าให้เขาฟังด้วยรอยยิ้มเต็มสองแก้มว่าเธอบังเอิญได้เจอกับคนที่เคยสอนเธอตอนเธอไปอยู่เวียนนา เธอมีโอกาสเล่นไวโอลินให้เขาฟัง จนสุดท้าย เขาจึงพาเธอไปลองออดิชั่นเข้าวงออเคสตร้าในฝันอีกครั้ง
เธอกลับมาพร้อมกับข่าวดีของเธอว่าเธอได้รับการตอบรับเข้าวงออเคสตร้าชื่อดังก้องโลก เธอบอกกับยงกุกว่านั่นคือฝันของเธอ และเธอจะไป
ใจหนึ่งยงกุกคิดว่ามันก็ลงล็อกดี เธอเลือกจะไปแบบนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องสารภาพผิด แต่เพราะชเวยูราคือผู้หญิงที่แสนดี เขาจึงก้มหัวขอโทษและบอกความจริงทั้งหมดต่อเธอ
เขาบอกเธอว่าเขาบังเอิญเจอคนรักเก่าของเขาที่ขาดการติดต่อกันไป เขายอมรับว่าเขานอกใจเธอไปหาคนๆนั้น แล้วสุดท้ายเขาก็โดนทิ้งไว้ข้างหลังเช่นเดิม เขาบอกเธอว่าเขารักคนๆนั้นมากเหลือเกินและเขาตั้งใจว่าหลังจากนี้เขาจะรอคนๆนั้นเพียงคนเดียว
ชเวยูราร้องไห้
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็ให้อภัยเขา แล้วเขาก็กลายเป็นพี่ชายของเธอ
เขาถูกเวียนนาเอาคนสำคัญของเขาไปอีกครั้ง และยงกุกก็ยังใช้ชีวิตต่อมาโดยไม่เปิดรับใคร
“ยงกุก พี่น่ะ มาเพราะคิดว่าจะเจอเขาใช่ไหม” ยูราเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อการถามสารทุกข์สุขดิบตามมารยาทกลายเป็นความเงียบระหว่างเขาสองคน ยงกุกเลิกคิ้วมองหน้ายูราด้วยความแปลกใจ แม้เขาจะสารภาพทุกอย่างกับยูรา แต่เขาไม่เคยเอ่ยชื่อของคนๆนั้นออกไป
ยูรายิ้มให้กับเขา เหมือนน้องสาวที่เข้าอกเข้าใจพี่ชายอย่างดี
“The Pianist เป็นเพลงที่ดีนะ” ยงกุกหลุบตาลงมองสูจิบัตรในมือ หน้ารายชื่อนักดนตรีถูกเปิดคาไว้ตั้งแต่เขาได้รับมันมาถือไว้
ยงกุกไม่ได้สนใจดนตรีคลาสสิคเท่าไหร่ แต่ตั้งแต่มีการประกาศคอนเสิร์ตนี้เขาก็ตั้งหน้าตั้งตารอมันมาตลอด เพราะมันเป็นทางเดียวที่เขาจะได้เห็นคิมฮิมชาน แม้ว่าจะจากที่ไกลๆก็ตาม “เขาหายไปไหนหรือ . . .”
ยงกุกทอดเสียงแผ่วจนยูราต้องแตะลงบนท่อนแขนเพื่อปลอบใจ “จนถึงเมื่อสองเดือนที่แล้วเขาก็ยังอยู่ที่เวียนนา”
ยงกุกพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า ยังจับจ้องสูจิบัตรในมือที่ชื่อนักเปียโนไม่เหมือนกับปีที่แล้ว ครั้งนี้เป็นชื่อของใครก็ไม่รู้ที่ยงกุกออกเสียงไม่ถูกด้วยซ้ำ
“รุ่นพี่ลาออกจากวงก่อนฉันไปถึงเวียนนาอีก แต่ทางนั้นขอให้เขาอยู่ช่วยก่อน กว่านักเปียโนคนใหม่พร้อมจะเดินสาย ทัวร์ก็จะเริ่มแล้ว ตอนแรกฉันยังนึกว่าเขาจะมาทัวร์กับพวกเราเลย”
“แล้วตอนนี้ล่ะ?” ยงกุกหันหน้าไปหายูรา เอ่ยถามสิ่งที่เขาอยากรู้ที่สุด แต่รอยยิ้มบางเบาของยูราทำให้เขารู้คำตอบก่อนเธอจะเอ่ยออกมาเสียอีก เขาก้มลงไปมองสูจิบัตรในมืออีกครั้งทั้งที่ไม่มีอะไรน่ามอง แต่ยงกุกก็ไม่รู้ว่าจะทิ้งสายตาไว้ที่ไหนดี
“ฉันเจอรุ่นพี่ครั้งสุดท้ายก่อนทัวร์จะเริ่มอีก พี่เขาบอกว่าหลังจากนี้คงจะหาที่เที่ยวไปเรื่อยๆซักพัก”
“แล้วหลังจากนั้น?”
“หลังจากนั้นเขาก็บอกว่าเขาไม่รู้เหมือนกัน”
ยงกุกเม้มปากเข้าหากัน ถอนใจออกมาอีกครั้งอย่างเหน็ดเหนื่อย มือของยูราลูบไปมาเบาๆบนบ่าของเขา
“รุ่นพี่ฮิมชานเขาจะกลับมาหาพี่นะยงกุก” ยงกุกหัวเราะเบาๆในลำคอราวกับไม่เชื่อคำพูดของยูราและเย้ยหยันตัวเองไปในที
“เขามาขอโทษฉันล่ะ ตั้งแต่แรกๆที่ฉันไปถึงเวียนนาเลย”
“พอรุ่นพี่เขารู้ว่าฉันเลิกกับพี่ก่อนจะมาเวียนนา เขาก็ขอโทษฉัน ทั้งๆที่เขาไม่ต้องมาบอกมาขอโทษก็ได้ เพราะฉันบอกเขาว่าฉันเลิกกับพี่เพราะฉันเลือกดนตรี แต่เขาก็ยังเล่าให้ฟัง พอเขาทำแบบนั้น ฉันถึงเข้าใจเพลงของพี่ แล้วก็เข้าใจว่าฉันสู้รุ่นพี่ฮิมชานไม่ได้เลย ฉันรักพี่ได้ไม่เท่าที่รุ่นพี่ฮิมชานด้วยซ้ำ”
จังหวะการเต้นของหัวใจยงกุกเร็วขึ้นมานิดหน่อย เขานึกถึงภาพของฮิมชานที่ยอมรับเรื่องนี้กับยูรา นึกว่าวันนั้นฮิมชานจะรู้สึกอย่างไร ฮิมชานกล้ากว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก
“เวลาว่างๆน่ะ รุ่นพี่ชอบเล่นเพลงของพี่ เอ๊ะ ต้องเรียกว่าเพลงของพวกพี่ใช่ไหม เพราะทำนองรุ่นพี่เป็นคนเขียนนี้”
รอยยิ้มของยงกุกกว้างขึ้น ภาพของฮิมชานที่นั่งฮัมเพลงอู่ในสตูดิโอของเขาผุดขึ้นมาในสมองราวกับวีดีโอที่ฉายซ้ำ สีมันยังสดใหม่ ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
“รุ่นพี่น่ะ เอาแต่คิดว่าตัวเองทำผิดกับพี่ไว้หลายอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็รักพี่มากๆนะยงกุก”
“ให้เวลาเขาอีกหน่อยเถอะ ฉันเชื่อว่าเขาจะกลับมาหาพี่เองในที่สุด”
*
ยงกุกนั่งมองจุนฮงไถสเก็ตบอร์ดอยู่ไม่ไกล เด็กคนนั้นพอโตขึ้นก็เริ่มสนใจเรื่องดนตรี พอว่างๆก็ชอบแอบวิ่งเข้ามาหาเขาในสตูดิโอส่วนตัว เล่นกับเครื่องมือ ลองร้องแรพให้เขาฟัง บางครั้งก็ไปวุ่นวายงานของเขา
เหมือนมีลูกชายไม่มีผิด
ยงกุกหัวเราะตอนที่จุนฮงไถสเก็ตบอร์ดไปพร้อมกับแรพอะไรก็ไม่รู้ออกมาเสียงดังจนคนรอบข้างหันมามอง เขาเอ็นดูจุนฮง ฮิมชานก็รักจุนฮงราวกับเป็นน้องชายแท้ๆของตัวเอง เพราะแบบนั้นยงกุกเลยไม่เคยรำคาญเวลาจุนฮงมาขอให้สอนนู่นสอนนี่ หรือมายุ่งวุ่นวายในห้องทำงานของเขา
“ฮยอง!!!! ผลสอบออกแล้ว” จุนฮงที่อยู่ๆก็หยุดเล่นสเก็ตแล้วก้มลงกดมือถือตะโกนออกมาดังลั่นแล้ววิ่งถลาเข้ามาหายงกุก ยื่นมือถือที่มีอีเมลประกาศผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาให้ดู
จุนฮงเพิ่งสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยที่เขาสอนอยู่ และใช้ชีวิตแบบสติสตังไม่ค่อยมีเพราะลุ้นผลอยู่ทุกวัน ตอนนี้เด็กคนนั้นยิ้มกว้าง แล้วกระโดดไปทั่วลานกว้างริมแม่น้ำ “สอบติดแล้ว ฮู้วววววว!!”
“งี้ผมก็กลายเป็นลูกศิษย์ฮยองเต็มตัวแล้วดิ่” จุนฮงถามขึ้นมาอีกรอบตอนหยุดวิ่งไปรอบสนามแล้วมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเขา ยงกุกทำท่าถอนใจออกมา พ่นควันสีอ่อนออกมาจากร่างกาย “ปีนี้เลิกรับงานสอนที่มหาลัยดีกว่า”
“ฮยอง ไม่เอาดิ่” จุนฮงส่งเสียงร้องให้ยงกุกหัวเราะร่า ก่อนที่จู่ๆเสียงหัวเราะของเขาจะหายไป
“ถ้ายงกุกไม่สอน ฉันสอนแทนก็ได้นะชเวจุนฮง”
ยงกุกหันไปตามเสียง และคิมฮิมชานยืนอยู่ตรงนั้น
คิมฮิมชานอยู่ในเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบายๆเหมือนหน้าร้อนปีที่แล้วไม่มีผิด รอยยิ้มบางเบายังประดับอยู่บนใบหน้าของฮิมชาน และยงกุกไม่รู้จะต้องพูดคำว่าอะไรในวินาทีนั้น
“ฮยอง! ฮยองกลับมาแล้วหรอ” เป็นจุนฮงที่เอ่ยทักไปก่อนพร้อมดีดตัวถลาไปกอดพี่ชายคนสนิทของตัวเอง ฮิมชานหัวเราะ กางแขนกอดรัดเด็กผู้ชายที่ดูจะตัวโตเกินอายุมากไปโข พอจุนฮงปล่อย ฮิมชานจึงเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆยงกุก ตรงที่ๆจุนฮงเคยนั่ง ส่วนเด็กคนนั้นก็ตะโกนบอกเขาว่าจะไปโทรอวดเพื่อนเรื่องสอบติดเสียหน่อย แล้วจะกลับมาคุยกับพี่ชายทั้งสอง
“ว่าแล้วว่ายังไงฉันก็จะต้องหานายเจอที่นี่” ฮิมชานพูดขึ้นมา มองดูยงกุกที่ยังจ้องมายังตัวเองโดยไม่กระพริบตา กว่ายงกุกจะหาคำพูดของตัวเองเจอ ก็กลายเป็นฮิมชานส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆเสียก่อน
“กลับมาแล้วหรอ” ยงกุกถามคำถามเดียวกับจุนฮง รอยยิ้มบางๆเผยออกมาในที่สุด
“กลับมาแล้วล่ะ”
ฮิมชานตอบกลับมา
“ขอโทษที่ให้รอนาน แต่คราวนี้จะไม่ไปไหนแล้วล่ะ”
ฮิมชานส่งยิ้มที่ยงกุกชอบกลับมาหา
ยงกุกคิดว่าเขาตกหลุมรักฮิมชานครบร้อยครั้งพอดี
The End*
PS. ฉันแก้บนเสร็จแล้ว!
◊ SQWEEZ
ความคิดเห็น